ลูกไม้เกี่ยวรัก บทที่ 13 : ลูกฉันไม่ใช่ลูกนาย

ลูกไม้เกี่ยวรัก บทที่ 13 : ลูกฉันไม่ใช่ลูกนาย

โดย : นวาภัส

Loading

ลูกไม้เกี่ยวรัก โดย นวาภัส นวนิยายโรแมนติกคอมเมดี้ (เล็กๆ) เรื่องราวของหญิงสาวสุดแกร่งที่ชีวิตนี้ขอมีลูก โดยไม่ต้องมีสามี แล้วใครเล่าจะเข้าใจเธอ พบกับความอลหม่านของสองแม่ลูกคู่ป่วนใน “ลูกไม้เกี่ยวรัก” ได้ในเพจอ่านเอา และ เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

วันเกิดของโอโซนใกล้เข้ามาทุกที ปัณฑารีย์รู้สึกหนักใจคิดหาวิธีที่จะทำให้โอโซนยอมรับเมื่อพ่อต้องหายตัวไป ในขณะที่ทางบ้านของอคิราห์ก็เริ่มรู้สึกผูกพันกับเด็กชายตัวน้อยมากขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะอมรที่กลายเป็นคนอยู่ติดบ้านเลี้ยงหลานเหมือนคุณปู่จริงๆ เข้าไปทุกที จากที่ใกล้ชิดกันทุกวัน อมรสังเกตเห็นความเหมือนในหลายๆ อย่างของโอโซนกับคนในครอบครัว หน้าตาที่คล้ายกับอชิระตอนเด็กแทบจะทุกอย่าง ความเป็นระเบียบเรียบร้อย วินัยจัด แถมยังเลือกกินเหมือนกับอคิราห์ และบุคลิกการเดินที่ถอดแบบตัวเองมาเป๊ะ ยังไม่นับรวมความรู้สึกผูกพันในใจที่มีต่อโอโซนมากกว่าลูกหลานคนอื่นในตระกูล ทำให้มีบางอย่างติดอยู่ในใจของชายสูงวัยจนแกะไม่ออก

“โอโซนชอบบ้านหลังนี้มั้ยครับ” วันหนึ่งอมรถามโอโซนขณะที่กำลังเล่นต่อจิกซอว์กันอยู่

“ชอบคับ โอโซนชอบบ้านหลังนี้ ชอบพ่อ ชอบอาเดย์ ชอบคุณปู่” ปากตอบเจื้อยแจ้ว มือกับสายตาก็มุ่งมั่นกับชิ้นส่วนเล็กๆ ตรงหน้า

“ถ้าปู่จะให้มาอยู่ที่นี่เลยเอามั้ย” คนแก่ถามวัดใจ เด็กน้อยเงยหน้ามองส่งยิ้มสดใสให้คุณปู่

“เอาคับ แต่ต้องให้แม่มาอยู่ด้วยนะคับ โอโซนคิดถึงแม่”

อมรลูบผมนุ่มนิ่มของโอโซนอย่างเอ็นดู มองดูเจ้าตัวเล็กที่จริงจังกับการต่อจิกซอว์ตรงหน้า แล้วคิดถึงอคิราห์ในวัยเด็กที่ชอบเล่นของเล่นฝึกสมองมากกว่าของเล่นทั่วๆ ไป ผิดกับอชิระที่ชอบเล่นโลดโผนสมกับเป็นเด็กผู้ชายจนได้แผลเป็นประจำ อมรมองเจ้าตัวเล็กแล้วคิดว่าถ้าโอโซนเป็นหลานจริงๆ เขาก็คงมีความสุขมาก

ในช่วงนี้ปัณฑารีย์ต้องทำงานหนัก เพราะนอกจากงานสอน งานวิจัย และงานบริหารในมหาวิทยาลัยแล้ว เธอยังต้องมีงานบรรยาย สัมมนา และเป็นแขกรับเชิญตามสื่อต่างๆ เพื่อให้ความรู้เรื่องสิ่งแวดล้อม และเป็นการทำผลงานให้เด่นชัดในช่วงของการพิจารณาคัดเลือกผู้ที่จะเข้าดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาขององค์กรสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะประกาศผลในอีกสองเดือนข้างหน้า

การทำงานที่แทบจะไม่มีเวลาพักผ่อนทำให้หญิงสาวเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก และยังต้องทำหน้าที่แม่ให้โอโซน ทำให้เธอล้มป่วยจนต้องไปนอนให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาล อคิราห์รีบไปดูอาการของหญิงสาวทันทีที่รู้ข่าว แต่เมื่อไปถึงห้องคนไข้ แทนที่จะได้เห็นคนป่วยนอนพักผ่อน กลับเห็นปัณฑารีย์กำลังตั้งคอมพิวเตอร์โน้ตบุคทำงานอย่างคร่ำเคร่งบนเตียงคนไข้ อคิราห์พยายามสงบใจไม่ให้โวยวายใส่เธอ แล้วถือวิสาสะเดินพับหน้าจอลง ดึงคอมพิวเตอร์ออกไปวางไว้ที่อื่น หญิงสาวอ้าปากค้าง คิดไม่ถึงว่าหมอหนุ่มจะกล้าทำแบบนี้

