มหรสพเวรา บทที่ 22 : กำจัดเสี้ยนหนาม

มหรสพเวรา บทที่ 22 : กำจัดเสี้ยนหนาม

โดย : คีตาญชลี แสงสังข์

Loading

มหรสพเวรา โดย คีตาญชลี แสงสังข์ นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น 4 กับเรื่องราวที่จะพาคุณล่องลอยถอยสู่บรรยากาศบ้านเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ย้อนกลับไปเห็นตั้งแต่ของเล็กอย่างแก้วโอเลี้ยงไปจนถึงสิ่งยิ่งใหญ่อย่างโรงมหรสพสมัยใหม่ที่เรียกว่าโรงภาพยนตร์ ขอเชิญท่านพิศเพลินพร้อมกันทั้งประเทศ ณ บัดนี้

 

“นางตานีแน่ๆ ค่ะคุณฟ้า”

“นางตานีอะไรใส่สีจำปา” ผินแย้งจุก

“ก็แหม มันก็อาจจะมีหลายสีก็ได้ ไม่ใช่นางตานีแล้วมันจะผีอะไรอีกล่ะพี่ผิน”

“นางตะเคียนไง เตียงหลังนั้นทำจากไม้ตะเคียนหรือเปล่าเจ้าคะ” ผินหันไปถามเฟื่องฟ้าที่ทรุดร่างกอดตัวเองอยู่ในห้องหญิงรับใช้ทั้งสอง ครั้งแรกที่ไปเรือนก้านมะลินั้นเฟื่องฟ้าเห็นทัพเที่ยงพูดอยู่คนเดียว แต่การกลับไปครั้งที่สอง ตาที่แนบรูบนผนังใต้ช่องหน้าต่าง เฟื่องฟ้าเห็นว่าทัพเที่ยงกำลังพูดคุยอยู่กับหญิงสาวในชุดสไบสีจำปา

หลังควบคุมสติได้แล้ว เฟื่องฟ้าก็โกยอ้าวมาเคาะห้องหญิงรับใช้ทันที…ก็จะมีใครเชื่อเธอเท่าจุกและผินคงจะไม่มีอีกแล้ว

“เราจะทำยังไงต่อไปดี” เฟื่องฟ้าถามออกมาเป็นคำแรกหลังจากนั่งฟังมานาน ผินและจุกเสือกตัวไปล้อมหญิงสาวเอาไว้ทันที

“เราต้องย้ายเตียงหลังนั้นออกไปก่อนเจ้าค่ะ” ผินที่ดูจะชำนาญการเรื่องผีกว่าจุกตอบ

“แล้วคุณทัพเที่ยงเขาจะยอมหรือ เขาดูหลงผีนั่นมากเลยนะ” เสียงเฟื่องฟ้าออกอาการฉุนเฉียว เธอโกรธอีผีตัวนั้นขึ้นมาจริงๆ

“มันเป่ามนตร์ให้หลงนี่เจ้าคะ คุณจะต้องไปหาน้ำมนต์เก้าวัดมาให้เธอดื่ม แล้วก็หาทางเอาเตียงไปทิ้ง”

“อาจักรคงไม่ยอม”

“ทำไมล่ะเจ้าคะ”

“ก็ในบทเขียนเอาไว้ว่าผีนางเอกสิงอยู่กับเตียง เราต้องถ่ายทำให้เสร็จก่อน แล้วนี่…ฉันจะ…จะทำยังไงดีล่ะ” เฟื่องฟ้าออกอาการสับสน เธอเอามือกุมหัวบีบขมับตัวเองหนักๆ

“แบบนั้นใช้หมอผีมาปราบจับลงหม้อเลยดีไหมเจ้าคะ” ผินเสนอ เฟื่องฟ้านิ่งคิด พักใหญ่ๆ ก็ส่ายศีรษะ

“ทำไมล่ะคุณฟ้า”

“มันจะไม่ประหลาดไปหน่อยหรือไง ใครจะเชื่อเรื่องแบบนี้ นี่มันยุคจรวดแล้วนะผิน”

