หน้ากากมยุเรศ บทที่ 12 : เปิดใจ (1)

หน้ากากมยุเรศ บทที่ 12 : เปิดใจ (1)

โดย : สิตา

Loading

หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co

พระจันทร์คล้อยสู่อีกฟากฟ้าตามเวลาไหลผ่าน กลับถูกเมฆบังจนมองไม่เห็นแล้ว ใต้ร่มเงาต้นมะฮอกกานีใบใหญ่ วิมลินจบเรื่องราวของตัวเองลง แววตาเหือดแห้งราวประกายในนั้นถูกสูบหายหมดสิ้น

“เทวิกาคงพูดถูก ฉันเคยทรยศป้าผกากับพี่แคนมาแล้ว อนาคตฉันก็อาจหักหลังคุณได้เหมือนกัน!”

“ไม่มีทาง” เจคปฏิเสธทันควัน “ตอนนั้นคุณไม่มีโอกาสให้เลือกต่างหาก คุณไม่เคยทรยศใครนะ ผมเชื่อสายตาตัวเอง คนที่ยอมลำบากเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดในความขัดแย้งกับพวกญาติๆ ยอมถูกเพื่อนสนิทหักหลังแต่ไม่เคยคิดทำร้ายใครก่อน นั่นแหละวิมลินที่ผมรู้จัก”

หญิงสาวยกสองมือปิดหน้าหัวเราะจนตัวสั่น แต่เสียงที่หลุดรอดกลับขมขื่นยิ่งกว่าเสียงร่ำไห้ “คุณช่างไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้หรอกว่าทุกครั้งที่มันเกิดปัญหาขึ้น…แวบแรกในหัวฉันคิดอะไรอยู่ จากสิบร้อยวิธีการแก้ไขปัญหา สิ่งแรกที่ฉันคิดออกก็คือทางที่ตัวเองจะได้ผลประโยชน์มากที่สุด ไม่สนสักนิดใครจะโดนหางเลขอะไรเลวร้ายแค่ไหนบ้าง!”

สิบนิ้วเธอจิกขยุ้มใบหน้า เกร็งเข้าหากันจนข้อนิ้วขาวโพลน “วินาทีนั้นตัวฉันจะสั่นสะท้าน พยายามกดผีปีศาจนั่นไว้ เค้นสมองควานหาวิธีอื่นที่ไม่ต้องทำร้ายใคร แต่ไม่ว่าจะทำอย่างนั้นสักกี่ครั้งหรือจะเลือกหนทางไหน เจ้าผีปีศาจก็ไม่เคยเลือนหายไป มันแค่รอคอยจนฉันเผลอไผล เฝ้ากระซิบข้างหูว่าต้องแทงข้างหลังพวกญาติๆ อย่างไรถึงจะขึ้นเป็นประธาน ต้องเอาคืนเพื่อนสนิทแบบไหนถึงจะสาสม ต้องแก้แค้นเทวิกายังไงถึงจะย่ำเธอจมดิน!” วิมลินถูมือสองข้างเข้าหากันจนมันแดงเถือก ราวจะเช็ดรอยแปดเปื้อนซึ่งมีแต่เธอที่มองเห็น “ฉันอยากหยุดมันแต่ทำไม่ได้ เพราะพ่อเคยสอนแต่วิธีใช้…ไม่เคยสอนวิธีหยุดมัน!”

