
แก่นไม้หอม บทที่ 17 : กระต่ายก็กัดเป็น
โดย : กิ่งฉัตร
แก่นไม้หอม นวนิยายออนไลน์ โดย กิ่งฉัตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ กับเรื่องราวที่จะทำให้คุณได้รู้ว่าผู้หญิงเป็นเมียและแม่ไม่ต่างจากแก่นไม้ที่แข็งแกร่ง มั่นคงและทรหดที่ยึดให้ใบได้แผ่กว้าง และหากโลกนี้เชื่อว่าผู้ชายเป็นใหญ่ แต่จริงๆ แล้วทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นหยินที่โอบหยางทั้งสิ้น
เมื่อมาทำอาหารเช้าให้ครอบครัวเถ้าแก่ส่วง ซิ่วเฮียงถึงรู้ว่าชื้อไท่ลูกชายคนโตของบ้านลานมะเกลืออายุยังไม่เจ็ดขวบดี ส่วนชื้อย้งน้องสาวอายุน้อยกว่าพี่ชายประมาณสองปี และที่เขาพูดกันว่าสองคนผัวเมียแต่งงานมาหลายปีนั้นอันที่จริงไม่ถึงแปดปีด้วยซ้ำ หญิงสาวคิดว่าเวลาแปดปีถือว่าไม่มาก แต่ญาติผู้ใหญ่เถ้าแก่คงคิดต่างจากผู้หญิงจน ๆ อย่างหล่อนถึงได้คิดหาเถ้าแก่เนี้ยรองให้
ส่วนตัวหล่อนไม่เกี่ยวข้องอะไรกับใคร รับปากรับงานเขามาก็ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดเท่านั้น ดังนั้นซิ่วเฮียงจึงตั้งใจทำอาหารอย่างเต็มที่ วันแรกหญิงสาวทำข้าวต้มปลา แต่กลัวว่าเด็ก ๆ จะไม่ชอบข้าวต้มปลาจึงซื้อกุ้งสดตัวใหญ่ ๆ มาด้วย หล่อนปอกเปลือกกุ้งนำหัวกุ้งและเปลือกไปต้มเป็นน้ำซุป ตัวกุ้งผ่าหลังล้างทำความสะอาดก่อนลวกในน้ำซุปให้พอสุก เนื้อกุ้งแน่นเด้งยังคงความสดหวาน ข้าวสวยใส่ลงในน้ำซุปคนแรง ๆ เร็ว ๆ ให้ความหวานหอมของซุปซึมเข้าเนื้อข้าวแต่ตัวข้าวไม่เละ จากนั้นก็ตักข้าวต้มใส่จานวางกุ้งลวกไว้ด้านบน
นี่ถ้าไม่ได้ทำให้เด็กเล็กกิน ซิ่วเฮียงอาจจะผัดกุ้งกับรากผักชีกระเทียมพริกไทยให้หอมแล้วราดบนข้าวต้ม จากนั้นก็โรยพริกไทย ส่วนผักชีต้นหอมซอยใส่ถ้วยแยกต่างหากเผื่อมีใครไม่กินผัก
ข้าวต้มปลาหล่อนก็ทำคล้ายกัน เอาปลามาเคล้าเกลือแล้วล้างสะอาดเพื่อขจัดคาว ใช้หัวปลาต้มซุปโดยเร่งไฟแรงน้ำเดือดจัดปรุงรสให้ดี เอาปลาลงแล้วไม่คนจนกว่าปลาจะสุก เนื้อปลาซิ่วเฮียงหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมใหญ่ ๆ ใส่หม้อซุปรอจนสุกก็ตักขึ้นพักไว้ เวลาคนข้าวในหม้อเนื้อปลาจะได้ไม่แตก เวลาตักใส่ชามก็ทำเหมือนข้าวต้มกุ้ง เพียงแต่ข้าวต้มปลามีทั้งข่าป่นกับใบคื่นช่ายไว้สำหรับดับกลิ่นคาว น้ำจิ้มเต้าเจี้ยวมีเตรียมไว้พร้อม
ซิ่วเฮียงวุ่นอยู่ในครัว ทำอาหารส่งให้คนงานสองคนในบ้านยกไปที่ห้องอาหาร จากนั้นหล่อนก็ทำความสะอาดครัว ข้าวต้มปลาหญิงสาวทำเกินไว้ส่วนหนึ่งเผื่อคนงานในบ้านด้วย วัตถุดิบนั้นเหมือนกับของครอบครัวเถ้าแก่ เพียงแค่เนื้อปลาชิ้นเล็กไม่สวยเท่านั้น ส่วนตัวหล่อนกลับห้องพักมือเปล่า กลับไปกินข้าวเช้าที่เง็กซิมเตรียมไว้ให้แล้วก็เดินไปลานมะเกลือพร้อมกัน
