มหรสพเวรา บทที่ 20 : ระย้า

มหรสพเวรา บทที่ 20 : ระย้า

โดย : คีตาญชลี แสงสังข์

Loading

มหรสพเวรา โดย คีตาญชลี แสงสังข์ นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น 4 กับเรื่องราวที่จะพาคุณล่องลอยถอยสู่บรรยากาศบ้านเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ย้อนกลับไปเห็นตั้งแต่ของเล็กอย่างแก้วโอเลี้ยงไปจนถึงสิ่งยิ่งใหญ่อย่างโรงมหรสพสมัยใหม่ที่เรียกว่าโรงภาพยนตร์ ขอเชิญท่านพิศเพลินพร้อมกันทั้งประเทศ ณ บัดนี้

ในที่สุดจักรก็ได้ตัวระย้ามาร่วมงาน เขาเป็นผู้ชายผอมบางตัวกะทัดรัด ผมของเขาหนาดูเป็นพุ่มใหญ่อยู่บนศีรษะ บนเรียวปากมีหนวดทรงเดียวกับจักร ทว่าถ้าจักรจะเหมือนพระลอจากฮอลลีวูดระย้าก็ดูเหมือนดาวร้ายชานเมือง

ดวงตาซุกซนของระย้า ซึ่งตรงข้ามกับดวงตานิ่งเรียบของทัพเที่ยง กวาดมองไปทั่วบริเวณบ้าน เวลานั้นเย็นมากแล้ว ต้นจันใหญ่ดูเหมือนปีศาจตัวยักษ์ เหนือขึ้นไปคือท้องฟ้าสีแดงฉานของฤดูหนาว ทุกสิ่งขับเน้นให้เรือนก้านมะลิลึกลับน่าสะพรึงมากขึ้นไปอีก

ระย้ามองอย่างพอใจ เขาสูดปากชมเปาะ “เหมาะมาก เหมาะมากๆ”

“เข้าไปข้างในดีกว่าครับ” เป็นจักรที่เชิญชวน

ทัพเที่ยงและเฟื่องฟ้ารออยู่ในห้องรับแขก แรกเจอกันระย้าแสดงความจริงใจด้วยการบอกกับทัพเที่ยงว่า เรื่องที่เขาเขียนสนุกมาก ซึ่งความสนุกนี้คงจะมาจากการอดตาหลับขับตานอนของทัพเที่ยงเป็นแน่

“ดูคุณสิเหมือนไม่ได้นอนมาสักเดือนหนึ่ง” เขาหัวเราะลงลูกคอแต่ไม่มีใครในที่นั้นขำด้วย ระย้าหน้าเจื่อนและแก้เก้อด้วยการบอกว่า ทัพเที่ยงนั้นหล่อพอที่จะเป็นพระเอกได้ แต่ทัพเที่ยงก็ยังไม่ตอบสนองในทางที่ดีขึ้น ยกเว้นจักร เขาตบเข่าร้องรับว่า “เห็นไหมล่ะ” แล้วหันไปพูดเหมือนฟ้องระย้าว่า “แต่ทำยังไงหมอนี่ก็ไม่ยอม”

“เอาเถอะครับ ไม่ยอมก็ไม่ยอม เราหาพระเอกใหม่เพื่อความสบายใจกันดีกว่า”

“แต่เราติดต่อไปทั่วแล้วนะคะ ไม่มีใครจะให้คิวเราได้เลย” เฟื่องฟ้าบอกสถานการณ์

“ช่วงนี้ยากหน่อยครับ หนัง 16 มม.มันทำง่าย ฟิล์มมันถูก ใครเขาก็ทำกัน ดาราก็มาทำหนังกันเองถมไป ทั้งแสดง ทั้งสร้าง บางคนก็ยังรับกำกับให้คนอื่นอีก ยุ่งอีนุงตุงนัง”

“เป็นอย่างนี้นี่เอง เราเลยหาดาราไม่ได้เลย” เฟื่องฟ้าว่าพลางหันไปสบตาจักรกับทัพเที่ยง

