มหรสพเวรา บทที่ 12 : คำสาป

มหรสพเวรา บทที่ 12 : คำสาป

โดย : คีตาญชลี แสงสังข์

Loading

มหรสพเวรา โดย คีตาญชลี แสงสังข์ นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น 4 กับเรื่องราวที่จะพาคุณล่องลอยถอยสู่บรรยากาศบ้านเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ย้อนกลับไปเห็นตั้งแต่ของเล็กอย่างแก้วโอเลี้ยงไปจนถึงสิ่งยิ่งใหญ่อย่างโรงมหรสพสมัยใหม่ที่เรียกว่าโรงภาพยนตร์ ขอเชิญท่านพิศเพลินพร้อมกันทั้งประเทศ ณ บัดนี้

“ขอให้พวกมึงต้องทนทุกข์ ได้พบ ได้เจอ เรื่องรักจัญไรเหมือนที่กูเจอ ทุกชาติ ทุกชาติไป…”

เสียงนั้นดังแจ่มชัด กรีดเฉือนเข้ามาในโสตประสาทราวกับเขาเป็นผู้เปล่งเสียงนั้นออกมาเอง

ทัพเที่ยงกระสับกระส่าย เขารู้ว่าตัวเองกำลังฝันจะตื่นก็ตื่นไม่ได้ จนกระทั่งเขาได้ยินเสียงเรียก “ทัพเที่ยง” ซ้ำๆ มากจากที่ไกลแสนไกล ทัพเที่ยงก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกดูดวับกลับมาบนเตียงนอน

“ทัพเที่ยง…ทัพเที่ยง” เสียงจักร ปิ่นพิมุกข์ ทัพเที่ยงแน่ใจและแน่ใจอีกอย่างว่า ถ้าเขาไม่ตอบรับเสียงร้อนรนนั่น เขาจะได้ยินเสียงกระแทกประตูหน้าบ้านโครมคราม เพราะจักรคงจะพังมันเข้ามาแทน

“เฮ้ย…ทัพ นายเป็นอะไรหรือเปล่า ได้ยินฉันไหม” เสียงตะโกนของจักรยังไม่หยุด ทัพเที่ยงพยายามจะเด้งตัวลุกขึ้น แล้วก็ต้องหยีตาลงอีกครั้งเมื่อสัมผัสได้ถึงความสว่างจ้าของแดดสาย กี่โมงแล้ว…เขาถามตัวเอง นอนงงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะโซเซจากเตียงสาวเท้าไปเปิดหน้าต่าง จักรกับเฟื่องฟ้ายืนเคียงกันอยู่หน้าบ้าน เขาขานรับจักรก่อนพยายามเร่งเท้าลงไปเปิดประตู

จักรมองเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ พูดออกตัวราวกับว่ามารบกวนทัพเที่ยงเช้าเกินไป ทั้งที่มันเกือบจะ 10 นาฬิกาแล้ว

“ไม่รบกวนอะไรเลย เมื่อคืนกันนอนไม่หลับ เลยตื่นเอาป่านนี้” ทัพเที่ยงรีบบอก มือข้างหนึ่งป้องปากเพราะยังไม่ได้แปรงฟัน เหมือนจักรจะรู้ ชายหนุ่มผิวสะอาดขยับหนวดว่า

“กันกับยายฟ้าขอนั่งชมนกชมไม้ที่เฉลียงสักครู่ ยายฟ้าไม่ได้มาเรือนหลังนี้นานแล้ว นายไปทำธุระส่วนตัวเถอะ”

“ตามสบายนะครับ” ทัพเที่ยงหันไปทางเฟื่องฟ้า หลานสาวของจักรในชุดกระโปรงบานลายจุดเห็นสัดส่วนคอดเว้าน่าพิศวงยิ้มตอบรับ วันนี้เฟื่องฟ้าบรรจงทาลิปสติกสีแดงผมดัดลอนทันสมัยราวนางเอกจากหนังฮอลลีวูด หญิงสาวมองสำรวจบ้านอยู่ตรงใต้ซุ้มสายน้ำผึ้ง แดดสายส่องผ่านใบไม้แตะแต้มไปบนเรือนผมสีน้ำตาลแก่ สวยจนไม่อยากละสายตา

