หน้ากากมยุเรศ บทที่ 15 : สิ่งที่ซ่อนไว้ในความลับ (3)

หน้ากากมยุเรศ บทที่ 15 : สิ่งที่ซ่อนไว้ในความลับ (3)

โดย : สิตา

Loading

หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co

ผกาเบิกตาแทบถลน ไร้เรี่ยวแรงจนต้องทรุดนั่งบนเตียงในห้องนอนตัวเอง จ้องวาดจันทร์ผู้ยืนกระสับกระส่ายตรงหน้าราวกับไม่เคยเห็นเธอมาก่อน

‘วาด! เธอ…เธอว่ายังไงนะ’

เวลานี้แคนไปโรงเรียน ส่วนวิมลินก็กำลังซ้อมเปียโนโดยมีสาวใช้คอยดูแล จึงเหลือแค่พวกเธอสองคนในห้องปิดสนิททั้งประตูหน้าต่าง

วาดจันทร์นิ่วหน้า แม้กระนั้นก็ยังไม่อาจลดทอนความงามบนใบหน้าเย้ายวนแม้แต่น้อย ‘ผู้ชายที่ถูกคุณศลไล่ตามจนรถชนตายชื่อดิเรก คืนนั้นเขาแอบมาเอาเงินที่ฉันวางไว้ให้ เพราะคุณศลสั่งห้ามทุกคนออกบ้านช่วงนี้ ฉันเลยไปส่งเงินให้เหมือนเดิมไม่ได้’

‘แล้วทำไมต้องให้เงินเขาล่ะ’ ครั้นเห็นวาดจันทร์เบือนหน้าหนีผกาพลันใจหายวูบ เขย่าแขนอีกฝ่ายอย่างแรง ‘หรือเธอมีอะไรกับเขา ทำไมคิดโง่ๆ’

วาดจันทร์สะบัดแขนทิ้ง ไฟแค้นในดวงตาถูกจุดจนลุกวาบ ‘ฉันอยากเอาคืนคุณศล! คนคนนั้นหลอกฉันมาเป็นเมียน้อยถึงที่นี่ ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ฉันจะกลายเป็นคนที่บ้านก็ไม่มีให้กลับหรือ แล้วพอเห็นฉันไร้ทางไปเขาก็ไม่ไยดี ปล่อยยัยเทวิการังแกฉันจนแท้ง!’

เรื่องนี้ แม้ผกาจะกลับเข้าบ้านมาทีหลังทว่าก็พอทราบความทั้งหมด

มีคนแอบกระซิบบอก ยายคนใช้จอมขี้เกียจข้างตัวเทวิกา มีย่าทวดเป็นแม่หมออยู่ที่หมู่บ้านแถวชายแดน เชี่ยวชาญตำรับยาสั่งหลายขนาน ก่อนวาดจันทร์จะแท้ง ยายคนใช้เคยลากลับบ้านหนหนึ่งทั้งที่ร้อยวันพันปีจะอยู่แต่ที่นี่เพราะใช้ชีวิตสบายกว่า

ในยุคสมัยที่คนเริ่มรู้จักอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์เคลื่อนที่ ใครได้ยินเรื่องพรรค์นี้คงหัวร่อ แต่ผกาผู้เติบโตมาในหมู่บ้านคล้ายๆ กันทราบดีว่ามันมีอยู่จริง เผลอๆ แม่หมออาจกำลังตำยาโดยหนีบมือถือกับไหล่คุยนินทาคนไปพร้อมกันเสียด้วยซ้ำ

ผกาเคยเปรยให้โกศลฟังยามใช้เวลาส่วนตัวด้วยกัน สามีกลับหัวเราะอธิบายว่า ‘ก็สมุนไพรพื้นบ้านตามป่าเขานั่นแหละ ถ้าถึงมือหมอสมัยใหม่รับรองบ้อท่าทุกราย เขามียารักษาต้านพิษทุกชนิด’

ปัญหาไม่ได้อยู่ที่รักษาหายไหมหรอก ผกาแอบค้านในใจ แต่อยู่ที่หมอจะตรวจเจอไหมต่างหาก ถ้าตรวจไม่พบเสียอย่าง สำหรับชาวบ้านมันก็คือยาสั่งชี้เป็นชี้ตายได้!