“โธ่คุณฟ้าขา คุณก็เห็นกับตานี่เจ้าคะว่าผีมันมีจริงๆ”

“ผินไม่เข้าใจหรอกน่า” เฟื่องฟ้าอึดอัดไม่รู้จะอธิบายให้สาวใช้ของคุณหญิงย่าเข้าใจได้อย่างไรดี ในโลกของเธอนั้นความเชื่อเรื่องผีสางอย่างไทยๆ นับเป็นของล้าหลัง ตัวเธอเองถ้าไม่เห็นกับตา ใครเอาเรื่องนี้มาบอกก็คงคิดดูถูก การศึกษาของโลกตะวันตกที่เธอไปร่ำเรียนมาเชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์ พวกเขาอธิบายอย่างมีหลักการว่าคนสมัยโบราณเชื่อเรื่องผี เรื่องเทพ เรื่องลึกลับก็เพราะความกลัวต่อสิ่งต่างๆ ที่ไม่อาจหาคำอธิบายได้ ต่างกับตอนนี้ที่เรามีไฟฟ้าใช้ มีรถยนต์ขับ มีคำอธิบายว่าทำไมจึงเกิดฟ้าร้องฟ้าผ่า เรารู้แล้วว่าไม่มีเมขลา-รามสูร รวมถึงไม่มีปลาอานนท์ขยับตัวให้แผ่นดินสะเทือนด้วย

เฟื่องฟ้ากัดเล็บ เงียบไปนาน ผินมองอย่างเข้าใจแล้วจึงปลอบนายสาวไปว่า หล่อนจะลองเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาแม่ที่ต่างจังหวัด แถวบ้านเธอนั้นมีทั้งพระมีทั้งหมอผี บางทีอาจจะมีทางแก้โดยที่ไม่ต้องย้ายเตียงหลังนั้นออกไปจากบ้าน

“อย่างนี้ก็ดีสิผิน” เฟื่องฟ้าเห็นด้วย “ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ฉันจะไปขออนุญาตคุณย่าให้ แต่เราจะเอาอะไรมาอ้างล่ะว่าจะให้ผินกลับบ้านไปทำไม แม่ป่วยหรือ”

ผินส่ายหน้า “คุณหญิงท่านรักคุณฟ้าอย่างกับอะไรดี บอกท่านสิคะว่าอยากกินส้มโอนครชัยศรี ขี้คร้านท่านจะใช้ให้ผินกลับบ้านไปหาซื้อมาให้กิน”

“จริงสินะ” เฟื่องฟ้าตาเป็นประกาย เธอส่งเงินให้ผินไปหนึ่งร้อยบาทเอาไว้เป็นค่าเดินทาง ตอนนี้ความกลัวของเฟื่องฟ้าหายไปแล้ว เหลือแต่ความโกรธ อีผีตัวนั้นบังอาจนัก ที่มายุ่งกับผู้ชายที่กำลังจะเป็นคนของเธอ…

 

ในที่สุดทัพเที่ยงก็ไม่ได้เล่นเป็นพระเอกตามที่เขาปรารถนา เพราะเมื่อทดลองถ่ายไปแล้วอย่างที่ระย้าใช้คำว่าสกรีนเทสต์ ปรากฏว่าเขาเล่นแข็งทื่อพอๆ กับโต๊ะเก้าอี้ที่เขาใช้นั่งในฉากนั่นแหละ

“รูปร่างหน้าตาน่ะรับกล้องดีอยู่ แต่ไม่ไหว เปลืองฟิล์ม” ระย้าลงความเห็น

ในฐานะผู้กำกับ ตอนนี้จึงไม่มีใครกล้าขัดความเห็นเขา จักรซึ่งดำรงสองตำแหน่งคือนายทุนและตากล้องก็ไม่กล้าสั่ง เพราะนอกจากตากล้องอย่างเขาจะต้องทำงานภายใต้คำสั่งผู้กำกับแล้ว ก็ยังต้องอาศัยทีมงานอีกกว่าสิบชีวิตซึ่งล้วนเป็นคนของระย้าทั้งนั้น