ทัพเที่ยงเผลอมองจนจักรกระแอมใส่ เขาหน้าแดง นึกอายจนต้องรีบเลี่ยงออกมา

ครู่ใหญ่ทัพเที่ยงที่หอมฟุ้งด้วยกลิ่นสบู่และยาสระผมก็ออกมาพร้อมเครื่องแต่งกายสุภาพ เขาอาจจะไม่ใช่หนุ่มนำสมัยเท่าจักร แต่เขาก็นับว่าเป็นคนระมัดระวังเรื่องการแต่งตัวคนหนึ่ง เฟื่องฟ้ามองทัพเที่ยงด้วยความพอใจ มันก้ำกึ่งระหว่างความพอใจในการแต่งตัวอย่างให้เกียรติของเขาและความพึงพอใจในตัวเขา อย่างไรก็ตามสายตาของเธอทำให้ทัพเที่ยงรู้สึกพอใจในตัวเอง ที่ทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกดีได้

ตอนนี้พวกเขาย้ายเข้าไปในห้องนั่งเล่น ห้องนั้นเป็นห้องแรกของตัวบ้านประกอบไปด้วยชุดรับแขกไม้อย่างที่เห็นได้ตามบ้านข้าราชการสมัยก่อน มีโต๊ะกินข้าววางอยู่มุมหนึ่ง บนฝาผนังแขวนนาฬิกาแมงดา ซึ่งตอนนี้บอกเวลาสิบนาฬิกาสิบห้านาที ผนังด้านบันไดทางขึ้นวางตู้กระจก มันอัดแน่นไปด้วยหนังสือ ข้างกันนั้นมีชั้นวางเครื่องเล่นแผ่นเสียงและวิทยุ ส่วนที่สำคัญที่สุดคือโต๊ะทำงานริมหน้าต่าง ซึ่งมองออกไปเห็นบรรยากาศสดชื่นของสวนด้านนอก เครื่องเรือนทุกชิ้นเป็นของที่มีอยู่ในบ้านหลังนี้ เพียงแต่ถูกย้ายมุมไปบ้างตามการใช้งานและรสนิยมของเจ้าของใหม่ เฟื่องฟ้ามองแก้วที่เต็มไปด้วยแท่งดินสอแหลมเปี๊ยบขนาดต่างๆ เธอกระเซ้าว่า ทัพเที่ยงสะสมดินสอหรือ

“เปล่าหรอกครับ เหลาเอาไว้ใช้งาน” เขาตอบ ซื่อจนเธออมยิ้ม

พวกเขาชวนกันนั่งลงที่โต๊ะรับแขก จักรไม่รอให้เสียเวลา เขาเล่าให้ทัพเที่ยงฟังว่า เขาเอางานของทัพเที่ยงที่เคยลงในสยามประชามิตรให้เฟื่องฟ้าอ่านแล้ว

“ใช่ค่ะ ตอนแรกฟ้าคิดว่าจะเป็นเรื่องผีงมงาย ฟ้าไม่นิยมของประเภทนั้น แต่เรื่องของคุณไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย อ่านไปขนลุกไป บางตอนฟ้าร้องไห้ตามด้วยนะคะ คุณเขียนเก่งมากๆ” เธอเอ่ยตรงไปตรงมา มือก็เคาะบุหรี่ออกจากกระป๋อง

“ขอบคุณครับ” เขาตอบรับ ใจเต้นโครมครามเมื่อเห็นเฟื่องฟ้ายกบุหรี่ขึ้นสูบ ทัพเที่ยงแทบจะไม่เคยเห็นผู้หญิงจริงๆ สูบบุหรี่ นอกจากนางแบบฝรั่งในหนังและในภาพโฆษณา แต่ทำใจมาแล้วว่าผู้หญิงเก๋ๆ เหมือนหลุดออกมาจากแมกกาซีนแฟชั่นฝรั่งอย่างหล่อน คงจะทำให้เขาได้พบได้เห็นเรื่องน่าประหลาดใจอีกมากมายหลายเรื่อง

