หน้ากากมยุเรศ บทที่ 15 : สิ่งที่ซ่อนไว้ในความลับ (2)

หน้ากากมยุเรศ บทที่ 15 : สิ่งที่ซ่อนไว้ในความลับ (2)

โดย : สิตา

Loading

หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co

“ผมยิ่งคิดยิ่งแปลกใจ ปกติรูปแม่ผกากับน้าวาดไม่เคยถูกเผยแพร่สู่คนภายนอก แน่ละใครจะสนใจรูปเมียน้อยที่ตายไปแล้วของนักธุรกิจสักคน ยิ่งกว่านั้นรูปแม่ผกาในบ้านถูกเก็บในกองฝุ่น ส่วนอิงก็วางรูปแม่แต่ในห้องนอน เธอเพิ่งเอารูปทั้งสองคนมาตั้งในห้องรับแขกตอนผมกลับไทยนี่เอง และคุณ…พริม คุณไม่เคยไปบ้านหลังนั้น พูดง่ายๆ คุณอาจรู้จักชื่อเมียน้อยคุณโกศลแต่ไม่เคยเห็นพวกเธอ แล้วทำไมถึงชี้รูปวาดจันทร์บอกเป็นแม่ผมอย่างมั่นใจนัก คุณเคยเจอเธอที่ไหนมาก่อนหรือ แต่แค่เจอธรรมดาไม่น่าเข้าใจผิดจนสลับคนได้นะ ผมเก็บความสงสัยไว้กระทั่งอิงถูกลอบยิง และมารู้ทีหลังว่าเทวิกาไม่เกี่ยวคนบงการเป็นคนอื่น ผมเลยจ้างนักสืบค้นหาอดีตคุณ”

เขาหยุดเพื่อหอบหายใจเป็นระยะ แต่คำพูดยังต่อเนื่องไม่ขาดตอน

“จนรู้ว่าคุณเป็นลูกนายดิเรกแต่เปลี่ยนใช้นามสกุลแม่ ตอนแรกผมนึกว่าคุณอยากฆ่าอิงเพื่อแก้แค้น แต่ทำไมมองข้ามผมที่เป็นลูกพ่อโกศลเหมือนกันไปล่ะ แล้วผมก็คิดได้ คุณละเว้นผมก็เพราะในมุมมองของคุณ ผมไม่ใช่ลูกชายพ่อโกศลแต่กลับเป็นน้องชายคนละแม่ของคุณต่างหาก ใช่ไหมพริม”

คนถูกถามไม่ยอมเอ่ยปาก มีเพียงแววตาหวั่นไหวด้วยความสับสนตอบกลับมา ชายหนุ่มจึงพูดกับเธอต่อ

“บางทีคุณตอนเด็กอาจเคยพบผู้หญิงในบ้านบุหรงกาญจน์ที่พ่อคุณแอบคบหา แล้วต่อมาคุณได้ยินข่าวแม่ผกาคบชู้ พอวันหนึ่งคุณเจอรูปน้าวาดเข้า ถึงชี้บอกอย่างมั่นใจว่านั่นคือแม่ผกาของผม”

“เดี๋ยวก่อน!” วิมลินตะโกนลั่น รู้สึกไม่ชอบมาพากลตั้งแต่เจคบอกว่าเธอเป็นน้องสาวพริมแล้ว แต่ช่วงนั้นยังจับต้นชนปลายไม่ถูก จนมาถึงเวลานี้ลางสังหรณ์ก็ยิ่งส่งเสียงเตือนดังลั่น “คะ…คุณกำลังจะบอกอะไรกันแน่!”

เจคกลั้นหายใจ ริมฝีปากสั่นระริกขณะเค้นเสียงทีละคำ “คนที่คบชู้กับนายดิเรกไม่ใช่แม่ผกา…แต่เป็นน้าวาด อิง…คุณเป็นลูกที่เกิดจากนายดิเรกกับน้าวาด”

เหมือนถูกโยนระเบิดใส่หน้า วิมลินช็อกตัวแข็งทื่อ มือที่กดแผลเขาไว้อ่อนแรงจนผล็อยตก เจคมองตามพลางยิ้มขื่น สมน้ำหน้าตัวเอง…คนอย่างเขาไม่ควรได้รับความอ่อนโยนจากเธอแม้สักนิด

“มันจะเป็นแบบนั้นได้ยังไง” พริมค้านเสียงกร้าว

อาการวิงเวียนวูบเข้ามาเป็นระยะ หายใจก็ลำบากมากขึ้นทุกที ชายหนุ่มรู้ตัวกำลังเสียเลือดมากเกินไปแล้ว แต่ยังพยายามประคองสติไว้เต็มสามารถ “งั้นคุณบอกมาสิ ที่ผมสันนิษฐานว่าคุณเคยเจอผู้หญิงในรูป มันถูกไหม”

