มหรสพเวรา บทที่ 23 : ไม่มีเวลาเหลือแล้ว

มหรสพเวรา บทที่ 23 : ไม่มีเวลาเหลือแล้ว

โดย : คีตาญชลี แสงสังข์

Loading

มหรสพเวรา โดย คีตาญชลี แสงสังข์ นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น 4 กับเรื่องราวที่จะพาคุณล่องลอยถอยสู่บรรยากาศบ้านเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ย้อนกลับไปเห็นตั้งแต่ของเล็กอย่างแก้วโอเลี้ยงไปจนถึงสิ่งยิ่งใหญ่อย่างโรงมหรสพสมัยใหม่ที่เรียกว่าโรงภาพยนตร์ ขอเชิญท่านพิศเพลินพร้อมกันทั้งประเทศ ณ บัดนี้

หมดเวลารอของเราแล้วสินะ กลิ่นบอกตัวเอง ขณะก้มมองยันต์ใต้เตียงด้วยความรู้สึกเย็นสันหลังวาบ กลิ่นรู้ว่ายันต์นั่นไม่ใช่เพียงผ้าเขียนลายมั่วๆ แต่มาจากผู้มีอาคมแกร่งกล้าคนหนึ่งทีเดียว

เธอคิดว่าจะบอกทัพเที่ยงเมื่อทุกคนออกจากบ้านไปแล้ว แต่โชคก็เข้าข้างกลิ่นเสียก่อน เมื่อเด็กในกองถ่ายคนหนึ่งทำของตก มันเป็นวัสดุทรงกลมที่กลิ่นไม่รู้ว่าคืออะไร เมื่อมันกระทบพื้น กลิ่นก็ช่วยกลิ้งมันต่อไปจนมุดเข้าไปใต้เตียง ชายคนนั้นอุทานแล้วก้มลงเก็บ เขานอนราบแนบตัวไปกับพื้น เมื่อชายหนุ่มตะแคงหน้าเข้าไปมองหาของของเขา กลิ่นก็เป่าลมพรวด ยันต์แผ่นนั้นกระพือ จนชายผู้โชคดีเหลือบตาไปเห็น เขาร้อง “เฮ้ย” แล้วถอยตัวออกมาทั้งๆ ที่ยังเก็บของไม่ได้

เวลานั้นมืดสนิท กองถ่ายกำลังจะเลิกเพราะลากยาวมาจนถึงสี่ทุ่ม ดังนั้นยันต์สีแดงเข้มขลังในบ้านทรงขนมปังขิง และโดยเฉพาะกองแสดงเรื่องผีซึ่งตอนนี้กลิ่นรู้แล้วว่ามันเรียกว่ากองถ่าย จึงทำให้ชายผู้นั้นสะดุ้งโวยวายบอกคนอื่นๆ

ระย้าวิ่งเข้ามาดู เมื่อเห็นว่าอะไรเป็นอะไร เขาก็แสดงออกด้วยการทำสีหน้าปกติก่อนไล่ทุกคนกลับบ้าน

เมื่อเหลือเพียงระย้า ทัพเที่ยง จักรและเฟื่องฟ้า ระย้าก็เลยถาม ทัพเที่ยงหันหน้ามาทางกลิ่น เขาส่งสัญญาณให้รู้ว่ามองเห็นเธอ กลิ่นกำลังจะชี้มือไปที่เฟื่องฟ้า แต่เจ้าตัวก็ชิงพูดออกมาเสียก่อน

“ฟ้าเอาไปติดเองค่ะ” หล่อนว่า ก่อนจะบอกว่ามันเป็นยันต์ปลอมที่เธอทำขึ้นมาเอง

“ทำเอง” จักรร้อง “ทำทำไมฮึยายฟ้า”

“ฟ้าก็นึกสนุกเท่านั้นเอง อีกอย่างมียันต์แบบนี้ติดมันดูขลังดีนี่คะ แล้วเวลาถ่ายก็ไม่เห็นซะหน่อย”

“แม่เจ้าโว้ย…” ระย้าโวยวาย “ช่างจะคิด เด็กในกองกลัวหัวหดกันหมดแล้ว”

“ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง” เฟื่องฟ้ายื่นคาง “ทำหนังผีมันก็ต้องให้ได้บรรยากาศแบบนี้แหละ ตั้งใจกำกับไปเถอะน่า เอาให้น่ากลัวๆ ด้วยนะ” กับระย้าเฟื่องฟ้าไม่ค่อยรักษามาดหญิงลูกผู้ดีเจ้าเสน่ห์เอาไว้สักเท่าใดเลย