“หนังเรื่องแรก ฟ้าอยากจะให้เราสื่อถึงความทันสมัยสักหน่อย ไม่รู้ว่าอาจักรและคุณทัพเที่ยงเห็นเป็นยังไงบ้าง” เธอว่า พ่นควันด้วยท่วงท่าชวนมองไม่ผิดไปจากจักร

“ทันสมัยหรือ” จักรทวนคำ

“ค่ะ จะสองพันห้าร้อยกันอยู่แล้ว อีกหน่อยฝรั่งก็คงจะขี่จรวดกันแล้วละมังคะ” หล่อนพูดกลั้วหัวเราะ

“ถ้ายังงั้นคุณผู้อำนวยการบัญชามาเลยขอรับ” จักรล้อ

“อาจักรนี่ละก็…เซี้ยว” เธอหันไปส่งเสียงกระเง้ากระงอดกับผู้เป็นอา ก่อนจะปรับให้ดูเป็นทางการขึ้นเมื่อหันมาทางทัพเที่ยง “ฟ้าคิดว่าถ้าเราให้นางเอกเรียนหนังสือ เก่ง ฉลาด ไม่ใช่อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนน่าจะน่าสนใจกว่า”

“อย่างเรื่องปริศนาใช่ไหมครับ” ทัพเที่ยงยกตัวอย่างผลงานของ ว.ณ.ประมวญมารคที่ลงให้อ่านเป็นตอนในหนังสือพิมพ์เดลิเมล์ฉบับวันจันทร์

“ไม่ทราบสิคะ แต่ถ้าปริศนาของคุณทัพเที่ยงเป็นผู้หญิงเก่ง ทำงานนอกบ้าน ก็น่าจะแบบนั้นละค่ะ”

“อ้าว…ไหนตกลงกันว่าจะทำเรื่องผี ทำไมกลายเป็นปริศนาไปได้” จักรแย้ง มันทำให้ทัพเที่ยงรู้ว่านักเรียนนอกอย่างเขาก็อ่านนิยายประโลมโลกเช่นกัน

“แหม…ก็เติมเรื่องผีลงไปสิคะ น่าสนุกดีออก” เฟื่องฟ้าพูดสบายๆ หล่อนยกมวนบุหรี่ขึ้นสูบ ทัพเที่ยงอยากรู้ว่าคุณหญิงลำเจียกเห็นแล้วจะว่าอย่างไร ส่วนแม่เย็นนั้นเดาได้ว่าคงร้องแรกแหกกระเชอเป็นลมไปแน่ๆ

ใบหน้างามเจ้าของดวงตาฉลาดเฉลียวทิ้งจังหวะให้อาหนุ่มคิดถึงเรื่องที่กำลังพูดกัน แล้วว่า

“ฟ้ารู้…ถึงอาจักรจะนิยมของใหม่ แต่กับเรื่องผู้หญิงอาก็ยังนิยมของโบราณอยู่นั่นแหละ ไม่อย่างนั้นอาจักรจะโสดทั้งๆ ที่สาวฝรั่งตอมกันเหมือนผึ้งหรือคะ” เธอโปรยยิ้มรู้ทัน เมื่อเห็นจักรไม่เถียงก็ว่าต่อ

“ฟ้าอ่านงานคุณทัพเที่ยงแล้ว มันมีอะไรบางอย่างอยู่ในนั้น บอกไม่ถูก” เฟื่องฟ้าเขี่ยบุหรี่ลงจาน ปรายตามองไปยังทัพเที่ยง “ผู้หญิงในงานคุณทัพเที่ยงไม่ยอมคน ถึงเรื่องที่เขียนจะออกโบราณ แต่ผู้หญิงในเรื่องไม่โบราณ ฟ้าเชื่อว่าคุณทัพเที่ยงจะต้องนิยมความเท่าเทียมของหญิงชายเป็นทุนอยู่” เสียงเข้มข้างท้ายทำทัพเที่ยงถึงกับทึ่ง เขาไม่เคยรู้ตัวว่าเคยคิดถึงเรื่องความเท่าเทียมหรือไม่ หรือบางทีอาจจะไม่เคยคิด แต่กำลังทึ่งที่หล่อนวิเคราะห์เรื่องของเขาได้เป็นฉากๆ

