แก่นไม้หอม บทที่ 21 : แต่งงาน

แก่นไม้หอม บทที่ 21 : แต่งงาน

โดย : กิ่งฉัตร

แก่นไม้หอม นวนิยายออนไลน์ โดย กิ่งฉัตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ กับเรื่องราวที่จะทำให้คุณได้รู้ว่าผู้หญิงเป็นเมียและแม่ไม่ต่างจากแก่นไม้ที่แข็งแกร่ง มั่นคงและทรหดที่ยึดให้ใบได้แผ่กว้าง และหากโลกนี้เชื่อว่าผู้ชายเป็นใหญ่ แต่จริงๆ แล้วทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นหยินที่โอบหยางทั้งสิ้น

หลังจากยื่นข้อเสนอไปไม่ถึงสามวัน  กุ้ยเตียงก็มาขอซิ่วเฮียงจากเง็กซิมจริง ๆ  หญิงสาวเอ่ยกับแม่บุญธรรมซิ่วเฮียงอย่างยิ้มแย้มว่า

“อาส่วงเขาถูกใจซิ่วเฮียง  ชมว่าเป็นคนดี  หัวไว  ขยันขันแข็งเอาการเอางาน  อั๊วเองก็ถูกชะตากับอาเฮียง  เลยอยากจะขออาเฮียงจากเง็กซิมให้แต่งเป็นเมียอีกคนของอาส่วง  อั๊วรับรองว่าจะดูแลเฮียงอย่างดี  ไม่ให้น้อยเนื้อต่ำใจ  จะรักเฮียงให้เหมือนน้องสาว  เง็กซิมไม่ต้องห่วงลูกสาวคนนี้เลยนะ”

เง็กซิมดูหน้าซิ่วเฮียง  ส่วนซิ่วเฮียงสังเกตสีหน้ากุ้ยเตียง  เมื่อเห็นว่าฝ่ายนั้นน้ำเสียงจริงใจใบหน้าเรียบเฉยไม่ได้มีท่าทางเจ็บปวดหรือฝืนทนพูดจาแต่อย่างไร  ใจของหญิงสาวก็สงบลงได้และหันไปพยักหน้าเล็กน้อยให้แม่บุญธรรม

เง็กซิมโล่งใจจนแทบหัวเราะออกมา  แต่สุดท้ายได้แต่ยิ้มแย้มรับการสู่ขอของกุ้ยเตียงแต่โดยดี

ชีวิตซิ่วเฮียงเปลี่ยนไปอีกครั้งในห้องเช่าเล็ก ๆ และการพยักหน้ารับเพียงครั้งเดียว…

เมื่อตกลงเรื่องแต่งงานเรียบร้อย  ส่วงจึงเดินทางไปสุพรรณกับซิ่วเฮียงและเง็กซิมเพื่อสู่ขอซิ่วเฮียงอย่างเป็นทางการอีกครั้ง

ในตอนแรกหลีกังที่ร่างกายฟื้นฟูขึ้นจนเกือบเป็นปกติพอใจกับการแต่งงานครั้งนี้มาก  เขาถูกชะตากับว่าที่ลูกเขยจริง ๆ  ส่วงเป็นหนุ่มจีนแท้ ๆ หน้าตาดี  ท่าทางภูมิฐานหนักแน่นมั่นคงทว่าสุภาพอ่อนน้อม  อายุไม่มากก็ก่อร่างสร้างตัวเป็นเถ้าแก่โรงงานย้อมผ้า โรงงานตัดเย็บเสื้อ  แถมยังมีห้างร้านเป็นของตัวเอง  มาสู่ขอก็ขับรถยนต์มาเองเรียกสายตาและเสียงฮือฮาจากเพื่อนบ้าน  เด็ก ๆ วิ่งมารุมล้อมรถด้วยความสนอกสนใจ  ทำให้คนในบ้านหน้าบานเป็นกระด้ง

หลีกังถึงกับออกปากว่า  แค่มองปราดเดียวก็เห็นแล้วว่าผู้ชายจากกรุงเทพฯคนนี้เป็นชายหนุ่มมากฝีมือที่มีอนาคตไกลคนหนึ่ง  เป็นคนที่เขาสามารถแนะนำได้อย่างเต็มปากเต็มใจว่า…นี่เถ้าแก่ส่วงลูกเขยอั๊วเอง

