มหรสพเวรา บทที่ 11 : กล่อมนอน

มหรสพเวรา บทที่ 11 : กล่อมนอน

โดย : คีตาญชลี แสงสังข์

Loading

มหรสพเวรา โดย คีตาญชลี แสงสังข์ นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น 4 กับเรื่องราวที่จะพาคุณล่องลอยถอยสู่บรรยากาศบ้านเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ย้อนกลับไปเห็นตั้งแต่ของเล็กอย่างแก้วโอเลี้ยงไปจนถึงสิ่งยิ่งใหญ่อย่างโรงมหรสพสมัยใหม่ที่เรียกว่าโรงภาพยนตร์ ขอเชิญท่านพิศเพลินพร้อมกันทั้งประเทศ ณ บัดนี้

การประหยัดต้นทุนของการถ่ายหนังในยุคนี้นั้น ประการแรกที่คนทำหนังใช้กันคือเรื่องของขนาดฟิล์ม แรกเริ่มการถ่ายหนังอย่างมาตรฐานสากลจะใช้ฟิล์มขนาด 35 มม. ในการผลิต แต่เมื่อสงครามเกิด ฟิล์ม 35 มม.ขนาดตลาด คนทำหนังไทยหัวใสจึงเปลี่ยนมาใช้ฟิล์ม 16 มม.ซึ่งมีราคาถูกกว่ามาใช้แก้ขัด ที่ว่าแก้ขัดเป็นเพราะฟิล์มขนาด 16 มม. คุณภาพของภาพแย่กว่าอีกทั้งไม่สามารถถ่ายทำแบบบันทึกเสียงในฟิล์มได้ แต่ปัญหานี้คนทำหนังก็แก้ด้วยการอาศัยนักพากย์สด และการแก้ปัญหานี้ดันถูกอกถูกใจคนดู จนเมื่อสงครามยุติลง การเดินเรือเป็นไปได้โดยสะดวก ถึงจะมีฟิล์ม 35 มม.และหนังใหม่ๆ จากฮอลลีวูดเข้ามาได้ปกติ แต่หนัง 16 มม.และนักพากย์สดก็ยังคงอยู่

ที่จักรและทัพเที่ยงหาญกล้ามาทำหนังได้ ก็เป็นอานิสงส์มาจากตลาดหนัง 16 มม. ที่คนดูให้การยอมรับนี่แหละ แต่ถึงกระนั้นต้นทุนอีกอย่างที่ถือว่ามากและหนักหนาสาหัสของการทำหนังก็คือโรงถ่าย ถ้าสามารถถ่ายทำโดยไม่ต้องเซตฉากขึ้นมามากเท่าไร ก็สามารถประหยัดต้นทุนได้มากเท่านั้น ดังนั้นเมื่อทัพเที่ยงประกาศว่า

“กันจะเขียนโดยใช้เรือนก้านมะลิเป็นต้นเรื่อง” จักรเลยตาเป็นประกาย เขาลุกขึ้นยืนตามทัพเที่ยงด้วยความตื่นเต้น

“จริงซี เหมาะสม เหมาะสมที่สุด ไม่ต้องเช่า บริเวณบ้านหรือก็กว้างขวาง” จักรกวาดมองไปทุกอณูของห้องนั่งเล่น

“กันจะแต่งให้เรื่องราวอยู่ในบ้านหลังนี้” ทัพเที่ยงหันไปหาจักร เขาชูสองมือให้ทัพเที่ยงตี

“แบบนี้ก็เยี่ยมไปเลย…งั้นนายเริ่มลงมือเขียนเลยนะ กันอยากอ่านจะแย่อยู่แล้ว…”

นั่นคือบทสนทนาสุดท้ายก่อนที่จักรจะลากลับไปก่อนเวลา 3 ทุ่ม ซึ่งเร็วว่าปกติไปมาก ตอนที่ทัพเที่ยงเดินออกไปส่ง กลิ่นชะเง้อดูชายหนุ่มร่างเล็กผิวสะอาดผู้นั้นผ่านทางหน้าต่าง เห็นทัพเที่ยงหยุดยืนอยู่แค่ประตูรั้วเตี้ยของเรือนก้านมะลิ ไม่ได้ตามออกไปจนถึงรถยนต์ของเขาเหมือนคราวก่อนๆ สิ่งที่พวกเขาพูดกันคงสำคัญและเร่งด่วนมากทีเดียว ชายทั้งคู่จึงละทิ้งทุกอย่างเพื่อให้ทัพเที่ยงลงมือเขียน ‘สกรีนเพล์’ ตามที่พวกเขาเรียก โดยไม่อาจทิ้งเวลาเปล่าๆ ไปได้แม้นาทีเดียว

