หน้ากากมยุเรศ บทที่ 10 : ข้อเสนอ (2)

หน้ากากมยุเรศ บทที่ 10 : ข้อเสนอ (2)

โดย : สิตา

Loading

หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co

ปกติแฟชั่นโชว์มีพื้นฐานมาจากซีกโลกตะวันตกซึ่งมักจัดงานกันหลักๆ สองครั้งต่อปีคือคอลเล็กชันฤดูร้อนและฤดูหนาว เป็นการแสดงเสื้อผ้าก่อนถึงฤดูกาลจริงแล้วถึงจะเริ่มขายคอลเล็กชันนั้นประมาณสี่ห้าเดือนหลังจบแฟชั่นโชว์คือธรรมเนียมปฏิบัติมาโดยตลอด แต่ในยุคอินเทอร์เน็ตครองเมืองพอแฟชั่นโชว์จบปุ๊บหรืออาจยังไม่ทันจบดีเสียด้วยซ้ำ รูปของเสื้อผ้าเหล่านั้นจะถูกเผยแพร่อย่างรวดเร็วแล้วตามด้วยการก๊อบปี้แบบมโหฬาร กว่าจะเริ่มขายเสื้อผ้าของแท้บรรดาลูกค้าก็มักมีของเลียนแบบในมือหรือหมดความกระตือรือร้นต่อการรอคอยไปเสียแล้ว จึงมีคนคิดกลยุทธ์ See Now, Buy Now หรือเห็นปุ๊บ-ซื้อปั๊บ มาแก้เกม ด้วยการขายเสื้อผ้าพร้อมกับงานแฟชั่นโชว์ทันที ผ่านทุกช่องทางการขายโดยเฉพาะทางออนไลน์ เป็นความนิยมที่เพิ่งเกิดได้ไม่กี่ปีแต่กำลังมาแรงมาก

“วิธีมันน่าจะสร้างกระแสและเป็นจุดเด่นได้จริงแหละ แต่บริหารยากนะ” ประเสริฐตั้งข้อสังเกต

กลยุทธ์เช่นนี้ต้องเสริมความพร้อมในทุกช่องทางการขาย คาดการณ์ปริมาณสินค้าให้เพียงพอต่อความต้องการ ไม่มากไปจนล้นสต็อกแต่ก็ไม่ควรน้อยเกินจนไม่รองรับความต้องการ เล็งว่าชุดไหนขายดีขายยาก รวมถึงรายละเอียดปลีกย่อยอีกหลายอย่าง ไม่ใช่นึกจะทำก็ทำกันอย่างง่ายๆ โดยเฉพาะกับมือใหม่เพิ่งเริ่มจัดงานแฟชั่นโชว์

“จริงค่ะ” วิมลินยอมรับ “บุหรงกาญจน์เวลานี้ขาดทั้งคน ทั้งประสบการณ์และเวลามากเหลือเกิน จะอุดช่องว่างยังไงในระยะเวลาสั้นนิดเดียว”

สุขุมาลร้องค้าน “ถ้าไม่ทำ แฟชั่นโชว์ครั้งแรกของเราจะกลายเป็นแค่งานดาษดื่นทั่วไป นั่นคือการเปิดตัวสายแฟชั่นครั้งแรกของบุหรงกาญจน์นะ!”

“แต่หากพลาดหรือทำไม่ทัน งานเปิดตัวมิกลายเป็นงานขายขี้หน้าชาวบ้านเขารึ” ประเสริฐโต้ “น่าจะลองพิจารณากันใหม่ ระหว่างเดินหน้าด้วยความเสี่ยงกับยอมถอยไปเน้นความปลอดภัยภายใต้ปีกของคนอื่น แบบไหนสมควรมากกว่ากัน”

เจคสงบปากคำเพราะรู้ตัวดี ตอนนี้ไม่ใช่เวลาของมือใหม่อย่างเขา ส่วนสุขุมาลก็ลูบแก้มไปมาราวอยากบดบังสีหน้าลังเลของตน ด้วยหากดึงดันตามเดิมแล้วผลดันกลับตาลปัตร เธอคงรับผิดชอบไม่ไหว เมื่อจนแต้มจึงฝืนยิ้มให้หลานสาว

“อิงเห็นว่ายังไงล่ะ”

ในที่สุดก็ต้องพึ่งวิมลินแทบทุกครั้ง เจคก้มหน้า ซ่อนความเจ็บใจไว้ในมุมปากที่เหยียดตึง หูได้ยินเสียงเคาะนิ้วบนโซฟาตามความเคยชินที่หญิงสาวจะทำทุกครั้งเมื่อใช้ความคิด สักพักเสียงเคาะพลันหยุดลง วิมลินเอ่ยปากช้าๆ

“เราต้องเลือกเส้นทางที่มั่นคงที่สุดค่ะ เพราะบุหรงกาญจน์จะผิดพลาดไม่ได้!”