“ที่นี่โรงพยาบาลนะ แล้วปันก็เป็นคนไข้ หน้าที่ของคนไข้คือการพักผ่อนทำตามที่หมอบอก แล้วนี่อะไร มานั่งทำงานอยู่บนเตียงเนี่ยนะ” เสียงของเขาดุเข้มจนเธอหน้าจ๋อย

“แต่ปันต้องรีบส่งงานค่ะ ถ้าส่งไม่ทันตามกำหนด ทุกอย่างมันจะวุ่นวาย” เธอพูดเสียงเบา ไม่กล้าทำให้เขาอารมณ์บูดกว่าเดิม

“อะไรจะวุ่นวายบ้างก็ช่างมัน นี่รู้ตัวหรือเปล่าว่าเราป่วยอยู่นะ” อคิราห์บ่นเสียงดัง แล้วเอามือไปอังหน้าผากหญิงสาวเพื่อวัดไข้

“ปันไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะพี่ซัน” หญิงสาวหน้าแดง ไม่ใช่เพราะเป็นไข้แต่เพราะรู้สึกเขินอายชายหนุ่ม

“ต้องรอให้มากกว่านี้ก่อนถึงจะยอมเชื่อหมอเหรอ เรานี่ดื้อยิ่งกว่าโอโซนอีกนะ ลูกยังเชื่อฟังมากกว่านี้เลย” เขาเอาเธอไปเปรียบเปรยกับลูกชายจนหญิงสาวรู้สึกผิด

“โอเคค่ะ พักก็พัก…บ่นเป็นตาลุงหัวล้านไปได้” ประโยคสุดท้ายเธอบ่นพึมพำเบาๆ แต่ชายหนุ่มหูดีได้ยินชัดเจน

“ถ้าอยู่กับเธอสองคนแม่ลูกนานกว่านี้ พี่ได้กลายเป็นตาลุงหัวล้านจริงๆ แน่” แม้จะบ่นไปอย่างนั้น ไม่ได้คิดจริงตามที่พูด แต่ไม่รู้เลยว่าคำพูดของเขาได้สร้างความน้อยใจให้กับคนฟังไปแล้ว หญิงสาวคิดว่าอคิราห์คงเริ่มเบื่อเธอสองคนแม่ลูกที่คอยมาสร้างความรำคาญให้กับเขาและครอบครัวไม่จบไม่สิ้น

“อีกไม่กี่วันพี่ซันก็เป็นอิสระแล้วค่ะ ทนหน่อยนะคะ” พูดจบหญิงสาวก็พลิกตัวหันหลังให้เขา ชายหนุ่มจึงไม่มีโอกาสได้เห็นว่าใบหน้าของเธอเศร้าสลดลงอย่างน่าใจหาย

อคิราห์มองแผ่นหลังบอบบางนั้นด้วยความรู้สึกหม่นหมอง เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่ายังต้องการอิสระนั้นอยู่หรือไม่

ปัณฑารีย์กลับไปทำงานในอีกสองวันต่อมาด้วยความสดชื่นหลังจากที่ได้พักผ่อนเต็มที่ เย็นนี้เธอได้รับเชิญให้ไปงานเลี้ยงขององค์กรสิ่งแวดล้อม จึงแต่งตัวสวยกว่าปกติจนเพื่อนๆ ที่ทำงานต่างตั้งข้อสงสัยว่าเธอกำลังมีความรักหรือเปล่า ถึงได้ดูสวยสดใสกว่าที่เคย

“ไม่มีใครมาสนใจแม่ลูกติดหรอกค่ะ ทั้งที่ซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง คุ้มจะตาย” ปัณฑารีย์ตอบปฏิเสธแบบขำๆ ออกไป

“ผมสนใจครับ โปรโมชันนี้ผมจอง” น้ำเสียงร่าเริงของอชิระดังแทรกเข้ามา ทำเอาทุกคนกรี๊ดสนั่น ถูกใจคำพูดของชายหนุ่ม ยกเว้นขวัญสุดาที่หมั่นไส้จนทนอยู่แถวนั้นไม่ได้

“คุณเดย์ ชอบของแถมเหรอคะ ดาก็มีตั้งสองคนนะ ไม่สนใจเหรอ คุ้มกว่าของอาจารย์ปันนะคะ” อาจารย์สาวร่างอวบคุณแม่ลูกสองเอ่ยปากเย้าแหย่อาจารย์สุดหล่อประจำคณะฯ

