หน้ากากมยุเรศ บทที่ 8 : ที่ดินเจ้าปัญหา (2)

หน้ากากมยุเรศ บทที่ 8 : ที่ดินเจ้าปัญหา (2)

โดย : สิตา

Loading

หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co

ตอนเจคกลับมาถึงโต๊ะสังสรรค์ เหล่าผู้หญิงต่างแกล้งประท้วงที่เขาหายหน้านาน เจคแก้ตัวว่าไปสั่งเครื่องดื่มที่บาร์ทางอีกฝั่งของห้องมาให้ เผอิญพนักงานนำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟตามหลังเขาพอดี ทุกคนจึงเลิกใส่ใจหันมาชนแก้วกันแทน

“คืนนี้เจคดื่มแต่น้ำอัดลมกับพวกค็อกเทลอ่อนๆ ไม่สนุกเหรอคะ” หนึ่งในเพื่อนโปรดปรานทักขึ้น เธอน่าจะเป็นนางแบบอะไรสักอย่าง ขายาวผิวขาวเนียนชวนมองมาก เจคพยายามตั้งสมาธิกับแก้วเครื่องดื่มในมือ

“พอดีผมติดรถคุณปริ้นมาเลยขอตอบแทนด้วยการอาสาขับรถขากลับให้ ขืนเมาจะยุ่งเอา”

ปวินท์ชูแก้ววิสกี้ขึ้น “กลัวอะไรกับกฎหมายไทย ไม่โหดขนาดนิวซีแลนด์หรอกน่า เมาแล้วไง ไม่มีใบขับขี่แล้วไง”

“ผมมีนะครับใบขับขี่สากล ขับรถในเมืองไทยได้”

“ทุกวันนี้เจคเอาแต่นั่งรถไปมากับพี่อิง น่าจะซื้อใช้เองสักคัน” โปรดปรานทักพลางชี้เพื่อนตัวเองผู้นั่งข้างเขา “เธอมีญาติทำโชว์รูมรถนะสนใจไหม”

เพื่อนลูกปลายิ้มพลางเขยิบเข้ามาใกล้ คนนี้ก็เนื้อนมไข่ทะลักไปเสียทุกส่วน เจคกลืนน้ำลาย รีบเบี่ยงประเด็นออกจากตัวเอง “รถซูเปอร์คาร์ก็สวยนะ ตอนมาถึงผมเห็นคุณปริ้นจ้องอยู่คันทางด้านนอก”

“ใช่ปอร์เช่ 981 ไหมคะ” โปรดปรานโพล่งขึ้นทันที และหัวเราะงอหายเมื่อปวินท์มองตาขวาง “ว่าแล้ว นั่นมันจุดเจ็บหนึ่งเดียวของพี่ปริ้นเลยนะ ดันมาเจอแถวนี้ได้”

พวกผู้หญิงต่างสนิทกับปวินท์อยู่ก่อนแล้ว จึงกล้าคะยั้นคะยอโปรดปรานเล่าเรื่องโดยไม่สนใจเสียงโวยวายของเจ้าตัว

“มันเป็นซูเปอร์คาร์คันแรกในชีวิตพี่ปริ้นเลย เชื่อไหมขับไม่ถึงเดือนดันเกิดอุบัติเหตุชนหนัก ตัวเจ็บปางตายแถมรถพังยับ แม่พี่ปริ้นคาดโทษห้ามขับรถเป็นปีๆ และพอจะซื้อรุ่นเดิมกลับมาใช้ทีไรเป็นถูกแม่เบรกตัวโก่งทุกครั้ง พี่ปริ้นเลยได้แต่นั่งน้ำลายไหล”

ทุกคนฮาครืนยกเว้นเจคที่ทักท้วง “ผมไม่สนับสนุนการขับรถเร็วนะ แต่คุณปริ้นก็เป็นผู้ใหญ่แล้วถ้าจะใช้เงินตัวเองซื้อรถที่ชอบสักคันไว้สะสม มันผิดนักหรือ”