“จริงๆ ผมก็พอจะคุยได้บางคน ให้เขาแวะๆ มาถ่ายตอนเขาว่าง แบบนี้ก็มีคนทำกันอยู่ แต่…” ระย้ามองทุกคนอย่างคาดหวัง “เท่าที่คุยกับคุณจักรมา พวกคุณก็ไม่ได้อยากได้หนังลวกๆ ใช่ไหมล่ะครับ”

“ครับ เรื่องแรกพวกเราก็อยากให้ดีหน่อย” จักรตอบรับ

“นั่นละ…ส่วนตัวผมเลยคิดว่าเรื่องดาราเราค่อยๆ แก้ปัญหากันไปดีกว่า อย่าไปเอาพวกที่เขาไม่มีเวลาเลย ยิ่งพวกคุณไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงินลงทุนอยู่แล้ว เราทำไปแบบไม่ต้องรีบ แถม…” เขามองเลยไปยังส่วนต่างๆ ของห้องนั่นเล่น ก่อนไปหยุดสายตาลงที่เครื่องเล่นแผ่นเสียง “ที่นี่มันเป็นโรงถ่ายดีๆ นี่เอง ของทุกอย่างตรงตามเนื้อเรื่อง คุณทัพเที่ยงฉลาดมากที่เลือกจะเขียนจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว”

“แต่ถ้าไม่มีดาราอย่างชนิดเป็นที่รู้จักมาเล่นให้ เจ้าใหม่อย่างเราโรงหนังเขาจะยอมรับไปฉายให้หรือครับ” จักรยังกังวลเรื่องเดิม ระย้ายิ้มกว้าง

“ก็คุณเฟื่องฟ้าว่าจะเอายายแป้นไปถ่ายแมกกาซีนไม่ใช่หรือครับ ขึ้นปกสักครั้งหนึ่งก็เป็นที่พูดถึงไปทั้งพระนครแล้ว”

“ทำแค่นั้นแล้วมันจะพอหรือ ขนาดเรื่องปริศนาที่คุณรัตนาพรสร้าง ใช้หนังสือข่าวดาราของตัวเองโฆษณาอยู่นานหลายเดือนยังมีปัญหาเจ้งไม่เป็นท่าเลย” จักรออกอาการไม่เห็นด้วย

“นั่นเพราะเขาไปเล่นเรื่องดี”

“ยังไงครับ” จักรถาม ทุกคนในห้องนั้นมองระย้าเป็นตาเดียว

“คุณเห็นใช่ไหมว่าเขาโฆษณาว่าพจมานแสดงโดยอมรา อัศวนนท์ซึ่งได้รองนางงามจักรวาล”

“เห็นครับ” จักรยอมรับ

“แล้วคุณรู้ไหมว่าอมราเขาแค่โดนส่งไปประกวดเท่านั้นไม่ได้เป็นรองนางงามอะไรเลย” คราวนี้ทุกคนส่ายหน้า “เขาใช้วิธีพูดเกินจริงไปสักหน่อยเพื่อดึงดูดความสนใจ เราก็ต้องใช้วิธีคล้ายๆ กันแบบนั้น เพียงแต่การพูดเรื่องเกินจริงแบบหอมหวานมันไม่ใช่เรื่องที่คนเขาจะสนใจกัน”

“แล้วเรื่องแบบไหนกันล่ะคะที่คนจะสนใจ” เฟื่องฟ้าถามสวนขึ้นด้วยความอยากรู้ ระย้ายิ้มกริ่ม

“ก็ต้องเรื่องที่มีกลิ่นสักหน่อย”

“กลิ่น…กลิ่นอะไรหรือครับ” ทัพเที่ยงหูผึ่ง เขาตามชายผู้มีวิธีพูดดึงดูดความสนใจผู้นี้ไม่ทันจริงๆ

“กลิ่นคาว ยิ่งคาวแรงกระแสก็จะแรงเท่านั้น”