เลขาฯ มูลนิธินิ่งอึ้ง ปืนในมือขยับลงต่ำ “ใช่ สมัยเด็กฉันป่วยกระเสาะกระแสะต้องหยุดเรียนบ่อยๆ ห้องนอนฉันอยู่บนชั้นสอง บางทีมองลงมาเห็นพ่อกำลังคุยกับผู้หญิงสวยคนหนึ่งหลายครั้ง ฉันลองถามพ่อจึงสารภาพว่ามีลูกกับผู้หญิงคนนั้น แต่สั่งห้ามฉันพูดกับใครไม่อย่างนั้นพ่อจะมีปัญหา ตอนพ่อตายแล้วตำรวจมาถามฉันถึงไม่กล้าพูดอะไร จนโตเลยพอปะติดปะต่อได้ว่าผู้หญิงคนนั้นก็คือชู้ของพ่อ แต่ผู้หญิงที่ชื่อผกาพาลูกหนีจากบ้านไปตั้งนานแล้ว ฉันตามหาพวกเธอไม่ได้”

วิมลินยกมือปิดปาก ส่ายหน้าปฏิเสธเอาเป็นเอาตาย “ไม่จริง! ป้าผกาเป็นคนยอมรับเรื่องนั้นเองแท้ๆ จะเป็นแม่ได้ยังไง”

แต่สิ่งที่โต้ตอบใส่คำถามของเธอกลับเป็นเสียงไซเรนรถตำรวจแผดก้อง รวมถึงรถพยาบาลและรถยนต์อีกหลายคันพุ่งผ่านประตูรั้วที่เปิดทิ้งไว้ตั้งแต่ตอนเจคมาถึง ไปจอดล้อมพาหนะของพริม ผู้คนต่างกรูกันลงมาจากรถ เลขาฯ สาวผวาเฮือก เธอเคยเดาเหมือนกันว่าชายหนุ่มน่าจะเรียกตำรวจไว้ แต่คิดไม่ถึงจะมาเร็วขนาดนี้

นั่นเพราะระหว่างทางมาที่นี่ เจคสั่งให้นักสืบติดต่อภวัตเพื่อส่งร่องรอยรถของพริมจาก GPS ไปให้

เลขาฯ มูลนิธิใช้สองมือจับปืนตวัดเล็งไปทางวิมลินกับเจค เหงื่อผุดซึมเต็มแผ่นหลัง วินาทีนี้เธอไม่รู้แล้วควรทำอย่างไร เพราะความเชื่อที่เคยยึดถือมาตลอดถูกเจคหักล้างในพริบตา แล้วขณะกำลังลนลานสับสนนั่นเอง เจคก็ตะโกนขึ้น

“พริม! อิงเป็นน้องคุณแท้ๆ แต่ดูสิคุณทำอะไรกับเธอไว้!”

เลขาฯ มูลนิธิหันไปมองวิมลินตามสัญชาตญาณ อีกฝ่ายกำลังกุมหัวไหล่และแขนข้างที่ใส่เฝือกไว้ นิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด ทั้งตัวมีแต่แผลถลอกปอกเปิก ยังไม่นับเรื่องที่เพิ่งรอดตายจากการถูกเธอสั่งลอบยิงไปหยกๆ พริมทิ้งแขนที่ถือปืนไว้อย่างหมดแรง อ้าปากร้องโดยไร้สุ้มเสียง…นี่เธอลงมือกับน้องสาวได้ถึงขนาดนี้!

ชายหนุ่มจับตาดูอยู่แล้ว จึงฉวยโอกาสทันที “ถ้าคุณอยากแก้ไขสิ่งที่ทำกับอิงไว้ก็มอบตัวเสีย แล้วอย่าบอกเรื่องเธอเป็นน้องสาวกับใคร ให้สารภาพกับตำรวจว่าคุณทำทุกอย่างเพื่อแก้แค้นแทนพ่อเท่านั้น ผมเองก็จะพูดเหมือนกัน”

ขณะที่เลขาฯ มูลนิธิยังงุนงง วิมลินกลับเข้าใจแทบทันที “ไม่นะ! ฉันไม่ใช่ลูกสาวพ่อ คุณยังจะให้ฉันเก็บไว้เป็นความลับอีกหรือ”

