แก่นไม้หอม บทที่ 15 : ปุ๋ยดีไม่ควรปล่อยให้ไหลลงนาผู้อื่น

แก่นไม้หอม บทที่ 15 : ปุ๋ยดีไม่ควรปล่อยให้ไหลลงนาผู้อื่น

โดย : กิ่งฉัตร

แก่นไม้หอม นวนิยายออนไลน์ โดย กิ่งฉัตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ กับเรื่องราวที่จะทำให้คุณได้รู้ว่าผู้หญิงเป็นเมียและแม่ไม่ต่างจากแก่นไม้ที่แข็งแกร่ง มั่นคงและทรหดที่ยึดให้ใบได้แผ่กว้าง และหากโลกนี้เชื่อว่าผู้ชายเป็นใหญ่ แต่จริงๆ แล้วทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นหยินที่โอบหยางทั้งสิ้น

เง็กซิมเป็นคนช่างพูดช่างสอน  แถมยังเล่าเรื่องคนนั้นคนนี้ได้สารพัด  แต่น้อยมากที่จะเอ่ยถึงใครในแง่ไม่ดีไม่งาม  ดังนั้นหล่อนจึงแค่เตือนซิ่วเฮียงว่าเลี่ยงเน้ยได้ก็เลี่ยง  ผู้คนมีมากมาย  เราเลือกได้ว่าจะคบหากับใครหรือไม่คบหากับใคร

“เวลาคบหาใครแล้วเกิดปัญหา  อย่าบอกว่าเป็นเพราะคบเพื่อนไม่ดี  เพราะคนไม่ดีเขาก็เป็นของเขาอย่างนั้นอยู่แล้ว  ต้องบอกว่าเราผิดเองที่เลือกคบคนไม่ดี  และผู้หญิงคนนี้เง็กซิมบอกเลยว่าอย่าคบ”

ซิ่วเฮียงเอ่ยรับอย่างเชื่อฟัง  รอว่าแม่บุญธรรมจะให้เหตุผลอะไรในการห้ามคบไหม  แต่ฝ่ายนั้นไม่พูดอะไรต่อ

ทว่าไม่นานหญิงสาวก็รู้เหตุผล  ที่รู้ไม่ใช่รู้จากนิสัยเย่อหยิ่งถือตัวว่าดีเหนือคนอื่นของเน้ย  แต่เป็นเพราะเมื่ออยู่ในกลุ่มผู้หญิงจำนวนมาก  หลีกไม่พ้นการซุบซิบนินทา

ซิ่วเฮียงนั้นมีข้อเสียตรงหัวอ่อน  ถ้าไม่จนตรอกหรือถึงที่สุดแล้วก็เหมือนไม่สู้คน  แต่ข้อเสียบางทีกลับเป็นข้อดีเพราะผู้ใหญ่ส่วนมากชอบเด็กเรียบร้อยอ่อนหวาน  ที่สำคัญหญิงสาวเป็นคนอัธยาศัยดี  คุยสนุก  สมัยอยู่สุพรรณเพื่อนบ้านต่างเอ็นดู  ไปอยู่ห้องเช่าเพื่อนร่วมเรือนที่แทบไม่เหลือบสายตามองพนมบางคนก็ไม่ชอบที่พิกุลมาหาเรื่อง  แต่ที่ทนกันได้ก็เพราะเวทนานังเฮียงมันกันทั้งนั้น  มาถึงลานมะเกลือ…ซิ่วเฮียงใช้เวลาสองสามวันก็มีเพื่อนฝูงหลายคนแล้ว  นอกจากเน้ยกับสมัครพรรคพวกสองสามคน  คนงานส่วนใหญ่เอ็นดูหญิงสาวกันทั้งนั้น

ดังนั้นทำงานร่วมกันสองสามวันกินข้าวร่วมกันสองสามมื้อ  สิ่งที่เง็กซิมไม่พูดไม่บอกซิ่วเฮียงก็รู้หมด

หล่อนรู้ว่าเถ้าแก่ส่วงกับเถ้าแก่เนี้ยกุ้ยเตียงนั้นแต่งงานกันมาหลายปีแต่มีลูกแค่สองคน  เป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง  น้าเขยของเถ้าแก่ห่วงว่าหลายภรรยาที่เสียไปแล้วคนนี้จะมีลูกน้อยเกินไป  เกรงว่าต่อไปจะมีลูกหลานไม่พอมาช่วยดูแลกิจการ  เลยอยากให้เถ้าแก่แต่งเมียเข้าบ้านอีกสักคนเพื่อจะได้มีลูกหลานพอใช้ในอนาคต