เช้าวันถัดมาซิ่วเฮียงทำต้มเลือดหมู หญิงสาวเคี่ยวกระดูกหมูส่วนหน้าแข้งหรือคาตั๊งโดยใช้ไฟอ่อนตั้งแต่ช่วงเย็นจนน้ำซุปใสส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ยั่วน้ำลาย ส่วนเครื่องหล่อนทำหมูสับจากหมูติดมัน นำมาสับแบบหยาบ ๆ ไม่ได้สับให้แน่นเหนียวเหมือนหมูสับในโจ๊ก แค่สับให้ปั้นเป็นก้อนกลมได้ ต้มแล้วน้ำซุปแทรกลงในเนื้อหมูได้ทั้งรสหวานของหมูและความหอมกลมกล่อมของน้ำซุป เลือดหมูลวกอย่างดีไม่มีกลิ่นคาว ส่วนตับและไส้หมูอ่อนหล่อนทำความสะอาดแล้วลวกแยกไว้เผื่อเด็กน้อยสองคนอาจจะไม่ชอบเครื่องใน
อาจือหนึ่งในสองของคนงานในบ้านที่มีลาภปากไปเมื่อวานนี้ยื่นหน้าเข้ามามองด้วยท่าทีที่เป็นมิตรขึ้นกว่าเมื่อวานมาก ชมว่า
“ลื้อทำอาหารเก่งจริง ๆ เมื่อวานเถ้าแก่เนี้ยชมว่าข้าวต้มปลาไม่คาว อร่อยเหมือนข้าวต้มปลาจากเยาวราชเลย อาย้งเองทุกทีกินข้าวยากยังกินข้าวต้มกุ้งได้เกือบหมดชาม ฝีมือลื้อนี่แน่จริง ๆ”
แม้จะเป็นคนงานแต่อาจือไม่ได้มีหน้าที่ทำงานหนักแบบซักผ้าถูบ้าน หล่อนเหมือนมือขวากุ้ยเตียงมากกว่า และมีหน้าที่คล้ายพี่เลี้ยงเด็ก คอยดูแลลูกชายหญิงของเถ้าแก่ส่วง ดูเรื่องอาบน้ำแต่งตัวกินข้าว จัดการพาไปส่งโรงเรียนและคอยรับกลับ ความสัมพันธ์ระหว่างหญิงวัยสามสิบรูปร่างท้วมกลมคนนี้กับครอบครัวเถ้าแก่ไม่เลวเลย เด็กทั้งสองเรียกหล่อนว่าอี๊จือ หล่อนก็เรียกเด็กทั้งสองว่าอาไท่กับอาย้งอย่างทั้งยกย่องและเอ็นดู
“ชอบก็ดีแล้วจ้ะ เด็ก ๆ กินเยอะ ๆ ดีแล้วจะได้โตไว ๆ” ซิ่วเฮียงยิ้มรับตายิบหยี ในใจแวบหนึ่งนึกถึงพิกุล เคล็ดลับทำการทำอาหารทะเลให้อร่อยและไม่มีกลิ่นคาวหล่อนรับมาจากอดีตแม่สามีปากร้ายทั้งสิ้น รายนั้นขี้เกียจทำเองแต่อยากกินของอร่อยจึงชี้นิ้วสั่งหลายอย่าง หญิงสาวเรียนมาหมดอย่าว่าแต่พวกข้าวต้มเลย ต้มยำหัวปลาตำรับสมุทรสาคร ปลาทูต้มมะดันหรือปลาทูต้มเค็มหล่อนก็ทำเป็นหมด เพียงแต่ไม่ชอบกิน เหม็นกลิ่นคาวปลาเลยไม่อยากทำ ถ้าทำรับรองมีแต่คนชม
นี่ถ้าพิกุลรู้ว่าเคล็ดลับการครัวต่าง ๆ ที่ถ่ายทอดให้จะทำให้ซิ่วเฮียงได้รับคำชมและความชื่นชอบมากขนาดนี้ ฝ่ายนั้นคงแค้นใจเนื้อตัวสั่น จนนอนไม่หลับไปหลายคืน และเมื่อนึกหน้าอดีตแม่ผัวแค้นใจซิ่วเฮียงก็ครึ้มอกครึ้มใจยกมือปิดปากหัวเราะอิอิออกมา
แหม…เพิ่งรู้ตัวว่าหล่อนเองก็ร้ายไม่เบาเหมือนกันนะเนี่ย!