ทุกคนในที่นั้นซึ่งก็คือจักรและทัพเที่ยงคิดว่าระย้าจะโกรธและบอกให้เอายันต์ออก แต่ระย้ากับทำให้ประหลาดใจกว่านั้น เมื่อเขามองเฟื่องฟ้าด้วยความชอบใจ

“เอ้า…เอาก็เอา ไม่คิดเลยว่าคุณเฟื่องฟ้าผู้จัดกองของเราจะทุ่มเทขนาดนี้”

“ทุ่มเทอะไร” เฟื่องฟ้าถามอย่างระแวง

“เอ้า…ก็คุณลงทุนสร้างบรรยากาศ…เอ๊ะ…เดี๋ยวก่อนนะ” จู่ๆ ระย้าก็ชะงัก ดวงตาของเขาเบิกโพลง เขาสืบเท้าเข้าไปเขย่ามือหญิงสาวเหมือนคนละเมอ

“สุดยอด คุณฉลาด สุดยอด…”

“อะไร” เฟื่องฟ้าดึงมือออก กึ่งรังเกียจกึ่งฉงน

“ผมรู้แล้วละว่าเราจะทำให้หนังเราเป็นที่รู้จักได้ยังไง” ระย้าหัวเราะ มองไล่ใบหน้าที่ล้อมอยู่ด้วยอาการลิงโลด

“คุณจะทำอะไร”

“ก็คุณเอามาติดไว้ทำไมล่ะ คุณอยากหลอกคนอื่นใช่ไหม เดี๋ยวเรื่องนี้ผมจะช่วยขยายความให้เอง”

เขาพูดเอาไว้เป็นปริศนาก่อนจะกวักมือเรียกทุกคนให้ลงไปรวมหัวกันที่โต๊ะรับแขกด้านล่าง

ตีสอง กลิ่นปรากฏกายขึ้นในห้องเล็ก หน้าอิดโรยของทัพเที่ยงที่หลับตานิ่งอยู่บนหมอนทำกลิ่นใจคอไม่ดี กระเป๋าสตางค์ของเขาวางเอาไว้บนโต๊ะ เตียงหลังที่เขานอนไม่มีผ้ายันต์ เฟื่องฟ้าเข้าใจไปเองว่าจะสามารถสะกดกลิ่นเอาไว้กับเตียงสี่เสาในห้องใหญ่ ยันต์นั้นอาจจะมีอานุภาพเช่นนั้นได้ถ้าบังเอิญว่ากลิ่นติดอยู่กับเตียง หากแต่มันไม่ใช่ และดูเหมือนคันฉ่องจะเล็กเกินไปจนทั้งทัพเที่ยงและเฟื่องฟ้าไม่เคยให้ความสำคัญ

“กลิ่น…” ทัพเที่ยงเรียกเสียงแห้ง “พาฉันกลับไปอีกนะ ฉันอยากรู้เรื่องของเราต่อ”

กลิ่นยิ้มรับ บอกให้เขาหลับตา ไม่ได้พยายามสื่อสารให้เขารู้ว่า เธอจะไม่มีทางพาเขากลับไปจนกว่าเขาจะกลับมาแข็งแรงสดใสเป็นทัพเที่ยงคนเดิม

ตอนนี้เขาได้เห็นเรื่องของตัวเองไปครึ่งทางแล้ว แต่ถึงกระนั้นการรับรู้ของเขาก็เป็นแต่เพียงการมองเห็นชีวิตคนอื่น ทัพเที่ยงก็ไม่มีทีท่าว่าจะระลึกเรื่องราวครั้งเก่าได้สักนิดเลย

กลิ่นทั้งกลุ้มทั้งสงสาร ชีวิตอีกฟากหนึ่งที่ทัพเที่ยงเข้าไปเห็นดึงพลังของเขาเหมือนคนไม่ได้หลับไม่ได้นอน ตอนนี้เขาทรุดโทรมเหมือนคนถูกวิญญาณร้ายเล่นงาน ใช่สิ…ถึงเธอจะมาดี แต่เธอก็เป็นผีไม่ใช่หรือ

ร่างในชุดโบราณแหวกมุ้งลงนั่งข้างร่างใหญ่โตของชายหนุ่มที่ซูบผอมลงไปทุกวัน กลิ่นพิจารณา ดูเหมือนเขาจะหลับลงไปด้วยความอ่อนเพลียแล้ว