สามวันถัดมาก็ถึงเวลาจัดงานสังสรรค์ของสมาคมธุรกิจสิ่งทอ วันที่เทวิกากำหนดนัดจะประกาศการกลับมาคืนดีของสองฝ่ายผ่านการร่วมมือในงานแฟชั่นโชว์

ย้อนกลับไปตอนเกิดการประชุมเฉพาะกิจที่มีประเสริฐ สุขุมาล วิมลินและเจคปรึกษากันเคร่งเครียด ที่ประชุมได้ข้อสรุปว่าให้เจคกับวิมลินเป็นผู้เข้าร่วมงานสังสรรค์ดังกล่าว เพราะเผอิญในช่วงเวลาเดียวกันนั้น สุขุมาลต้องพาบุตรสาวบินไปเลือกของตกแต่งชุดนางแบบที่ฝรั่งเศส ประเสริฐก็มีนัดเจรจาธุรกิจต่างจังหวัดเช่นกัน ส่วนปวินท์กับภวัตไม่รู้เรื่องงานสังสรรค์นี้เลย เพราะพวกเขาตั้งใจปกปิดชายหนุ่มทั้งสองและโปรดปราน สุขุมาลเป็นคนยืนกรานโดยให้เหตุผลว่า

‘เรายังไม่ควรไว้ใจคุณวิ น่าจะสืบเรื่องทางนั้นให้ละเอียดกว่านี้เผื่อเธอวางแผนอะไรไว้ แต่การแอบสืบเสาะทางนั้นมันดูไม่ดี ควรปิดข่าวไว้เฉพาะพวกเรากันเรื่องแดง’

ประเสริฐพยักหน้า ‘และงานเลี้ยงครั้งนี้เหมาะให้เจคใช้เปิดตัวในวงสังคม ฝากอิงดูแลพี่ชายด้วยนะ’

เจคจึงได้ควงวิมลินไปงานกันแค่สองคน

ก่อนจะเข้าร่วมงานย่อมต้องเตรียมตัวกันยกหนึ่ง วิมลินจึงจำใจยอมพูดคุยกับพี่ชายกำมะลออย่างเสียไม่ได้ วางความบาดหมางไว้ชั่วคราว ทำให้ความสัมพันธ์ช่วงนี้ดีมากจนเจคยิ้มแก้มปริ

ชายหนุ่มกลัดกระดุมชุดสูทสามชิ้นจนเรียบร้อย เว้นกระดุมเม็ดสุดท้ายตามที่วิมลินเคยสอน ปลายแขนเสื้อกลัดคัฟลิงค์สีเงินเข้าชุดกับเข็มกลัดปกเสื้อที่เสียบไว้เพื่อล็อกไทให้อยู่ตรงตำแหน่ง จากนั้นหมุนตัวไปทางกระจกเงาเต็มบานตามที่ผู้ช่วยการแต่งตัวร้องขอ เธอมองเงาเขาในกระจกอย่างพออกพอใจ เจคเองก็ยอมรับรสนิยมเธอในการเลือกแบบการแต่งตัวและสีสัน ชายหนุ่มไม่เคยคิดว่าตัวเองจะดูดีได้ถึงเพียงนี้ แม้ไม่ค่อยชินแต่อย่างที่วิมลินเคยบอกไว้…ภาพลักษณ์ผู้บริหารก็นับเป็นสินค้า

“ทางผมเสร็จแล้วแหละครับ คุณไปดูอิงเขาเถอะ มีหลายคนช่วยจะได้แต่งตัวเร็วขึ้น”