ระย้าตอบ ยิ้มพราว

 

ในห้องนอนขนาด 24 ตารางเมตร บนชั้นสองของบ้านคุณพระสุนทรเกษม ค่ำคืนที่มืดเพราะเดือนเหลือเพียงเสี้ยวและดาวก็หลับใหลอยู่ใต้เมฆหนา จักรกำลังเดินคิดวนเวียนถึงสิ่งที่ระย้าพูดอยู่ในห้องนอนของเขา วันนี้จักรถึงบ้านเร็วและรู้สึกหนาวเพราะไม่มีเหล้าในกระแสเลือด หลังอาบน้ำเขาจึงต้องสวมเสื้อคลุมอาบน้ำสีแดงเบอร์กันดีตัวหนา ที่เขาชอบใช้ตอนเรียนอยู่อังกฤษ

คำพูดของระย้าสร้างความสับสนให้สุภาพบุรุษอย่างจักร แม้ว่าถ้าเทียบกับทัพเที่ยงแล้ว เขาก็ยอมรับว่าตัวเองนั้นออกจะชำนาญในการผู้หญิงมากกว่าการสอน แต่เขาก็ถูกเลี้ยงมาอย่างลูกคุณพระถือศักดิ์ศรีเหนือสิ่งอื่นใด ดังนั้นสิ่งที่ระย้าเสนอมันจึงอยู่นอกข่ายที่จักรจะสามารถทำได้อย่างสะดวกใจ

‘เชื่อผมเถอะครับ ไม่เสียหายอะไร เดี๋ยวเราไปแก้ข่าวเอาวันกาล่าพรีเมียร์ ข่าวลือพวกนั้นก็หายไปแล้ว’ ระย้าเสนอแนวทาง แต่จักรก็ไม่สะดวกใจอยู่ดี

‘แล้วคุณสวรรยาเขาจะยอมหรือคะ เธอ…ดูรักเกียรติออกจะตายไป’ เฟื่องฟ้าที่เหมือนจะใส่ใจแต่เรื่องของตัวเองยังไม่วายเป็นห่วง

‘ไม่ยอมหรอกครับ’ ระย้าพูดหน้าตาเฉย ‘ก็เราจะไปบอกยายแป้นทำไมล่ะครับ เราจะเข้าทางคุณอาติ๋มแม่ของยายแป้น ไปขออนุญาตท่าน ว่าเราจำเป็นต้องทำยังงี้เพราะอยากจะให้ลูกท่านดัง เมื่อดังแล้วเราก็แก้ข่าวเอา แสดงหนังแล้วเงียบสนิทไม่มีคนดู กับแสดงแล้วดังระเบิด คุณว่าอาติ๋มเขาจะเลือกอย่างไหนล่ะครับ’

‘เขาก็เลือกไม่ให้ลูกเขามาแสดงกับเราน่ะซี ไม่เห็นจะเลือกยาก’ จักรพูดเสียงเยาะทำเอาระย้ายิ้มกว้าง

‘ปัดโธ่เอ๋ย…เราก็รอให้ถ่ายไปจนใกล้เสร็จก่อนซี คุณจักรจะรีบไปเจรจากับแม่เขาก่อนทำไม’ ระย้าหัวเราะงอหาย ก่อนจะอธิบายว่า ตอนนี้ต้องหาดาราให้ครบ เมื่อครบแล้วก็ต้องวางแผนให้เรื่องอยู่ในความสนใจของนักข่าว ถ้ามันดังตั้งแต่เริ่ม ทีนี้แหละ การจะหาโรงฉายก็ไม่ยากแล้ว

‘ว่าแต่คุณจะให้เธอมีข่าวกับใคร’ ทัพเที่ยงซึ่งนั่งฟังด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเอ่ยปากถาม ระย้ายิ้มกริ่มมองหน้าทัพเที่ยงสลับกับจักร