น่าเสียดายอารมณ์ดีและการหลงตัวเองของซิ่วเฮียงอยู่ได้ไม่นาน เพราะแค่เดินต้อย ๆ ตามหลังเง็กซิมเข้าไปในลานมะเกลือ เน้ยที่เพิ่งได้ยินข่าวลือที่สะพัดโรงงานก็แล่นถลาเข้าใส่เหมือนหมาบ้า
เห็นเง็กซิมขวางทางระหว่างหล่อนกลับซิ่วเฮียงก็ผลักอีกฝ่ายออกเต็มแรง
เง็กซิมแม้จะตัวเล็กบางแต่แข็งแรงดังนั้นถึงถูกผลักจนเซทว่าโชคดีไม่ล้ม อีกอย่างซิ่วเฮียงก็คล่องแคล่วว่องไวไม่น้อย รีบคว้าแขนแม่บุญธรรมของหล่อนไว้ช่วยพยุงอีกแรงไม่ให้ล้มลง เง็กซิมโมโหตั้งตัวได้ยังไม่ทันจะเอ่ยปากด่ามือผลัก ฝ่ายนั้นก็ชี้หน้าซิ่วเฮียงด่าเสียงลั่นเรือนว่า
“นังหลกท่ง นึกอยู่แล้วเชียวว่าพวกแม่ม่ายผัวทิ้งไม่มีดีสักคน ต่อหน้าคนอื่นทำเป็นเสงี่ยมหงิมอ่อนหวานลับหลังก็ระรี้ระริกเข้าหาผู้ชายเหมือนหมาตัวเมีย ถุย…ทำเป็นผู้หญิงดีเรียบร้อยขยันเข้าครัว ที่แท้ก็อ่อยผู้ชายไม่ต่างจากผู้หญิงโรงน้ำชา…”
ซิ่วเฮียงฟังคำด่าอย่างมึนงง งงขนาดต้องหันไปมองด้านหลังว่าเน้ยกำลังด่าใครด้านหลังหล่อนอยู่หรือเปล่า แต่นอกจากคนงานที่ยืนอยู่ห่าง ๆ เบิกตามองตรงมาที่หล่อนด้วยความสนใจ สะใจหรือแม้แต่กังขาแล้วไม่มีใครอื่น
และสายตาคนรอบข้างรวมถึงสายตาแปลกใจของเหง็กลั้งที่ถูกเสียงด่าทอดึงดูดให้ขึ้นบันไดมาส่วนเย็บปักชั้นบนทำให้ซิ่วเฮียงโกรธขึ้นมาบ้าง หมาบ้าก็คือหมาบ้า ถึงได้สามารถแยกเขี้ยวตาขวางเห่าใส่อย่างไม่มีสาเหตุได้แบบนี้
“เป็นบ้าไปแล้วหรือไงเน้ย จู่ ๆ มาด่ากันแบบนี้ เข้าใจอะไรผิดกันหรือเปล่า”
“ผิดบ้าอะไร กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง ทำตัวดีวิเศษวิโสมองคนอื่นอย่างดูถูก แต่จริง ๆ เป็นนังแม่ม่ายขี้ขโมย ลื้อพยายามแย่งเถ้าแก่จากอั๊ว นังเฮียงตัวดี นังสารพัดพิษ ผัวเก่าลื้อคงฉลาดรู้ว่าเมียเป็นไงถึงได้ทิ้งไป อีเมียก็วิ่งวุ่นหาผัวใหม่ไม่สนว่าผัวใครคนของใครอยากได้ก็แย่งเอาหน้าด้าน ๆ”
“หุบปากนะเน้ย อย่ามาใส่ความกัน ลื้อพูดอะไรอั๊วไม่รู้เรื่อง”
“นังตอแหล นึกว่าทำชั่วแล้วปิดได้หรือ ไอ้ที่ลื้อหน้าด้าน ๆ แอบยั่วผู้ชาย ไปหัวร่อต่อกระซิกกับเถ้าแก่กลางตลาดสดคิดว่าไม่มีคนเห็นหรือไง นังมารสารพัดพิษ…”
เน้ยยังคงด่าทอได้เป็นคุ้งเป็นแคว ยิ่งเห็นคนมามุงขึ้นเรื่อย ๆ ก็ยิ่งด่าสนุกปาก แต่ซิ่วเฮียงนั้นหูดับไปตั้งแต่ได้ยินคำว่าหัวร่อต่อกระซิกกับเถ้าแก่กลางตลาดสดแล้ว เถ้าแก่หรือ…เถ้าแก่ที่ไหนกัน หรือว่าผู้ชายใจดีที่เก็บกระเป๋าเงินให้หล่อนคือเถ้าแก่…เถ้าแก่ส่วง…
ซิ่วเฮียงตกใจจริง ๆ ไม่จริงกระมังเรื่องจะบังเอิญขนาดนั้นเชียว และนอกเหนือจากความตกใจคือความรู้สึกหดหู่ในใจเล็กน้อย จากนั้นความรู้สึกประหลาดนั้นกลับขยายใหญ่ขึ้นจากความหดหู่เป็นรู้สึกเหมือนถูกหลอก ถูกหัวเราะเยาะถูกด่า โดยเฉพาะอย่างหลังนี่ชัดเจนมาก เพราะไม่ใช่แค่หล่อนคนเดียวที่ได้ยิน คนทั้งลานมะเกลือก็คงได้ยินเหมือนกัน
“นังหน้าหนาคิดจะแย่งผู้ชายคนอื่น ไม่ต้องทำหน้ามึน ๆ งง ๆ ไม่รู้เรื่องเลยนะนังตอแหล…”
ชิ่วเฮียงชูนิ้วขึ้นสองนิ้ว ขัดขึ้นว่า
“สองแล้ว”
“สองอะไร”
“ด่าตอแหลซ้ำสองรอบแล้ว ปัญญาด่าคนอื่นมีแค่นี้ใช่ไหม ด่าได้ไม่นานก็หมดคำแล้ว” ฝีมือแบบนี้ถือว่าได้ไม่ถึงหนึ่งในสิบของพิกุล ดีกว่าก็แค่ยังสาว แต่งหน้าจัดเวลาลอยหน้าลอยตาด่าเลยไม่ได้ดูน่าเกลียดเท่าพิกุลเท่านั้น แต่ก็ไม่สวยนะ ไม่ได้นับว่าสวยอะไรเลย