เจคเพิ่งกระจ่างแจ้ง ราวกับเห็นศิลปินลงฝีแปรงสุดท้ายจนได้ภาพอันสมบูรณ์ โกศลเคยพยายามสอนงานบุตรสาว ยัดเยียดกลเม็ดทุกอย่างเพื่อปูทางเธอสู่ตำแหน่งประธานของบุหรงกาญจน์ และไม่รู้โชคดีหรือร้าย…ด้วยความฉลาดของวิมลินผสานกับความรักเทิดทูนที่มีต่อพ่อ ก็หนุนให้หญิงสาวซึมซับทุกอย่างจากเขาไว้ แม้ส่วนลึกมันจะขัดกับความรู้สึกตนเองมากแค่ไหน…แต่กลับห้ามไว้ไม่ได้ จนสะสมเป็นความขัดแย้งในใจ ราวกับเธอต้องประคองตัวบนขอบผา พลาดนิดเดียวมือปีศาจก็พร้อมดึงตกสู่เหวลึกทุกเมื่อ

ชายหนุ่มพยายามยื้อยุดไม่ให้เธอทำร้ายตัวเอง ทว่าหญิงสาวเฝ้าแต่ขัดขืน “ทั้งความเย็นชาของพ่อ ความเห็นแก่ตัวของแม่ ฉันรักพวกท่านทั้งสองแต่ก็กลัว…กลัวตัวเองจะเป็นเหมือนท่าน!”

“คุณไม่เหมือนกัน!” เจคผวาเข้ากอดเธอไว้ ไม่สนใจความเจ็บปวดที่โดนข่วนทุบตี หรือคำพร่ำปฏิเสธซึ่งกระหน่ำข้างหู “คุณเรียนรู้ความโหดร้ายจากพ่อ รับรู้ความเย็นชาจากแม่ แต่พวกนั้นก็แค่เปลือก เพราะสุดท้ายทางที่คุณเลือกมันไม่ได้มาจากสิ่งซึ่งคุณเรียนหรือรู้จากพ่อแม่เลย นั่นต่างหากที่เป็นตัวตนของคุณ…แก่นแท้ของคุณ”

ลมหายใจหญิงสาวขาดเป็นห้วงๆ คล้ายการต่อสู้ของความขัดแย้งในใจพุ่งทะลักออกมาถึงข้างนอก “อย่าพูดเหมือนมันง่ายอย่างนั้น คิดว่าฉันไม่แค้นเทวิกาหรือ คิดว่าฉันไม่โกรธนุ้ยหรือ คิดว่าฉันไม่อยากลองนั่งตำแหน่งประธานหรือ! การต้องกดความรู้สึกด้านลบลงไปทั้งที่รู้ว่าทำมันได้ง่ายเหมือนหายใจเข้าออก ยากแค่ไหนรู้ไหม”

“จะยากแค่ไหนคุณก็ทำมันสำเร็จทุกครั้ง คุณไม่เหมือนพวกเขา…และจะไม่มีวันเลือกทางเดียวกับพวกเขา” เจคไม่สนใจที่หญิงสาวสั่นศีรษะเอาเป็นเอาตาย “ไม่เชื่อหรือ ถ้าอย่างนั้นตอบคำถามผมหน่อย ตอนพ่อคุณบอกแผนการที่เคยคิดจะทำกับบริษัทเพื่อนคุณ คุณตอบท่านว่ายังไง”

วิมลินชะงัก ภาพจากอดีตย้อนสู่ห้วงสำนึก เธอเปล่งเสียงปนสะอื้นราวกำลังพูดกับพ่ออีกครั้ง “อิงทำไม่ได้ค่ะพ่อ…คงไม่มีวันทำอย่างนั้นได้”

“ใช่ คุณทำไม่ได้” คำพูดเขาก้องกังวานริมโสต “เพราะตัวตนของคุณไม่ใช่สิ่งที่ในหัวคุณบอกให้ทำ แต่เป็นสิ่งที่หัวใจคุณเลือกต่างหาก”

เจคไม่ได้วิ่งอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ เขารู้ดีความขัดแย้งในใจที่วิมลินเพียรต่อต้านมาหลายปีคงไม่หลุดพ้นง่ายดายกับคำพูดแค่ไม่กี่ประโยค แต่เมื่อหญิงสาวในอ้อมแขนค่อยๆ สงบลงทีละนิด ก็รู้สึกว่าแสงไฟปลายอุโมงค์คงไม่ได้ริบหรี่เกินไปนัก