ผู้ช่วยตอบรับพลางเดินออกจากห้องเขา วิมลินคงใช้เวลาแต่งตัวนานกว่าหลายเท่า เจคจึงเดินลงบันไดหลักของบ้านที่ทำเป็นรูปโค้งมนจากชั้นสองลงมายังโถงประตูทางเข้าออก ซึ่งผนังด้านหนึ่งแขวนรูปขาวดำของรุ่นที่หนึ่งและสองของครอบครัวบุหรงกาญจน์ไว้นั่นเอง ชายหนุ่มไม่อยากมองภาพแห้งแล้งไร้อารมณ์นั่นจึงย้ายสายตาไปอีกฝั่ง เป็นตู้โชว์ทรงโค้งแนบพอดีกับผนัง ติดกระจกที่ถูกเช็ดล้างจนใสเห็นเงาสะท้อนของเขาชัดแจ๋ว

เจคลูบศีรษะที่ผมเริ่มยาวกว่าเดิมนิดหน่อย ผู้ช่วยแต่งตัวแค่หวีปัดขึ้นจัดทรงก็เรียบร้อย ทั้งยังกันคิ้วและแต่งหน้าให้ด้วย แต่ต้องเสียเวลากล่อมเขาอยู่นานว่าจะแต่งแบบให้เหมือนไม่แต่งค่อยได้รับความร่วมมือ ยามนี้เงาสะท้อนภาพชายหนุ่มในชุดสูทสีกรมท่ายิ่งสูงหล่อคมสัน

เจคฝืนยิ้ม รูปลักษณ์หรูหราไร้ที่ติดูดีเหลือเชื่อแต่ไม่ใช่ตัวเขาเลยสักนิด แม้กระทั่งคฤหาสน์สวยงามกว้างใหญ่ที่ใช้ชีวิตอยู่เป็นเดือนๆ ก็ยังไม่คุ้นเคยเสียที ความแปลกแยกราวเป็นแค่ส่วนเกินคือความรู้สึกซึ่งสัมผัสทุกชั่วลมหายใจ คล้ายเปลือกนอกที่พร้อมถอดทิ้งได้ตลอดเวลา

ในเมื่อที่แห่งนี้คือบุหรงกาญจน์ เปลือกนอกที่ว่านั้น…อาจเปรียบได้กับชุดนกยูงกระมัง

ตอนนั้นเอง เงาในกระจกพลันสะท้อนภาพวิมลินกำลังเยื้องย่างลงบันไดทางเบื้องหลังเขา เจคจับตาดูเงียบๆ จังหวะหนึ่งเธอหันมาทางเขาพอดี หญิงสาวพลันชะงักนิ่งตรงกลางบันได แววตาวูบไหวราวเปลวไฟสั่นระริกตามแรงลม เจคจึงหมุนตัวกลับเงยหน้าขึ้นพินิจหญิงสาว

วิมลินแต่งหน้าโทนชมพูอมม่วงขับเน้นผิวใสเนียนละเอียด รวบผมเกล้ามวยท้ายทอยเผยต่างหูทับทิมห้อยระย้าเกือบถึงหัวไหล่กลมกลึงในชุดราตรียาวคล้องคอเปิดบ่า ประกายแดงก่ำของทับทิมยิ่งขับดุนเส้นผมสีน้ำตาลคาราเมลโดดเด่นขึ้น ชุดราตรีม่วงเข้มยาวกรอมเท้าช่วงล่างปักมุกสลับคริสตัลเป็นลายขนนกยูงตวัดพันรอบตัวจดชายกระโปรง ยามขยับตัวก็ก่อประกายระยับสะท้อนยังแววตาตกตะลึงของเจค

สวยจนคนที่มองลืมแล้วด้วยซ้ำว่ากำลังหายใจอยู่ไหม

หญิงสาวคล้ายไม่รับรู้อากัปกิริยาเขา เพียงทอดสายตาเหม่อลอยหายลับในห้วงคำนึง สักพักค่อยกะพริบตาเรียกสติ ยกชายกระโปรงลงบันไดมาหา หญิงสาวในชุดไม่คุ้นตาชวนให้บรรยากาศรอบตัวแปลกไป เพิ่มความมุ่งมั่นเฉิดฉายของสาวสังคม ทว่าเจคกลับหวนคิดถึงความเยือกเย็นนุ่มนวลในยามปกติของอีกฝ่าย เมื่อนั้นแววตาชายหนุ่มจึงอ่อนละมุนลง