แต่พอรู้ว่าซิ่วเฮียงแต่งเข้าไปเป็นเมียคนที่สองของส่วง  หลีกังก็สีหน้าเปลี่ยนนิ่งอึ้งไปอยู่นาน  นานจนเซียมลั้งต้องจับแขนสามีไว้กลัวเขาจะเอะอะอะไรขึ้นมา  ทว่าเตี่ยของซิ่วเฮียงกลับไม่ได้เอะอะอย่างที่ใคร ๆ นึกกลัว  เพียงแค่สีหน้านั้นไม่ได้ดีเท่ากับในตอนแรก

เมื่ออยู่กันตามลำพัง  เซียมลั้งลูบอกโล่งใจกระซิบบอกตรง ๆ ว่า

“อั๊วนึกว่าลื้อจะอาละวาดเสียอีก”

“อาละวาดเรื่องอะไร”

“ก็…เรื่องที่เฮียงมันจะแต่งไปเป็นเมียคนที่สองของเถ้าแก่ส่วง”  เซียมลั้งเอ่ยเสียงเบาเหมือนกระซิบ

“ทำไมต้องอาละวาด  ผู้หญิงลูกติดอย่างมันได้แต่งกับเถ้าแก่ดี ๆ ขนาดนี้ก็ถือว่าวาสนามันดีหนักหนาแล้ว  อีกอย่างอาเง็กซิมก็รับรองว่าเมียของเถ้าแก่ส่วงเป็นคนดี  เอ็นดูเฮียงมันสัญญาว่าจะไม่กลั่นแกล้งรังแกมัน  แค่นี้ก็ถือว่าดีแล้ว”

หลีกังพูดเหมือนไม่ใส่ใจ  แต่เซียมลั้งรู้ว่ามากน้อยยังไงสามีก็ยังเป็นห่วงลูกสาวคนโตอยู่  เพียงแค่ปากแข็งและดื้อดึงไปหน่อยเท่านั้น

ไม่สิ…ไม่ใช่แค่ดื้อดึงไปหน่อย  แต่ดื้อดึงมากโดยเฉพาะเมื่อตอนที่เขารู้ว่าซิ่วเฮียงตั้งใจจะพาหาญไปอยู่ที่กรุงเทพฯด้วย  สำหรับอากงที่เคลื่อนไหวตัวลำบากมาหลายเดือน…หลานชายคือความสดใสสดชื่นและชุบชูใจเพียงหนึ่งเดียว  แม้จะเป็นแค่หลานนอกแถมหลีกังยังชังพ่อของหาญ  แต่หลายเดือนที่เลี้ยงดูใกล้ชิด  คนเจ็บขยับตัวไม่ได้  คนในบ้านต้องเรียนหนังสือต้องทำงาน  มีแต่หลานเล็กวิ่งไปทั่วห้องชวนคุยรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง  เหนื่อยหนักก็เข้ามานอนซุกข้างตัวกอดอากงไว้แน่น  แต่ก่อนอากงก็หลงหลานเล็กอยู่แล้ว  ตอนนี้เลยยิ่งติดยิ่งผูกพันกับหลานชายมาก  อาจจะมากเสียยิ่งกว่าตอนที่ลูก ๆ ยังเป็นเด็กอายุเท่าหาญเสียด้วยซ้ำ

ดังนั้นเขาจึงคัดค้านเรื่องพาหาญไปกรุงเทพฯชนิดหัวชนฝา  เอะอะเอากับลูกสาวว่า

“อาหั่งอยู่ที่นี่สบายดีอยู่แล้ว  จะเอามันเข้ากรุงเทพฯทำไม  ที่นั่นมีคนดูแลเหมือนม้าลื้อเหรอ  ถึงลื้อจะเป็นเมียเถ้าแก่แต่งานก็ต้องทำ  แล้วจะเอาลูกใส่เอวกระเตงไปทำไม  อีกอย่างทางนั้นเขามีลูกสองสามคนแล้ว  ถ้าลูกทางนั้นเขารังแกอาหั่ง  ลื้อจะทำยังไง”

“ไม่มีอะไรแบบนั้นหรอกจ้ะเตี่ย  อาไท่กับอาย้งเป็นเด็กน่ารักนิสัยดีทั้งคู่  ไม่แกล้งหาญ…อาหั่งแน่จ้ะ  และอีกหน่อยเฮียงจะทำงานในลานมะเกลือน้อยลง  มาดูแลบ้านให้มากขึ้นคงมีเวลาดูแลอาหั่ง  ไม่ต้องให้เตี่ยกับม้าเหนื่อยเลี้ยงหลาน”

“ยังไม่ทันแต่งลื้อก็วางแผนเป็นคุณนายไม่ทำการทำงานแล้ว  ทำอย่างนี้คนเขามิดูถูกเอาเรอะ   ลื้อ