ใบหน้าชายหนุ่มแทบไม่เหลือสีเลือดแล้ว หายใจแต่ละครั้งก็เหมือนปอดจะระเบิด แต่เขายังเค้นเสียงผ่านริมฝีปากซีดเซียว “ใช่! คุณไม่ได้ทำอะไรผิดนะอิงจะต้องรับผลร้ายทำไม คุณเสียสละให้ครอบครัวนี้มาตลอดแล้วทำไมถึงจะอยู่กับบุหรงกาญจน์ต่อไปไม่ได้ เชื่อผมอิงปิดปากเอาไว้ซะ มันก็แค่ฝัน…ฝันร้ายเท่านั้นเอง”

วิมลินเบิกตาค้าง ในดวงตาดำขลับนั่นกลับไม่สะท้อนให้เห็นอะไรเลย เจคอยากเกลี้ยกล่อมเธอต่อ อยากทำทุกอย่างให้มั่นใจว่าเธอจะยอมรับเหตุผลเขา แต่แล้วพวกตำรวจก็พุ่งออกมาจากประตูดาดฟ้า กระแทกพริมฟุบกับพื้นแล้วแย่งปืน ล็อกตัวเธอไว้ได้โดยแทบไร้การขัดขืน อีกส่วนก็รีบมาดูอาการวิมลินกับเขา ทั้งสองจึงถูกจับแยกกัน หน่วยพยาบาลวิ่งขึ้นมาทันทีหลังได้รับวิทยุขอความช่วยเหลือ เจคอาการหนักที่สุดจึงได้รับการดูแลเป็นคนแรก ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ตลอดเวลาชายหนุ่มพยายามมองหาแต่วิมลินอย่างเดียว

ถึงกระนั้นจนกระทั่งตอนที่ถูกใส่เปลหามลงไป หญิงสาวกลับไม่ยอมหันมาสบตาเขาเลยสักครั้ง…

 

เจคต้องเข้ารับการผ่าตัดและให้เลือดทดแทนเป็นการด่วน เขาหลับไปหนึ่งคืนและวันเต็มๆ ก็ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งในห้องของโรงพยาบาล และเหมือนเรื่องตลก เพราะห้องที่เขาพักนี้ก็เป็นห้องเดิมกับที่วิมลินเคยใช้ อย่างว่าห้อง VIP ของโรงพยาบาลจะมีได้สักกี่ห้องกัน

นางพยาบาลที่คอยเฝ้าเห็นเขาตื่นก็รีบรายงานแพทย์ ก่อนเริ่มตรวจตามขั้นตอน หมอมาตรวจซ้ำอีกรอบจนแน่ใจว่าสัญญาณชีพปกติและเขาฟื้นได้ค่อนข้างดีแล้ว จึงแจ้งว่า

“คุณถูกยิงทะลุช่องท้อง ม้ามบางส่วนเสียหายหมอจำเป็นต้องตัดออก แต่โชคดีไม่โดนอวัยวะอื่น” แล้วซักอาการเขาจนพอใจจึงพูดต่อ “ญาติรอเยี่ยมอยู่ข้างนอก พวกเขาเป็นห่วงมากหมอเลยคิดจะให้เข้ามาสักครู่ คุณจะอนุญาตไหม”

แววตาเขาวาบขึ้น รีบพยักหน้ารับแม้ยังเพลีย พยาบาลปรับเตียงให้เขาครึ่งนั่งครึ่งนอน ไม่นานประเสริฐก็รีบร้อนนำขบวนเข้ามา ตามด้วยบรรดาญาติที่เหลือกระจายล้อมรอบเตียง ทว่าไม่มีแม้แต่เงาของคนที่เขารอคอย เจคใจหล่นวูบ เฝ้ามองประตูเงียบๆ จนในที่สุดวิมลินจึงเดินมาเป็นคนสุดท้าย มีร่องรอยถูกทำแผลเพิ่มหลายแห่งแต่โดยรวมยังปลอดภัยดี มือใต้ผ้าห่มที่กำแน่นอยู่จึงคลายออกช้าๆ

โล่งอกที่หญิงสาวยังไม่ได้บอกความจริงกับครอบครัว

เขาฝืนตอบคำถามคนรุมล้อมอยู่หลายประโยคกว่าจะมีจังหวะพูดขึ้น “ผมขอคุยกับอิงตามลำพังได้ไหมครับ”

ญาติๆ มองหน้ากันก่อนทยอยออกจากห้องไป มีแค่ภวัตที่เผอิญเชือกรองเท้าหลุดจึงก้มลงไปผูกช่วงหนึ่ง จากนั้นก็เหลือเพียงวิมลินเอนพิงกำแพงอยู่ข้างประตู เธอยืนท่านั้นตั้งแต่เข้าห้องมาแล้ว ไม่ปริปากสักคำ ดูห่างไกลจนเอื้อมไม่ถึงยิ่งกว่าตอนเธอพยายามหลบหน้าเขาเสียอีก