“อีบ้า ด่าแล้วยังมีหน้ามานับคำด่าอีก ถูกด่าจนเคยชินล่ะสิคงจะหน้าหนามาตลอด” เน้ยตะคอกใส่อย่างเจ็บใจ ก่อนพาลว่า “ดีนะที่มีลูกชาย ถ้ามีลูกสาวแล้วหน้าหนาเหมือนแม่นี่น่ากลัวจริง ๆ”
ซิ่วเฮียงฟังแล้วตาลุกวาบขึ้นทันที ถ้าเปรียบหญิงสาวเหมือนแมว ตามปกติหล่อนก็คงเป็นเหมือนลูกแมวตัวน้อยเนื้อตัวนุ่มนิ่ม ใครแหย่เย้าก็แค่ใช้อุ้งมือตะปบ แต่พอเน้ยกล่าวพาดพิงถึงหาญแม้จะเพียงเป็นการเทียบนิดหน่อย ลูกแมวน้อยก็กลายเป็นแม่แมวที่โก่งพองตัวจนใหญ่โต แยกเขี้ยวแหลมเหยียดเล็บออกจากอุ้งตีนพร้อมเข้าสู่สงคราม
“หุบปากเลยไปเลยนังปากหมา ที่มึงมาโวยวายหาเรื่องอยู่นี่มันเพื่ออะไร”
คนตัวเล็กแต่พอตวาดขึ้นเสียงมึงมาพาโวยก็ดูน่ากลัวไม่น้อย คนงานในลานมะเกลือรู้จักซิ่วเฮียงมาเกือบสองเดือน เห็นแต่หญิงสาวที่อารมณ์ดียิ้มแย้มแจ่มใส สุภาพอ่อนหวาน อย่าว่าแต่ด่าใครเลยขึ้นเสียงดังหน่อยซิ่วเฮียงก็ไม่เคยทำ พอมาเจอหล่อนโกรธจนตาพองด่ากลับไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมเลยตะลึงไปหมด เง็กซิมเองก็ถึงกับยกมือทาบอกด้วยความตกใจ แม้ลูกสาวบุญธรรมจะเคยเล่าว่าเวลาโกรธจัดจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่หล่อนจะด่ากราดเหมือนอดีตแม่สามี แถมยังด่าได้ดีกว่าด่าได้ชนะด้วย แต่หญิงกลางคนไม่เคยเชื่อว่าซิ่วเฮียงจะเป็นแบบนั้นได้ กระทั่งตอนนี้…
“ก็…ก็มึงตั้งใจจะจับเถ้าแก่” เน้ยเปลี่ยนมาขึ้นกูมึงบ้าง แต่น้ำหนักของเสียงกลับสู้ตอนเอ่ยด่าปกติไม่ได้เลย
“จับเถ้าแก่แล้วอย่างไร ไม่จับแล้วอย่างไร มึงมาเสือกอะไรด้วย เมียก็ไม่ใช่แม่ก็ไม่ใช่ น้องสาวยิ่งไม่ใกล้เคียงแล้วมึงมาสะเออะอะไรกับเรื่องของกูเรื่องของผัวคนอื่น”
“ก็อั๊ว…อั๊ว…”
“อยากเป็นเถ้าแก่เนี้ยรองเลยต้องเสนอหน้าใช่ไหม แม่เน้ยแม่เน้ยคนงามแม่เคยคิดบ้างไหม ถ้าเขาจะยกมึงเป็นเถ้าแก่เนี้ยรองจริง ๆ เขาคงทำไปนานแล้ว ไม่ปล่อยให้มึงค้างเติ่งเป็นช่างปักผ้าไปวัน ๆ อยู่อย่างนี้หรอก ป่านนี้คงได้นั่งทำงานสบาย ๆ ในบ้านลานมะเกลือไปแล้ว ถุย ด่าว่ากูหน้าด้าน ใครกันแน่ที่หน้าด้านหน้าทน ผู้ชายเขาไม่เอายังตามตื้อตามหึงหวงเหมือนเป็นเมียเขา บอกเลยนะประกาศตรงนี้กูกับเถ้าแก่บริสุทธิ์ใจ กูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่เคยเจอสองสามครั้งที่ตลาดคือเถ้าแก่ เขาเข้ามาคุยก็คุยตอบกันสองสามคำ ไม่เคยคิดจะยั่วยวนใคร เพราะถึงกูจะเป็นแม่ม่ายแต่ไม่เคยคิดแย่งผัวใคร แค่ใครดีมาก็ดีตอบกลับไปเท่านั้น คนอย่างซิ่วเฮียงหน้ายังบางไม่ได้หนาเหมือนสาว ๆ โสด ๆ ที่ผู้ชายเขาไม่สนก็ยังตู่ว่าจะได้ขึ้นเกี้ยวเข้าบ้านเป็นเถ้าแก่เนี้ยรอง ตื่นทีเถอะแม่คุณอย่ามัวแต่ฝันอยู่เลย ไม่งั้นตกเกี้ยวลงมาคนเขาจะยิ่งสมเพช เพราะทุกวันนี้เขาก็เวทนากันพออยู่แล้ว”
ซิ่วเฮียงเหมือนระเบิด พอปะทุปังแล้วก็จบ
เน้ยมองหญิงสาวตรงหน้าเหมือนเห็นผีอ้าปากจะเถียง หุบปาก อ้าปาก หุบปากจากนั้นก็ร้องไห้โฮวิ่งตึงตังลงจากชั้นสองไป ความเร็วขนาดนั้นดีที่ไม่ม้วนกลิ้งลงไป
เง็กซิมถลึงตาใส่ลูกสาวบุญธรรม มือไวหยิกพุงไปทีพร้อมดุ
“เง็กซิมจะเอาสบู่ล้างปากลื้อ!”
