มหรสพเวรา : บทอวสาน (จบบริบูรณ์)

มหรสพเวรา : บทอวสาน (จบบริบูรณ์)

โดย : คีตาญชลี แสงสังข์

Loading

มหรสพเวรา โดย คีตาญชลี แสงสังข์ นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น 4 กับเรื่องราวที่จะพาคุณล่องลอยถอยสู่บรรยากาศบ้านเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ย้อนกลับไปเห็นตั้งแต่ของเล็กอย่างแก้วโอเลี้ยงไปจนถึงสิ่งยิ่งใหญ่อย่างโรงมหรสพสมัยใหม่ที่เรียกว่าโรงภาพยนตร์ ขอเชิญท่านพิศเพลินพร้อมกันทั้งประเทศ ณ บัดนี้

 

สามสิบสองปีคือจำนวนไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้ที่ทัพเที่ยงหรือหลวงพ่อทัพบวช ตอนแรกเขาตั้งใจจะอาศัยร่มกาสาวพัสตร์เพียงหนึ่งปี แต่การกวาดและการพิจารณาใบไม้ของทัพเที่ยงก็ทำให้เขาเพลิดเพลินไปจนถึงปีที่ 4 ซึ่งเป็นปีที่เขารู้ตัวว่าอะไรๆ ได้เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว

เฟื่องฟ้าที่หมั่นเพียรมาทำบุญที่วัด และรอคอยเขาโดยไม่ได้เอ่ยปากพูด ตกลงปลงใจไปกับคุณชายระพีพัฒนา ซึ่งเป็นเวลาหลังจากจักรเข้าพิธีแต่งงานกับสวรรยาได้เพียงสามเดือน

สมบัติของคุณชายและสมบัติของเฟื่องฟ้า มากพอที่เธอจะดำเนินชีวิตเป็นสาวสังคมโดยไม่ต้องยึดอาชีพใดเป็นหลักเป็นฐาน ส่วนจักรยังคงสอนหนังสือต่อไปแต่หลังจากที่จักรได้เข้าไปสนิทสนมกับสำราญ อริญ จนนำเขาไปรู้จักกับหม่อมหลวงต้อย ชุมสาย จักรก็รู้ความต้องการของตัวเองว่าเขาไม่ได้รักการทำหนังเหมือนระย้า แต่เขารักการถ่ายรูป ดังนั้นจักรจึงเข้าสู่วงการภาพศิลป์หรือที่ฝรั่งเรียกว่าภาพนูดไปกับหม่อมหลวงต้อยในปลายปีที่ ‘สาปรักเรือนร้าง’ ได้ออกฉาย ซึ่งการเข้าสู่วงการภาพศิลป์ของจักรนั้นมันคือการที่เขาได้ค้นพบตัวเอง แต่ก็ทำให้กว่าจะพิชิตใจสวรรยาจนเธอยอมแต่งงานด้วยนั้นจึงต้องใช้เวลาถึง 4 ปี

“ในที่สุดผมก็ทำสำเร็จแล้วหลวงพี่ กว่าแม่คุณจะยอมใจอ่อน เล่นเอาหมดแรง” จักรมาเล่าให้ทัพเที่ยงฟังในวันที่มาขอฤกษ์แต่งงาน

“ยากเย็นแบบนี้ โยมก็ต้องรู้คุณค่าเขา อย่าทำให้เขาผิดหวัง” ทัพเที่ยงดีใจไปกับเพื่อนเก่า

แม้จะต้องถ่ายผู้หญิงเปลื้องผ้าแต่จักรก็ไม่เคยเหลวไหล เขาได้ลูกคนที่ 4 ในปีที่ 5 ของการแต่งงานซึ่งก็คือปี พ.ศ.2508 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่เฟื่องฟ้าหย่าขาดกับคุณชายเจ้าเสน่ห์ของพระนคร และเป็นปีที่ระย้าผันตัวเองจากภาพยนตร์จอเงินไปสู่แวดวงโทรทัศน์เพราะได้รับแรงบัลดาลใจจากสารคดี ‘เที่ยวเมืองไทยไปกับโอวัลติน’ ของรัชฟิล์มทีวี ซึ่งฉายทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7 ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อสถานีเป็น ททบ.5 ในเวลาต่อมา