หลังจากทัพเที่ยงพ้นภาระหน้าที่ของพระเอกของเรื่องไปแล้ว วันต่อมาระย้าไปได้จ่าอากาศมาคนหนึ่ง จากการแนะนำของผู้ใหญ่ในวงการที่เขานับถือ ชายหนุ่มชื่อพิเชษฐ์ อายุเพียง 22 แต่ใบหน้าคมคาย รูปร่างสูงใหญ่และมีมาดเหมือนกับ ‘โดม’ พระเอกในเรื่องที่ทัพเที่ยงจินตนาการไว้ไม่มีผิด

จักรและระย้าชอบใจเป็นพิเศษตรงเขามีเสน่ห์หลังกล้องเสียจนผู้ชายด้วยกันยังต้องยอมรับ ส่วนนางเอกอีกคนระย้าไปได้ดาราหน้าใหม่ผ่านงานแสดงมาแล้วสองเรื่อง แต่หนังที่เธอเล่นเป็นบทเล็กๆ และจมหายไปกับคลื่นหนังดังอื่นๆ ชื่อของเธอจึงแทบจะไม่เคยปรากฏอยู่ในวงการ ซึ่งระย้าบอกว่าดีแล้ว

ตอนแรกจักรรู้สึกหวั่นใจว่าเธอดูไม่เข้ากับบท แต่พอแต่งองค์ทรงเครื่องด้วยเสื้อผ้าของเฟื่องฟ้าแล้ว ‘พรประภา’ ก็ราวกับองค์ลง หญิงสาวเล่นได้เหมือนสาวนักเรียนนอกลูกผู้ดีมีเงิน ผิดกับตัวจริงเด๋อๆ ด๋าๆ ฟังภาษาอังกฤษไม่ออกสักคำเดียว

“คุณพรแสดงเก่งมากๆ” จักรถึงกับชมเปาะ ทั้งนี้เขาหมายถึงมาดสาวนักเรียนนอกของหล่อน ไม่ได้หมายถึงการแสดงที่ยังขาดๆ เกินๆ ในส่วนอื่น

การทำงานวันแรกค่อนข้างราบรื่นเพราะทุกคนล้วนเป็นมืออาชีพ มีก็แค่จักรที่ยังต้องอาศัยระย้าสอนงานเป็นระยะ แต่ทุกคนก็เห็นแล้วว่าระย้าไม่เคยเบื่อ เขาคงชอบความตั้งใจของจักร หรือไม่ก็ชอบตรงที่ได้คุณหนูนักเรียนนอกมาเป็นลูกไล่สั่งขวาหันซ้ายหันได้นั่นแหละ

เฟื่องฟ้ามองการถ่ายทำอยู่นอกห้องนอนใหญ่ ตอนแรกเธอตื่นเต้นเหมือนกับจักรและทัพเที่ยง แต่ตอนหลังเธอก็ขนลุกจนต้องถอยออกมา สวรรยาในบทผีสาวไม่ได้หน้าเหมือนนังผีที่เฟื่องฟ้าเห็นสักเท่าใดหรอก แต่ชุดและทรงผมนั้นออกมาเหมือนกันอย่างกับแกะ ตอนนี้หล่อนกำลังโดนพิเชษฐ์ในบทของโดมกระชากลงบนเตียง ใบหน้าคมเข้มของพิเชษฐ์ยามมองสวรรยาชวนให้ใจสั่น ไม่รู้ว่าสวรรยาแสดงหรือเกิดอาการขวยเขินขึ้นมาจริงๆ หน้าของหล่อนจึงแดงจ้าอย่างกับใครเอารูทมาป้าย

เฟื่องฟ้าคิดเลยไปถึงทัพเที่ยง เขาจะเคยทำแบบนี้กับนังผีบ้างหรือเปล่าหนอ…คิดแล้วก็ฉิวขึ้นมา เธอกระชับกอดกระเป๋าถือหน้าคว่ำ ใจก็นึกถึงคำพูดของผิน