ซิ่วเฮียงที่เพิ่งชนะการต่อสู้ทางวาจาได้แต่ยิ้มแหย เพิ่งได้สติว่าทำอะไรลงไป พอถูกหยิกเลยก้มหน้ารับโทษไม่โต้แย้ง
เหง็กลั้งเห็นพวกคนงานยังจ้องหญิงสาวเหมือนไม่อยากจะเชื่อสายตาและหูของตัวเอง หล่อนก็เข้ามาไล่
“ยังจะมามุงอะไรกันอีก งานการไม่มีทำหรือไง ค่าแรงวันนี้ไม่อยากรับกันแล้วใช่ไหม”
ในส่วนเย็บปักและคลังสินค้าเง็กซิมใจดีส่วนเหง็กลั้งเข้มงวด ดังนั้นช่างและคนงานส่วนใหญ่จะชอบเง็กซิมแต่เกรงเหง็กลั้ง ดังนั้นพอรายหลังเอ่ยเสียงเย็นกวาดตามองดุ ๆ ผ่าน พอกวาดไปทางไหนกลุ่มคนมุงทางนั้นก็สลายตัวไปอย่างรวดเร็ว
เก็บกวาดเรียบร้อยเหง็กลั้งก็มองซิ่วเฮียงด้วยสายตาแปลก ๆ เหมือนคาดไม่ถึงก่อนถอนใจนิดหนึ่งแล้วกลับลงไปยังส่วนงานของหล่อนตามเดิม
เง็กซิมเห็นสายตาเพื่อนร่วมงานและเพื่อนข้างห้องพักแล้วอดใจไม่อยู่ หยิกลูกสาวบุญธรรมไปอีกครั้ง ปากก็ว่า
“คนที่ไม่รู้จุดอ่อนของตัวเองน่าสงสาร แต่คนที่รู้แล้วไม่รู้จักระวังหรือแก้ไขนี่น่าตีให้เนื้อแตกจริง ๆ”
ซิ่วเฮียงคอย่น รับปากว่า
“เฮียงรู้แล้ว ต่อไปจะไม่ทำอีกแล้วจ้ะ”
“ทำไปครั้งแล้ว เขาเห็นกันทั่วแล้ว จะทำอีกหรือไม่ทำอีกก็ไม่มีประโยชน์อะไร คนเราเรื่องดี ๆ ของคนอื่นจำได้เสียทีไหน จำแม่นแต่เรื่องร้าย ๆ ไม่ดีไม่งามเท่านั้นแหละ”
หญิงสาวหน้าม่อย แต่พอนึกอะไรขึ้นได้ก็รีบพึมพำว่า
“เง็กซิ่มจ๊ะ เฮียงไม่รู้จริง ๆ ว่าคนใจดีคนนั้นคือเถ้าแก่”
“เง็กซิมเชื่อ เชื่อเพราะรู้จักเฮียงดี แต่คนอื่นก็เหมือนความจำนั่นแหละ เรื่องดี ๆ เชื่อยากเรื่องร้าย ๆ เชื่อง่ายกว่ามาก ฉะนั้นถ้าใครไม่เชื่อก็ไม่ต้องแปลกใจหรือเสียใจอะไร คนเราทำอะไรเรารู้ตัวเองดีที่สุด ไม่ต้องไปสนใจคำตัดสินของใคร”
ซิ่วเฮียงไม่สนใจใครเพราะหล่อนมีบทเรียนมามากมายแล้ว แต่หญิงสาวอดคิดถึงเถ้าแก่เนี้ยไม่ได้ ภาพกุ้ยเตียงที่หันมองออกนอกหน้าต่างยังติดตาติดในใจอยู่ตลอด
“เน้ยคงไปฟ้องเถ้าแก่เนี้ย”
เง็กซิมทำเสียงฮึมฮัมในลำคอเหมือนเห็นด้วย
“เฮียงควรจะไปอธิบายให้เถ้าแก่เนี้ยเข้าใจไหมจ๊ะ เฮียงไม่อยากเป็นต้นเหตุทำให้ผัวเมียทะเลาะกัน”
“รอก่อนเถอะ ถ้าเถ้าแก่เนี้ยให้คนมาตามก็ไปพบ ถ้าไม่ตามก็ทำทุกอย่างไปตามปกติ เพราะรีบร้อนไปก็จะกลายเป็นแก้ตัว”
“แต่ถ้าไม่อธิบาย เถ้าแก่เนี้ยอาจจะคิดว่าเฮียงผิดต่อเธอจริงเลยไม่กล้าสู้หน้านะจ๊ะ”
“ก็สุดแล้วแต่เถ้าแก่เนี้ยจะคิด แต่เง็กซิมว่ารอพรุ่งนี้เถอะ ถ้าไปทำกับข้าวให้เขาแล้วเขาไม่เปิดประตูรับก็กลับมา ไม่ว่ายังไงเลวร้ายสุดก็หางานใหม่เท่านั้น”
ซิ่วเฮียงนิ่งไปเล็กน้อยก่อนบ่นว่า
“เฮียงไม่ห่วงเรื่องหางานใหม่…” หญิงสาวคิดอยู่แวบ ๆ เหมือนกันว่าอาจจะต้องกลับไปหางานเย็บผ้าทำที่สุพรรณ เงินอาจจะไม่ดีเท่าทำงานที่ลานมะเกลือ แต่ก็ได้อยู่กับลูกแถมไม่ต้องมีปัญหาเหมือนวันนี้ “แต่เฮียงกลัวว่าจะทำให้เง็กซิ่มเดือดร้อนไปด้วย”