“สนได้ไงล่ะครับ มีหวังสามีพี่ดามาตามเตะผมถึงที่คณะแน่เลย”

บรรดาอาจารย์ในคณะฯ พากันหัวเราะชอบใจ เป็นบรรยากาศที่สนุกสนานที่ปัณฑารีย์อยากให้มีอยู่ตลอดไป นานๆ ทุกคนจะได้มีโอกาสหัวเราะกันเสียงดังสักครั้ง เพราะปกติด้วยหน้าที่การงานที่เคร่งเครียดทำให้พวกเขาต้องนั่งกันเงียบๆ หมกมุ่นกับงานตรงหน้า จนแทบจะไม่มีเวลาพูดคุยหรือสังสรรค์กันเลย จนกว่าจะถึงเวลาเลิกงาน แต่ถึงตอนนั้นทุกคนก็หมดแรงจนอยากกลับบ้านไปนอนพักผ่อนให้สบายใจก่อนจะกลับมาเผชิญกับงานหนักอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น

“เย็นนี้ปันต้องไปงานเลี้ยง ให้ผมไปเป็นเพื่อนมั้ย” เมื่อทุกคนกลับไปนั่งทำงาน ทุกอย่างจึงอยู่ในความสงบอีกครั้ง อชิระเข้ามาที่ห้องทำงานของหญิงสาวเพื่ออาสาไปงานเลี้ยงเป็นเพื่อนเธอ

“อย่าเลย ปันเกรงใจ ไปคนเดียวดีกว่าค่ะ”

“จะเกรงใจทำไม ผมเต็มใจเพราะกว่าจะได้กลับก็น่าจะดึก ปันจะขับรถไหวเหรอ ต้องแวะไปหาเจ้าตัวแสบอีก ให้ผมไปเป็นเพื่อนน่ะดีแล้ว เอารถปันไป ตอนกลับผมจะได้ขับให้” ชายหนุ่มมองหน้าหญิงสาว สายตาของเขาช่างเว้าวอน จนเธออ่อนใจ ยอมแพ้แต่ก็อดขำไม่ได้

“ไม่รู้จะมีผู้หญิงคนไหนที่ใจแข็งปฏิเสธคุณได้บ้างมั้ย คนอะไรแค่สายตาก็น่ากลัวแล้ว” เธอพูดไปหัวเราะไป

“น่ากลัวอะไรกัน น่าสงสารจะตายไป เห็นมั้ยปันยังสงสารเลย…เอาเป็นว่าเย็นนี้ผมจะเป็นคนขับรถและบอร์ดี้การ์ดให้ปันเอง รับรองปลอดภัยหายห่วง” คนขี้โม้คุยโอ่จบก็ออกจากห้องทำงานของเธอไปอย่างอารมณ์ดี ปัณฑารีย์ชื่นชอบความร่าเริงสดใสของชายหนุ่ม อยู่ด้วยแล้วสนุกสบายใจ ไม่ต้องมีอะไรให้คิดมาก ถ้าเธอเศร้าเขาจะทำให้เธอยิ้มได้อย่างง่ายดาย ช่างเหมือนพระรองในซีรีส์เกาหลีที่ดีต่อใจ ใครๆ ก็หลงรักและให้กำลังใจ แต่ก็ยังไม่ใช่พระเอกอยู่ดี

ปัณฑารีย์กับอชิระใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงกว่าในการฝ่าการจราจรที่คับคั่งไปถึงงานเลี้ยงที่โรงแรมหรู พวกเขาถูกจัดให้นั่งที่โต๊ะแขกรับเชิญกิตติมศักดิ์ร่วมกับตีรณาและคนอื่นๆ ที่มาจากแวดวงสิ่งแวดล้อมคนสำคัญของประเทศ ปัณฑารีย์เคยเห็นหน้าบุคคลเหล่านั้นตามหน้าสื่อต่างๆ บางคนก็เคยร่วมเสวนาในเวทีเดียวกันมาบ้าง ทุกคนร่วมแสดงความยินดีกับเธอและตีรณาที่ได้รับการเสนอชื่อให้เข้าชิงตำแหน่งสำคัญขององค์กร หญิงสาวทั้งสองคนยิ้มแย้มขอบคุณทุกคนตามมารยาท แต่ในใจก็รู้สึกอึดอัดที่ต้องมานั่งร่วมโต๊ะเดียวกับคนที่เป็นคู่แข่ง

“ไม่คิดว่าคุณเดย์จะมากับอาจารย์ปันฑารีย์ด้วยนะคะ” ตีรณาแปลกใจเมื่อเห็นน้องชายของคู่หมั้นมาพร้อมกับคู่แข่งของเธอ