ตั้งใจทำงานไปก่อนเถอะ  รอไว้ให้อาหั่งมันรู้ความกว่านี้ค่อยรับมันไป”

ซิ่วเฮียงห่อเหี่ยวใจ  หญิงสาวมองลูกชายที่เปลี่ยนจากทารกอวบอ้วนเป็นเด็กชายแก้มกลมยุ้ยแขนขาเป็นปล้องวิ่งไปทั่วบ้านอย่างอาวรณ์  อยากจะอยู่กับลูกอยากเห็นลูกค่อย ๆ เติบโต  แต่หล่อนไม่กล้าขัดใจเตี่ย  อีกทั้งตัวหาญเองก็ยังเล็กไม่รู้ความเท่าไหร่  ถ้าให้เลือกระหว่างอยู่บ้านที่คุ้นเคยอยู่กับตายายและน้า ๆ  กับเลือกไปกับแม่ที่แปลกหน้า  นาน ๆ เจอกันสักครั้งครั้งละสองสามวัน  หาญต้องเลือกบ้านที่สุพรรณแน่นอน

ดังนั้นสองตาหลานอากงกับอาหั่งต่างช่วยกันประสานเสียง  ไม่เอาไม่ไปกรุงเทพฯ  คนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับวุ่นวายไปหมด  อาเส่งกับซิ่วเซียงก็มองตาแดง ๆ กลัวแจ้พาหลานเล็กขี้อ้อนขี้ประจบกลับกรุงเทพฯด้วย

สุดท้ายเซียมลั้งต้องมาไกล่เกลี่ยว่า

“กลับไปตอนนี้ลื้อก็ต้องยุ่ง ๆ เตรียมเรื่องแต่งงาน  แถมแต่งแล้วย้ายบ้านใหม่ต้องมีเรื่องให้จัดการเยอะแยะ  เอาเป็นว่าให้อาหั่งอยู่ที่นี่ก่อน  รอจนอาหั่งโตกว่านี้อีกนิดส่วนลื้อก็ตั้งหลักเรียบร้อยค่อยมารับลูกไปดีไหม”

ซิ่วเฮียงยิ้มขม  หญิงสาวมองเตี่ยที่จ้องมาเหมือนจะบอกว่าถ้าเอาหลานเล็กไปอั๊วก็จะตัดพ่อตัดลูกกับลื้ออีกรอบ  แล้วยังมีลูกชายหล่อนที่กอดคออากงไว้แน่นราวกับลูกลิง   น้องสองคนที่เคยมองแจ้ตาใสก็มองมาราวกับตัดพ้อต่อว่า

หญิงสาวถอนใจยอมรับว่า

“งั้นรอให้อาหั่งโตขึ้นอีกหน่อย  พอจะเข้าโรงเรียนได้แล้วเฮียงค่อยมารับไปกรุงเทพฯแล้วกัน”

หล่อนยอมถอย  บรรยากาศในบ้านก็ดีขึ้นทันที  แม้แต่ม้าที่ออกตัวว่ายืนเคียงข้างหล่อนยังมีแววโล่งอกในดวงตาอย่างชัดเจน

มีเพียงเง็กซิมเท่านั้นที่ตบหลังมือลูกสาวบุญธรรมเบา ๆ เป็นเชิงปลอบประโลม

กลับจากสุพรรณซิ่วเฮียงก็เริ่มเตรียมเรื่องงานแต่งงาน  หญิงสาวย้ายจากห้องเช่าเล็ก ๆ ไปอยู่บ้านไม้หลังเล็กข้างบ้านลานมะเกลือ  บ้านหลังนี้หล่อนนึกชอบใจตั้งแต่แรกเห็นแล้ว  อาจจะเพราะขนาดของบ้านนั้นไล่ ๆ กับบ้านที่สุพรรณ  ชั้นบนมีหลายห้องนอน  ข้างล่างมีห้องโถง  ห้องกินข้าว  ห้องครัวและห้องน้ำพร้อมสรรพ  หน้าบ้านติดบ้านลานมะเกลือมีต้นชมพู่แก้วหรือชมพู่พลาสติกต้นใหญ่  ลูกดก  ยามออกลูกสีชมพูเข้มเต็มต้น  สวยชวนมองเป็นที่สุด  แถมผลชมพู่ซิ่วเฮียงเก็บมาเชื่อมตากแดดเป็นขนมเปรี้ยวหวาน ๆ หอมกลิ่นชมพู่  หล่อนส่งให้ทางบ้านลานมะเกลือ  ทั้งซื้อไท่และซื้อย้งชอบมาก  กุ้ยเตียงก็ชิมอยู่หลายชิ้น  ชมด้วยว่าซิ่วเฮียงนั้นมีฝีมือ

