มหรสพเวรา บทที่ 21 : คาหนังคาเขา

มหรสพเวรา บทที่ 21 : คาหนังคาเขา

โดย : คีตาญชลี แสงสังข์

Loading

มหรสพเวรา โดย คีตาญชลี แสงสังข์ นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น 4 กับเรื่องราวที่จะพาคุณล่องลอยถอยสู่บรรยากาศบ้านเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ย้อนกลับไปเห็นตั้งแต่ของเล็กอย่างแก้วโอเลี้ยงไปจนถึงสิ่งยิ่งใหญ่อย่างโรงมหรสพสมัยใหม่ที่เรียกว่าโรงภาพยนตร์ ขอเชิญท่านพิศเพลินพร้อมกันทั้งประเทศ ณ บัดนี้

“คุณเฟื่องฟ้า” เสียงทัพเที่ยงประหลาดใจ “ไปนั่งทำไมอยู่ตรงนั้นครับ” ในที่สุดเฟื่องฟ้าก็ไม่รอด

หญิงสาวค่อยๆ ลุกขึ้น มือของเธอเย็นเฉียบและรู้สึกถึงอาการสั่นของสะบ้าหัวเข่า

เฟื่องฟ้าทำเป็นปัดแขนขา คำแก้ตัวไหลมาเป็นสาย เธอจะบอกว่ามาหาต่างหู สร้อย แหวนที่ทำตกเอาไว้เสียก็ได้ แต่ในที่สุดเฟื่องฟ้าเลือกที่จะถามออกไปตรงๆ

“คุณทัพเที่ยงคุยกับใครอยู่หรือคะ”

ทัพเที่ยงกระตุก เป็นการกระตุกที่ทำให้หน้าซีด แล้วถอยผงะไปข้างหลัง

เขาเหลือบตามองเข้าไปในบ้าน แล้ววินาทีที่เหมือนกับว่าเขาได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ชายหนุ่มก็เบนสายตาช้าๆ มาที่เฟื่องฟ้า ซึ่งกำลังจ้องเขม็งรอคอยคำตอบของเขาอยู่

“คุณเห็นหรือครับ” เขาว่า ใบหน้าที่หันหลังให้แสงมืดจนเฟื่องฟ้าจับสีหน้าไม่ได้

“ค่ะ” เธอกล้ำกลืนตอบไม่ให้เสียงสั่น

“มานานแล้วหรือครับ” เขาถาม น้ำเสียงไม่บ่งบอกความรู้สึกใด แต่แวบหนึ่งที่เขาเอี้ยวหน้าไปทางแสง เฟื่องฟ้ารู้สึกว่าเขาหน้าซีดลง จังหวะนั้นหญิงสาวรู้สึกเหนือกว่า เธอยิ้มให้ตัวเองแล้วตอบกลับไปว่า “ค่ะ” เท้าก็สืบไปข้างหน้า เป็นอาการคุกคามเพื่อจะบีบให้เขาตอบเธอด้วยความจริง

“ฉันเห็นคุณคุยคนเดียว”

หญิงสาวจี้ถาม มองผ่านประตูเข้าไปในตัวบ้าน ทัพเที่ยงมองตาม แต่ไม่มีใครอยู่ในห้องนั้น

เธอเบนสายตากลับมาหาเขา เห็นเหงื่อเม็ดหนึ่งไหลเลาะจากข้างขมับไปหยุดนิ่งที่สันกรามแข็งแรง กระเดือกของเขาเคลื่อนขึ้นลงจากอาการกลืนน้ำลาย เฟื่องฟ้าใช้โอกาสนั้นเอื้อมแตะต้นแขนชายหนุ่ม ช้อนตาเข้าไปในดวงตาของเขาแล้วว่า

“ฟ้าเชื่อทุกอย่างที่คุณพูด บอกได้ไหมคะว่าคุณคุยกับใครอยู่”

“อันที่จริงคือผม…ผม ผมก็…” เขาหยุดคำพูดเอาไว้แค่นั้น เบนสายตากลับไปยังห้องนั้นอีกรอบ

“ก็อะไรคะ”

“ก็อยากแสดงหนังอยู่เหมือนกันครับ” ทัพเที่ยงโพล่งออกมา “เมื่อกี้ก็เลยลองซ้อมบทดู คุณอย่าไปบอกอาของคุณนะ”