‘พระเอกของเรื่องหรือ’ ทัพเที่ยงถามต่อ

‘ก็คุณว่าหาพระเอกไม่ได้ แล้วเราก็ตัดสินใจกันแล้วว่าจะปั้นพระเอกใหม่ ถ้านางเอกจะมีข่าวรักนอกจอกับพระเอกขึ้นมาจริงๆ แบบนั้นหนังมันจะต้องดังก่อนชาวบ้านเขาถึงจะสนใจ ดังนั้นใช้พระเอกไม่ได้’

‘แล้วคุณจะใช้ใครล่ะคะ’ เฟื่องฟ้าอยากรู้

‘ถ้าไม่นี่’ เขาชี้มาที่จักร ‘ก็นี่’ คราวนี้เขาชี้มาที่ทัพเที่ยง ทั้งคู่ร้องเสียงหลงออกมาพร้อมกัน

แล้วหวยก็มาออกที่จักรเพราะระย้าลงความเห็นว่า ทัพเที่ยงยังดังไม่พอ แต่เขาเชื่อว่าถ้าเรื่องที่ทัพเที่ยงกำลังเขียนได้ลงเป็นตอนในหนังสือพิมพ์สยามประชามิตร เขาจะดังขึ้นอีกเท่าตัว เพราะตอนนี้ชื่อวิราฬราช ราตรีก็เริ่มเป็นที่พูดถึงในหมู่นักอ่านสตรีบ้างแล้ว ส่วนจักรนั้นมีชื่อเด่นหราอยู่ในหน้าข่าวสังคม การมีข่าวกับจักรจึงย่อมจะเป็นที่สนใจของบรรดาสาวๆ ในพระนคร สวรรยาก็จะถูกพูดถึง และหนังที่เธอแสดงก็จะพลอยอยู่ในความสนใจไปด้วย

‘ถ้าผมไม่เห็นด้วยล่ะ’ จักรลองถามหยั่งเชิง

‘ผมก็ไม่ได้ให้คุณเห็นด้วยตอนนี้’ สีหน้าของระย้าเข้มขึ้น ‘เงินลงทุนมันเป็นของคุณไม่ใช่ของผม หนังเรื่องนี้คุณคิดผมไม่ได้คิด’ ประโยคนี้เขาหันมาที่ทัพเที่ยงแล้วเบนสายตาแน่วนิ่งไปที่เฟื่องฟ้า ‘ส่วนผมได้รับค่าจ้างในฐานะผู้กำกับ ไม่ว่าหนังมันจะเจ๊งหรือว่ามันจะทำเงิน ผมก็ยังขึ้นชื่อว่าได้เป็นผู้กำกับอยู่ดี และอีกอย่าง…’ เขาเว้นจังหวะให้คนฟังอยากรู้อย่างเชี่ยวชาญ ‘ยายแป้นก็ลูกอาผม นับศักดิ์กันก็ลูกพี่กับลูกน้อง คุณคิดว่าผมจะมีความคิดแผลงๆ มาทำลายน้องสาวตัวเองหรือ’

ทุกคนนิ่งฟัง แม้แต่ตัวทัพเที่ยงที่จักรไม่คิดว่าคนอย่างเขาจะเห็นด้วยกับความคิดของระย้า ก็มีสีหน้าแบบหนึ่ง ที่ชวนให้เข้าใจว่าทัพเที่ยงกำลังลังเล

ระย้าพูดต่ออีกว่า วงการภาพยนตร์นั้นไม่ใช่ของเล่น แค่แหย่เท้าเข้ามาทั้งจักร ทัพเที่ยง และเฟื่องฟ้าก็ต้องเผชิญกับปัญหาสารพัดแล้ว โลกมายานั้นยังมีกลเกมซ่อนเร้นอีกไม่รู้เท่าไร ถ้าพวกเขาคิดจะลงสนามนี้พวกเขาก็ต้องเข้าใจเกมเสียก่อนว่า มันไม่มีลู่ให้วิ่ง ไม่มีกติกาตายตัว หนังเรื่องเยี่ยมที่ดีทุกองค์ประกอบยังเจ๊งไม่เป็นท่ามาแล้ว ส่วนเรื่องที่เหมือนเอาเท้าเขี่ยๆ ทำกลับดังระเบิดก็ถมไป