‘ผ้ายันต์นี่เอาไปแปะไว้ที่เตียงนะเจ้าคะ อาจารย์ว่ามันจะช่วยสะกดวิญญาณผีร้ายเอาไว้ในนั้น ส่วนตะกรุดต้องให้คุณทัพเที่ยงคล้องเอาไว้ให้ได้ค่ะ มันจะช่วยคุ้มครองไม่ให้อีผีนั่นเข้าใกล้คุณทัพเที่ยงได้อีกชั้นหนึ่ง’

รอหน่อยนะอีผี…เดี๋ยวจะเอาให้อยู่ในเรือนหลังนี้ไม่ได้เลยทีเดียว

เฟื่องฟ้าคาดโทษ จ้องหาซอกมุมของเตียงว่าเธอจะติดแผ่นยันต์เอาไว้ที่ไหนถึงจะลับตาคน แต่ตะกรุดนี่สิ เธอจะทำอย่างไรให้ทัพเที่ยงยอมสวมแต่โดยดี

เฟื่องฟ้าเดินวนใช้ความคิดจนระย้าต้องสะกิดบอกให้หลบ เพราะกำลังจะถ่ายทำฉากผีเดินออกจากห้องและต้องใช้พื้นที่บริเวณนี้

เฟื่องฟ้ามองเมิน สะบัดหน้าใส่ระย้าเสียทีหนึ่งแล้วเดินออกไปที่ระเบียง เงาไม้ใต้ต้นจันไหวส่ายไปตามลมบน หญิงสาวสลัดอารมณ์ขุ่น พยายามคิดหาวิธีที่จะเอาตะกรุดไปให้ทัพเที่ยง เวลาเดียวกันนั้นเธอได้ยินเสียงจักรเรียกนายสดคนสวนของคุณหญิงลำเจียกให้ไปซื้อโอเลี้ยงมากำนัลคนในกองถ่าย ชายหนุ่มควักกระเป๋าสตางค์ส่งให้นายสดไป 100 บาท เฟื่องฟ้าเกาะระเบียงยื่นหน้าลงไปมอง ในที่สุดเธอก็คิดอะไรดีๆ ได้

เธอเดินกลับเข้าไปด้านในส่ายตามองหาทัพเที่ยง ก็เห็นเขายืนปรึกษาบางอย่างอยู่กับระย้า ดูเหมือนตอนนี้ฉากข้างบนจะเสร็จแล้ว และคนทั้งหมดกำลังจะย้ายลงไปที่สวนด้านล่าง

“ดูอะไรน่ะยายฟ้า” จักรซึ่งกำลังเดินขึ้นบันไดมาส่งเสียงดุ

“ไม่ได้ดูอะไรนี่คะ” เฟื่องฟ้าไม่ใส่ใจ เธอรู้ว่าจักรกำลังเข้าใจผิดเพราะเห็นเธอมองไล่ไปตามร่างกายส่วนล่างของผู้ชาย เฟื่องฟ้ากำลังหงุดหงิดที่พิจารณาดูทั้งด้านหน้าและด้านหลังกางเกงของเขาแล้ว ไม่เห็นว่าทัพเที่ยงจะเอากระเป๋าสตางค์ใส่ไว้ที่ตรงไหน

“อาจักรพกกระเป๋าสตางค์ติดตัวตลอดไหมคะ” เฟื่องฟ้าถาม คราวนี้ตาของเธอมองไปที่บั้นท้ายของผู้ชายหลายคนในห้อง ก็เห็นว่าแต่ละคนพกกระเป๋าสตางค์เอาไว้ที่กระเป๋ากางเกงด้านหลังกันแทบทั้งนั้น ยกเว้นก็แต่พิเชษฐ์ เขารับหน้าที่นักแสดงคงจะไม่พกของพวกนั้นเข้าฉากเป็นแน่