“ฮะ…” เสียงและสีหน้าเฟื่องฟ้าเหมือนไม่อยากเชื่อ

“ครับ ผมซ้อมบท” ทัพเที่ยงย้ำคำตอบอีกครั้ง เฟื่องฟ้าเบียดร่างเข้าไปในบ้าน หญิงสาวหมุนรอบตัว มองเข้าไปตามซอกข้างตู้ ใต้โต๊ะ แล้วก็ต้องยอมจำนนว่าเขาน่าจะพูดความจริง เธอไม่รู้ว่าหาอะไรหรืออยากจะให้คำตอบแบบไหนเหมือนกัน แต่ก็ยอมรับว่าตัวเองรู้สึกโล่งอก

“โธ่…คุณทำฟ้าตกใจรู้ไหมคะ”

หน้าของทัพเที่ยงแดงแจ๋

“ขอโทษนะครับ แต่อย่าบอกคุณจักร…ได้ไหมครับ”

“เอ…เรื่องนี้ยังไม่รับปากนะคะ” เธอส่งสีหน้าล้อเลียน บรรยากาศในบ้านทุเลาความคลุมเครือ ทัพเที่ยงถามย้ำอีกว่าเธอย้อนกลับมาด้วยเรื่องอะไรเพราะยังสงสัยอยู่

“ก็เรื่องนายระย้าคนนั้น” เฟื่องฟ้าเสียงขุ่น “ฟ้าอยากรู้ว่าคุณคิดยังไงกับเรื่องของเขาบ้าง”

ทัพเที่ยงพยักหน้า ตาของเขาเหลือบไปที่นาฬิกาแมงดาบนผนัง เมื่อเห็นว่าเข็มสั้นมันเกือบจะถึงเลขสิบเขาก็หันมองออกไปยังเรือนใหญ่ ความมืดที่ขวางกั้นอยู่มองเห็นเพียงแสงไฟริบหรี่อยู่หลังแนวไม้

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ในบ้านเราเองไม่มีใครเขาจะเอาฟ้าไปพูดไม่ดีได้หรอกค่ะ” เฟื่องฟ้าเอ่ยเหมือนรู้ใจ ทัพเที่ยงพยักหน้า นั่งลงที่ชุดรับแขกตามเธอ

คราวนี้เฟื่องฟ้าไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา เธอยิงตรงไปที่เรื่องของระย้าทันที หากแต่เฟื่องฟ้าไม่ได้ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า เธอไม่ชอบหน้าระย้า ไม่ชอบวิธีที่เขามอง ไม่ชอบวิธีใช้คำพูดของเขาโดยเฉพาะเรื่องที่เขาพูดกับเธอหน้าบ้าน แต่ใช้คำว่าไม่สบายใจในวิธีการที่ระย้าจะใช้กระตุ้นความสนใจให้กับ ‘สาปรักเรือนร้าง’ แทน

“ผมว่าคุณจักรก็ไม่สบายใจ แต่คุณระย้าบอกแล้วว่าให้เอาไว้เป็นทางเลือกนี่ครับ เราอาจจะไม่ต้องทำอย่างนั้นก็ได้”

“ฟ้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นเรื่องเดียวนะคะ ฟ้าหมายถึงนิสัยใจคอ คุณรู้สึกยังไงกับหมอนั่น อ่า…เขาบ้าง” เธอหลุดปาก ทัพเที่ยงยิ้มบางตอบไปอย่างกลางๆ ว่า เขาเพิ่งจะเจอกับระย้าได้เพียงครั้งเดียว แต่เท่าที่สังเกตเห็น ระย้าเป็นคนพูดตรงไม่อ้อมค้อม ด้วยอาชีพอาจารย์ในมหาวิทยาลัยของทัพเที่ยงนั้น นิยมพูดด้วยวิธีบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น เขาอาจจะไม่ชินกับการสื่อสารของระย้าบ้าง แต่ก็ไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ

“คนที่อยู่กับฝรั่งอย่างคุณมามาก น่าจะชินกว่า”

“ก็ใช่ค่ะ แต่ฟ้าหมายถึงเรื่องอื่น”

“เรื่องอะไรหรือครับ”

“ก็…แหม…ไม่รู้สิคะ” เสียงเฟื่องฟ้าเริ่มสะบัด “เขาจะเก่งจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไม่เคยกำกับมาสักเรื่องเดียว”