ข้อแนะนำนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร  เพราะบรรดาผู้มีอันจะกินหลายต่อหลายคนก็มีเมียมากกว่าหนึ่ง  บุรุษมีเมียสองเมียสามไม่ใช่เรื่องแปลกหรือผิดปกติอะไร  บางคนมีเมียเดิมอยู่แล้วที่เมืองจีน  พอมาเมืองไทยก็แต่งเมียอีก ส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่เมียไทยก็เป็นลูกหลานคนจีนที่มาตั้งรกรากอยู่ก่อนหน้าแล้ว  จากนั้นพอตั้งตัวได้ก็รับเมียจากจีนมาอยู่ที่เมืองไทย  อยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่  พี่น้องทั้งแม่เดียวกันและต่างแม่จะรักกันชังกันร่วมมือกันดูแลกิจการหรือแย่งชิงมรดกอย่างไรกว่าจะรู้ผลก็อีกสามสิบสี่สิบปีให้หลังไปแล้ว

และนอกจากเสนอแล้วน้าเขยผู้นี้ยังอยากแนะนำญาติทางระยองให้มาเป็นเมียคนที่สองด้วย

เถ้าแก่ที่ซิ่วเฮียงยังไม่เคยเห็นหน้าเพราะเขายุ่งอยู่กับโรงงานใหม่ที่สมุทรปราการไม่ได้มีท่าทีอะไร

เถ้าแก่เนี้ยก็ไม่มีความคิดเห็นที่เด่นชัด  แต่บรรดาญาติพี่น้องทางโบ๊เบ๊ของกุ้ยเตียงกลับวุ่นวายไปหมด

หลีมุ่ยพี่สะใภ้ของหญิงสาวออกตัวแรงกว่าใคร  หล่อนเตือนครอบครัวสามีว่า  ปุ๋ยดีไม่ควรปล่อยให้ไหลลงนาผู้อื่น  แต่พอไม่มีใครขยับตัวทำอะไร  หญิงสาวรายนี้ก็จัดแจงหาลูกพี่ลูกน้องที่หน้าตาดีมีฝีมือในการตัดเย็บส่งให้น้องสามี

“ถ้าอาส่วงจะมีเมียอีกคนก็ให้ญาติทางฝั่งเราดีกว่า  รู้จักหน้าตาญาติพี่น้องบ้านช่องรู้นิสัยใจคอกันดี  จำไว้เลยนะอาเตียง  ของแบบนี้ให้เป็นคนของเราจะดีกว่าจะได้คุมอยู่ไม่ให้มันมาตีเสมอได้”

กุ้ยเตียงเกรงใจพี่สะใภ้อยู่บ้างจึงไม่แย้งว่า  ผู้หญิงที่หลีมุ่ยจัดหามาไม่ใช่ญาติหล่อน  หน้าตาเป็นอย่างไรหล่อนก็ไม่เคยเห็น  บ้านช่องก็ไม่รู้จัก  ที่สำคัญอย่าว่าแต่หล่อนเลยแม้แต่หลีมุ่ยเองก็ไม่ได้รู้จักนิสัยใจคอของเน้ยจริง ๆ

ทั้งคู่ไม่รู้ว่าเน้ยนั้นเป็นผู้หญิงทะเยอทะยานแต่ใจคอคับแคบคนหนึ่ง  หญิงสาวเกิดมาหน้าตาสะสวย  แถมมีฝีมือเย็บเสื้อได้ปักผ้าได้ละเอียด  เสียดายที่ติดตรงว่าฐานะทางบ้านไม่ดีนักเทียบกับบ้านของหลีมุ่ยไม่ได้  แถมในบ้านยังมีพี่น้องหลายคน  ต้องใช้จ่ายอย่างกระเหม็ดกระแหม่  ที่เน้ยตัดเสื้อได้ดีปักได้สวยก็เพราะหญิงสาวเบื่อใส่เสื้อผ้าเก่า ๆ ที่ตกทอดมาจากพี่สาวหลายคนเต็มทน  ดังนั้นหล่อนจึงตัดเสื้อผ้าใส่เอง  ตัดจนคล่องลอกแบบเสื้อผ้าจากนิตยสารผู้หญิงทั้งหลายได้  ส่วนพี่สาวน้องสาวนั้นถ้าต้องการตัดเสื้อสวย ๆ ก็ต้องจ่ายเงินจ้างหล่อน  เน้ยคิดเงินทุกบาททุกสตางค์ทั้งค่าผ้าค่าด้ายค่าเข็มไม่มีตกหล่น