บ้านหลังนี้แต่เดิมส่วงสร้างไว้สำหรับให้หลงจู๊และญาติจากทางระยองไว้พัก  แต่หลงจู๊ฮุ้งเลือกพัก

แถวหัวลำโพงเพราะสะดวกกับลูกเมียเขาในการไปทำงานและเรียนหนังสือ  บ้านชมพู่แก้วหลังนี้จึงปิดตาย

มาตลอด  ดังนั้นภายนอกบ้านอาจจะดูดีแต่ด้านในยังต้องปัดกวาดเช็ดถูทำความสะอาดอีกมาก

ส่วงให้ช่างมาซ่อมบ้าน  ซิ่วเฮียงม่านที่นอนหมอนมุ้งใหม่  พอทุกอย่างเข้าที่หล่อนก็ย้ายเข้าบ้านใหม่  ในตอนแรกเง็กซิมจะขออยู่ห้องพักเดิมไม่ตามมาอยู่ด้วย  โดยให้เหตุผลว่า

“บ้านนั่นเง็กซิมอยู่จนชินแล้ว  ไม่อยากย้ายให้วุ่นวาย  เฮียงอยู่ใกล้กันแค่นี้  มีอะไรก็ไปเรียกได้ไม่ต้องให้เง็กซิมย้ายมาเป็นเพื่อนหรอก”

“เพราะมันใกล้กันสิจ๊ะเฮียงถึงอยากให้เง็กซิ่มมาอยู่ด้วย  เง็กซิ่มไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไร  แค่ขยับย้ายมาไม่กี่ก้าวเท่านั้น  แล้วบ้านใหม่นี่สะดวกกว่าห้องเช่าตั้งเยอะ  มีครัว  เง็กซิ่มอยากจะทำกับข้าวอะไรก็ได้  แถมมีห้องน้ำในบ้านสะดวกออก  นะจ๊ะเง็กซิ่มมาอยู่เป็นเพื่อนเฮียงที่นี่เถอะ   บ้านหลังนี้มีห้องตั้งหลายห้อง  เง็กซิ่มมาอยู่กับเฮียงที่นี่ดีกว่า”

ซิ่วเฮียงออดอ้อนอยู่หลายวันกว่าเง็กซิมจะใจอ่อนยอมย้ายมาอยู่ด้วย

หลังจากจัดการเรื่องบ้านเรียบร้อยหญิงสาวต้องเตรียมเรื่องงานแต่งต่อ  แม้จะเป็นการแต่งภรรยาคนที่สองแต่ส่วงยังจัดงานให้อย่างดีเพื่อไม่ให้ซิ่วเฮียงต้องน้อยเนื้อต่ำใจ  แม้ไม่มีงานยกน้ำชาตอนเช้าก็ต้องมีงานเลี้ยงตอนเย็นเพื่อประกาศให้ญาติและเพื่อนฝูงได้รับรู้

ซิ่วเฮียงเลยต้องเตรียมชุดสำหรับงานเลี้ยง  ตอนแรกกุ้ยเตียงจะให้หล่อนไปตัดชุดที่ร้านเสื้อเจ้าประจำของหล่อน  แต่ซิ่วเฮียงส่ายหน้าดิก

“ร้านนี้แค่ตัดชุดธรรมดาก็ชุดละห้าร้อยแล้ว  ตัดชุดงานมิปาเข้าไปเป็นพันหรือจ๊ะ  ไม่ไหวหรอกแพงเกิน  เฮียงตัดเองดีกว่าจ้ะ  เสียแค่ค่าผ้าเท่านั้น”

หญิงสาวยืนยันหนักแน่น  กุ้ยเตียงก็ไม่ว่าอะไร  แค่หาหนังสือแบบเสื้อเจ้าสาวจากต่างประเทศให้หลายเล่ม

ซิ่วเฮียงเลือกแบบเสื้อเรียบ ๆ ถูกใจได้แล้วก็ไปซื้อผ้าที่พาหุรัดกับเง็กซิม   วุ่นวายกับการเดินเข้าออกร้านนั้นร้านนี้  ระหว่างที่เดินผ่านร้านเครื่องประดับหญิงสาวเหมือนได้ยินเสียงเรียกพี่เฮียงแว่ว ๆ  แต่ไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก  คิดว่าแถวนี้คงมีใครชื่อเฮียงเหมือนกับหล่อนเท่านั้นเอง