“ใช้เงินตัวเองไม่ผิดค่ะ แต่ใช้เงินกงสีน่ะผิด” โปรดปรานหัวเราะคิกคัก “เจคยังไม่รู้จักระบบรับผลประโยชน์ที่บ้านใช่ไหม เฉพาะคนที่ทำงานในบริษัทถึงจะได้เงินเดือน ใครมีหุ้นก็รับปันผล แต่ทุกคนจะได้รับเงินจากกงสีทุกปีตามสัดส่วน พี่ปริ้นแกใช้เงินพวกนี้แหละซื้อรถ ถ้าไม่พอก็ไปขอเอาจากส่วนของพ่อหรือแม่เขาแต่ไม่ยอมควักกระเป๋าตัวเองสักแดง พี่ปริ้นขี้งก”

ปวินท์หน้าตึง ตั้งท่าจะเถียงแต่กลับโดนเจคโบกมือตัดหน้า ส่งเสียงเรียกอย่างกระตือรือร้น “อิง…ทางนี้”

ปวินท์หันมองตาม ใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะเจอวิมลิน นึกสงสัยเจคตาดีเกินไปไหมท่ามกลางคนมากมายยังเห็นวิมลินในพริบตาเดียว “เรียกอิงมาด้วยเรอะ”

“ก็ที่นี่บรรยากาศดี ลูกปลายังมาเที่ยวเลย พอลองชวนอิงเธอก็ว่างพอดี”

“ปกติชวนทีไรไม่เคยมา”

เจคเดินไปรับตัวน้องสาวกำมะลอ เนื่องจากถูกเรียกตัวฉุกละหุกวิมลินจึงไม่มีเวลาแต่งตัวมาก ได้แค่คว้าโคตเนื้อบางแขนตาข่ายทับเสื้อยืดไร้แขนที่ใส่ตั้งแต่ตอนอยู่บ้าน คาดเข็มขัดหนังทับยีน แต่งหน้าเพิ่มอีกนิดก็พอไหว

เจคพาเธอมานั่งแทรกระหว่างเขากับเพื่อนหญิงอย่างแนบเนียน แผนพวกเขาคืออยู่สังสรรค์สักพักค่อยตีเนียนแยกตัวกลับบ้าน ดังนั้นกินดื่มกันตามปกติ เจครู้สึกผิดที่ทำวิมลินเสียเวลา จึงพยายามเลื่อนของกินสั่งเครื่องดื่มให้อย่างเอาใจ ทุกอย่างราบรื่นจนกระทั่งปวินท์เอ่ยแซวขำๆ

“เสียดายคืนนี้ผู้หญิงสวยเต็มโต๊ะแต่จีบไม่ได้สักคน มีแต่น้องสาวกับเพื่อนน้อง”

“เพื่อนลูกปลาจีบได้สิค้า” โปรดปรานแย้ง “ไม่ใช่พนักงานบุหรงกาญจน์เสียหน่อย ไม่ต้องกลัวอกหักจากพี่ปริ้นจนยกขบวนลาออก พี่ปริ้นอย่าเผลออีกละคราวนี้ลุงเสริฐเอาตาย สั่งห้ามไว้แล้วนี่”

ปวินท์ส่งเสียงเชอะ คว้าแก้วเหล้าลุกขึ้น “พี่ไปทักทายเพื่อนโต๊ะอื่นดีกว่า เจคมาด้วยกันสิจะแนะนำเพื่อนให้รู้จัก ต้องหัดมีเส้นสายไว้”

เจคปฏิเสธไม่ได้จึงเลยตามเลย คราแรกคิดว่าโต๊ะเดียวก็จบ แต่ปวินท์คนรู้จักเยอะผิดคาด เดินทั่วร้านวนครบรอบกลับมาถึงโต๊ะพอดี ที่ไหนได้ดันเจอแต่แก้วเปล่าวางเต็มโต๊ะ วิมลินนั่นหันข้างแก้มเกยพนักคอพับคออ่อน

“ทำอะไรกันอยู่เนี่ย” ปวินท์งง

“ก็พี่อิงชวนเล่นเกม สั่งค็อกเทลมั่วๆ หลายแก้วมาวางแล้วเป่ายิงฉุบคัดคนออก เหลือคนสุดท้ายคือแพ้ต้องสุ่มหยิบค็อกเทลมาดื่ม”

“สภาพอิงแบบนั้นกินไปกี่แก้วเนี่ย”

“สี่ห้าแก้วมั้ง พี่อิงแพ้เยอะสุดเลย”

ปวินท์ตบบ่าลูกพี่ลูกน้องชาย “เปลี่ยนแผน นายขับรถอิงพากลับบ้านเถอะ สภาพนี้ไม่ไหว”