“ผมรับอาสาเป็นคนขับรถให้ปันเขาน่ะครับ เห็นว่างานมันเลิกดึกกลัวว่าจะขับรถไม่ไหว” ชายหนุ่มตอบไปตามความจริง ตีรณายิ้มขื่นเมื่อเห็นว่าปัณฑารีย์มีผู้ชายที่คอยห่วงใยเธอถึงสองคนพร้อมๆ กัน

“ดีจังเลยนะคะ ถ้าพี่ชายของคุณเดย์ห่วงฉันแบบนี้บ้างก็คงดี” ถ้อยคำตัดพ้อของตีรณาทำให้ปัณฑารีย์ รู้สึกเห็นใจ อคิราห์เป็นผู้ชายที่เย็นชามาตั้งแต่ไหนแต่ไร เขาไม่ค่อยแสดงความรู้สึกออกมา ทำให้คนที่อยู่ใกล้ชิดเดาไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เธอเข้าใจหัวอกของอีกฝ่ายที่กำลังน้อยใจเมื่อถูกคนรักหมางเมิน ทำเหมือนไม่ใยดี ไม่รู้ร้อนรู้หนาว เพราะเธอเองก็เคยรู้สึกเช่นนั้น ต่างกันตรงที่เธอกับเขาไม่เคยเป็นอะไรกันเลย

“ไม่หรอกครับ พี่ซันเขาก็เป็นแบบนี้แหละ คุณตี้น่าจะชินได้แล้วนะครับ” น้องชายพยายามแก้ตัวให้ แต่ดูเหมือนยิ่งทำให้ว่าที่พี่สะใภ้เศร้ากว่าเดิม

“คุณตีรณาคะ มีนักข่าวอยากขอสัมภาษณ์ค่ะ เชิญที่หน้าแบ็กดร็อปค่ะ” เจ้าหน้าที่จัดงานคนหนึ่งเดินมากระซิบบอกตีรณาเบาๆ หญิงสาวยิ้มรับและเดินตามออกไป

ปัณฑารีย์เองก็เริ่มเบื่อที่ต้องนั่งรอพิธีการนานๆ จึงขอตัวเข้าห้องน้ำ อย่างน้อยจะได้ออกไปเดินยืดเส้นยืดสาย ไม่ก็อ้อยอิ่งอยู่ในห้องน้ำเล่นๆ สักพัก รอจนให้เริ่มพิธีการค่อยเข้าไป ถึงจะเกรงใจอชิระอยู่บ้าง แต่ก็ช่วยไม่ได้อยากตามมาเอง

เมื่อเห็นว่าออกมานานพอสมควรแล้ว เธอจึงกลับเข้าไปในงาน แต่ระหว่างนั้นได้เดินผ่านจุดที่ตีรณากำลังให้สัมภาษณ์กับนักข่าวอยู่ เธอได้ยินนักข่าวถามเรื่องการแต่งงานพอดี แม้ใจหนึ่งจะไม่อยากได้ยิน แต่จิตใต้สำนึกแห่งการอยากรู้อยากเห็นสั่งให้เธอเดินช้าๆ เพื่อฟังตีรณาตอบคำถาม

“เราสองคนกำลังวางแผนเรื่องการแต่งงานอยู่ค่ะ คิดว่าไม่น่าเกินปลายปีนี้คงมีข่าวดีแน่นอน เพราะคุณอคิราห์เองก็บ่นอยากแต่งงานไวๆ ค่ะ” คำตอบของตีรณาเหมือนกับค้อนปอนด์ขนาดใหญ่ที่เหวี่ยงเข้ากลางแสกหน้าของเธอจนมึนงง จนแทบขยับไม่ได้ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตอนนี้หน้าของตัวเองซีดเผือดจนแทบไม่มีสีเลือดอยู่เลย

“ปัน ปันครับ เป็นอะไรหรือเปล่า” หญิงสาวสะดุ้งสุดตัว เมื่อถูกอชิระเขย่าแขน

“เอ่อ…ปัน ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ”

“อาจารย์ปัณฑารีย์ ไม่สบายหรือเปล่าคะ หน้าซีดเชียว” ตีรณาที่เพิ่งให้สัมภาษณ์เสร็จเดินเข้ามาถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย

“เปล่าค่ะ ฉันไม่ได้เป็นอะไร ขอตัวเข้าข้างในก่อนนะคะ” ปัณฑารีย์รีบเดินเข้าในงานโดยมีอชิระตามไปติดๆ ตีรณามองตามหลัง แล้วค่อยๆ เผยอยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา

คืนนั้นปัณฑารีย์ฝันว่าอคิราห์กำลังเข้าพิธีแต่งงานกับตีรณาในโบสถ์คริสต์ บรรยากาศหวานชื่น ขณะที่บาทหลวงกำลังถามว่าจะมีใครคัดค้านการแต่งงานครั้งนี้หรือไม่ เธอในชุดเจ้าสาวจูงมือโอโซนที่อุ้มพี่บูบู้ไว้ ผลักประตูโบสถ์เข้าไปในงาน แล้วตะโกนก้องว่า “ฉันขอค้าน ผู้ชายคนนี้คือพ่อของลูกฉัน” ในฝันทุกคนหันมามองเธอ และพากันหัวเราะเยาะ อคิราห์ไม่สนใจเธอสักนิด เขาหันไปคว้าใบหน้าสวยๆ ของตีรณามาจูบอย่างดูดดื่ม ปัณฑารีย์รับไม่ได้กรีดร้องเสียงหลง

หญิงสาวสะดุ้งตื่นขึ้นมา เมื่อรู้ว่าเป็นความฝันก็ถอนหายใจโล่งอก ตั้งแต่ได้กลับมาเจอกับอคิราห์เธอก็ฝันร้ายบ่อยครั้ง และก็มักจะเป็นฝันพิลึกที่ไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง แต่ถึงแม้จะเป็นเพียงความฝัน แต่ครั้งนี้ก็ทำให้เธอรู้สึกเศร้าในใจลึกๆ แค่คิดว่าสองคนนั้นจะต้องแต่งงานกัน เธอก็เจ็บไปทั้งใจ ที่เคยคิดว่าลืมเขาได้แล้วมันไม่จริงสักนิด ที่ผ่านมาเธอแค่ฝังเขาไว้ในส่วนลึกของหัวใจ รอวันถูกขุดขึ้นมาอีกครั้ง และวันนั้นก็มาถึง

เช้านี้ตีรณาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่นแจ่มใส เรื่องราวเมื่อคืนทำให้เธอรู้สึกสบายใจ ที่สามารถทำให้ปัณฑารีย์รู้ว่าเธอคือตัวจริงของอคิราห์ ไม่ว่าผู้หญิงหน้าไหนก็ไม่สามารถแย่งเขาไปจากเธอได้ และดูเหมือนว่าแผนจะได้ผลเมื่อเห็นจากสีหน้าของคู่แข่งเมื่อคืนนี้

“จะไปทำงานแล้วเหรอลูก” ตีรณวางแก้วกาแฟแล้วหันมาทักทายลูกสาว

“คุณพ่อยังไม่ไปไหนเหรอคะวันนี้” หญิงสาวนั่งลง คนรับใช้รีบนำกาแฟมาให้เธอ

“พ่อเห็นข่าวงานเมื่อคืนแล้ว คู่แข่งของเรานี่ดูไม่ธรรมดาเลยนะ สวย สง่า โปรไฟล์ดี แถมขึ้นกล้องเสียด้วย” ชายสูงวัยกล่าวถึงปัณฑารีย์ที่เห็นในภาพข่าวตอนเช้า ในความคิดของตีรณา ปัณฑารีย์ดูเป็นผู้หญิงที่โดดเด่นทั้งภาพลักษณ์ภายนอก และความสามารถที่ไม่ด้อยไปกว่าลูกสาวของเขา นับเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาที่จะเขี่ยหญิงสาวให้หลุดจากเส้นทางการแข่งขันในครั้งนี้

“ใช่ค่ะ อาจารย์ปัณฑารีย์ โปรไฟล์ไม่ธรรมดา แถมเพิ่งได้รับตำแหน่งรองคณะบดีทั้งที่เพิ่งเข้าทำงานได้ไม่ถึงปี น่าจะเป็นรองคณะบดีที่อายุน้อยที่สุดในมหาวิทยาลัยเลยก็ว่าได้ค่ะ” น้ำเสียงของตีรณาแฝงแววชื่นชมอย่างจริงใจ

“แต่ถึงอย่างไร ลูกสาวของพ่อก็ต้องชนะในการคัดเลือกครั้งนี้ ใช่มั้ยลูก” คำพูดของพ่อเหมือนกดดันให้เธอต้องเอาชนะให้ได้ แต่ไม่เป็นไร เพราะนั่นก็เป็นสิ่งที่เธอตั้งใจไว้อยู่แล้ว

“แน่นอนค่ะ ตี้จะต้องเอาตำแหน่งที่ปรึกษามาให้ได้ ด้วยความสามารถของตี้เอง” หญิงสาวมองหน้าคุณพ่ออย่างรู้ทัน เธอบอกเป็นนัยๆ แล้วว่าไม่ให้บิดาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการแข่งขันครั้งนี้ เพราะเธออยากเอาชนะด้วยความสามารถของตัวเอง

