มหรสพเวรา บทที่ 17 : ย้อนเวลา

มหรสพเวรา บทที่ 17 : ย้อนเวลา

โดย : คีตาญชลี แสงสังข์

Loading

มหรสพเวรา โดย คีตาญชลี แสงสังข์ นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น 4 กับเรื่องราวที่จะพาคุณล่องลอยถอยสู่บรรยากาศบ้านเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ย้อนกลับไปเห็นตั้งแต่ของเล็กอย่างแก้วโอเลี้ยงไปจนถึงสิ่งยิ่งใหญ่อย่างโรงมหรสพสมัยใหม่ที่เรียกว่าโรงภาพยนตร์ ขอเชิญท่านพิศเพลินพร้อมกันทั้งประเทศ ณ บัดนี้

รุ่งอรุณทอแสงอ่อนแต้มปุยเมฆจนเห็นเป็นสีทองเหลืองอร่าม ทัพเที่ยงรู้ว่าเช้าแล้ว เขาขยับตัวเตรียมลุกจากที่นอน แต่แล้วเขาก็รู้สึกว่าร่างกายเบาหวิวจนใจหายวาบ เมื่อรู้สึกว่าเขาไม่ได้นอนอยู่บนเตียงตัวเอง แต่กำลังลอยคว้างค่ำหน้าอยู่กลางอากาศ

ที่ที่เขาลอยอยู่มืดมากแต่แสงเรืองรองนั่นอยู่เบื้องล่าง ทัพเที่ยงกำลังลอยต่ำลงไป และตอนนี้เขาก็มั่นใจว่าตัวเขากำลังถอยกลับไปยังที่ใดที่หนึ่งเมื่อนานแสนนานมาแล้ว พลันความเร็วในการร่วงหล่นของทัพเที่ยงก็เร็วจี๋ เขาร้องเสียงหลง ก่อนที่ร่างจะหยุดค้างอยู่เหนือบ้านทรงไทยลักษณะเป็นเรือนหมู่อยู่ครู่หนึ่ง พอให้หายใจหายคอคล่อง แล้วบางอย่างที่ควบคุมเขาอยู่ก็ค่อยๆ พาร่างของทัพเที่ยงเลื่อนต่ำลงไปช้าๆ

จากมุมสูงที่เขามองอยู่ ทัพเที่ยงเห็นเด็กหญิงหัวจุกในเสื้อคอกระเช้านั่งก้มหน้าอยู่บนพื้นกระดานแผ่นใหญ่ ใกล้ๆ กัน มีหญิงวัยกลางคนร่างเจ้าเนื้อผิวขาวเหลือง ลักษณะเป็นคนสำคัญของบ้านนั่งเคี้ยวหมากอยู่บนศาลายกพื้น ถัดไปจากร่างเจ้าเนื้อเป็นชายหนุ่มผิวขาวรุ่นราวคราวเดียวกับเขา ทว่าขาวและสะโอดสะองกว่า กำลังนั่งมองเด็กหญิงผู้นั้นด้วยสีหน้าที่ไม่ได้บ่งบอกความรู้สึกใดเป็นพิเศษ

ทัพเที่ยงไม่ได้สนใจคนกลุ่มนั้นมากนัก ตอนนี้หัวใจของเขากำลังถามหาแม่กลิ่น เธออยู่ที่ไหนกัน

พลันร่างใหญ่โตของทัพเที่ยงก็ร่วงวูบไปอยู่ข้างเสาศาลา เท้าของเขาห่างจากบ่าวรับใช้ในบ้านแค่เส้นยาแดงผ่าแปด เขาชักเท้ากลับ แต่เมื่อพิจารณาแล้วก็พบว่า หล่อนหรือใครก็ตามคงจะไม่รับรู้ว่าทัพเที่ยงยืนอยู่ตรงนี้

“อย่างที่พ่อเที่ยงได้ยินมาจากบ่าวนั่นแหละ พอพี่เยื้อนป้าของพ่อเที่ยงตาย แม่จึงได้กลับมา แต่ครั้นจะทิ้งแม่กลิ่นเอาไว้ก็ไม่ดีแก่ใจ เราไม่เหลือญาติสนิทที่ไหนอีกแล้ว รับน้องเอาไว้ดูแลสักคนเถอะนะพ่อนะ” ทัพเที่ยงสะดุ้ง ชายคนนี้ชื่อเที่ยง คล้ายชื่อของเขา แถมหญิงบนพื้นเรือนก็ชื่อกลิ่น