“ตอนที่ยอมปล่อยเรื่องพี่แคนไปเพื่อทำตามแม่ ฉันเกลียดตัวเองมากเลย” ความหดหู่ยังเกาะกินอารมณ์จนหยุดสะอื้นไม่ได้ “ฉันถึงพยายามตามตัวพี่แคนกลับมา ส่วนหนึ่งเพราะต้องการชดเชยสิ่งที่แม่ทำไว้ แต่อีกใจก็เพราะอยากส่งเขาขึ้นเป็นประธานแทนตัวเอง” หญิงสาวขยุ้มเสื้อเจคจนยับยู่ “ฉันขึ้นเป็นประธานไม่ได้ ถ้าเลือกแบบนั้นคงเดินซ้ำรอยพ่อในที่สุด กลายเป็นปีศาจไร้หัวใจเหมือนกัน”

วิมลินหลับตาลง คล้ายไม่อยากเผชิญเงาอัปลักษณ์ของตนซึ่งสะท้อนในดวงตาเขา “ฉันไม่ได้ทำเพื่อป้าผกากับพี่แคนหรอกแต่ทำเพื่อตัวเองต่างหาก ฉันมันเห็นแก่ตัว!”

เจคเกยคางกับกระหม่อมเธอ “เพราะอย่างนั้นใช่ไหม คุณถึงรอโอกาสเมื่อพ่อผลักดันรับงานใหญ่เพื่อขึ้นเป็นทายาท เลยแกล้งทำพลาดหมายบีบทางอ้อมให้พ่อหมดหวังกับคุณแล้วยอมรับพี่ชายกลับมา”

“ฉันรู้เต็มอกยังไงบริษัทนุ้ยก็ไม่มีทางส่งวัตถุดิบทัน เลยแอบเตรียมแผนสำรองไว้แล้วทำทีเป็นว่าตัวเองพลาด แต่คาดไม่ถึงคุณวิจะแทรกแซงมากล่อมพี่ชายนุ้ยให้หักหลังบุหรงกาญจน์ มันจึงลุกลามใหญ่โตจนฉันก็สุดปัญญาควบคุม”

“แม้บริษัทจะเสียหายหนักเกินคาด แต่อย่างน้อยคุณก็หมดสิทธิ์เป็นทายาทสมใจนะ”

“สมใจแล้วยังไงล่ะ สุดท้ายพ่อก็ยังไม่ยอมรับพี่แคนอยู่ดี”

“กระทั่งพ่อคุณเสียกะทันหัน คุณเลยฉวยโอกาสอีกครั้งบินไปตามพี่ชายถึงนิวซีแลนด์” เจคยิ้มเฝื่อน “ความต้องการจริงๆ ของคุณคือพาเขากลับมา การช่วยมูลนิธิแค่ผลพลอยได้เท่านั้น”

“ค่ะ ถึงไม่มีเรื่องมูลนิธิฉันก็คงบินไปที่นั่นอยู่ดี แต่แล้วพี่กับป้าผกาก็…”

เธอปล่อยคำพูดที่เหลือดำดิ่งในกระแสความเงียบงัน ชายหนุ่มจ้องยังเงาสลัวเบื้องหน้าจนมันสะท้อนใส่แววตาราวมีหมอกยะเยือกปกคลุมอีกชั้น

“หลังลำบากลำบนไปถึงนิวซีแลนด์แล้วต้องพบเรื่องพรรค์นั้น คุณเคยเกลียดผมบ้างไหม” ถามเสร็จก็กลั้นใจรอ แต่นึกไม่ถึงหญิงสาวกลับส่ายหน้าแทบทันที