แล้วเรื่องจึงเงียบหายเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง ผกาเองนึกไม่ถึงว่าวาดจันทร์จะผูกใจเจ็บยาวนานขนาดนี้ ‘วาด เธอคบชู้แล้วมันจะเอาคืนคุณศลได้ยังไง เกิดถูกจับเธอนั่นแหละจะแย่’

อีกฝ่ายไม่ตอบเพียงเผยรอยยิ้มบิดเบี้ยวภายใต้แววตาดำทะมึน ผกาผ่านชีวิตมาขนาดนี้ไม่ใช่สาวน้อยใสซื่อคนเดิมอีกแล้ว ใจเริ่มคาดเดาถึงแผนการวาดจันทร์ วินาทีนั้นขนแขนพลันลุกชันจนหนาวเยือก

‘หรือคุณอิงไม่ใช่…อื้อ’

วาดจันทร์กระโจนเข้าปิดปากเธอ กระซิบเสียงต่ำข้างหู ‘อะไรไม่สมควรพูดก็หยุดเถอะ อิงเป็นลูกสาวคุณศล เธอต้องได้สมบัติจากเขาแล้วใช้ชีวิตสุขสบาย พี่ผกาเข้าใจใช่ไหม’

เจ้าของห้องรีบพยักหน้าเอาเป็นเอาตายวาดจันทร์จึงยอมคลายมือ ผกาหอบหายใจระหว่างพูดกระท่อนกระแท่น ‘เรื่องคบชู้นั่นน่ะ คุณศลไล่ล่าขนาดนี้สักวันต้องตามรอยมาถึงเธอ ชิงสารภาพก่อนไหมจะได้ผ่อนหนักเป็นเบา ฉันสาบานจะไม่พูดเรื่องคุณอิงแน่ๆ’

วาดจันทร์ถอยไปยืนกอดอก แววตาเย็นชาประหนึ่งอสรพิษจ้องสำรวจว่าจะเริ่มขย้ำเหยื่อที่ตรงไหน จู่ๆ ผกาพลันสงสัยขึ้นมาปุบปับ…วาดจันทร์กล้าสารภาพความจริงกับเธอเพื่ออะไร!

‘พี่ผกาช่วยฉันสักครั้งเถอะ ไปยอมรับกับคุณศลว่าคบชู้แทนฉันที’

คนฟังสะดุ้งเฮือก ‘พูดบ้าๆ ฉันไม่ทำหรอก’

‘พี่ต้องทำ ไม่อย่างนั้นฉันจะไปบอกคุณวิว่าพี่เป็นคนผลักเธอตกบันไดจนแท้ง’

เหมือนถูกวาดจันทร์ฟาดค้อนใส่หน้า ผกาตกใจจนหน้ามืดไปวูบหนึ่ง พอสติกลับมาก็ร้องลั่น ‘ไม่จริง! ตอนนั้นมีใครเสียที่ไหน…’ เธอชะงักกึก ยกมือปิดปากหน้าซีด พลาดแล้ว!

วาดจันทร์ฉีกยิ้มเยือกเย็น ‘ใช่ ตอนคุณวิตกบันไดฉันอยู่ชั้นล่างวิ่งไปหาเธอเป็นคนแรก พอมองตามบันไดขึ้นไปก็ไม่พบใครจริงๆ แต่ดันเจอเงาตรงมุมกำแพงแวบหนึ่งก่อนหายไป ป้าโฉมที่วิ่งตามฉันมาถึงไม่เห็นอะไรเลย แต่ฉันจำได้แม่นลายผ้าถุงบนเงานั่นเป็นของใคร ก็ผ้าถุงผืนนั้นฉันซื้อให้พี่เองแท้ๆ’