ชุดแต่งงานสีชมพูอ่อนของซิ่วเฮียงใช้เวลาตัดเย็บไม่กี่วันก็เสร็จ  อาจจะเพราะหญิงสาวเลือกแบบเรียบง่าย  ไม่มีการปักมุกปักเลื่อม  ตั้งใจว่าหลังใช้ในงานแต่งก็สามารถเอามาดัดแปลงใช้เป็นชุดออกไปงานข้างนอกได้

ส่วนเรื่องแต่งหน้าทำผมนั้น  หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรกุ้ยเตียงก็ไม่ยอมให้ซิ่วเฮียงทำเอง  หล่อนว่า

“ลื้อไม่เคยแต่งงานออกงาน  จะประหยัดแต่งเองไม่ได้  ขืนแต่งไปหน้าขาววอกเหมือนลิง  ขายขี้หน้าเขาตาย  ลื้อไม่ต้องห่วงเรื่องช่างแต่งหน้าทำผมเดี๋ยวอั๊วจัดการให้  ถือเป็นของขวัญให้ลื้อแล้วกัน”

ดังนั้นเช้าวันแต่งงานขณะที่หลาย ๆ คนวุ่นวายเตรียมงาน  ซิ่วเฮียงที่ควรถูกกักตัวอยู่ในบ้านกลับเดินออกมาที่ศาลองค์แป๊ะกงข้างบ้านลานมะเกลือ  ปีก่อนตอนหล่อนมาที่นี่เป็นช่วงกลางปี  ต้นคูณใหญ่มีแต่ใบเขียวกับฝักแก่  แต่ตอนนี้ปลายเดือนเมษายนต้นคูณใหญ่ออกดอกบานสะพรั่งเหลืองอร่ามไปทั้งต้น

ศาลเจ้าสีแดง  ดอกคูณเหลืองที่ไหวไปตามลมกับบ้านลานมะเกลือด้านหลังเป็นฉากที่งดงามอย่างบอกไม่ถูก  ซิ่วเฮียงจุดธูปขึ้นพนมขอองค์แป๊ะกง…ภาวนาให้ชีวิตคู่ครั้งใหม่ราบรื่นเป็นสุข  ปราศจากปัญหาและอุปสรรค  ครู่หนึ่งหญิงสาวรู้สึกเหมือนมีใครมายืนอยู่ใกล้ ๆ ลืมตาหันไปมองเห็นว่าที่เจ้าบ่าวที่อยู่ในชุดลำลองเช่นเดียวกับหล่อนยืนพนมมืออยู่ข้าง ๆ  ในมือเขามีธูปและดอกไม้แสดงให้เห็นว่าเขามาไหว้องค์แป๊ะกงเช่นกัน

ซิ่วเฮียงตาโต  เหมือนได้ยินว่าก่อนถึงเวลาเจ้าบ่าวเจ้าสาวไม่ควรพบหน้ากัน  แต่ดูเหมือนเถ้าแก่หนุ่มจะไม่สนใจคำบอกกล่าวพวกนั้น  ส่วงยิ้มให้หล่อน  ขยิบตาให้ครั้งหนึ่งก่อนดึงธูปจากมือหล่อนไปปักในกระถางรวมกับธูปของเขา

วินาทีนั้นหญิงสาวมั่นใจว่าองค์แป๊ะกงคงบันดาลให้หล่อนสมหวัง  ชีวิตคู่ที่จะเริ่มต้นครั้งใหม่นี้คงจะไม่จบลงด้วยการแตกหักและความเจ็บปวดเหมือนอย่างครั้งแรกเป็นแน่

 

งานพิธีและงานเลี้ยงแต่งงานเริ่มในช่วงเย็น  สถานที่จัดงานก็คือลานกว้างหน้าโรงงาน  เนื่องจากเป็นการกินเลี้ยงเฉพาะในหมู่ญาติและเพื่อนสนิทจริง ๆ จึงเลี้ยงโต๊ะจีนแค่ห้าโต๊ะ  โต๊ะหนึ่งเป็นโต๊ะของจั้กคุ้งน้าเขยของส่วงกับญาติ ๆ ของเขา  อาเตี๋ยของส่วงเป็นชายสูงวัยรูปร่างผอมสูง  หน้าตาธรรมดาแต่มีรอยยิ้มกว้างขวาง  รอบปากและหางตามีรอยยับย่นจากการยิ้มบ่อย  ท่าทางเป็นชายสูงวัยอารมณ์ดี  พูดจาสุภาพ  ซิ่วเฮียงพบเขาครั้งแรกวันนี้  แต่จั้กคุ้งแสดงท่าทีต้อนรับหลานสะใภ้คนใหม่อย่างจริงใจ  ไม่ได้ติติงหรือขัดเคืองใจที่ส่วงเลือกหล่อนแทนที่จะเลือกลูกหลานจากฝั่งเขาที่แนะนำให้  ภรรยาของเขากับญาติกับอีกสองสามคนที่ตามมาด้วยก็ยิ้มแย้มพูดคุยดี  ทำให้ซิ่วเฮียงสบายใจไม่รู้สึกอึดอัดใจ  โต๊ะนี้หลงจู๊ฮุ้งกับภรรยานั่งรวมอยู่ด้วย  เขาเป็นคนที่จั้กคุ้งส่งมาช่วยงานลานมะเกลือจึงรู้จักกันดี