“พกสิทำไมจะไม่พก” เขามองหน้าหลานสาวด้วยความสงสัย

“แล้วอยู่ไหนล่ะคะ”

“ในนี้” จักรตบเสื้อนอก

อ้อ…เฟื่องฟ้าตาโต สีหน้าหงุดหงิดเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นยิ้มกระจ่าง

เธอหันขวับไปที่ทัพเที่ยงก็เห็นว่าวันนี้เขาไม่ได้สวมเสื้อนอก แต่ที่อกเสื้อเชิ้ตแขนยาวของเขามีกระเป๋าสตางค์แบนๆ นอนนิ่งอยู่ในนั้น

หญิงสาวยิ้มกริ่ม มันสมองเฉียบแหลมของเธอประมวลผลจนจำได้ว่า เธอเคยเห็นทัพเที่ยงถอดเสื้ออยู่สองสามหน คือถ้าไม่ใช้แรงหวดหญ้าอยู่ในสนามเขาก็ถอดตอนที่ปีนขึ้นพะองไปตัดหมากให้คุณหญิงย่า

ถ้าเธอบอกให้เขาไปเก็บหมากให้คุณหญิงย่าเสียตอนนี้ มีหรือที่คนอย่างเขาจะไม่ยอมไป อย่างดีก็อาจจะขอผัดผ่อนไปตอนเลิกกอง แต่ถ้าเธออ้อนนิด ใส่จริตมารยาเสียหน่อย เขาหรือจะกล้าปฏิเสธ

“เดี๋ยวนี้เลยหรือครับ” ทัพเที่ยงถามเฟื่องฟ้า เขาเพิ่งอิ่มข้าว กำลังเดินถือจานอาหารกลางวันไปใส่ในกะละมัง รอจุกและผินซึ่งจักรจ้างมาเป็นพิเศษให้มาจัดการเก็บกวาดเช็ดถู เมื่อเขาได้ยินคำขอของเฟื่องฟ้าก็หันหน้ากลับมาหา

“ตอนไหนก็ได้ค่ะ แค่ฟ้าเห็นว่าหมากของคุณย่าหมดแล้ว แต่ถ้าคุณทัพเที่ยงไม่สะดวกเป็นพรุ่งนี้ มะรืนนี้หรือตอนไหนก็ได้”

“แล้วลุงสดล่ะครับ”

“ลุงสดเจ็บหลังค่ะ อีกอย่างแกก็หกสิบเข้าไปแล้ว คือฟ้า…ฟ้า” เฟื่องฟ้าแสดงท่ากังวล ทัพเที่ยงพยักหน้ารับแล้วออกเดินนำ เป็นสัญญาณว่าเขาจะทำตามที่เธอร้องขอทุกประการ

หญิงสาวกระหยิ่ม นึกอยู่แล้วว่าคนอย่างเขาไม่มีทางแล้งน้ำใจ ยิ่งกับคุณหญิงย่าด้วยแล้ว หล่อนรู้ดีว่าทัพเที่ยงจะใส่ใจเป็นพิเศษ ดูอย่างดอกมะลิที่เขาปลูกเอาไว้ในกระถางนั่นปะไร แค่เขาเห็นคุณหญิงย่าชอบเอาไปใส่ในตลับสีผึ้ง เขาก็มักจะเก็บมะลิที่มีเพียงกระถางเดียวของเขาฝากไปให้บ่อยๆ

เฟื่องฟ้ายิ้มหน้าบาน เดินตามร่างสูงของทัพเที่ยงไปบนทางเดินโรยกรวด แต่เมื่อถึงหน้าต้นแก้วเธอก็หน้าหุบ เมื่อคุณหญิงลำเจียกซึ่งเดินสวนมาพร้อมแม่เย็น ผิน และจุกออกปากถามว่าทั้งสองกำลังจะไปไหน เมื่อรู้ว่าเฟื่องฟ้าและทัพเที่ยงกำลังจะไปตัดหมาก แม่เย็นก็โบกมือพูดสวนออกมาทันที