จักรได้ฟังคำหลานสาวก็ถึงกับครางเบา

“นี่ฟ้าไปเรียนซีเครตทารีหรือไซโคโลจีมานี่ น่ากลัวชะมัด…” คำหลังเขาหันมาทางทัพเที่ยง ซึ่งกำลังฟังบทสนทนานั้นอย่างตั้งใจอยู่

“น่ากลัวยังไงกันคะ”

“น่ากลัวว่าจะรู้ทันผู้ชาย ใครเขาจะกล้าจีบแม่คุณกันล่ะ ไม่เอานะ จะมาควงอาไปไหมมาไหนจนหงำเหงือกน่ะ”

“อาจักรเนี่ย เซี้ยวอีกแล้ว”

มีเสียงหัวเราะดังประสานกันขึ้นในวงสนทนา ทัพเที่ยงเห็นว่าอาหลานคู่นี้สนิทกันมาก ใบหน้าผิวพรรณนั้นก็คล้ายกันมาก ด้วยวัยแล้วถ้าบอกว่าเป็นพี่กับน้องก็ง่ายที่จะเชื่อ ส่วนแม่กลิ่นนั้นห่างไกลจากลูกหลานตระกูลนี้ หล่อนมีผิวสีเข้มกว่า นัยน์ตาโตกว่า ปากหรือก็บางเฉียบ แล้วหล่อนเข้ามาสิงสถิตในบ้านหลังนี้ได้อย่างไร เขาคิดพลางหาว เมื่อคืนความฝันนั่นมันทำให้เขาแทบไม่ได้นอน ควันไฟพวกนั้นไหลลามไปทั่วทั้งห้อง หรือมันจะเกี่ยวกับเตียงหลังนั้นที่เฟื่องฟ้าไปซื้อมา เขาลอบมองหล่อน คิดอยากจะถามแต่ความเป็นสาวทันสมัยและสวยเหลือเกินของเฟื่องฟ้า ทำให้ทัพเที่ยงไม่กล้าจะเป็นคนงมงายในสายตาหลานสาวของจักร ปิ่นพิมุกข์คนนี้

เขาก็ชายอกสามศอกคนหนึ่ง จะให้ผู้หญิงโดยเฉพาะคนสวยๆ อย่างหล่อนมาดูถูก เขาคงจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นแน่

“เอาแบบมีนางเอกสองคนก็ได้นะคะ คนหนึ่งเป็นหญิงสาวทันคนอีกคนหนึ่งเป็นผีโบราณ ฟ้าว่าน่าสนุกออกจะตายค่ะ” เสียงหล่อนเจื้อยแจ้ว ทัพเที่ยงแลมองหญิงสาวตรงหน้าใจก็กระหวัดไปถึงหญิงสาวอีกคน แล้วก็…อีกหนึ่งคน…

‘ขอให้พวกมึงต้องทนทุกข์ ได้พบ ได้เจอ เรื่องรักจัญไรเหมือนที่กูเจอ ทุกชาติ ทุกชาติไป ขอให้มึง…อีกลิ่น เป็นผีเฝ้าเรือนไปจนกว่ากระดานแผ่นสุดท้ายจะกลายเป็นผง ชาติหน้ามีจริงฉันใด…’

เขาจำเสียงนั่นได้ และมั่นใจว่าเป็นเสียงของผู้หญิง

เมื่อแรกที่ตื่นขึ้นมาเขามึนงง จำเรื่องราวเมื่อคืนได้เลือนๆ รางๆ แต่ดูเหมือนตอนนี้ทัพเที่ยงจะจำทั้งหมดได้จนหมดสิ้นแล้ว…

ใครกันที่สาปแช่งด้วยถ้อยคำรุนแรงแบบนั้น แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับเรือนหลังนี้กันแน่

ทัพเที่ยงคิดแล้วส่ายตามองหาใครบางคน ตอนนี้เขาแน่ใจแล้วว่าสิ่งที่ตัวเองเห็น สิ่งที่ตัวเองได้ยินนั้นเป็นฝีมือของผู้หญิงชุดไทยที่อาศัยร่วมกับเขาในเรือนหลังนี้