 

หลายวันแล้วที่ทัพเที่ยงยังหมกมุ่นอยู่กับงานของเขาโดยที่จักรไม่เคยเข้ามายุ่มย่าม ถึงเวลานี้กลิ่นก็ชั่งใจว่าจะให้เขาชะเง้อหาเธอก่อน หรือจะจัดการเรื่องทั้งหมดให้จบโดยไม่รออะไรอีกแล้ว

หญิงสาวรู้สึกลังเลเมื่อเฟื่องฟ้ามาปรากฏตัว ถึงตอนนี้หล่อนจะยังไม่เคยย่างกรายเข้ามาในเรือนก้านมะลิ แต่กลิ่นก็ไม่แน่ใจว่า ด้วยความผูกพันทั้งบุญกรรมมาจากอดีต เฟื่องฟ้าจะทำให้เรื่องระหว่างกลิ่นและทัพเที่ยงยุ่งยากขึ้นไปอีกหรือไม่

วันนั้นเมื่อหลายปีก่อน เฟื่องฟ้าเด็กสาวผมเปียจากโรงเรียนคอนแวนต์ กระตุกแขนนายแพทย์โอฬารผู้เป็นบิดา อ้อนขอของขวัญในโอกาสที่หล่อนได้คะแนนเป็นที่หนึ่งของชั้นเรียน หมอโอฬารรับปากโดยที่ไม่คิดเลยว่าของที่เฟื่องฟ้าขอจะเป็นเตียงและคันฉ่องเข้าชุดกันในร้านขายของแต่งบ้าน

คนขายยืนยันว่าเป็นของเก่าของดีอายุเกินครึ่งศตวรรษ แต่เมื่อร้านขายของเก่าขนสินค้าไปส่งให้ที่บ้าน คุณศจีมารดาของเฟื่องฟ้าก็ร้องเสียงหลง เธอไม่ยอมให้ของใช้แล้วที่เป็นของใครก็ไม่รู้เข้าไปอยู่ในตึกหลังใหม่ของเธอ เตียงและคันฉ่องซึ่งมีกลิ่นติดอยู่ในนั้นจึงได้ระเห็จจากตึกใหญ่บ้านคุณหมอโอฬาร มาอยู่ในเรือนเขียวก้านมะลิในบ้านของคุณหญิงลำเจียกแทน

เฟื่องฟ้ายังไม่เคยมีโอกาสได้นอน เพราะหลังจากนั้นไม่นานหล่อนก็ถูกส่งตัวไปเรียนต่อเมืองนอก และเมื่อกลับมา เรือนก้านมะลิก็กลายเป็นที่อยู่ของทัพเที่ยงไปแล้ว

กลิ่นคาดเดาว่าพื้นนิสัยฉาบฉวยรักง่ายหน่ายเร็วนั้น คงจะทำให้เฟื่องฟ้าไม่ได้ติดใจอยากจะได้เตียงและคันฉ่องกลับไปเป็นของตัวอีกแล้ว เมืองฝรั่งน่าจะมีของดีกว่า แปลกตาแปลกใจกว่า ของที่เฟื่องฟ้าอยากได้นักหนาในตอนนั้นตอนนี้คงเป็นได้แค่ของเก่าเก็บ กลิ่นเชื่อว่าบางทีแล้วการที่เฟื่องฟ้าอยากจะได้เตียงและคันฉ่องลายดอกพุดตาน อาจจะเกิดขึ้นเพราะบุญกรรมที่ทั้งกลิ่น ทัพเที่ยง และเฟื่องฟ้าทำร่วมกันมาก็เป็นได้ ทุกอย่างจึงถูกโยนมาสู่เรือนก้านมะลิหลังนี้

มัวแต่คิดเพลิน รู้สึกตัวอีกทีทัพเที่ยงก็ก้าวเข้ามาในห้องแล้ว กลิ่นสะดุ้ง เหลียวมองกิริยาเขาด้วยความอยากรู้ เมื่อเขาออกเดินผ่านหน้าหล่อนไปยังโต๊ะทำงาน กลิ่นก็ถอนใจโล่งอก