หัวใจผกาเต้นกระหน่ำแทบกระดอนจากอก ‘ไม่มีพยาน ไม่มีหลักฐาน ใครจะเชื่อคำพูดเธอ’

‘พี่ทำอย่างกับไม่รู้จักนิสัยคุณวิ ขอแค่ฉันสะกิดให้เธอระแวงนิดเดียว พอเธอเริ่มสืบว่าตอนนั้นใครหายไปไม่ได้มามุงเธอที่ตกบันได ใครที่มีคนเห็นไปโผล่อีกซีกบ้านทั้งที่ไม่ควรมีธุระแถวนั้น ใครที่เอาแต่เก็บตัวเงียบในห้องหลังเกิดเหตุ คนอย่างคุณวิไม่ต้องการหลักฐานหรอก แค่ข้อสงสัยก็พอแล้ว’ อีกฝ่ายยักไหล่ไม่ยี่หระ ‘ตัวอย่างก็ที่ฉันถูกขังเมื่อวานไง ขนาดฉันมีป้าโฉมยืนยันความบริสุทธิ์คุณวิยังอาละวาดเสียแทบตาย’

ผกาปาดเหงื่อซึ่งเอาแต่ไหลไม่หยุด เพราะเรื่องที่วาดจันทร์เคยแท้งลูกทำให้เธอรู้ตัวว่าเทวิกาแอบวางยาบุตรชาย วันนั้นจึงหลบขึ้นชั้นสองจะลอบเข้าห้องเทวิกาเพื่อหาหลักฐาน แต่ห้องดันถูกล็อกไว้ ขณะที่เดินผิดหวังกลับมาก็เจอเทวิกากำลังก้าวลงบันไดพอดี ฝ่ายนั้นหันหลังให้จึงไม่เห็นเธอ จู่ๆ ผกาก็นึกถึงภาพบุตรชายที่นอนทรมานบนเตียงผู้ป่วย พริบตานั้นเบื้องหน้าพลันมืดไปหมด ไม่รู้ผีบ้าที่ไหนดลใจให้เธอผลักมือออกไปข้างหน้า…

ผกากดมือตัวเองไว้…แต่ทำอย่างไรมันก็ไม่ยอมหยุดสั่น!

‘ถ้าเธอคิดฟ้องฉัน ฉันก็จะแฉเรื่องเธอคบชู้!’ ผกายังไม่ยอมแพ้

‘ลองคิดให้ดีนะคะ คบชู้ศัตรูพี่คือคุณศล ผลักตกบันไดจนแท้งศัตรูพี่คือคุณวิ ถามจริงๆ เถอะระหว่างสองคนนี้ พี่อยากเป็นศัตรูกับใคร’

ผกาเพิ่งเข้าใจคำว่าถูกต้อนจนมุมก็วินาทีนี้เอง วาดจันทร์เลียริมฝีปากราวกำลังลิ้มรสชัยชนะ ‘พี่ผกาวางใจเถอะ ร้ายที่สุดคุณศลก็คงแค่ทำโทษพี่แล้วไล่ไปเป็นคนใช้ไม่ให้พักบนตึกเท่านั้น ยังไงพี่ยังสามารถอยู่ในบ้านดูแลลูกชายต่อ ฉันก็จะคอยช่วยเหลือไม่ทิ้งไปไหนหรอก’

วาดจันทร์หยิบกุญแจประตูหลังบ้านดอกสุดท้ายยัดใส่มือสั่นๆ ของอีกฝ่าย แล้วสอนไปทีละขั้นว่าต้องพูดกับโกศลอย่างไร

 

ภายในโรงพยาบาล อุปกรณ์การแพทย์ที่ต่อสายติดกับตัวเจคส่งเสียงดังเป็นระยะ ราวท่วงทำนองไห้โหยหวนประกอบละครน้ำเน่าแสนรันทด

วิมลินยังคงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม ดวงตาแห้งผากจับตรึงอยู่ที่น้ำเกลือซึ่งค่อยๆ หยดลงตามจังหวะ ในตัวเธอก็คล้ายมีหยดหมึกสีดำซึมเข้ามาทีละนิด ย้อมจนทั้งร่างอาบด้วยความมืดทะมึนอัปลักษณ์