เริ่มแรกเมื่อญาติสาวลูกผู้พี่ที่แต่งออกไปกับลูกชายคนโตเจ้าของร้านเสื้อใหญ่โตที่โบ๊เบ๊บอกมาว่าจะแนะนำให้หล่อนไปเป็นเมียคนที่สองของเถ้าแก่โรงย้อมผ้า  เน้ยเบ้ปากไม่สนใจ  หล่อนทั้งหน้าตาดีมีฝีมือถ้าจะมีผัวก็ต้องเป็นเมียแรกและเมียเดียว  แต่พอหลีมุ่ยเล่าว่าฝ่ายนั้นมีฐานะมีกิจการใหญ่โต  มีทั้งโรงงานและร้านที่สะพานหัน  หญิงสาวก็เริ่มลังเล  เพราะในชีวิตที่ผ่านมาของเน้ยนั้น  ผู้ชายดี ๆ ที่พอจะเข้าตาก็มักเป็นหนุ่มน้อยจากครอบครัวใหญ่  ข้างบนมีแม่ที่จู้จี้จอมบงการ  แถมยังมีพี่น้องมากมาย  พวกที่ไม่มีครอบครัวใหญ่ก็ไม่มีเงิน

เน้ยที่ช่างติตัดใจตกล่องปล่องชิ้นกับใครไม่ลง  ดังนั้นเมื่อหลีมุ่ยมาชักจูงโดยยกเรื่องทรัพย์สินฝ่ายชาย  ตามด้วยฝ่ายชายไม่มีญาติพี่น้องมีแค่น้าเขยที่เปิดโรงพิมพ์เล็ก ๆ อยู่ที่ระยองเท่านั้น  ส่วนเถ้าแก่เนี้ยนั้นเป็นน้องสามีของคนชักจูง  ยังไงก็ต้องเกรงใจพี่สะใภ้คนโต  คงไม่ได้หาเรื่องกดขี่หรือกลั่นแกล้งญาติพี่สะใภ้มากนัก

หลีมุ่ยบอกว่าอย่าเพิ่งตัดสินใจ  ให้ลองไปบ้านลานมะเกลือก่อนสักครั้ง  เน้ยคิดว่าตามไปเที่ยวเล่นเท่านั้น  แต่พอเห็นบ้านสองชั้นมีลานกว้างที่ใหญ่โตกว่าบ้านหลังเล็กของหล่อนไม่รู้กี่เท่า  เห็นลานมะเกลือที่มีคนงานหลายสิบ  เห็นน้องสามีของหลีมุ่ยที่แต่งตัวสวย  สวมเสื้อผ้าราคาแพง  ผมไม่เคยสระทำเอง  เข้าร้านทำผมตลอด  หญิงสาวก็รู้สึกร้อนในอกอย่างประหลาด  ที่สำคัญเมื่อเห็นเถ้าแก่ส่วงที่หน้าตาหล่อเหลา  พูดจานุ่มนวล  หล่อนก็โยนความตั้งใจเรื่องเมียเอกเมียเดียวอะไรนั่นทิ้งลงคลองไปหมด

เน้ยรีบพยักหน้าตอบรับแผนของหลีมุ่ย  แต่ยังมิวายถามว่า

“จะให้อั๊วไปเป็นเมียอีกคน แจ้แน่ใจนะว่าน้องผัวแจ้จะไม่ฉีกอกอั๊ว”

“โอ๊ย  ไม่หรอก  อาเตียงน่ะถือตัวจะตาย  เขาไม่ลดตัวมาทำอะไรแบบนั้นหรอด  อีกอย่างถ้าไม่เลือกญาติทางฝั่งเรา  ผู้หญิงที่ญาติทางฝั่งผัวเลือกให้ก็ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า  จะหาผู้หญิงหยำฉ่าที่ไหนมาให้ก็ไม่รู้  ยิ่งถ้าเจอพวกพวกปากตลาด  คนนิ่ง ๆ อย่างอาเตียงคงสู้รบปรบมือไม่ไหวแน่  ญาติกันน่ะดีสุดแล้ว”