ทัพเที่ยงคิดพลางนึกย้อนไปยังเรื่องที่เพิ่งผ่านมาไม่กี่ชั่วโมง เขาจำได้ว่าฝัน ในฝันนั้นมีแค่ควันไฟ เขารู้ว่ากลิ่นนำเขาไปสู่เรื่องราวแต่หนหลัง แต่จะปี พ.ศ.ใดนั้นเขาไม่อาจรู้ หากมีสิ่งหนึ่งที่เขารับรู้อย่างแจ่มแจ้งก็คือความเคียดแค้นชิงชังของใครบางคนที่กลิ่นนำเขาเข้าไปพบเจอ ตอนที่ผวาตื่นมากลางดึกนั้นมันยังแผ่ซ่านฝังตรึง จนเขาอดรู้สึกขัดหูขัดตาแม่กลิ่น อยากจะจับมาบดขยี้ให้ตายคาเตียง

เขาจำได้ว่าเมื่อตื่นขึ้นมาเห็นกลิ่นนั่งสีหน้ากังวลอยู่ข้างๆ แทนที่เขาจะนึกชอบใจ เขากลับนึกโกรธ มือเผลอขยุ้มแพรเพลาะจนยับย่น เขาเห็นกลิ่นพูดบางอย่าง แน่นอนว่าเขาไม่ได้ยิน แต่สายตาห่วงกังวลของหล่อนก็สื่อมาเสียจนเขาเข้าใจ

‘ฉันไม่เป็นไรหรอก’ เขาว่า พยายามรักษาน้ำเสียงไม่ให้ขุ่น ทั้งที่ใจมันขุ่น อารมณ์ติดค้างนั้น แทบจะทำเขาลุกขึ้นมากระชากและทึ้ง ทึ้ง ทึ้ง ฉีกหล่อนให้เป็นชิ้นๆ

เขาพยายามระงับอารมณ์ด้วยการเลื่อนตัวมาข้างเตียง เทน้ำจากเหยือกขึ้นดื่มอึกใหญ่ กลิ่นเอื้อมมือแตะแขนเขาให้หันไปมอง เมื่อเห็นหล่อนขยับปากไปมา ทัพเที่ยงก็หงุดหงิดเพราะเดาไม่ออกจนคำเดียว

‘แม่กลิ่น…’ เขาพยายามสะกดอารมณ์ขุ่นแล้วถาม “ฉันเห็นควัน ไฟไหม้ มันแสบร้อนทรมานเหลือเกิน มันคืออะไร เธอมันทำเลวอะไรเอาไว้แม่กลิ่น” ปลายเสียงเขาคงดุ กลิ่นหน้าเผือดตอบบางอย่างแก่เขา ดวงตาของเจ้าหล่อนคลอหน่วงด้วยหยาดน้ำตา เสียง…ดัดจริต จากไหนไม่รู้ลอยทะลุจากก้นบึ้งสติสัมปชัญญะของเขาขึ้นมา เขาผลักหล่อนลงบนเตียง ขึงพืดหล่อนด้วยสองมือหยาบอย่างคนสามัญที่แตะงานตักน้ำ ถางหญ้ามาตั้งแต่วัยเยาว์ อาการที่เขาจับหล่อนฟาดลงนั้นแรงจนเตียงสี่เสาสะเทือน

หญิงสาวดิ้นรนนัยน์ตาเหลือก หล่อนกำลังกลัว แวบหนึ่งเขารู้สึกว่าหล่อนน่ารักคล้ายแมวน้อย อีกแวบหนึ่งเขาก็ร้อนไปด้วยโทสะจนถึงกับต้องกัดริมฝีปากตัวเอง

‘คุณทัพ คุณทัพ’ เขาเห็นหล่อนขยับปาก และอ่านมันได้อย่างนั้น

กว่าเขาจะได้สติ หล่อนก็ดิ้นเร่าๆ จนแทบจะหมดแรงไปแล้ว

‘เราสองคนเกี่ยวข้องกันใช่ไหม’ ทัพเที่ยงเค้นเสียงถาม เขารู้ว่ามันต้องใช่ เขาไม่ต้องการคำตอบแต่พยายามนึกย้อน ความอัดใจเล่นงานจนทัพเที่ยงต้องย้ายมือจากข้อมือน้อยๆ ของกลิ่นมากุมศีรษะตัวเอง เขาเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออกแต่ก็นึกไม่ออก ความรู้สึกน่าชังนั่นมันคล้ายใครเอาลูกโป่งมาอัดเข้าไปในอก มันอัดอั้น ทรมาน ไม่ถึงตายแต่ก็แทบบ้า