แม่โกหกเธอ ไม่สิ…ควรบอกว่าพูดความจริงแค่ครึ่งเดียวกระมัง แม่ไม่ยอมให้ป้าผกาและพี่แคนกลับมาด้วยกลัวพวกเขาจะแก้แค้น แต่ไม่ใช่เหตุผลตื้นๆ อย่างที่เคยเอ่ยอ้าง มันกลับเป็นอะไรที่เลวร้ายยิ่งกว่าหลายเท่า

คิดแล้วก็น่าขัน วิมลินเคยกล่าวไว้ว่าสงสัยเรื่องที่ป้าผกาคบชู้ แต่พอเปลี่ยนเป็นแม่แล้ว…เธอกลับไม่แปลกใจเลยสักนิด!

“พูดง่ายๆ ฉันถูกแม่ใช้เป็นเครื่องมือมาตลอดสินะ”

เธอคงไม่รู้ตัว ยิ่งบังคับน้ำเสียงให้เย็นชามากเท่าไร กลับยิ่งเปิดเปลือยความอ้างว้างในหัวใจจนคนเฝ้ามองเจ็บแปลบ เจคเอื้อมมือหมายจะกอดปลอบประโลมเหมือนที่เคยทำ แต่แล้วพลันชะงักเพียงกลางทาง ไม่กล้า…กลัวเหลือเกินจะโดนเธอปัดทิ้งผลักไส จำต้องรั้งมือกลับมาลูบใบหน้าเหนื่อยล้าของตนเอง

“แม่เขาทำเพราะรักคุณนะ”

“ความรักก็คงเหมือนหลายสิ่งหลายอย่างในโลกใบนี้นะคะ มีทั้งด้านสวยงามและน่ารังเกียจ เราคงเลือกไว้แค่ด้านใดด้านหนึ่งไม่ได้”

ชายหนุ่มอยากร้องค้าน แต่ในปากขมปร่าเสียจนพูดอะไรไม่ออก

วิมลินสูดลมหายใจลึก หันกลับมามองเขาอีกครั้ง “เล่าต่อเถอะค่ะ เรื่องยังไม่จบใช่ไหม ภายหลังทำไมป้าผกาถึงยังหนีไป”

เมื่อนั้นเจคค่อยหาลิ้นตัวเองเจอ “เพราะพอจำใจรับสมอ้างไปสารภาพกับคุณโกศล แม่ผกาถึงเพิ่งทราบ สิ่งที่ตัวเองทำมันก่อผลร้ายแรงขนาดไหน”

 

กลางคืนมืดสนิท หลายชีวิตล้วนขดตัวในนิทรารมณ์อันสุขสบาย แต่กลับมีสายตาคู่หนึ่งเบิ่งค้างไม่ยอมปิด

ผกาขังตัวเองอยู่ในห้องนอนจนจะครบวันแล้ว อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้ามืด เวลาเดียวกับที่เธอเผชิญหน้าโกศลไปเมื่อวาน แต่ในความรู้สึกราวผ่านมานานชั่วกัปชั่วกัลป์ หญิงสาวมองหน้าปัดเรืองแสงของนาฬิกาตั้งโต๊ะบนหัวเตียง จ้องเข็มที่กระดิกไปทีละนิดราวนักโทษรอเวลาประหาร

คุณศลจะยกลูกชายเธอให้เทวิกาเพราะฝ่ายนั้นหมดโอกาสมีลูกอีก ส่วนเธอต้องรับโทษข้อหาคบชู้ ทั้งที่เธอไม่รู้จักนายดิเรกนั่นด้วยซ้ำแต่แก้ตัวอะไรไม่ได้เลย เนื่องจากสิ่งที่เธอทำมันร้ายแรงยิ่งกว่ามาก ผกาใช้กำปั้นอุดปากกลั้นเสียงสะอื้น ตั้งแต่วันนั้นเธอไม่เคยหลับสนิท ถึงเจ็บแค้นเพียงใดก็ไม่คิดอยากให้เทวิกาแท้งหรือถึงขนาดหมดโอกาสเป็นแม่ แต่พูดไปแล้วใครจะเชื่อ