“พ่อรู้ว่าตี้ต้องทำได้” ผู้เป็นพ่อยิ้มให้กำลังใจลูกสาว แต่เป็นรอยยิ้มที่แฝงเล่ห์กล ในเมื่อศึกครั้งนี้คือตั๋วที่จะช่วยส่งให้ลูกสาวของเขาเดินเข้าสู่เส้นทางการเมืองอย่างงดงาม มีหรือที่เขาจะปล่อยให้เธอทำพลาด

เช้าวันนั้นตีรณาไม่ได้ไปทำงานอย่างที่บอกกับพ่อเอาไว้ แต่เธอมุ่งตรงไปที่โรงพยาบาลที่อคิราห์ทำงานอยู่ เพื่อไปพบเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของโรงพยาบาล เธอใช้เวลาครึ่งวันเพื่อพูดคุยกับเพื่อนเรื่องที่เคยขอให้ช่วยสืบ เอกสารมากมายตรงหน้า ทำให้เธอหวั่นใจมากขึ้นทุกทีว่าลางสังหรณ์ของเธออาจเป็นความจริง แต่เธอจะพิสูจน์ลางสังหรณ์นั้นได้อย่างไร หรือว่าเธอไม่ควรจะแตะต้องอะไรทั้งสิ้น ปล่อยให้ทุกอย่างเงียบหายไปเหมือนสายลม

ตีรณาออกจากห้องทำงานของเพื่อนจนเกือบเที่ยง เธอมุ่งหน้ากลับบ้านด้วยความรู้สึกวิตกกังวล จนไม่ทันเห็นอคิราห์ที่เฝ้ามองมาจากอีกฝั่งของตึก ชายหนุ่มสงสัยว่าเธอมาทำอะไรที่ห้องของผู้บริหารโรงพยาบาล ถึงจะรู้ว่าผู้บริหารคนนั้นเป็นเพื่อนของเธอ แต่การที่มาโดยไม่แวะทักทายเป็นการผิดปกติวิสัยของตีรณา เขาจึงได้แต่เก็บความสงสัยไว้กับตัวเอง

เย็นนั้นอคิราห์ไปรับโอโซนที่โรงเรียน เด็กน้อยขอให้เขาพาไปเล่นสวนน้ำที่ห้างสรรพสินค้า แต่อคิราห์อยากกลับไปพักผ่อนจากการผ่าตัดมาทั้งวันจึงขอผัดไปเป็นวันอื่น โอโซนหน้าม่อยผิดหวังที่พ่อไม่พาไปเล่นน้ำ ระหว่างที่กำลังจะออกจากโรงเรียน ปัณฑารีย์กับอชิระก็เข้ามารับโอโซนเหมือนกัน เด็กแสบดีใจได้เจอแม่รีบวิ่งเข้าไปกอดอ้อน

“ดีจังคับ วันนี้พ่อกับแม่มารับโอโซนทั้งสองคนเลย”

“อาเดย์ก็มานะครับ” อชิระรีบเสนอหน้าทันที พี่ชายที่ยืนฟังอยู่ทำหน้าหมั่นไส้

“แม่พาโอโซนไปเล่นสวนน้ำได้มั้ยคับ” เด็กน้อยหันมาอ้อนขอแม่ให้พาไปเล่นแทนพ่อ

“ก็พ่อบอกแล้วไงคับ ว่าค่อยไปวันหลัง วันนี้กลับบ้านก่อนเถอะพ่อเหนื่อยมากเลย” อคิราห์เหนื่อยจนไม่มีแรงที่จะไปไหนแล้ว

“งั้นเดี๋ยวอากับแม่พาไปเอง ให้พ่อกลับไปบ้านก่อนเนอะ พ่อเขาทำงานมาเหนื่อยแล้ว” น้องชายตัวแสบรีบเสนอตัวทันที โดยไม่ถามใคร

“จริงเหรอคับ อาเดย์จะพาไปจริงๆ นะ” โอโซนดีใจที่มีคนพาไปเล่นสมใจ

“จริงสิครับ ไปกันเลยมั้ย” อชิระจูงมือโอโซนเตรียมจะออกไป

“ไม่ได้นะ ฉันพาไปเอง นายกลับบ้านไปเลย” พี่ชายดึงมือเด็กน้อยกลับมา แล้วไล่น้องชายให้กลับบ้าน อชิระมองหน้าพี่ชายงงๆ

“อ้าว ก็พี่ซันบอกว่าเหนื่อยจะกลับไปพักก่อน ผมพาไปเองก็ได้”

“ลูกฉัน ฉันพาไปเอง นายกลับไปเลย…ไปปัน” เขาจูงมือเด็กน้อยเดินนำแล้วก็หันไปเรียกปัณฑารีย์ให้เดินตาม หญิงสาวจึงเดินตามไปอย่างงงๆ