กลิ่นขยับตัวลุกขึ้นนั่ง หยุดดูเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ กระเถิบร่างเข้าใกล้ สองมือประคองร่างหนา มือหนึ่งลูบหลัง มือหนึ่งเกาะแขน เมื่อใบหน้าที่ซุกอยู่ระหว่างฝ่ามือของเขาค่อยๆ แย้มมอง สายตาสงสารจับใจของกลิ่นก็ทอดไปที่ริมฝีปากห้อเลือดของเขา ทัพเที่ยงเพิ่งรู้ตัวว่าโกรธจนกัดปากตัวเอง

หญิงสาวยื่นมือสั่นเทาแตะรอยแดงช้ำ อ่อนหวาน อ่อนโยน เสียจนทัพเที่ยงรู้สึกผิดกับอารมณ์แปลกแยกที่อัดเข้ามาในหัวอกตัวเอง

เขาเป็นบ้าอะไรไป เขาเป็นอะไร ไอ้ความรู้สึกทั้งเกลียดทั้งพอใจที่เขาผจญอยู่ ณ เวลานี้นั้นคืออะไร

ทักเที่ยงถามตัวเอง ใจของเขาสงบลงมาได้บ้าง แต่กลิ่นยังขยับตัวไปมาอย่างเป็นห่วง เขามองไล่ตามเรือนร่างตรงหน้า ผมหวีเสยใส่น้ำมันตานีเรียบกริบ สไบสีจำปาทาบลงบนผิวผ่อง ใช่ผิวผ่อง แรงบุญที่เขาตื่นมาตักบาตรให้นั้นมันทำให้หญิงสาวดูเหมือนมนุษย์มีเลือดมีเนื้อมากขึ้นในทุกวัน แล้วผู้หญิงนิ่มนวลเนื้อนิ่มอย่างแม่กลิ่นไปทำอะไรเอาไว้ ถึงมีคนแค้นเคืองหล่อนปานนั้น

ดูสิ…แม่ดอกแก้วกลีบบางอย่างหล่อน จะไปเผาผลาญผู้ชายคนไหนได้ ถ้าว่ากันอย่างไม่ละอายเลยละก็ เขารู้สึกอยากเก็บหล่อนเอาไว้ในเรือนก้านมะลิอย่างนี้ เอาไว้หยอก เอาไว้ทัก เอาไว้บำเรอหัวใจ ซึ่งเมื่อมองในแง่นั้นแล้ว เขาก็เป็นผู้ชายที่เลวแสนเลว ส่วนหล่อนก็ช่างเป็นผู้หญิงที่น่าเวทนา แม่กลิ่นไม่ได้มีส่วนใดแสดงถึงอำนาจน่าลุ่มหลง อย่างที่ชายสักคนจะตกเป็นทาสหล่อนได้เลย

อย่างเดียวที่จะทำให้เขาหรือใครนึกอยากรักหล่อนขึ้นมาได้ ก็คงจะเป็นเพราะแพ้ความงาม –งามอย่างประณีต ที่หากไม่ได้ใกล้จนเห็นความชมดชม้อยชนิดนั้นเสียแล้ว ก็คงยากที่จะเกิดอาการเร่าร้อนกระวนกระวาย ยิ่งสาวๆ สมัยนี้ช่างปราดเปรียวสดใส ดึงดูดสายตาได้ราวผีเสื้อปีกงาม ผู้หญิงอย่างแม่กลิ่นเห็นทีก็คงได้กลายเป็นแมลงปอปีกใส ถ้าไม่เกาะนิ่งให้ได้พิศชม ผู้ชายก็คงมองผ่านเลยปีกใสๆ ไปแบบนั้นเอง