เจคมองเสื้อแถวหัวไหล่เธอที่นูนขึ้นจากผ้าพันแผลหนาเตอะข้างใต้ “คุณเป็นยังไงบ้าง”

“ไหล่หลุดค่ะ แต่เป็นข้างเดียวกับที่ใส่เฝือกเลยยังเหลือแขนอีกข้าง”

เจคฝืนยิ้ม ชี้ยังเก้าอี้ซึ่งมีคนมาวางข้างเตียง “ขอโทษนะ แต่ผมตะเบ็งเสียงคุยไม่ไหว”

หญิงสาวกัดริมฝีปาก ถึงกระนั้นก็ยอมเดินมานั่ง ก้มหน้าอยู่สักพักค่อยเอ่ยปาก “พริมถูกจับแล้ว เธอยอมรับเป็นคนจ้างมือปืนลอบยิงและลักพาตัวฉัน เพราะอยากแก้แค้นให้นายดิเรกผู้เป็นพ่อ เธอทำตามที่คุณบอกทุกอย่าง”

คนฟังผ่อนลมหายใจ ผลลัพธ์ยังไม่ร้ายแรงเท่าที่เคยคิดไว้

วิมลินเคาะนิ้วกับตักตัวเองด้วยความเคยชิน “ตอนรู้ข่าวพริมถูกจับพี่ปริ้นหน้าซีดเลย เขามาสารภาพกับลุงเสริฐและฉันทีหลังว่าแอบคบหาพริม แต่ไม่กล้าบอกเพราะกลัวถูกด่าเรื่องคั่วกับลูกน้องทั้งที่ลุงเสริฐเคยห้ามไว้ พริมถึงฉวยโอกาสตรงนี้ได้พอดี แต่เขาไม่เคยรู้ตัวถูกใช้เป็นเครื่องมือ ฉันเชื่อเขานะ เพราะพริมก็ไม่ได้เอ่ยพาดพิงใครพี่ปริ้นจะไม่สารภาพก็ได้ ลุงเสริฐด่ายับเลยแต่คงจะจบแค่นั้น”

หญิงสาวหยุดเล่าไปดื้อๆ ปล่อยให้ความเงียบงันโถมใส่เจคจนแทบหายใจไม่ออก ชายหนุ่มละล่ำละลักพูดจนลิ้นพันกัน

“ผมขอโทษจริงๆ นะอิง ผมผิดที่ปิดบังเรื่องใหญ่แบบนี้กับคุณ แต่ไม่แน่ใจจะพูดถึงมันยังไง ให้คุณไม่รับรู้เสียยังน่าจะดีกว่า”

“ดังนั้นถึงคุณจะระแคะระคายพฤติกรรมพริมแต่กลับไม่ยอมเตือนฉันให้รู้ตัว เพราะกลัวจะต้องเล่าความจริงให้ฟังหรือ”

“ผมพลาดเอง ตอนนั้นชะล่าใจว่าสามารถปกป้องคุณจากเธอได้”

“แล้วคุณรู้ว่าฉันไม่ใช่ลูกสาวพ่อตั้งแต่เมื่อไหร่”

เจคชะงัก กำหมัดแน่นใต้ผ่าห่มอีกครั้ง “แคน…คือแคนเคยเล่าให้ผมฟัง”

“พี่แคนเคยพูดยังไง ตกลงแม่ฉันทำอะไรไว้กันแน่!” รีบถามชนิดไม่หยุดหายใจ เพราะมันเหมือนน้ำกรดกัดกร่อนจิตใจทุกวินาที

ชายหนุ่มนิ่งงันอยู่นานมากกว่าจะเริ่มต้นอย่างระมัดระวัง “แม่ผกาเล่าให้แคนฟังอีกที ตอนที่พ่อคุณ…” เขาหยุด กลืนน้ำลายพลางเลี่ยงไปเอ่ยว่า “คุณโกศลไล่บีบคนในบ้านเพื่อตามหาผู้หญิงที่แอบคบนายดิเรก น้าวาดก็หลบมาหาแม่ผกาในห้องนอน สารภาพว่าเธอเป็นผู้หญิงคนนั้นเอง”

เจคเล่าไปทีละนิด ลงลึกแม้กระทั่งรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ จนวิมลินเกือบเห็นเป็นภาพปรากฏตรงหน้า…



Don`t copy text!