ทัพเที่ยงลงนั่งที่โต๊ะ เปิดสมุด หยิบแท่งดินสอที่เหลาจนแหลมมาจากแก้วทรงกระบอก นิสัยของเขาอีกอย่างที่กลิ่นสังเกตเห็นคือเขาจะเหลาดินสอเตรียมเอาไว้ไม่ให้ขาด ในแก้วทรงสูงนั้นอัดแน่นไปด้วยดินสอความยาวต่างๆ เมื่อใช้พวกมันจนจับไม่ได้แล้วนั่นแหละเขาจึงจะยอมทิ้งดินสอลงถังขยะ

ของสำคัญที่ไม่เคยหายไปจากโต๊ะทำงานของเขาคือยางลบและสมุดลายไทย ส่วนพิมพ์ดีดและกระดาษสำหรับพิมพ์เขาจะวางเอาไว้ในชั้นใส่ของข้างๆ ดังนั้นเสียงที่กลิ่นคุ้นหูจึงเป็นเสียงเสียดสีของกระดาษและแท่งถ่านจากปลายดินสอ นานๆ ครั้งจึงจะได้ยินเสียงพิมพ์ดีด ซึ่งหากเริ่มขึ้นแล้ว มันจะดังต่อเนื่องยาวนานอย่างไม่เคยหยุดพักทีเดียว

กลิ่นชอบมองมือของเขา นิ้วยาวเรียวตวัดรวดเร็วไปบนแผ่นกระดาษ กลิ่นนั่งเพลินดูจนเวลาผ่านไปใกล้สองยาม ทัพเที่ยงจึงวางดินสอ

เขายิ้มให้กับสมุด ไล่สายตาชื่นชมตัวอักษรที่เขาเขียนจนกลิ่นอดสงสัยไม่ได้ เธอย่องเข้าไปชะโงกมอง เร็วกว่าความคิด ทัพเที่ยงลุกขึ้นรวบร่างของกลิ่นเอาไว้แล้วผลักให้นั่งลงบนขอบโต๊ะ

สองมือของเขายันด้านข้างราวกับรั้วกั้น พูดเสียงเข้ม

“เอาละเราคุยกันได้เสียทีนะ สัญญาก่อนสิว่าจะไม่หนี”

กลิ่นพยักหน้า ทัพเที่ยงเอามือออกแล้วถอยออกไปยืน ไกลพอที่กลิ่นจะไม่อึดอัดแต่ก็ใกล้พอที่จะคว้าตัวกลิ่นเอาไว้ได้

“ก่อนหน้านี้ฉันไม่พร้อมคุยจริงๆ เธอเป็นยังไงบ้าง ดูดีขึ้นมากนี่” สายตาของทัพเที่ยงไล่ไปทั่วร่าง กลิ่นรู้ว่าเขาตื่นมาใส่บาตรให้เธอทุกวัน ผลบุญนั้นทำให้กลิ่นชุ่มเย็นและปรากฏกายด้วยสีสันที่ไม่ผิดแผกจากมนุษย์คนหนึ่ง หากแต่สายตาที่กวาดมองอย่างชื่นชมนั้นทำกลิ่นรู้สึกร้อนไปทั้งร่าง

“จะหลบตาทำไมแม่กลิ่น มองหน้าฉันซิ” เขาสั่ง

กลิ่นทำตาม ทว่าดวงตาสีเข้มแต่อ่อนเชื่อมนั่นทำกลิ่นนั่งไม่ติด เธอขยับตัวอึดอัด เธอรู้ว่าเขาไม่ได้เมาเพราะจักรไม่ได้มาหลายวันแล้วและทัพเที่ยงไม่นิยมดื่มคนเดียว

“เราจะคุยกันด้วยวิธีไหนได้บ้างนะ” คิ้วทัพเที่ยงวิ่งมาชนกัน เขาเพ่งพิศใบหน้ากลิ่นทีละส่วน ดวงตาที่กำลังไล่สำรวจคืบขยับใกล้เข้ามาทุกทีๆ

“ฉันอ่านปากคนไม่เก่งเสียด้วย” เขาว่า ตอนนี้เขาใกล้เสียจนหญิงสาวได้กลิ่นลมหายใจหอมอ่อนซึ่งมาจากสิ่งที่เขาเรียกว่ายาสีฟัน เธอเผลอผลักชายหนุ่มให้ออกห่างตัว และเมื่อสายตาบังเอิญเลื่อนไปสบกับตาของเขา หัวใจของหญิงสาวก็ไหววูบ กลิ่นเลื่อนสายตาลงต่ำไม่อาจมองเขาได้สูงกว่าปลายจมูก แต่นั่นก็มากพอที่จะเห็นว่าเขายิ้มพราย