หลีมุ่ยให้เหตุผลโดยพยายามลืมว่า  ญาติของหล่อนก็ไม่เบาเหมือนกัน  ชื่อเสียงของเน้ยเองความยโสเห็นแก่ตัวมีคนพูดให้ได้ยินไม่น้อย  แต่เวลานั้นในหมู่ญาติพี่น้อง  เน้ยอายุเหมาะสมสุดและหน้าตาชวนมองที่สุดแล้ว

หญิงสาวไม่รู้…หรือเหมือนไม่พยายามรับรู้ว่า  แค่ไปเห็นผู้ชายกับบ้านช่องโรงงานเขา  เน้ยก็ฝันเฟื่องว่าได้เป็นเถ้าแก่เนี้ยรองเรียบร้อย

แต่สิ่งที่สองสาวคิดก็อย่างหนึ่ง  ความเป็นจริงก็อีกอย่าง  ตอนที่หลีมุ่ยเสนอไป  เถ้าแก่ส่วงทำเหมือนเดิมคือยิ้ม ๆ ไม่ตอบรับอะไร  กุ้ยเตียงก็ทำตามอย่างสามีคือไม่รับปากแต่ไม่ตัดรอนรุนแรงให้เสียน้ำใจกัน

พี่สะใภ้ใหญ่ผิดหวังก่อนเปลี่ยนเป็นไม่พอใจ  บ่นเสียงดังว่าเลือกคนดี ๆ ให้ไม่ชอบ  เจอญาติทางระยองบีบให้รับผู้หญิงที่ไหนไม่รู้เข้าบ้านมาจะเสียใจ

กุ้ยเตียงจะเสียใจหรือไม่ ไม่มีใครรู้  แต่ที่แน่ ๆ คือเน้ยผิดหวังอย่างแรง  หญิงสาวคร่ำครวญว่าหลีมุ่ยไม่ได้ตั้งใจแนะนำจริง ๆ  แค่มาหลอกให้หล่อนมีความหวังแล้วก็สะบัดก้นหนีไป  เน้ยถึงกับขอให้เตี่ยของหล่อนไปคุยกับอาแปะอาอึ้มหรือลุงและป้าสะใภ้พ่อแม่ของหลีมุ่ย  เตี่ยหรืออาเตียของหลีมุ่ยเลี้ยงน้องชายคนนี้มาตั้งแต่เล็ก  ด้วยความที่เป็นลูกชายคนเล็กทางบ้านจึงตามใจกันมาตลอด  ตามใจจนโซ้ยตี๋ของบ้านเหมือนเทวดาทำอะไรไม่เป็น  โตขึ้นทุกคนในครอบครัวจึงยังต้องคอยเกื้อกูลไม่ขาด  พอน้องชายมาขอให้ช่วย  แม้จะไม่อยากยุ่งแต่ก็จำต้องเรียกลูกสาวคนโตมาบอกให้ช่วยเน้ยหน่อย

ม้าของหลีมุ่ยก็อยากให้ช่วยให้การจับคู่สำเร็จ  เพราะคิดว่าถ้าหลานสาวสามีคนนี้แต่งไปกับเถ้าแก่ใหญ่  คงมีเงินจุนเจือให้กับครอบครัวเดิมบ้าง  และน้องสามีคงไม่วิ่งมาคร่ำครวญว่าจะอดตายอยู่แล้วขอเงินไปซื้อข้าวซื้อนั่นซื้อนี่แทบทุกสามเดือนเหมือนที่ทำประจำ

หลีมุ่ยบ่นกระปอดกระแปดว่า  ไม่อยากบากหน้าไปหากุ้ยเตียงแล้วเพราะฝ่ายนั้นไม่เห็นความหวังดีของหล่อนเลย

เตี่ยกับม้าต้องคะยั้นคะยอแถมเอาใจหญิงสาวอยู่นาน  หล่อนถึงยอมรับปากว่าจะลองไปพูดกับกุ้ยเตียงดูอีกครั้ง  แถมยังพูดเหมือนเอาบุญเอาคุณว่า

“ถึงคนเขาจะไม่เห็นความดี  แต่อั๊วเป็นพี่สะใภ้เขาช่วยอะไรได้ก็ต้องช่วย”

เตี่ยกับม้าฟังแล้วชื่นชมว่าหล่อนเป็นคนดี  เห็นแก่ทั้งคนในครอบครัวสามีและญาติพี่น้องของตัวเอง

จะมีก็แต่หลีสู่น้องชายคนเล็กที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับหล่อนมาตลอดฟังแล้วเอ่ยเยาะว่า