“เรื่องนั้นผมไว้ใจคุณจักรครับ เขาน่าจะคิดมาดีแล้ว” ทัพเที่ยงเหมือนจะตัดบท “ผมคิดว่าคุณจักรจะต้องเห็นอะไรในตัวคุณระย้า และเท่าที่คุยกันวันนี้ เขารู้เรื่องในวงการลึกซึ้ง และมีอะไรดีๆ พอตัว”

“อะไรดีๆ ที่ว่าคืออะไรคะ” เฟื่องฟ้าจี้ ทัพเที่ยงยิ้มเอ็นดู น่าแปลกที่เฟื่องฟ้ากลับรู้สึกตัวเองบอบบางน่ารัก ไม่เหมือนเวลาเห็นยิ้มของนายระย้า มันเป็นยิ้มแบบเดียวกันนี่แหละแต่กลับทำให้เธอหงุดหงิดชะมัด

“พอเขารู้ว่าเรามีปัญหาเรื่องอะไรอยู่ เขาก็หาวิธีแก้ไขได้เป็นฉากๆ ถึงวิธีการมันอาจจะไม่น่าสบายใจนัก แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาคิดได้แบบคนที่รู้จักวงการนี้จริงๆ บางทีเราอาจจะต้องปรับตัวเองบ้าง หรือไม่…” ทัพเที่ยงเว้นระยะ สีหน้าเข้มขึ้น “เราก็ไม่เหมาะที่จะอยู่ในวงการนี้”

เสียงต่ำๆ ของทัพเที่ยงทำเอาเฟื่องฟ้าเถียงไม่ออก ใบหน้าเหลี่ยมจัดแพรวพราวของระย้าลอยแทรกเข้ามาในห้วงความคิด เฟื่องฟ้ายอมรับว่าตัวเองจำนนต่อคำพูดของทัพเที่ยง แต่เธอไม่อยากจะจำนนต่อความคิดของนายระย้าคนนั้นเลย

เฟื่องฟ้าลุกพรวดขึ้น…

“ฟ้าเข้าใจกระจ่างแจ้งแล้วค่ะ”

“ครับ” ทัพเที่ยงลุกตาม เมื่อเธอเดินนำออกจากบ้านไปอย่างมาดมั่น เขาก็ทำท่าจะเดินตามไปส่ง แต่เฟื่องฟ้าหันมาห้าม

“ส่งแค่ตรงนี้ก็พอค่ะ ในบ้านเราเองฟ้าเดินไปได้” ขณะพูดเธอพิจารณาใบหน้าของทัพเที่ยงทีละส่วน “คุณดูเหมือนคนอดหลับอดนอนอย่างที่คุณระย้าพูดจริงๆ พักผ่อนนะคะ”

ทัพเที่ยงยิ้มรับความห่วงใยของเธอ แล้วก็หน้าแดงขึ้นเมื่อเธอใช้ปลายนิ้วเคลือบสีแตะแผ่วเบาไปที่ใบหน้าเขา คิ้วขมวดมุ่นและการจ้องมองอย่างพินิจนั่นไม่ใช่อาการของหญิงสาวที่กำลังหว่านเสน่ห์ แต่เหมือนหมอกำลังวินิจฉัยโรค

“ฟ้า…เป็นห่วงนะคะ” เธอทิ้งท้ายและหมายความตามที่พูดจริงๆ

หญิงสาวเดินจากไป เมื่อถึงต้นแก้วเธอก็หันกลับไปมองเรือนก้านมะลิอีกครั้ง คิดหวังในใจว่าเขาจะยังคงยืนมองส่งเธออยู่เหมือนทุกครั้งที่เขามักจะทำ แต่คาดผิด เธอเห็นทัพเที่ยงกำลังเดินเข้าบ้าน กลายเป็นเธอเสียเองที่เป็นฝ่ายยืนส่งเขา จนแสงไฟในบ้านหายไปหลังบานประตูที่ถูกปิดลง

เฟื่องฟ้าหันหลังกลับ ตั้งใจจะเดินเข้าตึกใหญ่ แต่แล้วก็ใจหายวูบหน้าถอดสีเมื่อคิดได้ว่า ในบทหนังนั้นไม่มีคนชื่อ ‘กลิ่น’ และก็ไม่มีท่อนที่ว่า ‘ฉันคือหลวงเลิศสลักกิจ’ อยู่ตรงไหนสักท่อนเดียว