‘พวกคุณต้องจำเอาไว้ว่าเราไม่ได้มาวิ่งแข่งตามลู่ แต่อย่าเพิ่งตีโพยตีพายไปไกล บางทีเรื่องเราอาจจะดังโดยไม่ต้องใช้แผนนี้ก็เป็นได้ ผมก็แค่หาแผนการเผื่อเอาไว้ มันก็เท่านั้นเอง’

ทุกคำของระย้าดังวนอยู่ในหู จักรกำขอบหน้าต่างแน่น ใบหน้าของสวรรยาแจ่มกระจ่างเข้ามาในความคิด

หล่อนจะต้องโมโหจนควันออกหูแน่ ถ้าเห็นข่าวตัวเองกับเขาในหน้าข่าวซุบซิบในหนังสือพิมพ์ ว่าไปแล้วดวงตาดุๆ นั่นโกรธเกลียดอะไรเขาหนอ เธอถึงมีทีท่าปั้นปึ่งใส่เขาเช่นนั้น ใช่…มันเฉพาะเจาะจงกับเขาเพียงคนเดียว

จักรพยายามนึกย้อน ก็คิดไม่ออกว่าก่อนหน้าที่จะพบเธอที่วังสราญรมย์ เขาเคยเจอสวรรยาที่ไหนมาก่อน บางทีแอลกอฮอล์นิดหน่อยอาจจะช่วยฟื้นความจำได้

จักรเดินออกจากห้องมุ่งตรงสู่บาร์เล็กๆ ด้านล่าง เขาพบคุณพระสุนทรเกษมยืนรินไวน์สีแดงเข้มลงแก้วก้านยาวอยู่ตรงนั้น

“เป็นอะไร ทำไมวันนี้กลับบ้านเร็วได้” อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดกระเซ้าลูกชาย จักรยิ้มรับทักกลับไปว่า คุณพ่อยังไม่นอนหรือครับ คุณพระสุนทรเกษมพูดติดตลกว่าคุณมณีผู้คุมกฎไม่อยู่บ้าน ท่านจึงละเมิดกฏด้วยการดื่มไวน์เกิน 1 แก้วให้ฉ่ำใจเสียหน่อย

จักรมองผู้เป็นพ่อซึ่งเลื่อนแก้วมาให้ลูกชายอย่างรู้ใจ เขาตัดสินใจถาม

“คุณพ่อครับ ระหว่างความเป็นสุภาพบุรุษกับความสำเร็จในหน้าที่การงาน คุณพ่อจะเลือกอย่างไหนครับ” คุณพระสุนทรเลิกคิ้ว เมื่อเห็นใบหน้าจริงจังของบุตรชายท่านก็ตั้งใจตอบ

“ต้องเลือกด้วยหรือ”

“ถ้าต้องเลือกน่ะครับ”

“เอ…ก็ตอบยากนะ เพราะงานของพ่อต้องรักษาความเป็นสุภาพบุรุษ คือรักษาคำพูด รักษาเกียรติยศ รักษาหน้าที่และให้เกียรติผู้อื่น พ่อคิดว่ามันเป็นคุณสมบัติที่จะทำให้เราสำเร็จในหน้าที่การงานได้”

“แต่การทำธุรกิจบางครั้งมันต้องปลิ้นปล้อนบ้าง คุณพ่อว่าไหมครับ”

“เรื่องนี้พ่ออาจจะมีความเห็นไม่ตรงใจลูกนัก แต่ถ้ามันเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ เหมือนทหารจำเป็นต้องฆ่าคนเพราะต้องรักษาบ้านเมือง แบบนั้นพ่อก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เอ…ทำหนังนี่มันเกี่ยวกับความเป็นสุภาพบุรุษด้วยหรือ ลูกชายพ่อคงไม่ได้ไปหลอกลูกสาวใครมาถ่ายหนังโป๊หรอกนะ”