“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาดอกแม่ ห้องหับเราก็เหลือว่างอีกหลายห้อง ดีเสียอีกจะได้มีคนมาช่วยแม่ดูแลบ่าวไพร่ แม่ไปดูแลป้าเยื้อนเสียนาน ฉันเองก็ไม่มีเวลา กลับมาคราวนี้ฉันดีใจเสียอีกที่แม่เอาแม่กลิ่นกลับมาด้วย ไม่อย่างนั้นคงต้องขอฉันกลับไปหาหลานสาวร่ำไป ฉันก็อดกินน้ำพริกฝีมือแม่ไปเท่านั้น” ชายหนุ่มชื่อเที่ยงหยอดคำหวานมารดา กิริยาที่นายเที่ยงแสดงออกกับผู้ใหญ่นั้นทำทัพเที่ยงนึกถึงจักร

“โธ่…ก็แล้วทำไมไม่หาเมียสักคนล่ะท่านขุน” ผู้เป็นแม่แสร้งว่า

“อย่าล้อฉันสิจ๊ะ แม่ก็รู้ ขุนตำแหน่งเล็กๆ อย่างฉันใครเขาจะยกลูกสาวให้”

“รอหน่อยเถอะพ่อ ไปคราวนี้แม่เอาดวงเจ้าไปให้พระครูที่พิจิตรดูให้ ท่านว่าดวงพ่อเที่ยงเป็นอภิชาตบุตร คุณหลวงนั้นไม่ไกลดอก เสียแต่…”

“อะไรหรือจ๊ะแม่”

“ท่านว่าให้ระวังเรื่องผู้หญิงไว้หน่อยก็แล้วกัน”

ชายชื่อเที่ยงหัวเราะกว้าง เขาไม่ได้ต่อความกับผู้เป็นมารดาแต่หันไปหาเด็กสาวบนพื้นกระดานด้านหน้า

“อยู่กับพี่ที่นี่แหละแม่กลิ่น แล้วจะก้มหน้าไม่พูดไม่จาไปถึงไหน พูดภาษาไทยได้หรือเปล่า” ชายหนุ่มชื่อเที่ยงเย้า ผู้เป็นแม่ค้อนให้ลูกชายวงหนึ่ง

“ดูเถอะ มันน่าตีนัก พิจิตรไม่ใช่ญวนไม่ใช่แกวที่ไหนทำไมถึงจะพูดไม่ได้เล่า แม่กลิ่นก็เถอะ” หล่อนหันไปดุหญิงสาว “เงยหน้าขึ้นมาคุยกัน ทำม้วนเป็นตัวนิ่มไปได้” ผู้เป็นป้าตำหนิไม่จริงจังนัก ทัพเที่ยงยืนลุ้นอยากเห็นใบหน้าเด็กหญิงผู้นั้น จะใช่แม่กลิ่นในเรือนก้านมะลิของเขาหรือเปล่า…แล้วเขาก็ได้เห็น

“นั่นแหละ กราบพี่เขาเสีย แล้วไม่ต้องกลัว ลูกชายน้าน้ำจิตน้ำใจไม่ได้ด้อยกว่าคนอื่น น้ารับรองว่าจะดูแลเจ้าให้เหมือนลูกในไส้ทีเดียว” หญิงวัยกลางยืนยัน ทัพเที่ยงตะลึงมองเด็กหญิงที่น้ำตาค่อยๆ เอ่อไหลออกมาเป็นสาย หล่อนก้มกราบชายเจ้าของเรือน ก่อนจะกราบที่ปลายเท้าผู้เป็นน้าโดยไม่มีใครสั่ง

“เอาเถอะ…” หญิงผู้เป็นแม่เจ้าของเรือนยกปลายสไบขึ้นซับน้ำตา “อย่าร้องไห้อีก ต่อไปนี้เจ้าจะได้มาเริ่มต้นชีวิตใหม่ อะไรๆ ก็คงจะไม่เหมือนที่พิจิตร แล้วน้าจะค่อยๆ สอน จะได้ไม่อายเขา”

“เจ้าค่ะคุณน้า” หล่อนว่า ทัพเที่ยงหันไปมองสีหน้าชายเจ้าของเรือนที่ชื่อเที่ยง เห็นชายหนุ่มพยักหน้าเมตตาก่อนจะขอตัวออกไปข้างนอก เขาเห็นกลิ่นชำเลืองตาม เด็กหญิงไม่กล้าหันมองตรงๆ ได้แต่เหลือบมองเท้าที่ก้าวผ่านหน้า จนเมื่อชายหนุ่มพ้นบันไดเรือนไปแล้วแม่กลิ่นจึงได้เงยหน้าขึ้นเป็นปกติ

ทัพเที่ยงพิจารณา…หล่อนดูเด็กนัก ยังไม่โกนจุกแต่เค้าหน้านั้นคือแม่กลิ่นของเขาแน่

“แม่กลิ่น” หญิงเจ้าของเรือนส่งเสียงเรียก

“เจ้าค่ะคุณน้า” กลิ่นขานรับ รีบใช้ปลายนิ้วปาดน้ำตาให้แห้ง

“ขึ้นมานั่งกับน้าบนนี้” ผู้เป็นน้าเอามือตบพื้นข้างตัว “นังเพ็ญเอ็งไปตามคนในบ้านมา ข้าจะให้มารู้จักหลานข้าเอาไว้ จะได้ไม่มีใครมาเล่นอะไรห่ามๆ ใส่ ไม่รู้บ่าวรู้นาย”