เขาเห็นด้วย หลังกล่าวอำลารอบวงสั้นๆ ปวินท์ก็แซวส่งท้าย “ดูแลน้องให้ดีล่ะพี่ชาย”

เจคไม่โต้ตอบเพราะมัวแต่พยุงวิมลินออกจากผับ ตอนกำลังจะลงบันไดหน้าอาคารวิมลินก็กระซิบ “ออกมาได้เสียที”

เขาเลิกคิ้ว ใช้เวลาคิดนิดเดียวค่อยครางอ๋อ “อย่าบอกนะคุณแกล้งเมาเพื่อหาเรื่องกลับบ้าน”

“ไม่งั้นจะให้อยู่ยาวแค่ไหนล่ะ” ผลักเขาออกเบาๆ “ไม่ต้องช่วยแล้วฉันเดินเองได้”

แต่เพิ่งเหยียบบันไดก้าวแรกกลับเซเสียหลัก ดีชายหนุ่มคว้าไว้ทัน เอ่ยขำๆ “กะจะแกล้งแต่ดันเมาจริงละสิ”

“แปลกจัง ปกติฉันดื่มค็อกเทลไม่เมานะ”

เจคเหลือกตามองฟ้า อยากแซะคุณหนูคนนี้เสียจริงว่าค็อกเทลมันมีทั้งแบบเบาๆ จนแรงถึงขั้นล้มวัวได้ เล่นดื่มมั่วขนาดนั้นไม่เมาสิแปลก

แอลกอฮอล์เริ่มออกฤทธิ์หนักขึ้น ในหัวเธอหมุนเคว้งเหมือนมีเมฆเต้นระบำอยู่ข้างใน แล้วยังร้อนจนเหงื่อเหนอะหนะ

“เฮ้ย!” เจคตาเหลือก รีบตะครุบมือเธอไว้ “จะถอดเสื้อโคตทำไมคุณ”

“มันร้อน เสื้อเกะกะ”

ฝั่งหนึ่งจะถอดฝั่งหนึ่งจะห้าม พัลวันพักใหญ่วิมลินถึงหยุดดื้อ แต่ชายหนุ่มเหงื่อแตกพลั่ก สภาพทุลักทุเลสิ้นดี หวนคิดถึงคำแซวของปวินท์เมื่อครู่

‘ดูแลน้องให้ดีล่ะพี่ชาย’

ถ้าเขาเป็นพี่ชายตัวจริงคงกล้าจับเธออุ้มขึ้นรถไปแล้ว ไม่ลำบากหมดท่าแบบนี้หรอก!

กำลังยืนพักเหนื่อยอยู่แท้ๆ วิมลินพลันเอนมาซบไหล่เขา พึมพำงึมงำ “เย็นดี”

ชายหนุ่มตัวแข็งทื่อ ขณะจะผลักเธอออกดันก้มเห็นหญิงสาวหลับตาพริ้มอมยิ้มน้อยๆ มือพลันชะงักกลางอากาศ ตอนนี้พวกเขายืนเกะกะขวางกลางบันได เจคกลืนน้ำลายชั่งใจ ลดมือลงมากดหลังศีรษะวิมลิน อีกข้างโอบตัวเธอพลางดึงตามลงมาสองขั้น พิงราวบันไดในท่าซบไหล่เขา

“หลบตรงนี้นะ รับลมเย็นๆ ให้สร่างเมาก่อน”

เจคสาบาน ถ้าหญิงสาวขัดขืนสัมผัสเขาเพียงนิดเดียวจะรีบปล่อยมือทันที แต่วิมลินแค่ปรือตาขึ้นมองแล้วหลับลงไปใหม่ เหมือนลูกแมวขี้เซาขดตัวอยู่ในที่ที่มันชอบ…

ชายหนุ่มกลั้นยิ้ม เอาเถอะ…ให้ยืนแบบนี้ทั้งคืนก็ไหว!