ทัพเที่ยงนึกเปรียบเทียบ โดยที่ลืมนึกไปว่า เขาเองนั้นก็เป็นคนหนึ่งที่ได้พิศเพลินแมลงปออย่างแม่กลิ่นอย่างใกล้ชิด มาร่วมสองเดือนเข้าแล้ว

‘คุณทัพ …’ กลิ่นยังคงขยับปาก แต่ทัพเที่ยงอ่านออกแค่ชื่อของตัวเอง

‘แม่กลิ่น’ เขารวมนิ้วมือที่แตะต้องตัวเขาเข้ามาแนบแผงอก จ้องเข้าไปในดวงตาใสสีดำ ปากก็เอ่ยถามช้าๆ ‘ฉันรู้ว่าเราต้องเกี่ยวข้องกันมาก่อน แล้วฉันเป็นคนทำให้แม่กลิ่นตายหรือเปล่า’

คำถามตรงประเด็น กลิ่นผงะ หญิงสาวกำลังจะตอบ จู่ๆ ความร้อนก็ทะลักออกมาจากข้างในตัวของหล่อนจนเขาต้องถอนมือออก

กลิ่นดิ้นทุรนทุราย ทัพเที่ยงผวาเข้าช่วยแต่ก็ต้องกระตุกมือออกอีกครั้ง เขานั่งมองร่างดิ้นเร่า รู้สึกเหมือนใจจะขาด เสียงที่เขาร้องเรียกเธอแทบไม่เป็นภาษา กลิ่นทุรนทุรายอยู่อย่างนั้น จนภาพสุดท้ายที่เขาเห็นคือดวงตาของหล่อนซึ่งจ้องมาอย่างน้อยอกน้อยใจ เขามองอย่างจะหาคำตอบแล้วดวงตานั้นก็ค่อยๆ จางหายไปต่อหน้าต่อตา

หล่อนจะเป็นอะไรมากไหม ทำไมถึงเป็นแบบนี้อีกแล้ว…

ทัพเที่ยงหันรีหันขวาง เขาคาดเดาเอาเองว่าจะต้องมีบางสิ่งบางอย่างหรือใครบางคนที่กีดกันการสื่อสารของตัวเขาและผีแม่กลิ่น เสียง…

‘ขอให้พวกมึงต้องทนทุกข์ ได้พบ ได้เจอ เรื่องรักจัญไรเหมือนที่กูเจอ…’

ใครบางคนที่สาปแช่งเอาไว้ทำให้การสื่อสารของเขากับแม่กลิ่นเป็นไปได้อย่างยากลำบาก หรือแท้จริงแล้ว ตัวเขาในชาติที่แล้วจะเป็นผู้พูดออกมาเอง

ทัพเที่ยงคาดการณ์ แต่ในมโนสำนึกก็แน่ใจเหลือเกินว่า เสียงกรีดแหลมที่เขาได้ยินอยู่นั้นคือเสียงของผู้หญิง

แม่กลิ่นนำเขากลับไปเจออะไร ต้องการสื่อสารอะไร ทัพเที่ยงคิดวนเวียนจนกว่าจะหลับลงได้ก็ใกล้รุ่งสาง

“ทัพ เฮ้ย…ทัพเที่ยง”

ทัพเที่ยงสะดุ้ง “ครับ…อา…ว่ายังไง” เขาตอบจักร ใจเผลอคิดไปไกลถึงเรื่องเมื่อคืน เฟื่องฟ้ามองอย่างสงสัยก่อนจะยิ้มกับท่าทางเปิ่นๆ ของเขา

“นายใจลอยไปถึงไหน”

“เปล่า”

“เปล่าอะไร งั้นไหนพูดมาสิว่ายายฟ้าเสนอให้นางเอกผีใส่สไบสีอะไร”

“สีจำปา” ทัพเที่ยงพูดออกมาโดยอัตโนมัติ จักรอึ้งไปนิดหนึ่งก่อนจะยอมรับว่า “ก็ถูก” เพียงแต่เฟื่องฟ้าใช้คำว่าสีแสดไม่ใช่สีจำปาเท่านั้น

“เรียกสีจำปาก็ชัดเจนดีนะคะ” เธอเอ่ยเห็นด้วย “เพราะสีแสดมีหลายเฉด เรียกสีจำปาก็ดีแล้วค่ะ”