ระย้าซึ่งดูเป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ แต่เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถไปได้ดีกับทางเลือกใหม่หรือเปล่า ดังนั้นหลวงลุงของทัพเที่ยงที่ยังรับดูดวงและให้เช่าวัตถุมงคลจึงเป็นที่พึ่งที่ทั้งจักรและระย้าไว้วางใจ กล้อง 16 มม. ของระย้าจึงผ่านการปลุกเสกโดยหลวงลุง ทัพเที่ยงไม่รู้ว่าด้วยเวทมนตร์คาถาหรือเพราะฝีมือของระย้า ในปี พ.ศ.2511 ที่รัชฟิล์มทีวีกำลังดังสุดขีดกับภาพยนตร์ชุดขาวดำเรื่อง ‘พิภพมัจจุราช’ ระย้าก็ได้รับว่าจ้างให้กำกับหนังชุดเรื่อง ‘เจ้าหญิงดอกกุหลาบ’ ถึงจะไม่ดังเท่าแต่ระย้าก็ถือเป็นความสำเร็จ เขากับจักรเข้ามากราบขอบคุณหลวงลุงและเข้ามากราบนิมนต์พระทัพเที่ยงให้ไปร่วมงานมงคลของตัวเอง

“ระย้าเขาได้นายทุนใหญ่ เดี๋ยวท่านคอยดูเรื่องต่อไปเขาจะเป็นคู่แข่งรัชฟิล์มทีวี ตอนนี้เขาเปิดบริษัทผลิตภาพยนตร์โทรทัศน์แล้ว” จักรรายงาน

“ดีนี่ ว่าแต่ชื่อบริษัทอะไร ให้หลวงลุงดูชื่อให้หรือยังว่าเหมาะไหม” ทัพเที่ยงถาม

“ชื่อ…อา เฟื่องฟ้านครฟิล์มครับหลวงพี่” ระย้าพูดอายๆ

“ชื่อดีนี่ ถ้าได้โยมเฟื่องฟ้ามาลงหุ้นด้วยน่าจะเหมาะ” ทัพเที่ยงออกความเห็น

“อา…ชื่อนี้ผมตั้งมาจากชื่อคุณเฟื่องฟ้าแหละครับ อ่า…คือนายทุนที่คุณจักรว่าก็คือเธอ”

ทัพเที่ยงพยักหน้า รู้สึกเอะใจ แต่ไม่ได้ซักต่อ จักรเห็นระย้าอึกอักก็เลยเป็นคนพูดออกมาเสียเอง

“ที่จะมานิมนต์หลวงพี่ ไม่ได้มาแค่เรื่องจะทำบุญเปิดบริษัทเท่านั้นหรอกครับ จะมานิมนต์ท่านไปงานแต่งงานของระย้าเขาด้วย”

“แต่งงาน…แต่งกับ…”

“ครับ กับแม่ฟ้าหลานสาวผมนี่แหละ”

“อ้อ…” ทัพเที่ยงตะลึง เหมือนจักรจะอ่านความในใจของเพื่อนเก่าออก

“เขารักเขาชอบมาตั้งแต่สมัยเราทำหนังด้วยกันน่ะท่าน แต่หมอนี่มันจองหองไม่เข้าเรื่อง ก็เลยเสร็จคุณชายระพีไป คราวนี้สวรรยาเขาช่วย เขาไม่อยากเห็นพี่เขาบ้างาน เนื้อตัวยุ่งเหยิงรุงรังเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว”

“อ้อ…อาตมาดีใจด้วย ดีใจด้วยจริงๆ”

ทัพเที่ยงรู้สึกสุขใจไปกับระย้าและเฟื่องฟ้าจากใจจริง

ในวันแต่งงานเฟื่องฟ้าเข้ามากราบและหาโอกาสคุยกับพระทัพเที่ยงเพียงลำพัง เขารู้ว่ามันไม่เหมาะแต่ก็เลี่ยงไม่ได้

“ดิฉันคงจะบาปหนา แต่ดิฉันไม่เคยลืมท่านนะเจ้าคะ” เธอว่า ตรงไปตรงมาเหมือนเดิม “แต่ท่านอย่าเข้าใจผิด ดิฉันก็คือหลวงเลิศสลักกิจ หัวใจดิฉันรักได้หน่ายได้ ดิฉันไม่ลืมท่านเพราะเป็นสิ่งติดค้าง แต่ดิฉันก็รักคุณชาย อ้อ…เคยรัก และตอนนี้ดิฉันก็รักคุณระย้า”