เหนือพวกเขาขึ้นไปเป็นผนังกระจกใกล้ประตูทางเข้าออกผับ โปรดปรานกับเพื่อนเพิ่งเดินกลับจากห้องน้ำ หนึ่งในนั้นเผอิญมองผ่านกระจกไปตรงบันไดจึงรีบสะกิดโปรดปราน

“ลูกปลา นั่นใช่พี่ชายพี่สาวเธอเปล่า หูย กอดกันกลมเชียว”

ทั้งกลุ่มชะเง้อมองตามกัน อีกคนทำเสียงจิ๊จ๊ะ “พิลึกไปไหม พี่น้องกันแบบไหนโคตรแปลก”

โปรดปรานขมวดคิ้ว “พูดดีๆ นะ แปลกยังไง”

“อ้าว คิดดูสิปกติพี่อิงไม่ชอบเที่ยวพรรค์นี้นี่พี่ปริ้นก็เคยทัก แต่พอเจคมาเที่ยวผับก็ตามมาคุมเลยนะ แล้วเจคน่ะสนพวกฉันเสียที่ไหน แต่พี่อิงมาถึงดันเอาใจเสียยิ่งกว่านางฟ้า ฉันว่ามีซัมติงนา”

“บ้า! มีซัมติงอะไรของพวกเธอ นั่นพี่น้องกันนะยะ”

“พี่น้องท้องชนกันซะละมั้ง”

ปากพาไปด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ บรรดาเพื่อนจอมคะนองหัวเราะครื้นเครงแล้วลากกันกลับโต๊ะ เหลือเพียงโปรดปรานยืนหน้ามุ่ยตามลำพัง ครั้นมองผ่านกระจกดูอีกที ทั้งเจคและวิมลินก็หายตัวกันหมดแล้ว จึงเดินกระแทกเท้ามาหาพี่ชาย

“ลูกปลาจะกลับบ้าน!”

ปวินท์กำลังติดลมบนเลยถามเสียงหลง “อ้าว ทำไมรีบกลับ”

โปรดปรานไม่ตอบแต่ค้อนใส่พวกเพื่อนๆ หงุดหงิดจนยอมล้มเลิกแผนจับคู่ให้เจค คว้ากระเป๋าเดินออกมาทันที บางคนจึงโวยวายไล่หลัง ปวินท์จำใจตามไปส่งน้องแต่ยังบ่นอุบ

“อารมณ์เสียอะไรอีก ทะเลาะกับเพื่อนรึไง”

“ก็พวกนั้นปากพล่อยเอาแต่พูด…” เธออึกอัก “พูดว่าเจคกับพี่อิงเหมือนจะมีอะไรกัน เพราะเห็นกอดกันที่หน้าผับ”

ปวินท์ปล่อยก๊าก “มโนอะไรเลอะเทอะ ยัยอิงเมาซะขนาดนั้นต้องช่วยประคองสิ ไม่อุ้มกลับรถก็ดีแย่แล้ว”

โปรดปรานได้ยินพลันเบาใจ นึกโกรธตัวเองที่เผลอคล้อยตามคำพูดมั่วซั่วตั้งพักหนึ่ง จังหวะนั้นปวินท์กำลังตอบข้อความทางโทรศัพท์พลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

“คุยกับแฟนใหม่ใช่ไหม ปิดอาการหน่อยสิคะคุณพี่” เธอแซว “ว่าแต่คนนี้ใคร ลูกปลาไม่ยักกะเคยเห็น”

“ใครจะบอกคนปากโป้งแบบเธอ”

โปรดปรานหัวเราะคิก พยายามเซ้าซี้ถามชื่อสาวลึกลับแต่ปวินท์รีบเดินหนีไปเสียแล้ว

 

ช่วงเวลาหลังจากนั้นนับว่าสงบสุขพอสมควร สุขุมาลสะสางงานเรียบร้อยจึงลงมาช่วยดูแลแฟชั่นโชว์เต็มตัว ด้านประเสริฐก็ไฟเขียวให้ใช้สิ่งอำนวยความสะดวกหรือวัตถุดิบต่างๆ ของบริษัทโดยไร้ข้อแม้ แบ่งเบาภาระวิมลินได้มาก

ภายในห้องทำงานของเจค พวกเขาสองคนนั่งยังโซฟารับแขกกลางห้อง วิมลินจิบกาแฟที่พนักงานชงให้แล้วเบ้หน้านิดหนึ่ง ชายหนุ่มหลุดหัวเราะ

“ชอบกาแฟฝีมือผมมากกว่าละสิ เอางี้ไหมผมจะขนมาที่นี่แล้วชงหลายๆ แก้ววางปนกับกาแฟเดิม ให้คุณสุ่มหยิบเหมือนแก้วค็อกเทล”

เธอขึงตาใส่ “ผ่านมาหลายวันแล้วนะคะ เมื่อไหร่จะเลิกแซวสักที”