“อ้าว อะไรของเขา ไหนเมื่อกี้บอกไม่ไปไง” หนุ่มผู้น้องเริ่มสงสัยในพฤติกรรมประหลาดของพี่ชาย เขามองตามหลังอคิราห์ไป ในใจเริ่มตงิดๆ

อคิราห์นอนเอกเขนกมองดูสองแม่ลูกเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน ถึงแม้ที่สวนน้ำแห่งนี้จะมีผู้คนมากมาย เด็กๆ ทั้งวิ่งและส่งเสียงดังวุ่นวาย แต่เขากลับไม่รู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจเหมือนเช่นเคย เพราะภาพตรงหน้าทำให้เขาสุขใจและหลุดออกจากความวุ่นวายเหล่านั้นโดยไม่รู้ตัว

“พ่อคับ มาเล่นน้ำกัน” โอโซนกวักมือเรียกพ่อให้ลงมาเล่นด้วยกัน ชายหนุ่มโบกมือปฏิเสธพร้อมร้อยยิ้มปริ่มสุข

ปัณฑารีย์ปล่อยให้ลูกชายเล่นน้ำ ส่วนตัวเองเดินกลับมานั่งข้างๆ อคิราห์ เขาส่งแก้วน้ำส้มให้เธอดื่มแก้กระหาย

“คนเยอะจังเลยนะคะวันนี้ พี่ซันไม่รำคาญใช่มั้ย” เธอวางแก้วน้ำส้มลงแล้วมองดูผู้คนมหาศาลที่เหมือนแห่กันมาจากทุกที่แล้วมารวมอยู่ที่เดียวกันหมด

“พี่เริ่มชินแล้วละ จะว่าไปก็ดูคึกคักมีชีวิตชีวาดี” เขาตอบเรียบ ๆ ไร้น้ำเสียงของความหงุดหงิด จนหญิงสาวต้องหันไปมองด้วยความแปลกใจ เธอคิดไว้ว่าเขาต้องโมโหจนออกอาการอะไรบ้าง แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างที่คิด อคิราห์ดูสงบนิ่งผ่อนคลายเหมือนกับได้พักผ่อนจริงๆ

“ปกติพี่ไม่ชอบเด็กนี่คะ เมื่อกี้ที่มีเด็กวิ่งมาชนเก้าอี้พี่ ปันคิดว่าพี่ซันจะปรี๊ดแตกซะแล้ว ลุ้นอยู่ว่าพี่จะลุกขึ้นไปงับหัวเด็กหรือเปล่า” หญิงสาวแกล้งกระเซ้า

“เห็นพี่เป็นคนโรคจิตหรือไง ใครจะกล้าไปงับหัวเด็ก อย่างมากก็แค่จับโขกกับขอบสระเท่านั้นแหละ” เขาพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย จนอีกฝ่ายหัวเราะออกมากับมุกตลกร้ายของชายหนุ่ม

“โอ๊ย อย่างโหด” ปัณฑารีย์หัวเราะขบขัน หนุ่มหล่อแอบมองใบหน้าที่สดใสของหญิงสาว แล้วเผลอยิ้มออกมา

“นั่นแน่ ยิ้มแบบนี้ ชอบใจในความโหดร้ายของตัวเองใช่มั้ยคะ น่ากลัวนะเนี่ยเราน่ะ” หญิงสาวยังไม่หยุดเย้าแหย่ คราวนี้ชายหนุ่มถึงกับหลุดหัวเราะออกมาจริงๆ ช่างเป็นช่วงเวลาที่มีความสุข การได้อยู่ใกล้สองแม่ลูกทำให้เขารู้สึกถึงความรัก ความอบอุ่น ที่อบอวลอยู่รอบตัว เหมือนความรักนั้นได้แผ่กระจายมาถึงตัวเองด้วย เป็นความรู้สึกที่ทำให้หัวใจของเขาอิ่มฟูเบาสบาย ไม่หนักอึ้งเหมือนเวลาที่อยู่กับใครบางคน

 

บ่ายวันหนึ่ง ขณะที่อชิระกำลังนั่งดูโอโซนเล่นน้ำในสระคลายร้อน เขาพินิจพิจารณาใบหน้าของเด็กน้อย นับวันก็ยิ่งเห็นความเหมือน โดยเฉพาะพฤติกรรมและนิสัยใจคอที่หลายอย่างแทบจะถอดออกมาจากพวกเขาทั้งสามคน ชายหนุ่มมั่นใจว่าเป็นพฤติกรรมที่ออกมาจากภายในของเด็กจริงๆ ไม่ใช่การลอกเลียนแบบ

“จ้องโอโซนขนาดนั้น คิดอะไรไม่ดีอยู่หรือเปล่า” อมรเดินถือแก้วน้ำผลไม้มาวางไว้ รอเจ้าตัวเล็กในสระขึ้นมาดื่มแก้กระหาย