“แจ้หวังดีกับน้องผัวจริง ๆ หรือ  หรือว่าอิจฉาเขาที่ผัวเขาดีกว่าเก่งกว่าผัวแจ้  แถมผัวเขายังรักเมียดูแลเมียดีมากกว่าผัวแจ้  แจ้เลยอิจฉาอยากจะส่งเน้ยแจ้ไปป่วนครอบครัวเขา”

หลีมุ่ยตาเขียวใส่น้องชาย

“เอ๊ะไอ้โซ้ยตี๋  อย่ามาหาเรื่องกันนะ   อ่านหนังสือเตรียมสอบไปเถอะอย่าได้สอดเรื่องผู้ใหญ่เขา  เห็นเตี่ยบ่นว่าช่วงนี้การเรียนแกตกไม่ใช่หรือ  ระวังเถอะเรียนไม่จบเตี่ยจะฟาดหัวแกแตก”

หญิงสาวไม่สนใจคำจี้ใจดำของน้องชาย  หล่อนพาเน้ยมาฝากทำงานกับกุ้ยเตียง  ยอมหน้าหนากระซิบบอกน้องสามีว่า

“เด็กมันมีใจ  เตียงก็เวทนามันหน่อย  ให้เน้ยมันมาช่วยดูแลบ้านแบ่งเบาภาระ  เตียงจะได้มีเวลาไปช่วยเถ้าแก่ดูร้าน  เตียงจะได้ไม่เหนื่อยมากไง”

“ก็ไม่เหนื่อยนะซ้อ  ลูกมีพี่เลี้ยง  บ้านช่องก็มีคนทำให้  งานที่ร้านก็ไม่ได้หนักหนาอะไร  แค่ไปนั่งคุมเฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไรมาก”

ฟังแล้วหลีมุ่ยรู้สึกแสบร้อนในอก  คำพูดเยาะหยันของน้องชายยังก้องอยู่ในหู  แต่หญิงสาวยังดื้อดึงบอกกับตัวเองว่าหล่อนทำไปเพราะหวังดีจริง ๆ  ผู้ชายที่โดดเด่นอย่างเถ้าแก่ส่วงคงมีเมียเดียวได้ไม่นาน  วันนี้ญาติที่ระยองเสนอมา  วันหน้าก็คงมีคนอื่นเสนอ  ถ้าไม่ใช่เน้ยก็ต้องเป็นผู้หญิงอื่นอยู่ดี    ดังนั้นหล่อนจึงยังพยักหน้ายิ้มชื่นชม  ปากก็ว่า

“เตียงนี่วาสนาดีจริง ๆ ดีอย่างนี้ก็น่าจะเผื่อแผ่ให้ญาติพี่น้องด้วย  คิดเสียว่าสะสมบุญไว้  เป็นกุศลต่อลูกหลาน”

กุ้ยเตียงไม่ยิ้มแล้ว  หญิงสาวนึกในใจว่านี่ถ้าผู้หญิงตรงหน้าไม่ใช่เมียพี่ชายคนโต  ไม่ใช่แม่ของหลาน ๆ สองคน  หล่อนคงด่าหรือย้อนไปแล้วว่าถ้าคิดว่าอยากสะสมบุญด้วยวิธีนี้ทำไมไม่ให้ตั่วเฮียหล่อนรับแม่เน้ยอะไรนี่เป็นเมียอีกคนไปเสียล่ะ  จะพยายามมายัดเยียดให้เป็นคนบ้านนี้ทำไม

“บ้านลานมะเกลือไม่ขาดคน  ถ้าอาส่วงไม่อยากรับอั๊วก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกันนะซ้อ”

“เอางี้  ถ้าให้ช่วยงานในบ้านไม่ได้ตอนนี้ก็ให้ไปเป็นคนงานที่โรงงานก่อน  เน้ยมันมีฝีมือเย็บเสื้อดีปักผ้าก็สวย  อั๊วถึงได้อยากให้มาช่วยงานเตียงไง”

หลีมุ่ยเสนอ  กุ้ยเตียงที่คิดว่าคงแตกหักกับพี่สะใภ้ไม่ได้แน่จึงยอมถอยก้าวหนึ่งให้หลงจู๊รับเน้ยเป็นคนงานปัก

เมื่อรู้ข่าวสาวเน้ยที่อยากเป็นเถ้าแก่เนี้ยรองไม่ได้อยากเป็นคนงานแทบจะร้องไห้ด้วยความแค้นใจ  หล่อนงอแงไม่อยากทำงานในโรงงาน  หลีมุ่ยเลยเอ็ดเข้าว่า