เฟื่องฟ้าหันขวับ มือเย็นเฉียบ อาคารทรงขนมปังขิงยืนทะมึนอยู่ใต้ต้นจันใหญ่ แสงไฟที่ลอดออกมาจากบานกระจกเหมือนหน้าต่าง ดูเรืองรองราวดวงตาของปีศาจ หญิงสาวขนลุกซู่ ก่อนจะตัดสินใจย่องกลับไปที่เรือนก้านมะลิอีกรอบ

 

พระจันทร์เสี้ยวทอแสงอ่อนแรงอยู่บนท้องฟ้า ทางเดินมีเพียงเสาไฟสนามใกล้ต้นแก้วส่องสว่างอยู่เพียงดวงเดียว ทัพเที่ยงใจเต้นแรงเมื่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ เมื่อกี้เกือบไปเสียแล้ว…

เมื่อกลับเข้าบ้านทัพเที่ยงร้องเรียกกลิ่นอยู่สองสามหน ร่างในชุดสไบสีจำปาปรากฏกายขึ้นที่ข้างบันได หล่อนชี้มือไปยังหน้าต่าง แม้ไม่ได้ยินเสียงแต่ชายหนุ่มก็พยักหน้าเข้าใจ เขารีบเดินไปปิดเพื่อความสบายใจของเธอและของเขาด้วย

“กลับไปแล้ว” เขาย้ำบอกเธออีกรอบ นึกขำว่าคราวนี้เขารอดไปได้เรื่องแม่กลิ่น แต่ก็จำต้องมดเท็จไปว่าตัวเองอยากแสดงเป็นพระเอกของเรื่อง เขารู้ว่าเฟื่องฟ้าจะต้องบอกจักรแน่ๆ ซึ่งเขายังคิดไม่ออกว่าจะแก้ตัวให้รอดในข้อหลังได้อย่างไร ในเมื่อจักรต้องการตัวเขาให้แสดงบทนี้อย่างกับอะไรดี

กลิ่นเข้ามาแตะแขนเขา เหมือนเธอต้องการช่วยคลายกังวล ตลอดหลายคืนมานี่เขารู้สึกใกล้ชิดกับเธอมากขึ้น ผูกพันกับเธอมากขึ้น กลิ่นพาเขากลับไปในที่ที่หล่อนจากมา ตอนนี้เขารู้แล้วว่ายุคสมัยที่เธอพาย้อนกลับคือแผ่นดินพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ 5 เขาเห็นตัวเองหรืออย่างน้อยเขาเชื่อว่าเป็นตัวเอง รับราชการอยู่ในกรมช่างสิบหมู่ ราชทินนาม ‘เลิศสลักกิจ’ ก็ได้มาด้วยฝีมือเชิงช่างของเขา หากแต่เขาไม่ได้ทำงานในหมู่ช่างสลักแต่ทำในหมู่ช่างกลึง อันเป็นงานสลักเสลาเกลาแต่งงาช้างและงานไม้ และที่ทำให้ขุนเลิศสลักกิจเลื่อนยศขึ้นไปเป็นหลวงเลิศสลักกิจได้นั้น ก็มาจากฝีมือแกะตลับงาอันวิจิตรของเขาที่กำลังเป็นที่นิยมในหมู่ชาววังยุคนั้น

งานฝีมือหลวงเลิศหรือตัวเขาที่ภูมิใจอย่างที่สุดคือตลับงาชุดมังคุด เขาประดิษฐ์มันเป็นเถาขนาดต่างๆ กันถึง 12 ใบ แต่ละใบใส่ซ้อนกันได้แบบตุ๊กตารัสเซีย ไล่เรียงจากขนาดอุ้มมือไปจนถึงใบเล็กจิ๋วที่เขาเองก็นึกไม่ออกว่าจะใส่อะไรลงไปได้ และเมื่อผลงานและตัวเขาเป็นที่ต้องพระราชหฤทัยมากขึ้นเท่าใด พระยาโชฎึกราชเศรษฐีก็ยิ่งพลอยเอ็นดูเขามากขึ้นตามไปเท่านั้น

ดังนั้นที่แม่แย้มมารดาของหลวงเลิศทำนายไว้ว่า การจะได้สะใภ้เป็นลูกสาวเจ้าคุณโชฎึกนั้นเห็นทีจะไม่ใช่เรื่องยากเย็น จึงเกิดขึ้นจริงๆ ส่วนหนึ่งเพราะอัฐอันเหลือเฟือของนางและอีกส่วนจากยศตำแหน่งที่สูงขึ้นของลูกชายนาง