วิมลินก้าวมาถึงเขา สบกับวินาทีที่ดวงตาคมคายเปลี่ยนจากแววตกตะลึงเป็นความอ่อนโยนหวนคำนึงพอดิบพอดี เธอสะดุดนิ่งวูบหนึ่ง สีหน้าภายใต้เครื่องสำอางยังคงเดิมแต่ติ่งหูกลับแดงขึ้น ความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ไม่อาจลอดสายตาคมแปลบของเขา ครั้นเจคอมยิ้ม ติ่งหูหญิงสาวยิ่งแดงหนักขึ้น ขยับจะถอยห่าง แต่บรรดาผู้ช่วยแต่งตัวที่จ้างมาเฉพาะงานนี้เดินตามหลังถึงหัวบันได ร้องทักด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“ชุดสวยค่ะแต่เดินลำบากนิดหนึ่ง ฝากคุณเจคช่วยประคองน้องสาวด้วยนะคะ กลัวสะดุดล้มจะยุ่ง”

เจครีบเก็บสายตากลับคืน ยกศอกต้อนรับด้วยท่าทางสุภาพ วิมลินชำเลืองมองท่าทางสนอกสนใจของพวกผู้ช่วยแล้วเม้มริมฝีปาก ยื่นมือคล้องแขนเขาพลางเอ่ยอย่างเป็นธรรมชาติ

“ขอโทษที่รอนานนะคะ ชุดนี้ใส่ยากแต่อาสุขอไว้ให้ใส่โชว์ในงาน”

เจคชำเลืองมองลายนกยูงบนชุด เลยขึ้นมาถึงท่าทางอึดอัดไม่เคยชินของสาวข้างกาย เมื่อนั้นหมอกมืดจากส่วนลึกของดวงตาพลันเข้มข้นขึ้น

ที่แท้คืนนี้ คนที่จำใจสวมทั้งหน้ากากและเปลือกนกยูงไว้…ก็ไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว

 

สถานที่จัดงานเป็นสวนอาหารย่านชานเมืองที่ไกลเกือบถึงปริมณฑล ด้านหนึ่งของสวนอาหารมีการขุดสระแล้วทำโครงสร้างเลียนแบบฐานเรือกำปั่น บริเวณดาดฟ้าเรือตั้งเป็นบ้านหลังคาทรงไทย ราวกับเรือบ้านลอยอยู่ในสระ มีสะพานเชื่อมจากฝั่งสู่เรือบ้าน เป็นสะพานปูนแข็งแรงแต่แคบพอให้เดินสวนกันเท่านั้น เจคจึงรั้งแขนสาวข้างตัวมาใกล้ขึ้นเพื่อไม่ชนขอบสะพาน เอียงหน้ากระซิบ

“ทางแคบ ระวังด้วย”

ตอนที่พวกเขามาถึงอีกฝั่ง ก็พบเทวิกากำลังยืนคุยกับหนุ่มใหญ่คนหนึ่งทางหัวเรือใกล้ประตูเข้าออกห้องจัดเลี้ยง จึงจำใจไหว้ทักทาย เทวิกายิ้มมุมปากตอบรับ แต่แค่นั้นก็ทำเจคเกือบนึกว่าตาฝาด ส่วนเธอหันไปบอกหนุ่มใหญ่ข้างตัว

“คุณชานนท์คงรู้จักอิงแล้วแต่น่าจะยังไม่เคยเจอเจคสินะคะ เจคเป็นลูกชายคุณโกศลพี่ชายอิงเขาเองค่ะ เจค…นี่คุณชานนท์ประธานสมาคมของพวกเรา”

เทวิกาไม่ได้ชี้แจงอะไรมากนัก ด้วยถ้าเป็นคนในวงการล้วนพอทราบข่าวการกลับมาของลูกชายโกศลแทบทั้งนั้น

ชานนท์เจ้าของใบหน้าเอื้ออารี สำรวจเจคเที่ยวหนึ่งพลางยิ้มให้ “รู้ไหมลุงกับพ่อเราเป็นเพื่อนสนิทกันเชียวนะ มา…ลุงจะพาไปรู้จักคนในงาน”