เธอยื่นมือออกไปครั้งเดียว ก็คร่าชีวิตน้อยๆ ที่ยังไม่ลืมตาดูโลก และกำลังจะทำลายชีวิตลูกชายตัวเอง…

ท่ามกลางความเงียบที่อัดแน่นอยู่ในห้อง พลันเกิดเสียงกึกกักแล้วประตูห้องก็แง้มออก ผการีบปาดน้ำตาพลางเหลือบมองนาฬิกาอีกรอบ มาตรงเวลาเสียจริง

วาดจันทร์ปรากฏตัวขึ้น เอ่ยเสียงเบาทันทีเมื่องับประตูตามหลังแล้ว “ทางสะดวก คุณศลคงเบื่อเรื่องที่บ้านมากคืนนี้เลยไปค้างข้างนอก คุณวิยังอยู่โรง’บาล ฉันไล่เด็กรับใช้กลับแต่หัวค่ำบอกไม่ต้องค้างที่ห้อง เท่ากับบนตึกมีแค่พวกเรา” หันมองซ้ายขวา “ตาแคนล่ะ”

“หลับอยู่” บุ้ยใบ้ไปทางห้องด้านข้างซึ่งมีประตูเชื่อมถึงกันแต่ตอนนี้ปิดสนิท

“เป็นเด็กนี่น่าอิจฉา เจอเรื่องตั้งมากมายก็ยังอุตส่าห์หลับลง”

ตลอดทั้งวันผกาขังตัวเองในห้อง วาดจันทร์จึงแอบฝากจดหมายผ่านคนส่งข้าวส่งน้ำมาสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะสงสัยที่โกศลโมโหรุนแรงผิดสังเกต กลายเป็นการโต้ตอบทางจดหมายจนนำมาสู่การนัดพบในเวลานี้

วาดจันทร์ก้มมองกระเป๋าเสื้อผ้าบวมฉุ วางอยู่ตรงพื้นข้างเตียง “จัดของเสร็จแล้วสินะ เตรียมหนีตามคำแนะนำของฉัน”

แต่ผกากลับส่ายหัว “ฉันยังไม่ได้ตัดสินใจ”

“มัวชักช้าอะไรล่ะ เวลาไม่คอยท่าแล้วนะ”

“ฉันไม่รู้ควรฟังเธออีกไหม พูดก็พูดเถอะ ถ้าไม่ใช่เธอบีบให้ฉันรับสมอ้างว่าคบชู้แทนตัวเอง คุณศลคงไม่โกรธขนาดจะพรากแคนไปให้คุณวิหรอก!” ผกาลุกพรวดไปผลักอกอีกฝ่าย แววตามุ่งร้ายชนิดไม่เคยเห็น วาดจันทร์หนาวเยือก เผลอก้าวถอยโดยไม่รู้ตัว

“ก็ฉันไม่รู้นี่ ใครจะคิดล่ะว่าแค่ถูกเธอผลักตกบันไดจนแท้ง คุณวิดันอาการหนักถึงขั้นมีลูกไม่ได้ คุณศลเลยต้องพยายามหาทางปลอบใจเธอ”

เจ้าของห้องหายใจหอบถี่ด้วยแรงอารมณ์ “แคนจะไปอยู่กับคุณวิไม่ได้ คนพรรค์นั้นกล้าวางยาแม้แต่กับเด็ก ฉันเห็นลูกนอนโรงพยาบาลทีใจแทบขาด ให้ตายฉันก็ต้องปกป้องลูกเอาไว้”

ยิ่งคิดในอกพลันยิ่งดิ้นพล่านอาละวาด ผกาบ่นพึมพำกับตัวเองถึงเหตุการณ์ตอนนั้น ยามที่เห็นเทวิกายืนตรงหัวบันไดนั่น ความอับจนคับแค้นที่เคยกล้ำกลืนไว้พลันปะทุพรวดในคราเดียว จะทำร้ายเธอเท่าไรก็ช่าง แต่ห้ามแตะต้องแคนแม้เพียงปลายเล็บ!