“อย่าโง่ไปหน่อยเลย  ถ้าอยากเป็นเมียเถ้าแก่แต่เอาแต่อยู่กับบ้านเถ้าแก่เขาจะไปขอลื้อหรือ  มันต้องทำงานที่โรงงานให้เขาเห็นหน้า  ทำตัวสวย ๆ ขยันขันแข็งสร้างผลงานดี ๆ เถ้าแก่เขาจะได้สนใจรู้ไหม”

เน้ยฟังแล้วคิดว่ามีเหตุผลจึงยอมทำตามคำแนะนำของญาติผู้พี่  แรก ๆ ที่เริ่มทำงานหญิงสาวก็หงุดหงิดใจอยู่บ้าง  แต่ทำแล้วเห็นว่าค่าแรงดีกว่าอยู่บ้านรับจ้างเย็บเสื้อปักผ้าให้พี่สาวน้องสาวมาก  แถมทั้งเสมียนและคนงานอื่น ๆ รู้ว่าหล่อนเป็นญาติดองกับเถ้าแก่เนี้ย  จึงมีทั้งคนที่เกรงใจและคนที่ประจบประแจง

ยิ่งเถ้าแก่ส่วงเคยทักหญิงสาวครั้งหนึ่ง  หล่อนก็คุยฟุ้งไปทั่วทำนองว่ารอให้กุ้ยเตียงยอมรับ  เน้ยคนนี้ก็จะกลายเป็นเถ้าแก่เนี้ยรองแห่งบ้านลานมะเกลือ  คนงานส่วนใหญ่จึงยิ่งเอาใจ  และยิ่งได้รับการเอาใจเน้ยหยิ่งยโส  แถมยังวางอำนาจบาตรใหญ่  ถ้ามีคนงานหญิงเข้ามาใหม่เป็นสาวน้อยหน้าตาสะสวย  หล่อนก็หาเรื่องรังแกสารพัดทั้งวาจาและการกระทำ  กระทั่งฝ่ายนั้นทนทำงานไม่ได้ต้องลาออกไป  ลานมะเกลือของเถ้าแก่ส่วงจึงมีตำแหน่งงานว่างอยู่ตลอด

สำหรับซิ่วเฮียงนั้น  แรก ๆ เน้ยก็เขม่นหน้าอยู่  แต่หญิงสาวรายแรกไม่ถึงกับสวยสะดุดตา  แค่หน้าตาเกลี้ยงเกลาสดใสเท่านั้น  อีกอย่างซิ่วเฮียงไม่เคยปิดเรื่องหาญ  ใครถามเรื่องครอบครัวหล่อนก็บอกไปตรง ๆ ว่ามีลูกชายอายุเจ็ดเดือนคนหนึ่ง  เพียงแต่ไม่เคยเอ่ยถึงพ่อของลูกเท่านั้น  และถ้าคนงานรายไหนสนิทสนมกันมากพอ  ซิ่วเฮียงก็จะงัดภาพเด็กชายตัวขาวอวบอ้วนจากกระเป๋าขึ้นมาอวดด้วยความภาคภูมิใจ

เน้ยจึงเบาใจคิดว่าซิ่วเฮียงนั้นไม่ใช่คู่แข่งกับตนแน่  แต่กระนั้นก็ยังมิวายชอบพูดจากระทบกระแทกและคอยจับผิดแม่สาวน้อยจากสุพรรณตลอด  พอมีคนแอบถามว่าทำไมถึงได้ชอบหาเรื่องซิ่วเฮียงนัก  หล่อนก็บอกว่า

“เกลียดพวกชอบใช้เส้นสาย”  แต่พอนึกได้ว่าหล่อนเองก็มาทำงานที่นี่ด้วยเส้นสายเช่นกันจึงเปลี่ยนไปว่า  “เหม็นกลิ่นพวกบ้านนอก  เชยเฉิ่มเกะกะลูกตาจริง ๆ”