“ดีแล้วโยม” ถึงแม้จะบวชมาจนเกือบเข้าปีที่สิบสอง ทัพเที่ยงก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบเฟื่องฟ้าอย่างไรดี ยิ่งบวชนาน การรับมือกับผู้หญิงก็ยิ่งเป็นเรื่องยาก

“ดิฉันตั้งใจว่าทุกครั้งที่ทำบุญจะอธิษฐานจิตให้ท่านสมหวัง” เฟื่องฟ้าจ้องเข้าไปในดวงตาของทัพเที่ยง “ด้วยบุญกรรมที่เราทำด้วยกันมา ดิฉันจะขอให้ท่านสมหวัง ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน ดิฉันจะอธิษฐานให้ท่านนะคะ” ดวงตาของเฟื่องฟ้าคลอหน่วง ทัพเที่ยงพยักหน้ารับความปรารถนาดีของเธอเอาไว้ เมื่อถึงเวลานี้เขาเองก็ไม่รู้ว่าชีวิตต่อไปภายหน้าจะเป็นอย่างไรเช่นกัน

การได้มีโอกาสได้พิจารณาใจของตัวเองมันทำให้ทัพเที่ยงรู้ดีว่า ทุกข์และสุขล้วนแต่เป็นของไม่ยั่งยืน เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปไม่ต่างกันเลยสักนิด แม่กลิ่นก็เหมือนกัน เธอเองก็ยังถือศีลภาวนาอยู่ในอีกภพภูมิหนึ่ง แม้ทัพเที่ยงจะไม่เคยได้พบเห็นเธออีกเลยแต่เขาก็รู้สึกเช่นนั้น

 

“จะไปเกิดแล้วหรือโยม” ทัพเที่ยงทักขึ้น ตอนนี้เขากำลังนั่งกรรมฐานอยู่ในโบสถ์ท้ายวัด กลางดึกอากาศเย็น เสียงแมลงกลางคืนดังหวีดหวิว แม้เวลานี้ทุกที่ในประเทศไทยจะมีไฟฟ้าสว่างกว่าแสงจันทร์ แต่คนยุคไหนสมัยไหนก็ยังกลัวผี ทัพเที่ยงหรือหลวงตาทัพของคนริมคลองเจดีย์บูชาจึงอาศัยโบสถ์เก่าที่ไม่ใคร่มีใครมายุ่ง ปลีกวิเวกจากความรุ่มร้อนรุงรังรอบข้างมาอาศัยนั่งสมาธิในยามค่ำ

“เจ้าค่ะ” กลิ่นก้มลงกราบ “เขามารับแล้ว ดิฉันคงต้องกราบลานะเจ้าคะ” หล่อนเงยหน้าขึ้นมอง ทัพเที่ยงเห็นแล้วก็นึกปลง กลิ่นยังสาวยังสวยเหมือนครั้งแรกที่เขาเห็น ส่วนเขานั้นเหี่ยวแก่ไปตามวัย ทั้งหมดนั้นเป็นเครื่องยืนยันว่าพวกเขาอยู่คนละโลกกันจริงๆ

“โชคดีนะโยม” ทัพเที่ยงอวยพร

“เจ้าค่ะ” กลิ่นกราบลา ร่างในชุดขาวสลายหายไปเหมือนสะเก็ดดาว ทัพเที่ยงหลับตาลงตามเดิม กลิ่นจากไปแล้ว อีกไม่นานก็คงถึงเวลาของเขา

ตอนนี้สิ่งต่างๆ รอบกายเปลี่ยนไปมาก คลองเจดีย์บูชามีแต่เรือติดเครื่องยนต์แล่นกันปรู๊ดปร๊าด หน้าวัดที่เคยอยู่ด้านริมคลองก็เปลี่ยนไปอยู่หน้าถนนที่ตัดผ่านไปทุกหนทุกแห่ง ทุกบ้านมีโทรทัศน์ ตกค่ำทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ก็เฝ้ากันอยู่แต่หน้าจอ วิกหนังที่เคยเฟื่องฟูสุดขีดในยุคหนึ่งยังถึงกับเงียบเหงาลงไป