“โธ่…คุณพ่อครับ ผมจะไปทำยังงั้นได้ยังไง”

“เอ้า…จะไปรู้รึไง เขาว่าวงการมายา มายามันแปลว่าอะไรล่ะ หลอกลวง แสร้งทำ ไม่ใช่รึ อะไรๆ ในอาชีพนี้ก็คงไม่พ้นมายา หรือว่าไม่ใช่”

“จริงด้วยสิครับ” จักรเหมือนเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ “กราบขอบพระคุณคุณพ่อครับ ผมทำไมไม่คิดแบบนี้ได้บ้าง”

“พ่อยังไม่ได้พูดอะไรเลย”

“พูดแล้วครับ คุณพ่อช่วยผมไขความข้องใจทั้งหมดได้แล้ว” จักรเลื่อนแก้วเครื่องดื่มที่เขาเทลงคอหมดแล้วคืนให้ผู้เป็นพ่อ เขาสาวเท้าขึ้นห้องด้วยความสบายใจ พรุ่งนี้เขาจะหาทางไปประจบเอาใจแม่ของสวรรยาเอาไว้ก่อน ถ้าต้องใช้แผนของระย้าจริงๆ เขามั่นใจว่าฝีปากของตัวเองจะช่วยเรื่องนี้ได้ ส่วนสวรรยานั้นจะคิดอย่างไรคงไม่ใช่สาระสำคัญ ในเมื่อพี่เธอเป็นคนวางแผนและถ้าแม่ของเธอสนับสนุน เขาก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องเจรจาต่อรองอะไรกับเธออีก

 

เฟื่องฟ้าเดินเรื่อยเปื่อยออกจากบ้านคุณหญิงลำเจียก ลังเลนิดหนึ่งเมื่อเดินมาถึงทางเดินโรยกรวด แต่เมื่อเห็นว่าไฟในเรือนก้านมะลิยังส่องสว่าง เธอก็ตัดสินใจจะไปคุยกับทัพเที่ยงเรื่องนายระย้าคนนี้

เธอออกจะนึกรังเกียจความคิดของผู้ชายคนนั้น แต่เมื่อคิดทบทวนครั้งแล้วครั้งเล่า ก็นึกไม่ออกเลยว่าจะมีวิธีไหนที่ดีไปกว่าสิ่งที่นายระย้าเสนอ

ตอนที่จักรและทัพเที่ยงสาละวนอยู่กับการช่วยเด็กจุกสอยหมากให้คุณหญิงลำเจียก เฟื่องฟ้าเป็นคนเดินออกไปส่งระย้าถึงหน้าบ้าน เขาว่าจะไปขึ้นรถรางต่อไปยังถนนจักรพรรดิพงษ์ ดูเหมือนเขาจะรู้จักนักเขียน นักหนังสือพิมพ์อยู่ไม่มากก็น้อย

ก่อนลาจากกันเขาถามเฟื่องฟ้าว่า เธออยากทำหนังเพราะอะไร เฟื่องฟ้าตอบเขาไปว่าอยากทำก็เพราะอยากทำ เธอไม่ได้ยวนเขา แต่เธอคิดอย่างนั้นจริงๆ

‘มีเงินมากอย่างพวกคุณนี่ดีจริง’ คำพูดนั้นไม่มีน้ำเสียงอย่างหนึ่งอย่างใด แต่เฟื่องฟ้ารู้สึกเหมือนโดนดูถูก ซึ่งเมื่อเห็นแววตาของระย้าที่บอกกับเธอว่า ‘ผมอยากทำหนังเพราะอยากมีชื่อเสียงในวงการนี้ ผมรักหนัง’ มันกลับทำให้รู้สึกว่า ตัวเธอนั้นช่างไม่มีเป้าหมายอะไรในชีวิตเลย เธอรู้สึกเกลียดนายระย้าขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล หมอนั่นทำให้เฟื่องฟ้าหงุดหงิด และหงุดหงิดจนเธอไม่อาจจะควบคุมกิริยาทรงเสน่ห์ของตัวเองต่อหน้าผู้ชายอย่างเขาเอาไว้ได้ ดังนั้นเมื่อสิ้นคำนั้น เฟื่องฟ้าเลยเผลอยื่นปากเหมือนจะส่งเสียง ‘เชอะ’ ออกไปแบบกิริยาของเด็ก