“มันดูเหมือนคำแก้ตัว แต่ถึงพี่แคนกับป้าผกาจะตายไปแล้ว ตอนนั้นฉันกลับทั้งช็อกทั้งสับสนจนไม่เหลือที่ให้ความเสียใจเลย กระทั่งเจออัฐิพวกเขาในห้องนอนคุณ วินาทีนั้นฉันถึง…”

ก้อนแข็งๆ พุ่งขึ้นมาจุกลำคอ หยาดน้ำตาไหลผ่านแก้มจนถึงริมฝีปากสั่นระริก คืนนี้วิมลินถูกคลื่นอารมณ์ซัดสาดแทบจมหายคราแล้วคราเล่า แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอร้องไห้อย่างไม่คิดฝืนสะกดกลั้น

ลำคอชายหนุ่มแห้งผาก เป็นนานกว่าจะเค้นเสียงออกมาทีละคำ “ผมขอโทษ”

หญิงสาวปาดน้ำตา ขืนตัวขึ้นนั่งหลังตรง “คุณไม่เกี่ยวเลยค่ะ ฉันยอมรับตอนเพิ่งรู้ความจริงก็โกรธมาก…แต่ไม่เคยเกลียดคุณเลย เพราะเมื่อพบว่าอัฐิของพวกเขาได้รับการดูแลดีขนาดไหน ฉันก็ยกโทษให้ทั้งหมดแล้วละค่ะ”

วิมลินเป็นฝ่ายคว้ามือเขามากุมไว้ “แต่จนแล้วจนรอดฉันก็ไม่กล้าบอกความจริง เพราะไม่อยากพูดถึงสิ่งที่แม่ทำไว้” เธอเม้มริมฝีปาก สะกดความเจ็บปวดในใจอย่างยากลำบาก “และกลัวคุณรู้สิ่งที่ฉันเป็นจริงๆ แล้วจะเกลียดฉัน”

เจครั้งหญิงสาวมากอดอีกครั้ง “ผมจะเกลียดคุณทำไม สำหรับผม…คุณก็ยังเป็นอิงคนเดิมกับที่ผมรู้จักมาตลอด” จดจมูกยังขมับเธอ กลิ่นแชมพูหวานหอมทำใจเขาอ่อนยวบ “คุณอาจไม่เชื่อนะ แต่ผมน่ะกลัวคุณเกลียดผมยิ่งกว่าเสียอีก”

“จะเป็นไปได้ยังไงล่ะคะ”

วิมลินแนบแก้มลงกับบ่ากว้าง คล้ายได้ปลดเปลื้องโซ่ที่ผูกรัดไว้จนกลับมาสูดหายใจเต็มปอดอีกครั้ง แม้บาดแผลและรอยบอบช้ำจากพันธนาการจะคงอยู่แต่ในอกกลับเบาโหวงอย่างประหลาด

ช่วงเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มผู้โอบประคองเธอไว้พลันเงยหน้าขึ้น ในที่สุดพระจันทร์ก็โผล่พ้นเมฆออกมา เพียงแต่แสงเหลืองอำพันสุกสกาวบนนั้น…กลับไม่สามารถทะลุผ่านหมอกมัวที่ปกคลุมแววตาเขาไปได้เลย

เมื่อคืนกว่าจะข่มตาหลับก็ดึกมาก แต่เช้านี้วิมลินยังตื่นนอนตามเวลา สิ่งแรกที่ทำหลังลืมตาคือคว้าโทรศัพท์ขึ้นเช็กตามความเคยชิน พบว่าปวินท์พยายามติดต่อหลายครั้งตั้งแต่เช้า โชคดีที่เมื่อคืนปิดเสียงเตือนโทรศัพท์ ไม่เช่นนั้นคงโดนกวนจนประสาทเสียตั้งแต่หัววัน