โต๊ะฝั่งเจ้าสาวมีโต๊ะเดียวเช่นกัน  เซียมลั้งพาอาเส่งกับซิ่วเซียงมาช่วยงานลูกสาวคนโตก่อนหน้าวันแต่งสองสามวัน  หลีกังอ้างว่าสุขภาพยังไม่ฟื้นตัวดีเดินทางไม่สะดวกเลยไม่มาร่วมงานแต่ง  แถมยังไม่ยอมให้เซียมลั้งพาหาญมาด้วย  แม้ซิ่วเฮียงจะสัญญาเป็นมั่นเหมาะว่าจะไม่รั้งลูกชายไว้  เตี่ยหล่อนก็ยังไม่ยอมปล่อยให้หาญมาร่วมงานแต่ง

ซิ่วเฮียงเสียใจไม่น้อย  หน้าสลดน้ำตาคลอพึมพำบอกว่าเตี่ยยังไม่ยกโทษให้จนเซียมลั้งต้องปลอบว่า

“ลื้ออย่าเสียใจเลยนะเฮียง  ที่เตี่ยลื้อไม่ยอมมาและไม่ให้อาหั่งมาไม่ใช่เพราะยังเกลียดยังโกรธลื้อ  แต่เตี่ยเขาเป็นห่วงลื้อ  เขากลัวว่าญาติพี่น้องเถ้าแก่ส่วงเห็นอาหั่งวิ่งเล่นในงานแล้วจะดูถูกลื้อ  ซุบซิบนินทาลื้อ”

“ใครจะพูดอะไรก็ช่างเขาสิม้า  เฮียงไม่เคยปิดบังเรื่องมีหาญ  คนในลานมะเกลือก็รู้กันหมด  ตัวเถ้าแก่ก็ไม่เคยถือสาเรื่องนี้  แล้วเราจะมาสนคนอื่นทำไม”

“ก็ปากคนนะ  พูดมากไปเหมือนไฟลามทุ่ม  ต่อให้ไม่สนใจยังไงควันมันก็เข้าหูเข้าตาให้แสบเคืองอยู่ดี”  เซียมลั้งงึมงำ  ซิ่วเฮียงยังเด็กยังไม่รู้หรอกว่าพิษที่ร้ายที่สุดคือพิษจากน้ำลายของคนนี่แหละ  พูดจาเอาสนุกเอาความสะใจเข้าว่าจนทำให้คนตายทั้งเป็นมานักต่อนักแล้ว ที่ร้ายคือลูกสาวหล่อนฟังแล้วนอกจากจะไม่กลัวยังหัวเราะคิกออกมาได้

“ม้าอย่าห่วงเลย  เฮียงรับมือได้”  ถ้าใครเคยมีแม่ผัวอย่างพิกุลมาก่อนจะเข้าใจ  เพราะถ้าเทียบกับการยืนด่าปาว ๆ หยาบ ๆ คาย ๆ ไปทั่วปากซอยท้ายซอยแล้ว  คำซุบซิบของพวกขี้ขลาดปากเบาก็เหมือนสายลมเท่านั้น  ไม่ใช่พายุพิกุลอย่างที่หล่อนเคยเผชิญมาก่อน

แต่ซิ่วเฮียงไม่บอกม้าเรื่องนี้  หล่อนไม่อยากให้ม้าเสียใจหรือเศร้าใจกับสิ่งที่หล่อนผ่านมาแล้ว และสลัดมันออกจากใจไปแล้ว

“เฮียงแค่อยากให้เตี่ยกับหาญมางานด้วยจริง ๆ”