นายระย้าหัวเราะ แถมมีสีหน้าพอใจกับปฏิกิริยาของเธอ เฟื่องฟ้าก็ยิ่งนึกเกลียด เกลียด เกลียดและรู้สึกเสียหน้าในเวลาเดียวกัน

เธอตัดสินใจมาหาทัพเที่ยงเพราะอยากจะรู้ว่าเขาคิดอย่างไรกับนายระย้าคนนี้ ส่วนจักรนั้นเฟื่องฟ้ารู้จักเขาดีพอๆ กับรู้จักตัวเอง ในเมื่อระย้าแสดงความฉลาดเฉลียวและคิดอย่าง ‘มืออาชีพ’ คือทำอย่างไรก็ได้ให้หนังได้ฉายและได้เงิน จักรซึ่งอาจจะตกใจกับวิธีการของระย้าบ้าง แต่เขาก็คงไม่คิดจะขับไสหมอนี่ออกไปจากโครงการ ไม่แน่ว่าเมื่อคิดสะระตะดีแล้ว จักรอาจจะเห็นด้วยกับระย้าและเต็มใจทำตามแผนของหมอนั่นก็ได้

แต่ทัพเที่ยงไม่ใช่จักร เฟื่องฟ้ายังเดาไม่ออกว่าเขาคิดอย่างไรแน่ และตอนนี้เธอก็อยากจะรู้

โชคดีที่วันนี้เฟื่องฟ้ามานอนบ้านคุณหญิงย่า ดังนั้นเธอจึงมีเวลามากพอที่จะคุยกับเขา ยิ่งจักรกลับเร็วทัพเที่ยงซึ่งไม่นิยมดื่มคนเดียวก็ย่อมพร้อมจะคุยกับเธอด้วยสติครบถ้วน

เฟื่องฟ้าก้าวต่อไปบนทางเดินโรยกรวด เมื่อถึงหน้าบ้านแทนที่เธอจะส่งเสียงเรียก หญิงสาวกับนึกสนุกเลยเลือกจะย่องเข้าไปให้เขาประหลาดใจเล่น

ทัพเที่ยงทำอะไรอยู่นะ เธอเงี่ยหูฟัง ไม่มีเสียงพิมพ์ดีด บางทีเขาอาจจะนั่งเขียนอะไรขยุกขยิกอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสืออยู่ก็ได้

หญิงสาวเขย่งปลายเท้า จิกขึ้นบันไดไปให้เบาที่สุด เมื่อขึ้นไปแล้วเธอก็ชะเง้อผ่านหน้าต่างที่ถูกบังด้วยผ้าม่านสีขาว เฟื่องฟ้ามองผ่านลอยแยกของผ้าม่าน ปรากฏว่าทัพเที่ยงไม่ได้อยู่ที่โต๊ะหนังสือ แต่กำลังนั่งคุยกับใครบางคนอยู่บนโต๊ะรับแขก

ใครมาหาเขานะ หรือว่าจะเป็นจักรที่ย้อนกลับมา

เฟื่องฟ้าขยับหามุมให้พ้นม่านบังตา แล้วก็ใจหายวูบ ให้บ้าตาย.. เธอเห็นเขากำลังนั่งพูดอยู่กับอากาศข้างตัว