“หมดเมิดที่ไหนกันคะคุณฟ้า คุณทัพเที่ยงเพิ่งจะขึ้นไปตัดให้เมื่อสามวันก่อน”

“อ้าว…” เฟื่องฟ้าอ้าปากค้าง เมื่อหันไปทางชายหนุ่มก็เห็นเขายิ้มน้อยๆ นี่เขารู้ทั้งรู้ว่าหมากทะลายใหญ่ที่เพิ่งเก็บลงมาจะไม่มีวันหมดภายในสามวัน แต่เขาก็ยอมมากับเธอหรือ

“ก็…ก็…ฟ้าไม่เห็นนี่คะ” หล่อนแก้ตัวน้ำขุ่นๆ

“ย่าขอบใจที่เอาใจใส่ย่านะจ๊ะ แต่คราวหลังถามกันก่อนก็ได้ ไปรบกวนอะไรพ่อทัพเที่ยงเขาบ่อยๆ” คุณหญิงลำเจียกขอบใจหลานสาวด้วยอาการรู้ทัน เฟื่องฟ้ายิ้มเจื่อน นึกเจ็บใจว่าอีผีรอดไปได้อีกแล้ว อย่างไรก็ตามหญิงสาวยังไม่ละความพยายาม เมื่อเธอเห็นสิ่งที่อยู่ในมือจุกคือขนมปลากริมส่วนหม้อดินอีกใบที่อยู่ในมือผินคือขนมไข่เต่า เฟื่องฟ้าก็เริ่มวางแผน

ระหว่างพักกอง จุกและผินช่วยกันตักปลากริมไข่เต่าซึ่งคุณหญิงลำเจียกสั่งให้ทำเลี้ยงแจกทุกคนในกองถ่าย เฟื่องฟ้ารู้ดีว่ามันเป็นขนมโปรดของจักร และเขาก็มันจะวนเวียนไปไหนไม่ไกลทัพเที่ยง เธอเริ่มวางแผนงานในใจ แล้วในที่สุดเฟื่องฟ้าก็ได้โอกาสเมื่อเธอเห็นอาของเธอกำลังกินไปฝอยไปอยู่กับเป้าหมายของเธอ

หญิงสาวอ้อมไปด้านหลัง ส่งเสียง “อุ๊ย” หน้าคะมำไปข้างหน้า มือของเธอสะบัดไปโดนถ้วยขนมในมือจักรกระเด็นราดลงบนอกเสื้อทัพเที่ยงเข้าพอดี นี่ถ้ามีรางวัลการแสดงเธอคงได้ถ้วยชนะเลิศ

“ขอโทษ ขอโทษค่ะ ฟ้าสะดุดอะไรไม่รู้” เฟื่องฟ้าละล่ำละลัก

“ไม่เป็นไรครับ” ทัพเที่ยงลุกพรวดขึ้น คงเหนียวหนึบไปหมดทั้งตัว

“เลอะหมดแล้ว ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่าค่ะ”

“ครับ” เขาตอบนิ่งๆ เฟื่องฟ้าร้อนวาบ หรือเขาจะรู้ทันเธอ

ทัพเที่ยงส่งถ้วยขนมในมือที่กินไปได้เพียงครึ่งเดียวให้จุก สีหน้าขึงขังมึนตึงของเขาตอนเดินอาดๆ ขึ้นบันไดเหมือนจะตอกย้ำว่า เขาเห็นสิ่งที่เธอทำทั้งหมด

ช่างปะไร…มาถึงขั้นนี้แล้วและไม่ได้มีหลักฐานมัดแน่นเสียหน่อย เฟื่องฟ้าไม่สนอะไรอีกแล้ว

เฟื่องฟ้ารอเวลา เมื่อเห็นเขาเดินลงบันไดมาพร้อมผ้าขาวม้าและเสื้อผ้าชุดใหม่ในมือ เธอก็ใช้ให้จุกเฝ้าบันไดเอาไว้ ส่วนตัวเองก้าวพรวดๆ ขึ้นไปบนชั้นสอง ที่ตอนนี้ไม่มีทีมงานเหลืออยู่ข้างบนสักคนเดียว