ส่วนสาวเชยเฉิ่ม…เมื่อได้รับรู้พฤติกรรมของเน้ย  แม้จะรู้เพียงคร่าว ๆ ไม่ได้รู้รายละเอียดทั้งหมดเหมือนอย่างในภายหลัง  แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้รู้สึกว่า  ผู้หญิงคนนี้ไม่น่าเข้าใกล้  ถ้าสนิทสนมด้วยก็รังแต่จะทำให้ตัวเองมัวหมอง  เหมือนอย่างที่เง็กซิมสอนหล่อนว่า  ใกล้ชาดเปื้อนแดง ใกล้หมึกเปรอะดำ  ดังนั้นซิ่วเฮียงจึงไม่ใส่ใจเน้ย  ห่างได้เป็นห่าง  ต่อให้ฝ่ายนั้นจะแกล้งเยาะเย้ยดูถูกผมตัดสั้นและเสื้อผ้าเชย ๆ ของหล่อน  หญิงสาวก็ไม่ใส่ใจ  หล่อนนึกในใจว่า  หมาเห่าใส่ไม่ใช่เรื่องของคนที่จะไปเห่ากลับ

ดังนั้นคนและ ‘หมา’ จึงต่างคนต่างอยู่  ไม่ได้สร้างปัญหาอะไรให้เง็กซิมหรือเหง็กลั้งที่เป็นผู้ดูแลคนงานไม่สบายใจ

ซิ่วเฮียงทำงานอย่างสบายใจ  หญิงสาวมีฝีมือในการเย็บผ้าอยู่แล้ว  การเย็บผ้าตามแบบที่วางไว้จึงไม่ใช่เรื่องยาก  แถมหล่อนยังเป็นคนทำงานปราณีตงานจึงออกมาดีไม่มีที่ติ  ทำงานได้อาทิตย์เดียวก็ขยับรับเงินในตำแหน่งของคนงานเต็มตัว

หญิงสาวยิ้มจนตาหยีเก็บเงินที่ได้รับเพิ่มอย่างระมัดระวัง  ใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น  หล่อนทำอาหารกินเองทุกมื้อ  ทุกวันซิ่วเฮียงจะตื่นแต่เช้ามืด  หิ้วตระกร้าเดินไปตลาดสด  เมื่อวานมีคนงานเอาหนำเลี๊ยบมาให้เง็กซิมวันนี้หล่อนจึงตั้งใจว่าจะทำหมูสับผัดหนำเลี๊ยบ  แถมมีรายการของที่ต้องซื้อหลายอย่าง  หลังสาละวนหาซื้อของครบตามที่ตั้งใจหล่อนก็เบียดผู้คนเตรียมกลับที่พัก  แต่ยังเดินไม่พ้นตลาดดีก็มีเสียงทุ้ม นุ่มนวลเรียกไว้ว่า

“อาหมวย ๆ รอก่อน”

ซิ่วเฮียงหันไปตามเสียงเห็นผู้ชายร่างสูงคนหนึ่ง  เขาสวมเสื้อขาวกับกางเกงผ้าปังลิ้นสีดำ  แม้การแต่งตัวจะดูเรียบง่ายแต่ชายผู้นี้กลับดูภูมิฐานอย่างประหลาด  ส่วนหน้าตานั้นจัดว่าดีมาก  เครื่องหน้าได้รูป  จมูกโด่งเป็นสันและดวงตาคู่ใหญ่ที่เป็นประกายสดใสชวนมอง

“มีอะไรหรือจ๊ะ”  หญิงสาวถามอย่างระมัดระวัง  นี่หล่อนคงไม่ได้ไปเหยียบของซื้อของขายใครเขาแตกหักเสียหายหรอกนะ

“นี่ใช่ของลื้อหรือเปล่า”  ชายหนุ่มยื่นกระเป๋าเงินที่เย็บจากผ้ามาตรงหน้า

ซิ่วเฮียงมองแล้วตกใจ  กระเป๋าเงินของหล่อน  จำได้ว่าใส่ไว้ในตระกร้า…ทำไมมาอยู่ในมือคนตรงหน้าได้

“มันคงหล่นมาตอนลื้อหยิบของเข้าของออกเมื่อกี้”

หญิงสาวรับมาแล้วรีบเปิดออกดูอย่างรวดเร็ว  ไม่ทันสังเกตว่าสีหน้าของอีกฝ่ายเปลี่ยนไปเล็กน้อย  ชายหนุ่มกำลังคิดว่าผู้หญิงคนนี้คงคิดว่าเขาจะแอบหยิบเงินจากกระเป๋าหล่อนไปกระมัง  ถึงได้มีท่าทางวิตกกังวลถึงขนาดนี้  แต่ยังไม่ทันจะเอ่ยอะไร ซิ่วเฮียงก็เงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขาด้วยความโล่งใจอย่างที่สุด

หล่อนเอ่ยว่า

“ขอบคุณมากนะจ๊ะ  ถ้าไม่ได้คุณเก็บกระเป๋าให้เฮียงคงเสียของสำคัญไปแล้ว”