โธ่เอ๋ย…เพลียขนาดนี้ยังจะขอกลับไปอีกหรือ

กลิ่นมองเสี้ยวหน้าทัพเที่ยง ผิวของเขาซีดเซียว ริมฝีปากแตกแห้ง เขาดูไม่เหมือนทัพเที่ยงที่หล่อนเห็นในวันแรกสักนิด

“หลับซะนะคะคุณทัพ” กลิ่นว่าพลางลูบไล้ใบหน้าเขา เธอจะไม่มีวันปล่อยให้เขาเป็นอะไรไปง่ายๆ เด็ดขาด

ระหว่างที่คิดห่วงร่างตรงหน้า เสียงลูกตุ้มนาฬิกาแมงดาก็ตีเหง่งหง่าง

ตีสามแล้ว…กลิ่นนึก ฉับพลันเธอก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างสะท้อนต่ำๆ ฟังน่าสยดสยองอยู่ภายในห้อง หญิงสาวหันขวับ ก็เห็นแสงเรืองจากกระเป๋าสตางค์ที่ทัพเที่ยงวางเอาไว้บนโต๊ะ

หญิงสาวรู้สึกถึงไอเย็นจากขุมนรกของมัน พลันก็เห็นจุดดำท่ามกลางแสงสีขาว มันค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น จนเห็นตาข้างหนึ่งจ้องมาที่กลิ่นด้วยความชืดชาเหมือนตาของสิ่งไร้ชีวิต ตาข้างที่สองค่อยๆ ปรากฏจากม่านดำมืด กลิ่นมองตอบดวงตาคู่นั้น ก็เห็นประกายของมันตอบสนองและมองกลิ่นด้วยความอยากรู้อยากเห็น

วันนี้เป็นวันโกน วันที่คนโบราณเชื่อว่าประตูของโลกวิญญาณจะเปิดออกสู่โลกมนุษย์ ตอนนี้กลิ่นรู้แล้วว่าสิ่งที่เห็นในหนแรกว่าเป็นม่านสีดำนั้น แท้จริงมันคือผมยาวสกปรกรุงรังของใบหน้าที่ควรจะเรียกว่าอมนุษย์

มันกำลังหัวเราะด้วยเสียงแหบต่ำ แตกพร่า แม้กลิ่นจะอยู่บนโลกในฐานะ ‘ผี’ มานาน แต่กลิ่นก็ไม่เคยเจออะไรที่น่าสยดสยองเท่านี้มาก่อนเลย

“มึงคือผู้ใด” กลิ่นส่งเสียงถาม พยายามควบคุมความกลัว อย่างน้อยมันก็เป็นผีชั้นต่ำกว่ากลิ่นซึ่งถือเป็นเจ้าบ้านเจ้าเรือนหลังนี้

มันไม่ตอบ

“มึงออกไปจากเรือนกู” กลิ่นออกคำสั่ง มันตอบสนองด้วยเสียงแหบว่ามันได้รับอนุญาตแล้ว

“ใครอนุญาตมึง กูไม่ได้อนุญาต”

นิ้วมือสกปรกของมันชี้มาที่ทัพเที่ยง ออกเสียงตอบมาว่า “นาย…”

กลิ่นหันมองทัพเที่ยง จริงสินะ มันไม่ใช่วิญญาณเร่ร่อน แต่มันมากับของที่คนบ้านนี้เอาเข้ามา มันเรียกทัพเที่ยงว่านาย เพราะมันถูกใช้ให้มากันวิญญาณอื่นที่จะเข้าใกล้ทัพเที่ยง ซึ่งก็คือตัวกลิ่นเอง โชคดีที่เฟื่องฟ้าสักแต่เพียงคิดเอาเองว่าใส่ตะกรุดลงในกระเป๋าสตางค์แล้วทัพเที่ยงจะพกติดตัว แต่เธอไม่รู้ว่าถ้ามันไม่ได้คล้องอยู่กับคอหรือส่วนหนึ่งส่วนใดในร่างกาย ไอ้ตะกรุดนั้นมันก็เป็นได้แค่แขกยามที่คอยเฝ้ามองเท่านั้น

แต่ดูสภาพมันสิ วิปริต น่าสะอิดสะเอียน เฟื่องฟ้าจะรู้ไหมว่า เธอได้เอาอะไรเข้ามาสิงสู่ในเรือนก้านมะลิหลังนี้