“ใจเย็นๆ ก่อน ฉันเข้าใจเธอนะ ฉันเองก็มีลูกใครมาทำอิงก็ไม่ปล่อยไว้เหมือนกัน”

ตอนนี้ผกาคลั่งเหมือนหมาบ้า ชี้หน้าอีกฝ่ายพลางตวาด “อย่ามาพูดให้ขำ รักอิงอย่างนั้นหรือ เคยคิดไหมถ้าสักวันอิงเกิดรู้ว่าตัวเองไม่ใช่ลูกคุณศล ถูกแม่ใช้เป็นเครื่องมือแก้แค้น…เธอจะรู้สึกยังไง”

แม้ในความมืดก็ยังอุตส่าห์เห็นนัยน์ตาเดือดดาลวาดจันทร์ได้ถนัด เธอตบใส่จนผกาล้มไปกองบนเตียง วินาทีนั้นถึงเพิ่งรู้ตัวจนหน้าซีด ถลาจะเข้าไปดูคนเจ็บแต่กลับถูกผลักไปอีกทาง

คนที่ผลักเธอไม่ใช่ผกา แต่เป็นแคนซึ่งกระโดดออกมาจากห้องด้านข้าง!

เด็กชายยังตัวสั่นเล็กน้อย แต่ก็พยายามใช้ร่างบังแม่ไว้พลางถลึงตาจ้องวาดจันทร์ ผการ้องขึ้นอย่างตกใจ

“แคนนี่ลูก…ลูกตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ผมไม่ได้หลับ” แคนตอบ “แค่นอนพักตาเอาหูแนบพื้นฟังเสียงประตู เผื่อมีใครแอบเข้าห้องมาทำร้ายแม่ ผมจะได้ช่วยทัน”

ผกาตกตะลึง วันนี้เกิดเรื่องมากมายลูกชายคงกลัวจะมีใครทำอะไรเธออีกถึงพยายามปกป้อง แต่นั่นก็แสดงว่าเขาแอบฟังอยู่และรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว

“น้าขอโทษนะแคน ขอโทษพี่ผกาด้วย” วาดจันทร์รีบถอยห่างเพื่อแสดงว่าไม่คิดทำร้ายใคร “ทุกคนเครียดกันเลยคุมอารมณ์ไม่อยู่ อย่าถือสานะ”

เด็กชายกัดริมฝีปากแล้วหันไปพูดกับผกา “เราออกจากบ้านตามที่น้าวาดแนะนำเถอะครับ”

ผกาอ้าปากค้าง “แต่แม่ไม่แน่ใจ ถ้าอยู่นี่ลูกจะมีคนดูแล มีข้าวกินมีที่ซุกหัวนอน”

แคนช่วยประคองมารดาลุกขึ้น “แม่ผลักคุณวิจนแท้งลูก ถ้าเธอรู้แล้วเรียกตำรวจมาจับแม่ล่ะ ผมไม่ยอมให้แม่เข้าคุกหรอก เราต้องหนี”

ผกาสะดุ้ง จริงสิ…ถ้าเธอถูกขังจะไม่มีใครดูแลแคน เขาต้องโดนส่งไปหาเทวิกาแน่ๆ เมื่อคิดได้จึงรีบคว้ากระเป๋าเสื้อผ้ามาถือไว้ ด้านวาดจันทร์ก็มองเด็กชายทึ่งๆ

“ใครเขาชอบพูดกันว่าเธอน่ะโง่ เรียนหนังสือไม่เก่ง แต่ถ้าไม่นับเรื่องตำราแล้วฉันว่าเธอฉลาดมากเลยนะ ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุตั้งเยอะ”