หญิงสาวจัดการตัวเองเรียบร้อยจึงลงมาที่ห้องอาหาร แม่บ้านจัดสำรับไว้ให้ชุดเดียว วิมลินก็นั่งกินโดยไม่ไต่ถามอะไรสักคำ เสร็จสรรพค่อยเดินไปทางห้องนั่งเล่น เมื่อแหวกม่านออกก็พบคนที่คิดถึงกำลังเดินเล่นหลังมื้อเช้าอยู่ในสวนอย่างที่คาดไว้

เจคเห็นเธอแทบทันที จึงซอยเท้าตรงมาหาพร้อมรอยยิ้มเปื้อนหน้า วิมลินเปิดประตูกระจกให้แล้วถอยหลังเปิดทาง ครั้นเขาก้าวเข้ามาในห้องกลับหยุดนิ่งด้วยสีหน้าพิกลจนเธอต้องเลิกคิ้วถาม

“มีอะไรหรือเปล่า”

“ผมเพิ่งนึกออก นี่เป็นครั้งแรกที่คุณไม่ปิดม่านใส่หน้าผม” เจคเกาหัว “เลยทำตัวไม่ค่อยถูก”

อืม…เธอเคยปิดม่านใส่หน้าเขามาหลายครั้งจริงๆ นั่น แหละ วิมลินยิ้มขำ แกล้งขึงตาใส่ “งั้นก็เชิญกระโดดถอยไปเลย”

เพิ่งจบประโยค กลับถูกคว้าตัวไปกอดพร้อมเสียงกลั้วหัวเราะข้างหู “เมื่อคืนหลับสบายไหม”

“ค่ะ” แทบไม่ต้องคิดด้วยซ้ำตอนเปล่งเสียงตอบรับ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เธอลืมตาตื่นโดยไม่รู้สึกถึงความหนักอึ้งซึ่งแบกไว้บนสองบ่า แม้กระทั่งข้าวเช้าก็ยังอร่อยกว่าเดิม

“ดีแล้ว” เขาลูบผมเธอพลางจูบประทับลงไปเบาๆ “หอมจัง”

“พอค่ะ” หญิงสาวผลักไสอย่างไม่จริงจัง “จั๊กจี้”

“ไม่เอา” เขากลับกดริมฝีปากแนบชิดขึ้น พูดอู้อี้ “เคยบอกไหมผมชอบผมของคุณมากนะ ทั้งลื่นทั้งหอม สีก็สวย ผมอยู่แบบนี้ได้ทั้งวันเลย”

หญิงสาวทุบอกเขาดังอึ้ก แก้มขึ้นสีเล็กน้อย “เลิกอู้เถอะค่ะ ไปแต่งตัวเตรียมทำงานได้แล้ว รู้ไหมพี่ปริ้นโทรมาเร่งยิกๆ ตั้งแต่เช้า สงสัยอยากซักเรื่องเมื่อคืนเต็มแก่”

อีกฝ่ายประท้วง “รายนั้นปล่อยรอไปเถอะ ดัดนิสัยซะบ้าง”

“ยังมีพี่วัตอีกคนนะคะ เมื่อวานพวกเขาก็วิ่งวุ่นพยายามแก้ปัญหาให้ทั้งวัน น่าเห็นใจออก”

“โอเค ถ้าเป็นรายนั้นผมยอมก็ได้ เขาเคยช่วยผมไว้นี่นะ”

ครั้นหญิงสาวเอียงคอสงสัย เจคจึงเล่าเรื่อง ‘พ่อแบ่งแพะสิบเจ็ดตัวให้ลูกสามคน’ อีกครั้ง แต่ฟังจบวิมลินกับยิ่งทำหน้าครุ่นคิดจนเขาเริ่มสะกิดใจ

“มีอะไรหรือเปล่า”

“ก็…ไม่สำคัญอะไรนักหรอก แค่ฉันเคยได้ยินเรื่องแบบนี้เหมือนกัน อยู่ในหัวข้อหนึ่งของวิชาเลือกสมัยเรียน”

ชายหนุ่มชักเริ่มสนใจ “หัวข้ออะไร”