“พ่อครับ พ่อว่าตาโอโซนนี่เหมือนกับคนบ้านเรามั้ยครับ” ลูกชายคนเล็กเอ่ยปากถามหลังจากที่คนเป็นพ่อนั่งลงข้างๆ

“เหมือนมาก เหมือนจนคิดว่าเป็นลูกของพ่ออีกคนนึงเลยละ” อมรทำหน้าครุ่นคิด

“เฮ้ย พ่ออย่าบอกนะว่าเคยมีอะไรกับปัน ไม่นะพ่อ ไม่ได้นะ” ชายหนุ่มโวยวาย รับไม่ได้กับความคิดของตัวเอง

“ไอ้ลูกบ้า พ่อจะไปมีอะไรกับหนูปันได้ยังไง ก็เพิ่งเคยรู้จักกันนี่แหละ” คนเป็นพ่อมองลูกชายอย่างหมั่นไส้ที่โวยวายเกินความจำเป็น

“เฮ้อ โล่งอก”

“แกกับพี่แกต่างหากที่ฉันสงสัย เด็กคนนั้นเหมือนพวกแกไม่มีผิดเลย ถ้าบอกว่าเป็นลูกของใครคนหนึ่ง พ่อก็เชื่อเลยนะ” อมรมองหน้าลูกชายคนเล็กอย่างจับผิด

“นั่นสิครับ ปัญหามันอยู่ที่ว่าผมก็ไม่เคยมีอะไรกับปันมาก่อน ถึงจะอยากก็เถอะ แต่เธอคงไม่ยอม” หนุ่มทะเล้นทำเป็นพูดเล่น ทั้งที่ในใจคิดจริง

“แล้วพี่ชายแกล่ะ สองคนนั้นเขารู้จักกันมาตั้งแต่มหา’ลัย ไม่ใช่เหรอ แล้วดูท่าทางยังไงๆ กันอยู่นะ” ชายสูงวัยตั้งข้อสังเกตที่เป็นไปได้ แต่ลูกชายคนเล็กกลับรู้สึกขวางหู ไม่ชอบใจ

“ไอ้ว่ายังไงของพ่อ นี่คือยังไงเหรอครับ” เสียงของเขาเริ่มตึงเครียดขึ้นจนพ่อรู้สึกได้

“ทำไม แกอยากจะเป็นพ่อของโอโซนจริงๆ หรือไงเจ้าเดย์” พ่อส่งสายตารู้ทัน

“ได้ก็ดีสิครับ ผมเองก็อยากเป็นพ่อของโอโซนจริงๆ” น้ำเสียงอชิระสลดลง เขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้หญิงสาวรับรู้ความรู้สึกในใจ และอยากให้เธอเปิดใจให้เขาบ้าง แต่ก็ยังรู้สึกถึงเส้นบางๆ ที่เธอขีดกั้นเอาไว้ จนไม่สามารถเข้าถึงหัวใจเธอได้

“หรือว่าเราตรวจดีเอ็นเอเลยดีมั้ย พ่อเองก็อยากรู้เหมือนกัน จะได้หายคาใจสักที” ถึงแม้ว่าจะคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระที่จะไปจับลูกคนอื่นมาตรวจดีเอ็นเอเพราะแค่พฤติกรรมที่เหมือนกับลูกชายตัวเอง แต่ใจจริงก็อยากทำอะไรสักอย่างเพื่อพิสูจน์ไปเลยว่าสิ่งที่เขากำลังคิด มันเป็นเรื่องเหลวไหล

อชิระพยายามครุ่นคิดจนสับสน เขามั่นใจว่าตัวเองไม่เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับปัณฑารีย์มาก่อน แต่สำหรับพี่ชายเขาเริ่มไม่มั่นใจเมื่อเห็นความเปลี่ยนไปหลายๆ อย่างในตัวอคิราห์ สายตาและท่าทางที่ดูห่วงใยสองแม่ลูกจนผิดปกติ แต่ตามนิสัยของพี่ชายถ้ารู้ว่าปัณฑารีย์มีลูกกับตัวเอง จะไม่มีวันปล่อยให้เธอกลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวแน่นอน เขาจะต้องรับผิดชอบอย่างที่สุด และตอนนั้นเองที่ชายหนุ่มนึกถึงเรื่องเล่าลือบางอย่างที่เกี่ยวกับตัวปัณฑารีย์ขึ้นมาได้ ถ้าเรื่องเล่าลือนั้นคือความจริง…อชิระตัวชาดิกเหมือนถูกไฟชอร์ต ถ้าเรื่องนั้นเป็นความจริง เขาเองก็อาจเป็นพ่อของโอโซนจริงๆ ก็ได้…



Don`t copy text!