แคนไม่พูดเอาแต่จูงมารดาเดินออกนอกห้อง วาดจันทร์ตามไปติดๆ คว้าถุงผ้าที่วางแอบไว้แถวระเบียงหน้าห้อง “เอานี่ไปสิ ฉันมีเงินสดไม่เยอะเลยรวบรวมเครื่องประดับมาให้ ไปขายน่าจะได้หลายตังค์อยู่”

ผกาลืมความโกรธที่เคยมีกับผู้หญิงตรงหน้าไปเสียสนิท รับของมาอย่างเกรงใจ “ขอบใจนะ ฉันติดหนี้เธอแล้ว”

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ” แคนแย้งขึ้น “น้าวาดน่ะอยากรีบไล่เราไปไกลๆ เพราะถ้าผมยังอยู่อิงคงได้สมบัติน้อยลง ฉะนั้นเธอต่างหากที่เป็นฝ่ายติดค้างเรา”

คราวนี้แม้จะเค้นเท่าใดวาดจันทร์ก็ยิ้มไม่ออกแล้ว ได้แต่ใช้สายตาเย็นชามองส่งสองแม่ลูกลับหายจากบ้านหลังนี้ไป

 

ช่วงเวลาปัจจุบัน วิมลินแหงนหน้าพาดหัวกับพนักเก้าอี้ ดวงตาเหม่อลอยขณะเปรยว่า “เหมือนที่คิดไว้เลย แม่ก็เกี่ยวข้องกับการที่ป้าผกาหนีออกจากบ้านสินะ”

“คุณเดาออกด้วยหรือ” เจคถามจากบนเตียงพยาบาล

“พอย้อนคิดถึงความทรงจำตอนนั้นก็เข้าใจอะไรหลายอย่าง เพราะแม่ดูฉุนเฉียวมากทั้งที่ถ้าพี่แคนไม่อยู่แล้ว เหลือฉันรับมรดกพ่อเพียงคนเดียวตามแผนแม่ควรดีใจถึงจะถูก แสดงว่าหลังพ่อไล่ป้าผกาไปอยู่ในห้องมันต้องเกิดเรื่องอะไรกับแม่ขึ้นสักอย่าง”

มิน่าเธอถึงดูไม่ค่อยแปลกใจนัก ชายหนุ่มแอบรำพึง “นี่แหละครับเรื่องทั้งหมดที่ผมอยากเล่าให้คุณฟัง”

หญิงสาวผงกศีรษะกลับมาสบตาเขา ปกติเจคเคยชอบมองดวงตาใสกระจ่างเหมือนลูกแก้วของเธอมาก แต่ไม่รู้ทำไมคราวนี้คล้ายถูกกดดันจนหายใจติดขัด ขณะที่คิดจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น วิมลินกลับชิงพูดขึ้น

“นั่นเป็นเรื่องทั้งหมดที่คุณอยากเล่าให้ฉันฟัง แต่ยังไม่ใช่ความจริงทั้งหมดใช่ไหมคะ”

สังหรณ์ร้ายวาบขึ้นพร้อมภาพหญิงสาวหยิบซองจดหมายออกมาจากกระเป๋าเสื้อ วางลงที่เตียงอย่างเบามือ “ในซองนี้เป็นผลตรวจดีเอ็นเอค่ะ”

“หือ ผลดีเอ็นเอของใครหรือ”

“ไม่ใช่ของฉันกับคุณเพราะเราเคยรู้ผลกันอยู่แล้ว ไม่ใช่ของฉันกับพริมเพราะมันไม่จำเป็นอะไรตอนนี้ แต่เป็นผลดีเอ็นเอของคุณที่ตรวจเทียบกับลุงเสริฐและพี่ปริ้นค่ะ มันบอกว่าพวกคุณเป็นญาติสายเลือดเดียวกัน ฉันต่างหากที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย”

เลือดในตัวเขาผนึกแข็งจนเย็นเฉียบ น้ำเสียงมั่นคงของวิมลินราวลอยมาจากที่ไกลแสนไกล

“คุณไม่ใช่กังหันสินะคะ เจค…คุณหลอกฉันมาตลอด คุณคือพี่แคนมาตั้งแต่ต้น!”



Don`t copy text!