ทัพเที่ยงอึ้งไป เขาเผลอมองหล่อนอย่างลืมตัว สร้างสีหน้าประหลาดใจให้อาหลานคู่นี้อีกรอบ

“มีอะไรหรือเปล่า” จักรชิงถาม เรียกสติสัมปชัญญะของทัพเที่ยงให้กลับคืนมาอีกรอบ

ทัพเที่ยงลุกขึ้น เขาตรงไปหยิบสมุดปกอ่อนลายไทยเล่มหนึ่งเปิดหน้าที่ต้องการแล้วมาส่งให้จักร

“บังเอิญมากเลยครับ” ทัพเที่ยงพูดกับเฟื่องฟ้า จักรมองอย่างฉงนก่อนอ่านถ้อยความในหน้านั้นออกมาดังๆ

“หญิงสาวลอยหายเข้าไปในห้อง สิ่งที่ติดตาของโดมคือสไบสีจำปาที่หล่อนห่มอยู่…ให้ตายสิเพื่อน บังเอิญอะไรขนาดนี้” จักรร้องอย่างตื่นเต้น

“โอ้…มายกอด ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าเราจะใจตรงกัน” ประโยคนี้ของเฟื่องฟ้าเปลี่ยนบรรยากาศลึกลับเป็นความประดักประเดิด ทัพเที่ยงหน้าแดง เขาคาดว่าหล่อนคงหมายถึงแค่คิดเหมือนกัน แต่ทัพเที่ยงเผลอตีความไปไกลเพราะดวงตาวิบวับของหล่อน

“ยายฟ้า พูดออกมาได้ เดี๋ยวนายทัพมันก็เข้าใจผิดเป็นว่าหลานใจตรงใจแบบอื่นหรอก”

“แบบไหนกันคะ” หล่อนต่อปากต่อคำ “คุณทัพเที่ยงเขาไม่ได้ชอบฟ้าเสียหน่อย จะเข้าใจผิดว่าใจฟ้าจะตรงแบบนั้นกับใจเค้าไปได้ยังไงล่ะคะ” หล่อนพูดหน้าตาเฉย ยกบุหรี่ขึ้นสูบอย่างไม่สนใจดวงตาตำหนิของจักร ทัพเที่ยงร้อนจนถึงใบหู เฟื่องฟ้าคนนี้ไม่เหมือนผู้หญิงคนไหนที่เขาเคยเจอ หล่อนมีวิธีการพูดสองแง่สองความให้ต้องตีความอยู่เรื่อย

จักรโบกมือ ไม่อยากต่อความยาว “เอาเถอะ มาอ่านเรื่องนี้กันดีกว่า ตั้งชื่อหรือยัง” จักรหันไปหาทัพเที่ยง

“ยัง แต่กันเรียกไปก่อนว่า สาปรักเรือนก้านมะลิ”

“บิวตี้ฟูล” เฟื่องฟ้าอุทาน “แล้วคุณทัพเที่ยงคิดว่าจะเขียนเสร็จเมื่อไรคะ”

“คงไม่นานแล้วครับ แล้วผมจะปรับให้มีนางเอกสองคน ถ้าคุณอ่านเรื่องย่อแล้วไม่แก้ไขอะไรผมก็จะลงมือเขียนเลย”

“แบบนั้นก็ได้เลยค่ะ คุณทัพเที่ยงคุยง่าย ทำงานทันใจจริงๆ เลยค่ะ ถ้าเรื่องย่อเสร็จฟ้าจะรีบอ่านแล้วจะมาบอกนะคะว่า –ชอบ- หรือ –ไม่ชอบ-”

หล่อนสบตาทัพเที่ยง แม้เขาจะร้อนผ่าวไปทั้งหน้า แต่คราวนี้ทัพเที่ยงรู้ว่าหล่อนจงใจยั่วโมโหอาหัวโบราณของตัวเอง เขาเห็นจักรเบือนหน้าหนี ส่วนเฟื่องฟ้าหัวเราะเสียงใสเมื่อเห็นท่าทางไม่สบอารมณ์ของจักร



Don`t copy text!