“เด็กโง่ เถ้าแก่ส่วงกับเถ้าแก่เนี้ยทำกิจการจากไม่มีอะไรเลยมาจนใหญ่โตได้ขนาดนี้มีหรือจะแยกเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานไม่ออก แต่ถ้าแยกไม่ออกจริง ๆ เง็กซิมจะทนทำงานกับคนทำงานไม่เป็นได้ยังไงจริงไหม อีกอย่าง…เง็กซิมจะสอนเฮียงนะ คนเรามีฝีมืออย่าง มีแรงอย่าง มีความพยายามอย่าง ที่สำคัญมีความซื่อสัตย์ต่องานที่ทำอีกอย่าง ไปไหนก็ไม่อดตาย อาจจะลำบากแต่ก็ไม่อดตาย”
“จ้ะ เฮียงจะจำไว้จ้ะเง็กซิ่ม”
“ดีแล้ว ไปทำงานเถอะ ทำงานไปไม่ต้องไปสนใจคนอื่น อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด เราทำนายอนาคตไม่ได้ อะไรจะเกิดก็ค่อย ๆ แก้ปัญหากันไปแล้วกัน”
สองแม่ลูกบุญธรรมกลับเข้าไปในห้องตัดเย็บ ลงนั่งทำงานเหมือนวันปกติ มีคนอยากจะเอ่ยลอย ๆ เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเหมือนกัน แต่พอนึกถึงเวลาซิ่วเฮียงโมโหชี้หน้าด่าแบบไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมขึ้นมาก็ตัดสินใจปิดปากตัวเอง ก้มหน้าก้มตาทำงานกันไป
ส่วนเน้ยนั้นออกจากลานมะเกลือก็วิ่งตรงไปฟ้องเถ้าแก่เนี้ยจริง ๆ กุ้ยเตียงยังไม่ทันได้ออกไปร้านที่สะพานหันจึงต้องต้อนรับญาติผู้น้องของพี่สะใภ้อย่างจำใจ
เน้ยเล่าเรื่องที่หล่อนได้ยินมาจากเพื่อนคนงาน จากนั้นก็ไป ‘สอบถามนัง…เอ่อ…แม่ซิ่วเฮียง’ ด้วยความคับข้องใจและน้ำตาเอ่อล้นดวงตา หญิงสาวเล่าแบบเอาดีเข้าตัว หล่อนบอกว่าทำเพราะเห็นแก่ ‘แจ้’ คิดถึงแต่ความรู้สึกของ ‘แจ้’ แต่นังแม่ม่ายตัวแสบกลับหาว่าหล่อนเสือกเรื่องของมัน สะเออะเรื่องผู้ชายของคนอื่น
“แจ้ไม่เห็น มันงี้ลอยหน้าลอยตาบอกว่ามันไม่รู้ว่าผู้ชายที่เจอที่ตลาดคือเถ้าแก่ ตอแหลหน้าด้าน ๆ ไหม มีหรือทำงานในลานมะเกลือมาสองสามเดือนแต่ไม่รู้จักหน้าเถ้าแก่เจ้าของโรงงาน อั๊วว่ามันรู้อยู่แก่ใจ แต่ทำเป็นซื่อ ๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราว จริง ๆ แล้วแม่ม่ายซิ่วเฮียงนี่มันแผนสูงต้องตั้งใจไปดักเถ้าแก่ที่ตลาดทุกวันแน่”
หญิงสาวเล่าไปสังเกตว่าอีกฝ่ายนั่งจิบชาฟังอย่างตั้งอกตั้งใจก็ยิ่งได้ใจพยายามยุยงต่อว่า
“แล้วแจ้รู้ไหม แม่นี่มันทำตัวเหมือนคนเรียบร้อยเสงี่ยมหงิม พูดจาจ๊ะจ๋า แต่วันนี้มันลุกขึ้นชี้หน้าด่าอั๊วหยาบ ๆ คาย ๆ แสดงสันดานเดิมออกมาให้ทุกคนเห็น”
กุ้ยเตียงวางถ้วยชาร้อนในมือลง หล่อนยิ้มมุมปากเมื่อเปรยว่า
“อ้อ กระต่ายก็กัดเป็นเหมือนกัน”
“กระต่ายที่ไหน นังอสรพิษล่ะไม่ว่า แจ้อย่าได้คิดเก็บมันไว้ใกล้ตัวเชียว กับข้าวกับปลาก็ไม่ต้องให้มันทำแล้ว เดี๋ยวมันทำของใส่จะเดือดร้อน พรุ่งนี้ฉันมาทำให้เองก็ได้ไม่ต้องไปอาศัยมัน”
“เน้ย อั๊วขอให้ลื้อช่วยหรือ” กุ้ยเตียงก็ถามขึ้นลอย ๆ ทำให้หญิงสาวที่กำลังพูดเป็นต่อยหอยชะงักไปเล็กน้อยก่อนตอบ
“แจ้ไม่ได้พูดแต่อั๊วอยากช่วย”
“รู้ไหม…” เสียงของเถ้าแก่เนี้ยเหมือนแฝงรอยยิ้มเล็กน้อย “ทำไมเด็กนั่นถึงได้เหนือกว่าลื้อ…”
เน้ยชะงักตัวแข็ง ก่อนย้อนถามเสียงแหลม
“นังเฮียงนั่นนะหรือเหนือกว่าอั๊ว!”