แม่เฟื่องลูกสาวคนเล็กของเจ้าคุณโชฎึกนั้นเป็นคนสวยอย่างร้ายกาจ หล่อนมีดวงตาแพรวพราวอย่างหญิงฉลาด ผิวหรือก็ขาวละเอียดลออสมกับเป็นลูกเจ้าคุณผู้มีเชื้อสายชาวจีน ใบหน้าหมดจดนั้นไม่เหมือนเฟื่องฟ้าเสียทีเดียวแต่ก็ประพิมพ์ประพายเดียวกัน ถ้าเรื่องนี้เป็นละครพูดที่เล่นทางช่อง 4 บางขุนพรม เขาก็เห็นว่าคงจะสามารถใช้นักแสดงคนเดียวกันได้

อย่างไรก็ตามทัพเที่ยงไม่แน่ใจว่าเฟื่องฟ้าจะใช่คุณเฟื่องในชาติที่แล้วหรือไม่ แต่ตัวเขานั้นคือหลวงเลิศสลักกิจไม่ผิดไปจากนี้แน่

นึกถึงว่าตัวเองคือหลวงเลิศทัพเที่ยงก็อยากจะตะบันหน้าหมอนั่นนัก ก่อนแต่งงานคุณหลวงหนุ่มเกี้ยวแม่กลิ่นจนอายม้วน แต่เมื่อถึงเวลามีเมียเขากลับเลือกแต่งกับหญิงมีชาติตระกูลมากกว่าผู้หญิงในบ้านเช่นหล่อน

อย่างไรก็ตามหญิงสาวไม่ได้ฟูมฟาย แถมรักใคร่กันดีกับแม่เฟื่องผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรในบ้าน หล่อนเข้าใจว่ากลิ่นและหลวงเลิศนั้นรักใคร่กันฉันพี่น้อง ไม่เคยระแวงสงสัยในเรื่องนี้ ซึ่งทัพเที่ยงก็ออกจะเสียวไส้ขึ้นมา เพราะเท่าที่เห็นคุณพี่เฟื่องของแม่กลิ่นนั้นเป็นคนทิฐิแรง รักใครก็รักจริง เกลียดใครก็เกลียดจริง หากรู้ว่าลับหลังหล่อน หลวงเลิศยังเป็นฟืนเป็นไฟเรื่องที่แม่แย้มมารดาของเขาสนับสนุนกลิ่นให้คุณกล้ามหาดเล็ก แม่เฟื่องคงจะต้องเอากลิ่นถึงตายเป็นแน่

หรือว่าไฟพวกนั้นจะเกิดจากเอกภรรยาของหลวงเลิศ…หรือว่ากลิ่นจะตายลงไปเพราะผู้หญิงคนนั้น…

เรื่องมันจะเป็นอย่างไรต่อไปหนอ เขาเหมือนจะนึกอะไรได้แต่ก็นึกไม่ออก แล้วเมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้ จู่ๆ ทัพเที่ยงก็รู้สึกปวดเหมือนหัวจะระเบิดขึ้นมาจริงๆ

ชายหนุ่มทรุดตัวลงไปนั่งงอก่องอขิงอยู่บนเก้าอี้รับแขก กลิ่นลงนั่งเคียงข้าง ทัพเที่ยงสัมผัสได้ถึงฝ่ามือของเธอที่แตะไต่ตัวเขาด้วยความห่วงกังวล เขาร้องออกมาด้วยความอัดอั้น แล้วผวาซุกร่างกับตักอุ่นนิ่มข้างหน้า ให้ตาย…เขาไม่ได้ตั้งใจจะฉวยโอกาส แต่ตอนนี้เขาต้องการใครสักคน ใครก็ได้ช่วยเอาไอ้ก้อนทึบๆ ที่อุดอยู่ตามร่องสมองของเขาออกไปเสียที

อึดอัดเหลือเกิน เขาอึดอัดเหลือเกิน…

ทัพเที่ยงทุบหัวตัวเอง กลิ่นพยายามกระชากมือ เธอทั้งเขย่าทั้งผลักเขาให้ได้สติ แต่ทัพเที่ยงอยากจะ ทุบ ทุบ ทุบ ให้หัวระเบิดออก

ให้ตาย ให้ตายไปเลย เขาไม่เคยอัดอั้นอะไรเท่านี้มาก่อนในชีวิต

“แม่กลิ่น…” เขาคราง ควานหามือเธอเอาไว้เป็นหลักแล้วยึดไว้ “พาฉันกลับไปอีกแม่กลิ่น มันเหมือนจะรู้ก็ไม่รู้ เหมือนจะคิดได้ก็คิดไม่ได้ ฉันจะทนไม่ไหวแล้ว”