“กลับไป เขาไม่ได้อยากได้มึง กลับไปที่ที่มึงจากมา”

มันส่ายหัว เสียงแหบต่ำหัวเราะงอหายตอบกลับกลิ่น

“มึงก็รู้ว่ากูมายังไง กูกลับไปไม่ได้ เขาจะให้กูมาจัดการกับมึง”

มันว่า ดวงตาวิกลจริตของมันกลอกไปมา กลิ่นรู้ว่าตอนนี้มันยังไม่อาจทำอะไรได้จนกว่ามันจะอยู่ใกล้ทัพเที่ยงกว่านี้ แต่วิญญาณร้ายอย่างมันจะมาดูแลทัพเที่ยงหรือ อย่างดีก็กันกลิ่นออกไปแล้วดูดกลืนพลังจากร่างของทัพเที่ยงเข้าไปแทน

“ออกไป” กลิ่นสะบัดเสียง เมื่อเห็นมันจ้องหน้าทัพเที่ยงอย่างหิวกระหายเธอก็รีบกระโดดขึ้นเตียงไปโอบร่างของชายหนุ่มเอาไว้ กลิ่นรู้สึกราวกับว่าสายตาของเจ้าสิ่งนั้น จะสามารถแทะเล็มเนื้อหนังของทัพเที่ยงให้หลุดเป็นชิ้นๆ เธอจึงนอนหมอบดูมันอยู่ตรงนั้น ไม่ยอมปล่อยให้มันได้อยู่กับทัพเที่ยงตามลำพัง

กลิ่นอยู่ในท่านั้นจนแดดเช้าแทงผ่านหน้าต่าง ร่างพิลึกพิลั่นของเจ้าสิ่งนั้นจึงค่อยๆ สลายหายไปพร้อมกับดวงตะวันของเช้าวันใหม่

ทัพเที่ยงตื่นขึ้นมาเห็นกลิ่นนอนอยู่เคียงข้าง สีหน้าเขาทั้งประหลาดใจทั้งประหม่า แม้กลิ่นจะรู้ดีว่าตัวเองมานอนอยู่กับเขาด้วยเหตุผลใด เธอก็อดกระดากไม่ได้

กลิ่นพยายามอธิบายด้วยภาษาใบ้ แต่หลังคอแดงก่ำของทัพเที่ยงที่กำลังลามขึ้นมาถึงใบหน้า ทำให้เธอรู้ว่าการจะอธิบายเรื่องยากๆ โดยที่พูดไม่ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

 

“ยันต์ยังอยู่เจ้าค่ะ แต่ตะกรุดกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว”

จุกและผินวิ่งเข้ามารายงานเฟื่องฟ้า เวลานั้นใกล้ห้าโมงเย็น วันนี้เป็นคิวถ่ายกลางคืน ที่ต้องลากยาวถึงเช้าวันถัดไป เมื่อกี้ทัพเที่ยงและจักรเพิ่งกลับจากมหาวิทยาลัย ตอนนี้กำลังนั่งคุยกันอยู่บนโต๊ะเหล็กหล่อบนสนามหน้าบ้าน ซึ่งเป็นหนึ่งในของไม่กี่ชิ้นที่จักรซื้อเข้ามาประกอบฉาก

เฟื่องฟ้าชะโงกมองถังขยะที่ผินถือมา ในนั้นมีซากไหม้ไฟของสิ่งที่ยังพอดูออกว่าเป็นตะกรุด ผินเล่าว่าหล่อนเห็นทัพเที่ยงเผาบางอย่างในที่เขี่ยบุหรี่ ก่อนจะเทเถ้าที่เหลือลงถังขยะจนเหลือเป็นหลักฐานมาให้เฟื่องฟ้าดูต่างหน้า

เฟื่องฟ้ากำหมัด “ต้องเป็นอีผีมันดลใจแน่ๆ” หล่อนคาดเดา “คนธรรมดามาเจอของแปลกๆ ในกระเป๋าก็แค่ทิ้ง ทำไมจะต้องเผาด้วยล่ะ”

“จริงเจ้าค่ะ” ผินรีบเห็นด้วย นาทีเดียวกันนั้นลมก็พัดพรู มีเสียงหัวเราะจางๆ ดังแทรกผ่านสายลมชวนขนหัวลุก ทั้งสามเหลียวมองรอบตัว จุกกลัวจนมือไม้อ่อนปล่อยถังขยะร่วงผล็อยลงกระทบพื้น เศษขี้เถ้าของสิ่งที่ทัพเที่ยงทำลายปลิวว่อน แล้วลอยหายไปกับสายลม