“การจัดการธุรกิจครอบครัวค่ะ”

“การจัดการธุรกิจครอบครัว?” เจคทวนคำงงๆ “หมายถึงการดูแลกงสีแบบนั้นน่ะหรือ ของพรรค์นี้เขามีสอนกันด้วย”

“มีสิคะ ถ้าจะเอาแบบละเอียดเนี่ยสอนกันเป็นคอร์สๆ ด้วยซ้ำ แต่มันเอาอย่างมาจากฝรั่งเลยไม่ค่อยเหมือนกงสีแบบที่เราคุ้นชินนัก” ครั้นเห็นเขาทำท่าฉงนจึงเสริมว่า “ตัวอย่างง่ายๆ กงสีจะเน้นความสำคัญของลูกชายคนโต ยกให้ภรรยาลูกชายช่วยดูแลธุรกิจ แต่ลูกสาวจะถูกด้อยค่าลง ยิ่งแต่งงานออกไปแล้วยิ่งไม่มีส่วนในธุรกิจเลย ส่วนฝรั่งจะให้ความสำคัญกับลูกทุกคนไม่แบ่งเพศ แต่ไม่ยอมให้เขยหรือสะใภ้เข้ายุ่งเกี่ยวด้วย นอกจากนี้ก็มีรายละเอียดปลีกย่อยที่ต่างกันอีกมาก”

คนฟังพยักหน้าเข้าใจ “คุณรู้เยอะดีนะ”

“ก็เยอะพอจะทราบว่าอาจารย์ที่สอนวิชานี้ชอบยกเอานิทาน ‘พ่อแบ่งแพะสิบเจ็ดตัวให้ลูกสามคน’ มาอ้างตลอด เพื่อใช้อธิบายทำนองเรื่องในครอบครัวคนมักจัดการกันเอง แต่ที่จริงควรให้คนนอกมาช่วยแก้ปัญหาบ้าง เราถึงต้องเรียนวิชานี้กัน” เธอเว้นระยะเล็กน้อย “เป็นไปได้ที่พี่วัตอาจเคยเรียนวิชานี้ด้วย เลยได้ยินนิทานเรื่องนี้มา”

เจคเริ่มแปลกใจบ้างแล้ว “แต่คุณวัตจบนิตินะ หรือไปลงเรียนคอร์สสั้นๆ ไว้ ถึงงั้นก็เถอะจะเรียนทำไม หรืออยากเอามาจัดการเปลี่ยนแปลงในครอบครัว”

หญิงสาวส่ายหัวทันที “ยากค่ะ เปลี่ยนไม่ได้หรอก”

“มองโลกแง่ร้ายจัง ผมเห็นบุหรงกาญจน์ก็ไม่ได้เอาแบบกงสีทั้งดุ้นนะ อย่างการยอมให้อาสุน้องสาวพ่อคุณมาบริหารด้วย”

“เพราะตอนนั้นพ่อคุมกงสีอยู่ไงคะ แต่หลังจากนี้คนที่จะขึ้นมาคือลุงเสริฐ เขาหัวโบราณและไม่เปิดกว้างเท่าพ่อ บุหรงกาญจน์อาจกลับไปเหมือนสมัยอากงมากกว่า และถัดจากลุงเสริฐเป็นรุ่นพี่ปริ้น นั่นยิ่งแล้วใหญ่ ถึงพี่วัตอยากเปลี่ยนแปลงก็ไร้อำนาจ”

วิมลินแค่วิเคราะห์ไปตามเหตุผลเท่านั้น ให้ความสนใจน้อยมากเพราะเห็นว่าไม่เกี่ยวข้องกับสถานะตนตอนนี้ พูดจบจึงดูนาฬิกาพลางทักขึ้น

“รีบไปแต่งตัวได้แล้วค่ะ เดี๋ยวจะสาย”



Don`t copy text!