“ม้ารู้ ๆ”  เซียมลั้งพยักหน้าอย่างเข้าใจ  แต่หล่อนทำอะไรไม่ได้จริง ๆ  ความคิดของหลีกังนั้นใครก็เปลี่ยนไม่ได้

ดังนั้นญาติทางฝั่งเจ้าสาวรวมถึงเง็กซิมด้วยจึงมีแค่สามคน  เง็กซิมเห็นโต๊ะคนน้อยจึงชวนให้เหง็กลั้งและอาเต็กกับเพื่อนที่สนิทกันสองคนมานั่งโต๊ะด้วย  มีเสมียนไต้จงมานั่งด้วยอีกคนโต๊ะก็เกือบเต็มพอดี

ส่วนโต๊ะที่เหลือนอกจากเป็นคนงานที่สนิท ๆ กับเง็กซิมและซิ่วเฮียงแล้วยังมีเพื่อนฝูงของส่วงกับคนของสมาคมจีนที่ส่วงเป็นสมาชิกอยู่

กุ้ยเตียงไม่ได้มางานด้วย…หล่อนไม่ได้สนใจเรื่องธรรมเนียมอะไร  แค่ไม่อยากให้แขกที่มางานอึดอัดและต้องการให้เจ้าสาวของงานได้เปล่งประกายอย่างเต็มที่  ญาติพี่น้องทางบ้านโบ๊เบ๊ของหล่อนก็ไม่มีใครมาร่วมงานแม้แต่คนเดียว  ซิ่วเฮียงรู้ข่าวอย่างไม่สบายใจเท่าไหร่  หล่อนเข้าใจเรื่องกุ้ยเตียง  แต่กลัวว่าญาติพี่น้องของเถ้าแก่เนี้ยจะไม่พอใจเถ้าแก่จนเกิดปัญหาเรื่องติดต่อค้าขายกันภายหลัง

ทว่าพอส่วงรู้ถึงความกังวลของเจ้าสาว  เขาก็หัวเราะปลอบใจซิ่วเฮียงที่ทำหน้าย่นอย่างกังวลว่า

“พวกเขาเคืองจริง  แต่ไม่ได้โกรธเรื่องที่อั๊วแต่งลื้อหรอกนะหมวยน้อย  พวกเขาไม่พอใจที่อั๊วไม่เลือกคนที่พวกเขาเสนอมามากกว่า  ลื้ออย่าไปใส่ใจเลย”

ซิ่วเฮียงฟังแล้วเห็นจริงตามเขาว่า  ดังนั้นบ่าวสาวจึงยิ้มแย้มรับแขกอย่างไร้กังวล

ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่าคนที่พวกบ้านโบ๊เบ๊เสนอเป็นตัวเลือกก็อยู่ในลานมะเกลือเหมือนกัน  แต่แอบมองใต้ชายคาเพิงร้านขายอาหารที่ปิดอยู่  หล่อนมองความสุขและความรื่นเริงของผู้คนในงานเลี้ยงเล็ก ๆ ด้วยสายตาเจ็บแค้น

นอกจากอาเต็กแล้วไม่มีใครรู้ว่าเน้ยจะแอบมาที่ลานมะเกลือ  ชายหนุ่มที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกับญาติเจ้าสาวกระสับกระส่ายจนถูกเหง็กลั้งดุ  เขาจึงลุกพรวดขึ้นบอกมารดาว่า

“ม้า  อั๊วไปหาเพื่อนหน่อยนะ”

“เพื่อนอะไรเพื่อนที่ไหน…”  เหง็กลั้งถาม  แต่ลูกชายไม่รออะไรทั้งนั้นเดินดุ่มๆ จากไปแล้ว

อาเต็กกลัวม้าจะตามมาจึงเดินวนไปด้านหลังลานมะเกลือรอบหนึ่ง  ก่อนตรงไปยังจุดหมายที่นัดกับเน้ยไว้  โล่งใจที่เห็นหญิงสาวยืนรออยู่  ชายหนุ่มยิ้มร่าเข้าไปหาชวนว่า

“มานานหรือยังเน้ย  เข้าไปในงานไหมเขาเพิ่งยกหูฉลามขึ้นโต๊ะ  วันนี้เถ้าแก่ใจป้ำเลี้ยงหูฉลามกับหมูหันเลยนะ  คนจัดเจ้านี้ดังมากอาหารอร่อยทุกอย่าง”

“หึ  ใครจะไปอยากกินกัน  ไม่รู้จะเป็นของเหลือเดนจากงานไหนหรือเปล่า  แต่งผู้หญิงมือสองแบบนั้น  ใช้ของดีเลี้ยงแขกก็เสียเปล่าหมด”