“เหนือกว่ามาก คิดดูง่าย ๆ นะ ถ้าเด็กนั่นไม่ได้โกหกเรื่องไม่รู้จักอาส่วง ต้องนับว่าใจซิ่วเฮียงบริสุทธิ์กว่าลื้อ แต่ถ้าเด็กนั่นรู้แล้วแต่ยังเสแสร้งก็ต้องชมว่าซิ่วเฮียงมีชั้นเชิงกว่าลื้อ เพราะอย่างน้อยเขาก็ดึงดูดอาส่วงได้จริง”
อีกฝ่ายหน้าดำหน้าแดง ผุดลุกขึ้นถามเหมือนตะโกนว่า
“นี่…นี่เถ้าแก่ชอบนังเฮียงหรือแจ้ เป็นไปได้ยังไง เป็นไปไม่ได้ เขาต้องชอบอั๊วสิ เขาต้องชอบอั๊ว”
กุ้ยเตียงมองหญิงสาวตรงหน้าที่หน้าตาเปรอะไปด้วยน้ำตาแล้วถอนใจยาว เพราะเวทนาหรอกนะถึงไม่อยากจะถ่วงให้เสียเวลาไปมากกว่านี้
“อาส่วงเป็นคนตัดสินใจเร็ว ถ้าเขาต้องการอะไรจริงไม่มีการโยกโย้หรอก ลื้อเองมาทำงานที่ลานมะเกลือตั้งแต่หลังปีใหม่…” ปีใหม่ของกุ้ยเตียงคือปีใหม่จีนช่วงกลางเดือนมกราคม “ตอนนี้ปลายเดือนสิบ ทำงานมาได้แปดเก้าเดือนแล้ว ยังคิดไม่ได้อีกหรือว่าถ้าอาส่วงเขาจะรับลื้อเข้าบ้านเขาคงทำไปนานแล้ว”
“นั่น…นั่นเพราะลื้อขวางไว้ ลื้อหวงเถ้าแก่ไม่ยอมให้เถ้าแก่รับเมียรอง” เน้ยชี้หน้าว่า ตอนนี้จ้งแจ้ก็ไม่เรียกแล้ว ในใจมีแต่ความโกรธแค้นจากความผิดหวัง หล่อนชอบเถ้าแก่ส่วงจริง ๆ ทรัพย์สมบัติน่ะชอบแน่ แต่เหนือกว่านั้นคือชายร่างสูงใบหน้าหล่อเหลา ท่าทางสุภาพอ่อนโยน เสียงที่เอ่ยนุ่มนวลไพเราะทำให้หัวใจของเน้ยเต้นแรงแต่ในสมองกลับว่างเปล่าล่องลอยบนปุยเมฆ ทุกคืนทุกวันฝันแต่จะได้เป็นเถ้าแก่เนี้ยรอง เถ้าแก่รูปงามประคองหล่อนในอ้อมแขนด้วยความรักใคร่ พอทุกอย่างไม่ได้เป็นดังใจหวัง หญิงสาวก็ผลักทุกอย่างไปให้กุ้ยเตียง โทษว่าเพราะเถ้าแก่เนี้ยหึงหวงจึงไม่ยอมให้เถ้าแก่รับเมียรอง
แต่มาวันนี้ความฝันของหล่อนแหลกสลายเป็นผุยผง หญิงสาวแค้นจนเจ็บปวดหน้าอกไปหมด เจ็บจนแทบแดดิ้น ทว่าคนที่หล่อนโทษว่าเป็นต้นเหตุตรงหน้ากลับเอ่ยอย่างนุ่มนวลว่า
“ถ้าคิดแบบนั้นแล้วลื้อสบายใจก็ให้เป็นตามนั้น แต่ต่อจากนี้ตัดใจเสียเถอะ ถ้าอาส่วงจะมีเมียอีกคน คนคนนั้นไม่ใช่ลื้อแน่นอน อย่ามัวพยายามไขว่คว้าสิ่งที่ไม่ใช่ของลื้ออยู่อีกเลย เอาเวลาไปให้คนที่เขาจริงใจกับลื้อจริง ๆ ดีกว่า”
เน้ยกัดฟันแน่น หล่อนไม่รู้ว่าเดินออกจากบ้านลานมะเกลือได้อย่างไร ไม่รู้ว่าน้ำตาทั้งหมดมันย้อนกลับไปในอกตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่รู้แม้กระทั่งความเจ็บของเล็บที่จิกแน่นลงในอุ้งมือ ยามนี้หล่อนรู้เพียงไฟที่ผลาญในอกจนร้อนไปหมด
นังกุ้ยเตียง นังซิ่วเฮียง พวกมึงจำไว้เลยนะ สักวันเน้ยคนนี้จะตอบแทนที่พวกแกรวมหัวกันทำร้ายอย่างสาสมที่สุด กูจะทำ กูจะทำ กูจะทำ!
หนึ่งในผู้ถูกสาปแช่งมองตามหลังที่แข็งทื่อของเน้ยไปอย่างเวทนา แต่เวทนาแล้วอย่างไร ตัวหล่อนเองใช่ว่าจะทำอะไรได้ ความคิดความเชื่อ ธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ ล้วนเหมือนเชือกไหมที่มัดหล่อนไว้แน่น และแม้เชือกไหมจะงดงามแต่มีหรือจะไม่บาดเนื้อ
กุ้ยเตียงเรียกอาจือมาบอกให้คนขับรถเตรียมรถออก หล่อนจะไปร้านสะพานหัน การเรียกรถใช้เวลาเล็กน้อยเพราะทางเข้าบ้านลานมะเกลือคับแคบ รถเข้าไม่ได้ต้องจอดรถไว้ที่ลานวัดด้านนอก คนขับรถมักจะพักรออยู่ที่โรงงาน ดังนั้นเวลาจะใช้รถต้องไปตามคนขับก่อน หล่อนจะได้ไม่ต้องเสียเวลาแกร่วรอหน้าโบสถ์