เมื่อวันก่อนเฟื่องฟ้าและระย้าเข้ามาทำบุญวันพระใหญ่ เดี๋ยวนี้ทั้งคู่ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี เสียแต่ไม่มีลูก ได้แต่เลี้ยงหลานลูกของจักรและสวรรยาที่มีด้วยกันถึง 6 คน จนโดนบางคนค่อนขอดหลับหลังว่าเอาลูกเขามาเลี้ยงเอาเมี่ยงเขามาอม

“อมเมี่ยงต่อจากอาจักรดิฉันไม่รังเกียจหรอกค่ะ แต่ถ้าเมี่ยงของคุณระย้ากับผู้หญิงคนไหนไม่รู้ แบบนี้ละเป็นเรื่องแน่”

แม้จะอายุเกือบจะเข้าเลขหกเฟื่องฟ้าก็ยังเหมือนเดิม กระฉับกระเฉง แพรวพราว และคงทำงานอย่างกระตือรือร้นเหมือนเด็กๆ เธอเข้ามาบ่นว่ารัชฟิล์มผลิตรายการเกมโชว์ชื่อมาตามนัด ออกอากาศไม่กี่เทปก็ดังระบิดเพราะแจกรางวัลใหญ่เป็นรถยนต์ จนเฟื่องฟ้านครฟิล์มของเธอทำอย่างไรก็ตามไม่ทัน เธอบอกว่าถ้าหลวงลุงยังอยู่จะให้ดูเสียหน่อยว่าเธอควรจะตั้งชื่อรายการใหม่อย่างไร ให้ดังติดลมบนอย่างคนอื่นเขาบ้าง เสียดายตอนท่านอยู่เธอก็ทำหยิ่ง เป็นคนทันสมัย ไม่เชื่อเรื่องโชคเรื่องดวงอย่างคนอื่นเขา

“เป็นที่หนึ่งไม่ได้ เป็นที่สองก็ยังดีนะโยม”

“หลวงพี่ก็ มันไม่ได้มีแค่รัชฟิล์มกับเฟื่องฟ้านครฟิล์มเท่านั้นนะเจ้าคะ ยังมีอีกตั้งหลายบริษัท นี่ช่องสี่บางขุนพรหมเปลี่ยนมาเป็นช่องเก้าแล้ว แถมมีสถานีโทรทัศน์เพิ่มขึ้นอีกหลายช่อง ท่านรู้กับเขาไหมคะ” หล่อนค่อน ทัพเที่ยงยิ้ม ไม่ตอบโต้

“นี่คุณ” ระย้าสะกิดปราม “เขาเปลี่ยนมาเป็นสิบๆ ปีแล้วหลวงพี่ทำไมจะไม่รู้”

เฟื่องฟ้าเมินใส่สามี หันมาพนมมือไหว้ทัพเที่ยง

“ขอเถอะค่ะ ดิฉันปลงไม่ได้อย่างนั้นหรอกค่ะท่าน”

ทัพเที่ยงยิ้มรับ “โยมนี่ยังเหมือนเดิม ไม่เหน็ดไม่เหนื่อยง่ายๆ แต่อาตมาดูหน้าโยมระย้าแล้วน่าจะอยากพัก”

“รายนั้นเขาไปตีกอล์ฟ ยกงานให้ตาตั้มทำไปหมดแล้วละค่ะ” เฟื่องฟ้าหมายถึงลูกชายคนเล็กของจักรที่เธอรับเอามาเป็นลูก “ส่วนดิฉัน ถ้าเจ้ากอแก้วท่านยังไม่เหนื่อยไปตัดริบบิ้นเปิดงาน ดิฉันก็ยังจะทำงานอยู่” เธอหมายถึงเจ้ากอแก้ว ประกายกาวิล ณ เชียงใหม่ เจ้านายฝ่ายเหนือเจ้าของผมสีม่วง ที่เป็นประธานการตัดริบบิ้นเปิดงานไม่เว้นแต่ละวัน