“เจ้าค่ะคุณแย้ม”

“พาแม่จวงที่เรือนริมน้ำมาด้วย ข้าจะฝากฝังให้สอนการบ้านการครัวหลานข้า”

เสียงทรงอำนาจของหญิงวัยกลางคนที่ทัพเที่ยงรู้แล้วว่าชื่อแม่แย้มสั่ง ก่อนหันไปลูบแขนหลานสาวที่คลานขึ้นมานั่งข้างตัว

“บ้านหลังนี้เป็นของหลวงประดิษฐ์พ่อของพ่อเที่ยงตอนนี้ก็ตกมาเป็นของพ่อเที่ยงเขาแล้ว พ่อเที่ยง ตอนนี้คือขุนเลิศสลักกิจ ใครเขาก็รู้ว่าเป็นที่โปรดปราน แม่กลิ่นอยู่ที่นี่ในฐานะหลานน้า น้องสาวขุนเลิศ อย่าได้เกรงกลัวใคร ต่อไปนี้น้าจะสอนเจ้าทุกอย่างที่ลูกผู้ลากมากดีเขาจะต้องรู้กัน เดี๋ยวน้าจะให้นังอ่อนเอาแม่กลิ่นไปขัดสีฉวีวรรณเสียใหม่ แล้วน้าจะสอนแต่งตัวให้ อีกหน่อยหน้าที่การงานพี่เขาก้าวหน้า ถ้าน้องขะมุกขะมอมคนเขาจะนินทาเอาได้”

“เจ้าค่ะ” กลิ่นขานรับ แม่แย้มยิ้มตอบแล้วลูบหัวหลานสาวอย่างรักใคร่

ทัพเที่ยงมองสองน้าหลาน แล้วนึกอยากรู้ว่าเรือนที่เขายืนอยู่นั้นตั้งอยู่แห่งหนตำบลไหน ซึ่งเพียงแค่คิดร่างของทัพเที่ยงก็ลอยขึ้นทันที คราวนี้มันลอยช้าๆ พอให้เขาเสียวท้องน้องไม่ได้เคลื่อนไหววูบวาบน่าเสียวไส้เหมือนในครั้งแรก

เรือนหมู่ขนาดใหญ่ ที่ทำให้สามารถคาดเดาทรัพศฤงคารของขุนเลิศสลักกิจผู้นี้อยู่ใต้ตัวทัพเที่ยง เขากวาดตามองก็เห็นเรือกสวนไร่นาและบ้านหลังย่อมที่น่าจะเป็นของบ่าวไพร่ถัดไปทางด้านหลัง หน้าบ้านเป็นคลองสายกว้างมองเห็นศาลาท่าน้ำและเรือนริมตลิ่งอีกหลังหนึ่งที่มีเรือแจวเข้าๆ ออกๆ ทัพเที่ยงแค่เพียงนึกอยากจะรู้ว่าเรือนหลังนั้นคืออะไร ร่างของเขาก็พุ่งตรงไปที่ริมน้ำทันที

เขาได้ยินเสียงพูดโต้ตอบ จึงรู้ว่าเรือนหลังนั้นคือร้านค้า ทัพเที่ยงประหลาดใจที่ได้เห็นการค้าขายในลักษณะร้านค้าริมน้ำเช่นนี้อยู่ในบ้านข้าราชการอย่างขุนเลิศ

นี่มันสมัยไหนและที่ไหนกัน เขานึก แล้วจู่ๆ ร่างของเขาก็ไต่ระดับความสูงขึ้นไปเหนือยอดไม้ สูงขึ้น สูงขึ้นและสูงขึ้นไปเรื่อยๆ แม่น้ำที่อยู่เบื่องล่างคดเคี้ยวลัดเลาะผ่านแผ่นดินเขียวชอุ่ม มีสาขากิ่งก้านของคูคลองเชื่อมต่อกันราวเส้นเลือดฟอย กลางลำน้ำมองเห็นเรือลำน้อยใหญ่สวนกันขวักไขว่ เรือกลไฟลอยลำส่งเสียงวูดดังแว่ว และภาพอัศจรรย์ที่ดึงดูดสายตาอย่างที่สุดคือพระบรมมหาราชวัง ต้องแสงวับวาวราวอัญมณีมองเห็นลิบๆ อยู่ในลำแดดสุดท้าย

แม่น้ำเจ้าพระยา…พระนคร…แล้วนี่มันปี พ.ศ.ใดกัน 



Don`t copy text!