นายบ่าวกระโดดมาเกาะกันกลม

“ได้ยินไหมเจ้าคะ”

“ได้ยิน” เฟื่องฟ้าตอบ ตาดำของเธอกวาดมอง แล้วก็ต้องหวีดขึ้นสุดเสียงเมื่อได้ยินเสียง “แว่” ใส่อย่างไม่ทันตั้งตัว

ระย้าหัวเราะขันหญิงสาวทั้งสามจนน้ำตาเล็ด เมื่อเฟื่องฟ้าเห็นว่าเป็นใครก็มองกลับผู้กำกับหนุ่มตาเขียว

“คุณระย้า…เล่นอะไรคะ ตกอกตกใจหมดแล้ว” จุกต่อว่า

“ก็เห็นกอดกันกลม วางแผนอะไรกันอยู่”

“ปะ…เปล่านะคะ” จุกออกอาการพิรุธ เฟื่องฟ้าเลยต้องรีบออกหน้า

“พวกฉันจะทำอะไรก็เรื่องของคนบ้านนี้ นายมาเกี่ยวอะไรด้วย”

ระย้าผายมือยกไหล่ เขาทำปากยื่นเหมือนไม่สนคำพูดค่อนขอดนั่น

“ก็เห็นเป็นจอมวางแผน ก็เผื่อจะมีแผนอะไรดีๆ อีก นี่ผมไปคุยกับเจ้าของโรงหนังมาแล้วนะ เขาบอกว่าถ่ายเสร็จแล้วค่อยมาคุยกับเขาอีกที”

“งั้นเหรอ” อารมณ์ขุ่นของเฟื่องฟ้าหายไปทันที เธอถามกลับด้วยอาการตื่นเต้น

“แต่มันมีคำหนึ่งที่เขาพูดมาแล้วผมยังไม่สบายใจ”

“อะไร”

“เขาถามมาคำนึงว่า ทำไมไม่เอาวิไลวรรณเล่นเป็นผี หรือไม่ก็เอาส่างหม่องมาเล่นเป็นพระเอกก็ได้ คนดูเขายังติดใจอยู่”

“ส่างหม่อง…ใครกัน ชื่อแปลก ดาราต่างประเทศหรือคะ”

“ปัดโธ่…ชื่อดาราเสียที่ไหน เขาหมายถึง ชนะ ศรีอุบล ที่เล่นเป็นส่างหม่องเรื่องชั่วฟ้าดินสลายน่ะคู้น…” ระย้าว่าเสียงสูง

“อ้อ…” เฟื่องฟ้าพยักหน้า

“ผมคิดในใจว่ามีแต่ส่างทัพ แต่แสดงไม่ได้เลยต้องเอาส่างเชษฐ์มาแสดงแทน” ระย้าหัวเราะ เขาปล่อยมุกเสียทีหนึ่งก่อนเดินจากไป เฟื่องฟ้ามองตาม แม้ไม่ชอบขี้หน้าแต่ก็ต้องยอมรับว่าระย้าทุ่มเทกลับงานครั้งนี้จริงๆ

“คุณเฟื่องฟ้าขา” ผินเขย่าตัว เมื่อเห็นเจ้านายสาวยังจดจ่ออยู่กับระย้า

เฟื่องฟ้าหันมามอง ก็เห็นผินกับจุกมองมาอย่างจะขอความเห็น เธอไม่ได้ถามแต่มองกลับด้วยอาการที่รู้กันว่า ตอนนี้ควรจะกลับมาแก้ปัญหาในถังขยะก่อน

“ผินว่า เราทำเองไม่ไหวหรอกเจ้าค่ะ”

“ผินหมายความว่ายังไง”

“หมายความว่า…” ผินลากเสียงลังเล ตากวาดมองไปทั่วห้องครัว “อีผีมันน่าจะเฮี้ยนไม่เบา เราน่าจะตามอาจารย์เขามาปราบมันที่นี่นะคะ”

“ไฮ้…คนอื่นเขาจะไม่ว่าฉันบ้าหรือ”

“ไม่หรอกค่ะ เมื่อบ่ายอีจุกได้ยินเต็มสองหู” เต็มสองหูอีกแล้ว เฟื่องฟ้าคิด

“ว่า”