หญิงสาวส่ายหน้าตอบ เธอเอามือประกบกันทำท่าให้เขานอน เมื่อเห็นเขาส่ายหน้าปฏิเสธมือของเธอก็ลูบไล้ใบหน้า หลังไหล่ ก่อนจะแตะไปที่ขอบตาของเขาอย่างปลอบโยน เหมือนกับจะบอกว่าเขาควรหลับพักผ่อนจริงๆ ไม่ใช่ไปใช้ชีวิตในอีกโลกเหมือนหลายคืนที่เขาได้ไปมา

“ไม่…ฉันไม่ไหวแล้ว ถ้าเธอไม่พาไป ฉันต้องอัดใจตายแน่ๆ” เขาร้องขอ กลิ่นส่ายหน้า ฉุดเขาให้ลุกขึ้น แล้วชี้มือขึ้นด้านบน

ทัพเที่ยงเดินตามขึ้นไปอย่างว่าง่าย แม้จะฟังความกันไม่เข้าใจ แต่ทัพเที่ยงก็แน่ใจว่า กลิ่นจะอยู่เป็นเพื่อนเขาเพื่อแบ่งเบาบรรเทาทุกข์ในคืนนี้ตราบเท่าที่เขาต้องการ

ตอนนี้ทัพเที่ยงย้ายมานอนในห้องเล็ก เพราะห้องใหญ่ของเขานั้นเตรียมเอาไว้สำหรับเป็นพื้นที่ถ่ายทำภาพยนตร์ เตียงนอนในห้องเล็กมีลักษณะเดียวกันกับห้องใหญ่แต่แคบกว่า มันทำจากเหล็กหล่อบางเบา เสาทั้งสี่ด้านก้านบางเท่าสายบัว ห้องนี้ไม่ได้ติดมุ้งลวด เตียงจึงมีมุ้งครอบลงไปอีกชั้นหนึ่ง ตอนแรกกลิ่นปล่อยให้ทัพเที่ยงเข้าไปคนเดียว แต่เขาไม่ยอมปล่อยมือ กลิ่นจึงจำยอมเข้าไปนั่งบนเตียงด้วย

ข้างนอกมืดสนิท อากาศก็หนาว แสงจากโป๊ะไฟรูปดอกไม้กลางห้องลอดผ่านตาข่ายมุ้งมาอย่างอ่อนแรง ทัพเที่ยงกุมมือกลิ่นไว้แล้วร้องขอ

“อยู่เป็นเพื่อนฉันอีกสักครู่นะ”

กลิ่นพยักหน้า เมื่อสบตากันใบหน้าอย่างหญิงโบราณก็ปลั่งขึ้นด้วยเลือดฝาด ทัพเที่ยงไม่รู้ว่าเขามองเธอด้วยสายตาแบบไหน แต่ตอนนี้เขาชักรู้สึกไม่ไว้ใจตัวเอง ความอึดอัดขัดใจเมื่อครู่ เมื่อมีแม่กลิ่นนั่งอยู่ข้างเตียงอย่างเวลานี้ มันกลับเปลี่ยนเป็นความรู้สึกหวิวหวั่นบางประการ

เขานึกไปถึงหลวงเลิศ เพราะอย่างนี้หรือเปล่า แม้จะมีแม่เฟื่องเป็นเจ้าหัวใจอยู่แล้ว แต่ก็ไม่อาจจะปล่อยแม่กลิ่นเอาไปให้ใครได้

คิดแล้วทัพเที่ยงก็รู้สึกเกลียดตัวเอง แต่เขาก็มีข้อแก้ต่างว่า เขาไม่สบายจึงอยากมีใครสักคนอยู่เป็นเพื่อน โดยที่ไม่เคยรู้เลยว่า ในเรือนก้านมะลิยังมีเฟื่องฟ้าอีกคนอยู่ด้วยกันกับเขา และตอนนี้หล่อนก็กำลังนั่งเข่าทรุดอยู่บนเฉลียงด้านนอก ด้วยอาการกลั้นสะอื้นด้วยความกลัวสุดขีด ตรงใต้ขอบหน้าต่างที่หล่อนได้แนบตาผ่านร่องรูของตาไม้มองเข้ามาในบ้านจากใต้หน้าต่างบานนั้น



Don`t copy text!