ชานนท์ดึงตัวชายหนุ่มไป ส่วนวิมลินกลับรั้งฝีเท้าที่เดิม ปรายตามองเทวิกาผู้กำลังจ้องเธออยู่เช่นกัน แล้วในที่สุดสาวใหญ่จึงเอ่ยปากก่อน

“ฉันแปลกใจที่บุหรงกาญจน์ยอมตกลงมางาน นึกว่าเธอกับเจคจะคัดค้านหัวชนฝากว่านี้เสียอีก”

“ทางฉันน่าจะแปลกใจมากกว่ากับข้อเสนอของคุณ”

คนฟังเบือนหน้าไปอีกทาง “ฉันมีทางเลือกหรือไงล่ะ เธอคงได้ยินข่าวดีลงานฉันล่ม เป็นไง…อยากเยาะเย้ยซ้ำเติมก็เชิญ”

“อย่าเอาอารมณ์ส่วนตัวมาเกี่ยวข้องกับงาน ตอนฉันเข้าทำงานพ่อก็สอนอันนี้ให้เป็นอย่างแรกเลย”

วิมลินแกล้งยกบิดามาลองแหย่ดู และวินาทีที่เอ่ยถึงโกศล แววตาเทวิกาพลันลุกวาบเร็วยิ่งกว่าจุดไฟด้วยน้ำมันเสียอีก หญิงสาวแอบเลิกคิ้ว ทำใจเรื่องโกศลได้แล้วงั้นหรือ คนที่เชื่อของแบบนี้คงมีแต่ประเสริฐลุงเธอเท่านั้น

“อย่าเอาอารมณ์ส่วนตัวมาเกี่ยวข้องกับงาน” เทวิกาเอ่ยทวนเสียงเยาะ “แต่ตอนเธอพลาดโดนเพื่อนสนิททรยศนั่นเพราะใช้อารมณ์ล้วนๆ เลยนะ ศลเขาคงผิดหวังกับเธอน่าดู!”

รู้ทั้งรู้ไม่ควรใส่ใจคำถากถาง แต่เมื่อบุคคลที่รักถูกพาดพิงในอกพลันร้อนวาบ วิมลินเหยียดมุมปาก โน้มหน้ากระซิบเสียงนุ่ม “ค่ะ ฉันทำพ่อ ‘ผิดหวัง’ แต่คุณคงเป็นตรงข้ามสินะคะ คุณสู้อุตส่าห์ยอมกลืนน้ำลายหวนมาอ้อนวอนขอคืนดีกับบุหรงกาญจน์ หากพ่อยังอยู่คง ‘สมหวัง’ น่าดูชมเลยเชียว”

เทวิกาโกรธจนเบื้องหน้าแดงฉานไปหมด กว่าจะเรียกสติคืนหญิงสาวตรงหน้าก็เดินนวยนาดเข้าห้องจัดเลี้ยงไปแล้ว เทวิกาต้องข่มกลั้นความอยากอาละวาดที่ดิ้นพราดในตัว ขณะเดียวกันเสียงหนึ่งพลันร้องทักจากด้านหลัง

“นั่นคุณเทวิกานี่คะ”

มือเทวิกาที่กำลังกำแน่นคลายออกในฉับพลัน รอยยิ้มฉาบยังริมฝีปากราวเปิดสวิตช์ พลางเลิกคิ้วเมื่อพบเจ้าของเสียงเรียกเต็มตา “หนูแชมเปญใช่ไหม มางานด้วยหรือจ๊ะ”

แชมเปญเพื่อนคนหนึ่งของโปรดปรานพนมมือไหว้นอบน้อม “หนูตามคุณพ่อมาด้วยค่ะ”

เพื่อนฝูงที่โปรดปรานจะคบหาอย่างสนิทสนมย่อมเป็นกลุ่มคนในสังคมเดียวกัน ไม่แปลกที่ครอบครัวแชมเปญจะทำธุรกิจแวดวงเดียวกับบุหรงกาญจน์ หญิงสาวพูดคุยแนะนำตัวกับเทวิกาสักพักก็เปรยว่า “แชมเปญต้องขอบคุณคุณเทวิกานะคะ ที่กรุณาเลือกหนูเป็นนางแบบแฟชั่นโชว์คราวนี้”