หญิงสาวย่องเข้าไปในห้องนอนเล็กซึ่งทัพเที่ยงอาศัยนอนชั่วคราว หูก็คอยฟังเสียงด้านนอก ตอนนี้เธอยังไม่พร้อมจะแก้ตัวถ้าหากเขาเกิดพรวดพราดเข้ามาเห็นเธอเข้า เธอได้แต่ภาวนาให้หากระเป๋าสตางค์ของเขาเจอ และหวังว่าเขาคงจะไม่พกมันเข้าไปในห้องน้ำติดตัวไปด้วย

ทว่าไม่มีกระเป๋าสตางค์ ไม่ว่าจะบนโต๊ะ บนที่นอนหรือในตู้เสื้อผ้า

เฟื่องฟ้าหันรีหันขวาง เวลาผ่านไปเท่าใดแล้ว หญิงสาวถามตัวเองพลางเร่งมือ หากแต่เสียงทุบประตูเร่งเร้าของจุกก็ยิ่งทำให้เธอประสาทเสีย

“ยังไม่เจอหรือคะคุณฟ้า เร็วหน่อยค่ะ หนูกลัวจะแย่อยู่แล้ว”

“ยัง…อยู่ที่ไหนกันนะ” คำหลังเธอพูดเสียงเบาแบบที่ต้องการคุยกับตัวเอง เฟื่องฟ้าตั้งสติ พยายามนึกว่าถ้าตัวเธอเป็นทัพเที่ยงเธอจะเอากระเป๋าสตางค์ไปเก็บไว้ที่ไหน

ลิ้นชัก… ในที่สุดเฟื่องฟ้าก็นึกได้ เธอก้าวพรวดไปหาลิ้นชักเมื่อออกแรงดึงก็พบว่ามันเปิดไม่ออก เธอคิดว่าเขาล็อกมันเอาไว้ แต่เมื่อก้มมองก็รู้ว่ามันไม่มีรูกุญแจ ดังนั้นมันน่าจะแค่ฝืด เฟื่องฟ้าออกแรงเพิ่ม ในที่สุดก็เปิดลิ้นชักออกจนได้

กระเป๋าสตางค์ของทัพเที่ยงเด่นหรา มันเป็นหนังวัวสีน้ำตาลเรียบง่าย ยังใหม่อยู่ ดูดีเหมือนกันกับตัวเขา เฟื่องฟ้าหยิบมันขึ้นมา ตอนนี้เธอรู้ตัวว่ามือกำลังสั่น เสียงเคาะประตูของจุกดังขึ้นมาอีก เฟื่องฟ้าเห็นช่องใส่ของแบบมีซิปรูด หญิงสาวเปิดมันออกแล้วรีบหยิบตะกรุดจากกระเป๋าถือตัวเอง ระหว่างพยายามใส่ตะกรุดลงไปในกระเป๋า เธอทำมันตกลงพื้นอยู่สองรอบกว่าจะใส่ลงไปได้สำเร็จ

“คุณทัพเที่ยงจะไม่เห็นจริงๆ ใช่ไหมคะ” จุกถามหลังจากทั้งคู่ก้าวลงบันไดมาถึงชั้นล่างแล้ว

“ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าเขามีนิสัยละเอียดจัดกระเป๋าสตางค์บ่อยๆ ก็อาจจะเห็น แต่ผู้ชายที่ไหนจะละเอียดขนาดนั้น จุกคิดว่าคุณทัพเที่ยงเขาจะทำหรือ”

“ไม่รู้สิคะ” เด็กสาวตบริมผ้านุ่งที่ดึงรวบขึ้นมาไขว้ไว้ใส่เงินที่หน้าท้องตัวเอง พูดซื่อๆ “หนูเอาสตางค์ใส่พก ไม่เคยมีกระเป๋าสตางค์กับเขาหรอกค่ะ”



Don`t copy text!