“อย่ากลัวฉันเลย” เธอเห็นกระเดือกของเขาเคลื่อนขึ้นลง “ฉันแค่อยากจะหาทางสื่อสารกับเธอเท่านั้น ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำรุ่มร่ามกับเธออีกแล้ว” น้ำเสียงนั้นมั่นคงจริงจัง กลิ่นรู้ว่าเขาจะทำตามที่พูด แต่ยิ่งชายหนุ่มสุภาพกับเธอเท่าไร หัวใจของกลิ่นก็ยิ่งวูบไหวไปเท่านั้น

ทำไมนะ…ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขา ‘เคย’ เป็นใคร ทำไมหัวใจมันถึงยังปั่นป่วน ว่าไปตามจริงแล้วทัพเที่ยงเคยรักเธอและก็เคยเกลียดเธออย่างกับขี้เยี่ยว ตอนนี้เขาอาจจะยังจำอะไรไม่ได้ แต่ตัวกลิ่นนั้นจำได้ แล้วทำไมยังหวั่นไหวกับเขาได้ปานนี้

น่าละอายเหลือเกิน จะมองหน้าใครได้ กลิ่นประณามตัวเอง

“ไหนลองพูดสิแม่กลิ่น เธออยากให้ฉันทำอะไร” เขาถามเสียงเบา กลิ่นสลัดความคิดนอกลู่ของตัวเอง รวบรวมกำลังใจแล้วเงยหน้าขึ้นสู้สายตาของเขา ทว่าเมื่อเห็นดวงตาสีเข้มกำลังจ้องมาเธอก็ร้อนผ่าวจนถึงแผ่นหลัง แต่ความรู้สึกนั้นเหมือนลมพัดวูบเดียวเมื่อใบหน้าแค้นเคืองของหญิงสาวอีกคนปรากฏขึ้นมาซ้อนทับใบหน้าของทัพเที่ยง กลิ่นสะดุ้งเฮือก ผวาหนี สองมือของเธอเผลอจิกลงบนลำแขนของเขา มันแรงจนทัพเที่ยงทำหน้าเบ้

“โอ๊ย…แม่กลิ่น เป็นอะไร…” ทัพเที่ยงเขย่าตัวหญิงสาว กลิ่นยกมือขึ้นปาดตัวเองใบหน้าหอบหายใจ

“นอน” เธอว่า “คุณทัพเที่ยงต้องนอนเจ้าค่ะ”

“อะไรนะ” ทัพเที่ยงขมวดคิ้ว จ้องริมฝีปากของกลิ่น

“นอนหลับ ต้องนอนหลับเจ้าค่ะ”

“ฮะ”

“นอน-หลับ” กลิ่นพูดช้าๆ อีกครั้ง

“นอน…หลับ…” ทัพเที่ยงทวนอย่างไม่แน่ใจ กลิ่นพยักหน้าช้าๆ เขามองหน้าเธอเหมือนกลืนยาขม กลิ่นไม่เห็นสีหน้าของตัวเองหรอก แต่เห็นลูกกระเดือกของเขาเคลื่อนขึ้นลงจากอาการกลืนน้ำลายฝืด แน่ใจว่าเธอกำลังให้เขากลัว ไม่มาก…ก็น้อย

“เจ้าค่ะ” กลิ่นตอบกลับ แล้วร่างบางที่อิงกับโต๊ะหนังสือก็ค่อยๆ จางหาย ก่อนจะไปจากตรงนั้น กลิ่นยังเห็นทัพเที่ยงพูดตามเธออีกครั้ง

“นอนหลับ…นอนหลับอย่างนั้นหรือ” ใบหน้าของเขาซีดเผือด

 

ร่างในชุดสไบสีจำปาปรากฏกายขึ้นในห้อง จ้องมองทัพเที่ยงที่ลืมตาโพลงอยู่บนฟูกที่นอน ผ้าฝ้ายฉลุลายทิ้งตัวนิ่งอยู่กับบานหน้าต่างที่ปิดแน่นหนา ในห้องมืดสนิทเพราะเขาปิดไฟทุกดวง ทว่าดวงตาเธอก็ยังมองเห็นเขาได้ถนัดถนี่