เมื่อเฟื่องฟ้าพูดถึงตรงนี้ระย้าก็หัวเราะกว้าง เขาใจเย็นลงไปมากและปลงอะไรได้มาก

“ปล่อยเขาเถอะหลวงพี่ ผมทำใจว่าต้องห่วงเขาไปตลอดชีวิตเสียแล้ว มีรักก็มีทุกข์แบบนี้แหละครับ ไม่ได้บวชเป็นพระเป็นเจ้าก็อย่างนี้”

“ใครว่าล่ะโยม ความรักทางพุทธศาสนาก็มีอยู่” ทัพเที่ยงว่า เฟื่องฟ้าหันมาทำตาโต

“นี่ท่านยังไม่ลืมแม่กลิ่นอีกหรือคะ”

ทัพเที่ยงยิ้มเย็น “อาตมาหมายถึง พรหมวิหารสี่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา”

“อ้อ…แบบนี้ดิฉันก็มีได้ ดิฉันรักคุณระย้าก็ต้องมีพรหมวิหารสี่ ถ้าไม่มีอุเบกขาวางเฉยละก็ บ้านแตกมาหลายครั้งแล้วเจ้าค่ะ”

“นับเป็นความรักที่เหมาะแล้วควรแล้วนะโยมนะ” ทัพเที่ยงเอ่ยชมแม้จะรู้ว่าเฟื่องฟ้ากำลังพูดประชดอยู่ก็ตาม

 

หน้าหนาวพรรษาที่ 32 ของทัพเที่ยง ในที่สุดก็ถึงเวลาของเขา วันนั้นเฟื่องฟ้า ระย้า จักร และสวรรยามาพบทัพเที่ยงในวันพระใหญ่เหมือนทุกครั้ง ทั้งสี่อยู่สนทนากับทัพเที่ยงจนถึงเวลาทำวัตรเย็นก็ลากลับ

ทัพเที่ยงออกไปยืนส่งสหายเก่าที่ท้ายวัด ซึ่งเดี๋ยวนี้กลายเป็นหน้าวัด เพราะการเดินทางด้วยถนนมาแทนที่แม่น้ำลำคลองนานแล้ว เขามองรถยุโรปคันใหญ่แล่นตัดเวลาย่ำค่ำไปบนถนนลาดยางสีดำจนลับตา รู้ดีว่าจะไม่มีคราวหน้า แม้จะปลงและมีความสุขในผ้าเหลืองมากว่าสามสิบปี แต่พระชราอย่างเขาก็อดใจหายไม่ได้

หลังทำวัตรเย็น ทัพเที่ยงเดินหลังตรงไปยังโบสถ์ท้ายวัด เขาสั่งเณรตัวน้อยที่ต้องออกบิณฑบาตด้วยกันว่าพรุ่งนี้ไม่ต้องไปตาม แต่ให้ออกไปกับพระรูปอื่น

“เณรฉันเช้าเสร็จก็ค่อยพาใครไปตามหลวงตาที่โบสถ์ก็แล้วกัน”
“หลวงตาไม่ฉันเช้าหรือครับ” เณรน้อยถาม ทัพเที่ยงส่ายหน้า

“หลวงตาไม่ต้องฉันแล้ว” เขายิ้มตอบ แล้วเดินตัดความมืดมุ่งสู่สถานที่สุดท้ายของชีวิต ระหว่างทางเดิน ทัพเที่ยงนึกถึงบทสนทนาระหว่างเขากับเฟื่องฟ้าและระย้าเมื่อหลายปีก่อน

ความรักในพระพุทธศาสนาก็คือพรหมวิหาร 4 อันประกอบด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มันคือความปรารถนาดี อยากเห็นคนที่เรารักพ้นจากความทุกข์ มีความยินดีที่ได้เห็นเขามีความสุข มีความเมตตาและความเข้าใจเมื่อเวลาที่เขาไม่เป็นอย่างใจเราต้องการ

ความรักของทัพเที่ยงและกลิ่นคงเหลือไว้แต่เพียงเท่านี้

ทัพเที่ยงยิ้มสงบ ใบหน้าของคุณเฟื่องแจ่มชัดเข้ามาในความรู้สึก เขาบอกตัวเองว่า โทสะ โมหะ ที่ถูกดับแล้วมันสงบร่มเย็นแบบนี้เองหนอ…

 

– จบบริบูรณ์ –



Don`t copy text!