หรือจะมีใครอยู่ที่มุมห้อง…เฟื่องฟ้าพยายามมองหา แต่ไม่มี…ไม่มีใครเลย

หญิงสาวตกใจยกมือขึ้นอุดปาก ทรุดร่างลงตรงใต้หน้าต่างนั้นเอง

“ฉันคือหลวงเลิศสลักกิจในชาติที่แล้วหรือแม่กลิ่น นายเที่ยงคนนั้นคือฉันใช่ไหม” เสียงของทัพเที่ยงทำให้เฟื่องฟ้าได้ยินก็ใจเต้นรัว เธอค่อยๆ ยืดร่างในท่าคุกเข่าชะเง้อมองจากขอบล่างของหน้าต่างดูเขาเพื่อความแน่ใจอีกรอบ คราวนี้เห็นเขาถลาเข้าหาความว่างเปล่าที่เก้าอี้ข้างๆ เสียงเขาถามอย่างร้อนรน

“แม่กลิ่น โธ่…เธอร้อนอีกแล้วหรือ เธอเป็นอะไรไปกลิ่น…กลิ่น”

สีหน้าทัพเที่ยงเหมือนคนจะร้องไห้ ถ้าสิ่งที่เขาคุยอยู่เป็นคนสักคนหนึ่ง อาการของเขาก็เหมือนอยากจะตายแทนคนคนนั้นไปเสียให้ได้

ถึงตอนนี้หัวใจของเฟื่องฟ้าก็เต้นแรง เธอไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้เห็น แต่ร่างกายของเธอคงเชื่อไปกว่าครึ่ง เพราะหัวเข่าที่เคยแข็งแรงของเธอทรุดลงจนไปนั่งขดใต้ขอบหน้าต่าง

สิ่งแรกที่เธอนึกถึงคือสไบสีจำปา สิ่งต่อมาคือผีนางตานีที่จุกและผินเล่าให้ฟัง

‘คุณเย็นปิดปากเงียบเลยเจ้าค่ะ แต่หนูได้ยินจริงๆ นะคะว่าคุณทัพเที่ยงเจอผีห่มสไบที่เรือนก้านมะลิ’ จุกเล่า ทำท่าขนลุกขนพอง

‘ฉันอยู่มาตั้งนานไม่เห็นเคยได้ยินเรื่องผี’ คราวนั้นเฟื่องฟ้าออกรับแทนผู้อาวุโสของบ้าน จนเมื่อเธอและจักรได้เห็นด้วยตาตัวเอง ความคิดที่ว่าจุกหูเฝื่อนจนเข้าใจผิดไปเองก็ถูกสั่นคลอน แล้วยิ่งตอนนี้ ทัพเที่ยงคุยกับใคร เขาคุยอยู่กับใคร…

‘คุณฟ้าขา สาบานให้จุกตายเลยเจ้าค่ะ หนูได้ยินกับหูจริงๆ คุณเย็นบอกเองเลยว่าเมื่อก่อนไม่มี มามีก็ตอนที่คุณฟ้าไปเรียนเมืองนอกแล้ว พวกคุณๆ เขาคิดกันว่าผีมันติดมากับเครื่องเรือนที่คุณฟ้าซื้อมาก่อนไปเมืองนอกนั่นละเจ้าค่ะ’

‘เซี้ยว’

‘จริงเจ้าค่ะ หนูว่าไอ้เตียงสี่เสาหลังนั้นแน่ๆ เตียงอะไรก็ไม่รู้ อยู่ใกล้ๆ แล้วขนลุก’

เสียงจุกยังดังต่อเนื่องเข้ามาในกระแสความคิด แล้วก็ต้องชะงักลงเมื่อเฟื่องฟ้าได้ยินเสียงเดิน เธอขยับตัวคลานไปที่บันได กะว่าเมื่อถึงพื้นดินจะวิ่งหนีกลับไปให้เร็วที่สุด ทว่าเมื่อได้ยินเสียงบานพับประตูแผดก้อง เฟื่องฟ้าก็ตัวแข็งทื่อ เธอได้แต่ภาวนาให้ตัวเองหูฝาดหรือไม่ทัพเที่ยงก็เปลี่ยนใจเดินเข้าบ้านไปโดยไม่เห็นว่าเธออยู่ตรงนี้



Don`t copy text!