ระหว่างรอหญิงสาวมองเหม่อไปทางลานมะเกลือ ใจที่แม้จะนิ่งแต่ยังสัมผัสได้ถึงรสขมจาง ๆ ยามนึกถึงคนกลางของเรื่อง
ฮึ! พ่อคนเจ้าเสน่ห์ ผู้หญิงเขารู้ตัวแล้ว ต่อไปคงกลับเข้าโรงงานที่ลานมะเกลือได้แล้วกระมัง!
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 30 : ฟ้าถล่ม
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 29 : ลูกชายลูกชาย
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 28 : ไม่มีอะไรแน่นอน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 27 : เด็กน้อยของซิ่วเฮียง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 26 : สันดานคนยากจะเปลี่ยน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 25: รถจี๊ปสีเขียว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 24 : หวังดีเกินไป รักเกินไป
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 23 : เรื่องที่เข้ากันได้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 22 : หยี่แจ้ โอ่ยแจ้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 21 : แต่งงาน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 20 : สู่ขอ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 19 : ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 18 : เห็นขี้ดีกว่าไส้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 17 : กระต่ายก็กัดเป็น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 16 : เลิกกับผัวแล้ว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 15 : ปุ๋ยดีไม่ควรปล่อยให้ไหลลงนาผู้อื่น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 14 : ลานมะเกลือ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 13 : ศาลองค์แป๊ะกง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 12 : เข้ากรุง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 11 : ส้วมที่แตกแล้ว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 10 : บ้าน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 9 : หันหลังกลับ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 8 : พยอม
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 7 : หมดสิ้น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 6 : หาญ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 5 : วาสนา
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 4 : ดอกไม้ผ้า
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 3 : ตุ้มหูทอง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 2 : แม่ผัว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 1 : ซิ่วเฮียง