“เกรงใจอะไรกัน ป้าไม่ได้เลือกเพราะรู้จักกับแม่หนูนะ แต่หนูมีความสามารถป้าย่อมสนับสนุน”

คำพูดตามมารยาทที่เทวิกาแค่อ้าปากก็หลั่งไหลอย่างง่ายดาย กลับจุดรอยยิ้มเฉิดฉายบนริมฝีปากแชมเปญ หญิงสาวทำมองซ้ายขวา เอ่ยเสียงต่ำ

“เมื่อกี้หนูเห็นคุณเทวิกาคุยกับพี่อิง เธอมางานกับใครหรือคะ…คงไม่ใช่เจคพี่ชายหมาดๆ คนนั้นหรอกนะ”

ท่าทางแชมเปญราวจะประกาศโต้งๆ ว่าฉันมีความลับนะ ถามฉันสิ! เทวิกาหรี่ตา เธอรู้ดีเรื่องที่แชมเปญถูกบุหรงกาญจน์ปฏิเสธการเป็นนางแบบแฟชั่นโชว์ เพราะนั่นเป็นเหตุผลหลักที่เธอเลือกหญิงสาวมาเป็นนางแบบในงานตัวเองด้วยซ้ำ ศัตรูของศัตรูย่อมคือมิตรของเรา

“ใช่ เจคคนนั้นแหละ มีอะไรหรือจ๊ะ” แล้วเสริมเมื่ออีกฝ่ายแสดงอาการลังเล “ป้าลืมบอก พอดีมีนางแบบขอถอนตัวชุดเลยว่างชุดหนึ่ง” ใจเริ่มคิดชื่อนางแบบที่อาจต้องเฉดหัวออก “แชมเปญสนใจเดินแบบเพิ่มอีกชุดไหม”

หญิงสาวหน้าบานตอบรับทันที จากนั้นข้อมูลก็พรั่งพรูราวทำนบแตก “วันก่อนพวกหนูไปเที่ยวกับลูกปลา เหมือนเธอมีเรื่องในใจเอาแต่สั่งค็อกเทลดื่มจนเมาเลย พอเมาก็หลุดปากหลายอย่าง” ขยิบตาแบบมีเลศนัย “ลูกปลาสงสัยว่าพี่อิงกับเจคมีความสัมพันธ์เกินกว่าพี่น้องปกติค่ะ”

เทวิกาเกือบหลุดหัวเราะแต่ยั้งไว้ทัน “พูดเป็นเล่น นั่นพี่น้องกันแท้ๆ นะป้าเห็นมาแต่เด็ก”

“พี่น้องหรือคะ พี่อิงอายุยี่สิบกว่าแล้วแต่เคยใช้ชีวิตกับเจคแค่สองปีตอนตัวกะเปี๊ยก กลับมาเจอกันอีกทีก็หนุ่มๆ สาวๆ ต่างฝ่ายต่างหน้าตาดีซะด้วย ลูกปลาบอกอยู่บ้านเดียวกันเลยนี่คะ ที่บริษัทก็ตัวติดกันตลอด” พลางแจกแจงรายละเอียดที่โปรดปรานเคยใช้เถียงพวกพี่ชายแล้วเผลอหลุดปากในวงเหล้าอีกทอด เหตุการณ์ไหนแชมเปญประสบเองยิ่งใส่สีตีไข่เมามัน เหตุการณ์ไหนฟังจากโปรดปรานก็พูดเสียอย่างกับเห็นด้วยตา ท่าทางเมื่อลับหลังโปรดปรานมันคงเป็นหัวข้อนินทาสนุกปากในหมู่เพื่อนสาว

เทวิกาย้อนคิด ภาพตอนเจคประคองวิมลินเดินมาที่นี่ สายตาที่ฝ่ายชายทอดมองอีกฝ่ายยามก้มกระซิบ ความใกล้ชิดซึ่งจะพิจารณาเป็นพี่ดูแลน้องหรือชายหนุ่มปฏิบัติต่อหญิงสาว ล้วนมีโอกาสทั้งสิ้น

หัวใจลิงโลดแทบกระดอนจากอก สาวใหญ่จับแขนอีกฝ่ายอย่างสนิทสนม “ไปนั่งในสวนกันเถอะ ป้าอยากฟังเพิ่มอีกเยอะๆ”



Don`t copy text!