ทัพเที่ยงขยับตัวดึงผ้าห่มขึ้นคลุมถึงหัวไหล่ ปกติเขาชอบเปิดหน้าต่างนอน แต่คืนนี้คงหนาวจนเขาเลือกจะปิดมันเอาไว้

กลิ่นรอเวลา ผ่านไปจนตีหนึ่งทัพเที่ยงก็ยังคงนอนลืมตา เขาทำท่าจะผล็อยหลับอยู่ช่วงหนึ่ง แต่แล้วก็เด้งตัวขึ้นมาเปิดโคมไฟที่โต๊ะหัวเตียง กลิ่นเคลื่อนกายวนเวียน สงสัยว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่

คืนนี้เขาดูกระวนกระวาย ไม่เหมือนชายหนุ่มหน้าดุที่ไม่กลัวแม้แต่ผีอย่างหล่อนเหมือนทุกครั้ง

“นอนหลับ” จู่ๆ กลิ่นก็ได้ยินทัพเที่ยงทวนคำ เขายกมือหนาขึ้นลูบลำคอของตัวเอง ปากก็พูดกับตัวเองว่า “ฉันควรจะเชื่อเธอดีไหมนะ”

เขาลังเล แต่กลิ่นรู้ดีว่าคืนนี้เขาอ่อนแอ ไร้สมาธิ และนั่นก็คือโอกาสที่กลิ่นกำลังจะได้รับ ไม่เกี่ยวกับว่าเขาจะยอมหรือไม่ยอม ก็เหมือนกับคนโบราณบอกเอาไว้นั่นแหละ คนป่วย คนท้อง คนดวงตก จิตใจมักอ่อนไหวจนสิ่งชั่วร้ายฉวยโอกาสเข้าแฝงได้ง่าย คิดแล้วก็สะเทือนใจ รู้สึกว่าเป็นคนอยู่เมื่อวาน วันนี้เธอต้องมารอเวลาให้จิตของเขาอ่อนแรงกระนั้นหรือ…

กลิ่นคิดอย่างเวทนาตัวเอง สำหรับมนุษย์มีเลือดเนื้อ กลิ่นก็คงเป็นได้แค่ผีร้ายเท่านั้นกระมัง

ในที่สุดทัพเที่ยงซึ่งฝืนตัวเองไม่ไหวก็ม่อยหลับลงด้วยความอ่อนเพลีย

“โถ…คุณทัพ เหนื่อยอยู่แท้ๆ แต่ฉันไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้แล้ว”

กลิ่นคราง เคลื่อนร่างเข้าไปใกล้ เธอชะโงกมองจนแน่ใจว่าชายหนุ่มหลับสนิทแล้วจึงทรุดร่างลงนั่งข้างตัว

แม้ชายหนุ่มหลับลงไปแล้วทว่าสีหน้านั้นยังบ่งบอกความกังวล กลิ่นไล่มองดวงหน้าคมเข้มของเขา จมูก คอ คิ้ว คาง รับกันอย่างใบหน้าชายชาตรีเหมือนที่แม่เย็นพูดไว้ จะอย่างไรก็ตามเขาถือเป็นของต้องห้ามสำหรับกลิ่น และเมื่อนึกถึงความต้องการที่จะไปให้พ้นเสียจากโลกใบนี้ กลิ่นก็แน่ใจว่าจะไม่มีทางคิดกับเขาเป็นอื่นอย่างสมัยที่เธอเคยคิดกับหลวงเลิศอีกเป็นอันขาด

เธอบอกตัวเองว่า ที่หน้าร้อนผ่าว ที่ใจเต้นแรง มันไม่ใช่อาการของความรักใคร่ แต่มันคืออาการของคนตกใจเพียงเท่านั้น

กลิ่นสลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้ง เธอยกมือขึ้นเหนือร่างชายหนุ่ม ในช่องว่างระหว่างฝ่ามือของเธอและใบหน้าของทัพเที่ยง เกิดกลุ่มพลังงานเต้นส่ายมองเห็นอากาศเคลื่อนไหวเป็นตัวๆ ทัพเที่ยงเริ่มขยับตัวอย่างอึดอัด กลิ่นเพ่งดวงจิตลงไป ใจก็พร่ำปลอบเขาว่า แค่นิดเดียวเท่านั้น นิดเดียวจริงๆ ค่ะคุณพี่ น้องจะย้อนไปแค่เหตุการณ์ที่จะทำให้คุณพี่จำเรื่องระหว่างเราได้เท่านั้น…



Don`t copy text!