อาเต็กขยับตัวอย่างอึดอัด  เขารู้เหมือนที่คนงานทุกคนในลานมะเกลือรู้ว่าเน้ยนั้นอยากเป็นเถ้าแก่เนี้ยรอง  รู้ว่าหล่อนเจ็บแค้นเมื่อพลาดหวัง  หญิงสาวโกรธและโทษทุกคนว่ารังแกหล่อน  หลอกให้หล่อนมาทำงานจากนั้นก็เฉดหัวส่ง

คนงานคนอื่นหัวเราะขำหล่อน  บางคนก็สมน้ำหน้า  แต่อาเต็กกลับเห็นใจหญิงสาวและสงสารหล่อน  เขารู้ดีว่าความรู้สึกแอบรักแอบหวังแต่ไม่เคยได้รับการเหลียวแลนั้นเป็นอย่างไร…

“เน้ย  อั๊วว่าลื้อตัดใจเสียเถอะ  เถ้าแก่เขาไม่สนใจลื้อ  ลื้อก็ไม่ต้องใส่ใจเขา  ยะ…ยังมีคนอื่นที่เขาห่วงใยลื้ออย่างจริงใจอยู่นะ”

“มีหรือ  ใครล่ะ  อย่าบอกนะว่าเป็นลื้อ”  เน้ยถามเสียงเยาะ

“อะ…อั๊วเอง”  อาเต็กบอกตะกุกตะกักอย่างเขินอาย  “อั๊วชอบลื้อจริง ๆ นะเน้ย  อั๊วอยากแต่งงานกับลื้อ”

เน้ยหัวเราะหยัน  หญิงสาวมองตรงไปข้างหน้า  แม้งานเลี้ยงจะจัดโต๊ะเพียงห้าโต๊ะ  แต่ทุกโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารดี ๆ  คนงานที่มีวาทศิลป์ดีกำลังขึ้นไปบนเวทีเล็ก ๆ เพื่อกล่าวคำอวยพรคู่บ่าวสาวก่อนจะร้องเพลงที่เต็มไปด้วยความหมายดี ๆ สำหรับการครองคู่

แขกเหรื่อร้องตามเพื่ออวยพร  บ่าวสาวหน้าตายิ้มแย้มเป็นสุข

ทุกคนเป็นสุข  ยกเว้นหล่อนที่รู้ว่าจะต้องเจ็บปวด  แต่ก็ยังรั้นอยากมาให้เห็นกับตา  มาเห็นให้ความเจ็บฝังสลักลึกลงในใจ  เห็นจนพอใจเจ็บใจจนเกินทนแล้วหล่อนก็ชี้มือ  ถามผู้ชายทึ่มทื่อตรงหน้าว่า

“คิดจะแต่งกับอั๊ว  ลื้อมีปัญญาจัดงานได้แบบนี้ไหม  เลี้ยงแขกห้าโต๊ะ  เลี้ยงหูฉลามเลี้ยงหมูหัน  แต่งแล้วลื้อหาบ้านให้อั๊วอยู่ได้ไหม  มีรถให้อั๊วใช้ไหม  เฮอะ…ทุกวันนี้ลื้อยังต้องเบียดอยู่กับม้าลื้อให้ห้องเช่าเล็ก ๆ นั่นอยู่เลย  อนาถอย่างนี้ยังคิดจะแต่งเมีย  ถุย!”

อาเต็กผงะไปราวกับถูกแส้ที่มองไม่เห็นฟาดใส่  สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด  แต่เน้ยไม่สนใจ  หล่อนมองไปยังบ่าวสาวที่ยืนเคียงคู่กันอีกครั้งด้วยสายตาอาฆาตก่อนสะบัดหน้าจากไป

ชายหนุ่มยังยืนงงอยู่ตรงนั้น…กระทั่งมีใครบางคนตบบ่าเขาเบา ๆ เป็นเชิงเรียกสติ  ผู้ที่บังเอิญผ่านมาและได้ยินบทสนทนาของสองหนุ่มสาวเอ่ยกับเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า

“อาเต็ก  เชื่อม้าลื้อเถอะ  อาเน้ยไม่ใช่ผู้หญิงดีอะไร  อีไม่เหมาะกับลื้อหรอก”

คนฟังคอตก  ทว่าหลายปีนับจากนี้เมื่อย้อนนึกถึงคำพูดนี้ของหลงจู๊ฮุ้งคราใด  อาเต็กก็ได้แต่ยิ้มหยันด้วยความรังเกียจชิงชังทุกครั้ง!

 

 



Don`t copy text!