เขามองด้วยความสนใจ  เห็นหญิงสาวหยิบรูปถ่ายเล็ก ๆ ขึ้นมาแนบอก

ความขุ่นใจของชายหนุ่มคลายลง  เขายิ้มน้อย ๆ ยอมรับว่า

“ภาพคนสำคัญนี่เอง  ถ้าหายไปคงเสียดายแย่จริง ๆ”

“จ้ะ”  หล่อนพยักหน้ารับขึงขัง  “ถ้าทำรูปหายเฮียงต้องขาดใจแน่”

ส่วงมองสาวน้อยท่าทางซื่อ ๆ แต่ยิ้มแย้มแจ่มใสชวนมองด้วยความเอ็นดู  ในใจลึก ๆ เสียดายเหมือนกันที่เจ้าหล่อนมีคนในดวงใจอยู่แล้ว

“รีบกลับเถอะอาหมวย  คราวหน้าก็ระวังหน่อยแล้วกัน”

“ขอบคุณจ้ะ”  ซิ่วเฮียงยิ้มจนตายิบหยีให้เขาก่อนถือตะกร้าที่ค่อนข้างหนักออกจากตลาดไป

หลังจากนั้น…หญิงสาวยังพบกับชายใจดีผู้นี้อีกสองสามครั้ง  ทักทายกันอย่างสุภาพสองสามคำ  ทุกครั้งหล่อนหิ้วของจนตัวเอียง  แต่ชายหนุ่มเหมือนไม่ได้ซื้ออะไรเลย  ซิ่วเฮียงเดาว่าเขาคงมากินอาหารเช้าในตลาด

หญิงสาวเติบโตมากับการทำอาหารกินเองโดยตลอด  ขนาดตอนอยู่มหาชัยกับข้าวกับปลาก็ทำกินเองทุกมื้อ  ดังนั้นจึงมีความคิดมาตลอดว่า  อาหารซื้อข้างนอกนั้นอร่อยจริงแต่ควรกินเป็นครั้งเป็นคราว  เพราะนอกจากจะสิ้นเปลืองแล้วยังไม่รู้ว่าสะอาดหรือเปล่า  ดังนั้นพอหล่อนได้ข่าอ่อนดี ๆ มาจึงลงมือทำยำเกี้ยมฉ่ายด้วยการตำข่าอ่อนกับพริกเหลืองพอหยาบ  นำเกี้ยมฉ่ายดองหวานที่คัดมาแล้วว่าแต่ละชิ้นเนื้อแน่นหนารสไม่หวานมากมาโขลกเบา ๆ พอเข้าเนื้อจากนั้นบีบมะนาวนิดหน่อย  เท่านี้ก็ได้กับข้าวข้าวต้มอย่างดี  กลิ่นรสยั่วน้ำลายทำให้เจริญอาหาร  แถมยังเก็บไว้ได้นาน

ซิ่วเฮียงแบ่งเกี้ยมฉ่ายยำให้บ้านเหง็กลั้งถ้วยหนึ่ง  อีกส่วนเอาใส่อวยใบเล็กติดตะกร้าไปตลาด  โชคดีที่เจอชายใจดีคนนั้นหล่อนจึงมอบให้เขาไปเป็นการขอบคุณ  สนทนากันอีกสองสามคำ  หญิงสาวก็ตอบไปอย่างไม่คิดอะไร  ก่อนทั้งคู่จะแยกย้ายกันไป

หลังจากนั้นไม่นานอาหมวยใสซื่อแต่อัธยาศัยดีเยี่ยมถึงได้รู้ว่า  ชายใจดีของหล่อนไม่ได้ไปตลาดสดเพื่อกินอาหารตามตลาด  ส่วงมักไปจิบชาคุยกับพวกผู้เฒ่าผู้แก่ในร้านอาหารเช้าแถวนั้น  และพอออกจากร้านอาหารเขาก็มักจะเดินสำรวจสินค้าในตลาดสด  ดูช่องทางว่ามีอะไรที่จะพอนำเข้าหรือส่งออกได้บ้าง  ระยะหลัง ๆ เพิ่มการส่องสาวน้อยร่างเล็กบางไปด้วย

และซิ่วเฮียงไม่รู้เลยว่าเกี้ยมฉ่ายยำอวยเล็ก ๆ นั้นสามารถเปลี่ยนชีวิตหล่อนไปได้มากเพียงใด

 



Don`t copy text!