“ว่าคุณเย็นบอกกับคุณหญิงว่า คุณทัพเที่ยงดูหน้าหมองคล้ำเหมือนกับคนโดนของ” คราวนี้จุกเป็นผู้เล่า “ทีนี้หนูนั่งอยู่หน้าประตูเลยรีบคลานเข้าไปบอกว่า น่าจะเพราะผีเรือนนี้” จุกพูดแล้วมองกวาดห้องครัวตามผิน ทำท่าขนลุกขนพอง

“แล้วคุณย่าท่านว่ายังไงบ้าง”

“ตอนแรกคุณท่านก็ปรามหนูเหมือนที่เคยปรามนั่นแหละเจ้าค่ะ แต่พอหนูบอกว่าคุณเฟื่องฟ้าก็เห็น ท่านก็เลยยอมฟัง”

“ท่านเชื่อหรือเปล่า”

“ท่านไม่ว่าอะไรเจ้าค่ะ ท่านก็นิ่งของท่านแล้วไล่หนูออกมา หนูเห็นท่านพูดซุบๆ ซิบๆ กับคุณเย็น แล้วก็เห็นท่าน….” จุกหยุดกลืนน้ำลาย

“เห็นอะไร” เฟื่องฟ้าเร่ง นึกรำคาญความพิโยกพิเกนของเด็กจุก

“เห็นท่านไปค้นของในตู้กระจกเจ้าค่ะ ท่านหยิบขันเงินใบใหญ่ที่อยู่ชั้นบนสุดออกมา”

เฟื่องฟ้านิ่งฟัง หล่อนรู้ดีว่าเด็กจุกหมายถึงอะไร ตู้กระจกโบราณในห้องพักผ่อนของคุณหญิงลำเจียกนั้นมีขันเงิน กรอบรูปเงิน เชี่ยนหมากพระราชทานและอะไรอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ทั้งมีมูลค่าทางราคาและมูลค่าทางจิตใจ หนึ่งในนั้นมีขันลูกบาตรเงินลูกใหญ่ข้างในบรรจุพระผง พระเหรียญ ตะกรุด สายสิญจน์ที่เจ้าคุณปู่ของเธอได้รับมาในโอกาสต่างๆ เฟื่องฟ้าคาดว่าท่านกำลังหาของที่เหมาะสมเพื่อเอามาให้ทัพเที่ยง แต่จะให้ท่านเห็นดีเห็นงามเรื่องหาอาจารย์มาปราบผีนั้น เฟื่องฟ้าคิดว่าคงไม่ง่ายนัก

เธอบอกบ่าวทั้งสองไปตามที่คิด ผินซึ่งแก่กว่าเฟื่องฟ้าไม่เกินปีพูดออกมาด้วยความกังวล

“แล้วเราจะปล่อยเอาไว้อย่างนี้หรือคะคุณฟ้า”

“ไม่หรอกผิน ฉันไม่ปล่อยเอาไว้แบบนี้แน่”

“แล้วคุณฟ้าจะทำยังไงเจ้าคะ”

เฟื่องฟ้านิ่งคิด ตาจ้องไปทางตู้กับข้าว “ไปตามอาจารย์คนนั้นมา แต่อย่าบอกคุณย่าหรือแม่เย็นให้รู้เรื่องนี้นะ”

“แล้ว…แล้ว…ถ้าไม่บอกจะให้ผินออกจากบ้านยังไงล่ะเจ้าคะ”

“พรุ่งนี้แต่เช้าผินออกไปเลย ฉันจะเรียนท่านเองว่าฉันใช้ให้ผินไปเอาส้มโอมาเลี้ยงคนในกอง แล้วจะให้คุณระย้าเขาเอาไปเป็นของฝากเวลาที่ไปเจรจากับพวกเจ้าของโรงหนัง”

“เจ้าค่ะ” ผินร้องรับ “แหม..คุณฟ้าของผิน ฉลาดไม่มีใครเกิน”

ใช่…ฉลาด กลิ่นยืนมองดูอยู่ตรงตู้กับข้าว หากแต่ห่างจากจุดที่เฟื่องฟ้าจ้องสักศอกหนึ่ง กลิ่นคาดว่าเฟื่องฟ้าไม่อาจมองเห็นเธอ แต่สัญชาตญาณของเฟื่องฟ้าคงรู้สึกได้ว่ากลิ่นยืนอยู่ตรงนี้



Don`t copy text!