เขาก็ไม่รู้เมื่อไหร่ รู้แค่ว่าตอนเธอทำท่างอนปนกระดากแบบนี้น่ารักเป็นบ้า ให้เลิกแซวคงยาก

เสียงเคาะประตูดังขึ้น เจคเปรยลอยๆ “คุณพริมคงมาแล้ว ตรงเวลานัดเป๊ะ”

พนักงานต้อนรับประจำชั้นเปิดประตูค้างไว้ให้พริมก้าวเข้ามาพร้อมแฟ้มเอกสาร หลังทักทายเสร็จจึงยื่นมันให้วิมลิน เป็นแฟ้มสรุปรายงานประจำเดือนของมูลนิธิ ปกติวิมลินจะเป็นฝ่ายไปตรวจงานและคุยสรุปกับพริมที่มูลนิธิโดยตรง แต่ช่วงนี้ข้างกายเธอมีเจคพ่วงอยู่ด้วย หญิงสาวไม่อยากให้เขาเจออาม่าใหญ่จนสร้างความผูกพันมากเกินไป จึงอ้างกับพริมว่าเดือนนี้ยุ่งมากจนไม่มีเวลาแวะไปมูลนิธิ

“รบกวนคุณพริมแล้ว สั่งเมสเซนเจอร์เอาแฟ้มมาส่งแทนก็ได้”

“อย่างที่บอกในโทรศัพท์เมื่อคืนตอนขอนัดเวลาไงคะ วันนี้พริมมาทำธุระในเมืองอยู่แล้ว” ส่งยิ้มให้ชายหนุ่ม “คุณเจคชินกับที่นี่หรือยังคะ”

“พอปรับตัวได้ครับ ยกเว้นอากาศ…ร้อนจริงๆ”

“อากาศเมืองไทยคนไทยยังไม่ชินเลยค่ะ” เสียงหัวเราะดังจากสองฝั่ง “ดูเหมือนงานแฟชั่นโชว์ก็น่าจะยุ่ง แค่เริ่มปล่อยข่าวนิดเดียวคนฮือฮามาก เลยอยากจะคุยกับคุณอิง ถ้าพริมขอตั้งบูธของมูลนิธิในงานแฟชั่นโชว์ได้ไหมคะ เพื่อประชาสัมพันธ์ ออกร้านขายสินค้าและขอรับบริจาค แต่พริมเข้าใจดีว่าลักษณะของมูลนิธิมันไม่เกี่ยวอะไรกับรูปแบบงานเลย ถ้าคุณอิงปฏิเสธก็ไม่เป็นไรค่ะ”

ท้ายประโยคเธอแสดงอาการเกรงใจ แต่วิมลินฉีกยิ้มกว้างแทบทันที “ทำไมอิงลืมนึกไปนะ ดีที่พริมช่วยเสนอขึ้นมา ทางแฟชั่นโชว์ยินดีเชิญมูลนิธิมาร่วมงานด้วยกันแน่ๆ ค่ะ ฝากพริมเป็นผู้ประสานงานเลยนะ”

“ยินดีค่ะ” พริมทำท่าโล่งอก

“แบบนี้ก็จะได้เจอคุณพริมที่บุหรงกาญจน์บ่อยๆ แล้วสิครับ” เจคกระเซ้าล้อเล่น

พวกเขาคุยสัพเพเหระกันระหว่างที่วิมลินก้มอ่านแฟ้มเงียบๆ จนเสร็จเธอค่อยเงยหน้าไปทางพริม หญิงสาวจากมูลนิธิรับรู้ได้ วินาทีนั้นพลันเกร็งตัวขึ้นเล็กน้อย ฝืนยิ้ม

“เดือนนี้มูลนิธิติดตัวแดงอีกแล้ว ขอโทษจริงๆ ค่ะ”

“เศรษฐกิจแย่ มูลนิธิหรือโครงการการกุศลเจ้าอื่นรายได้ตกกันทั้งนั้นแหละค่ะ”

“แต่ค่าใช้จ่ายบางส่วนก็ไม่น่าเสียจริงๆ อย่างการซ่อมรถมูลนิธิที่ถูกชนแล้วหนีแถวถนนใหญ่ จนป่านนี้ยังหาตัวคู่กรณีไม่เจอเพราะกล้องวงจรปิดที่สี่แยกเสียพอดี ส่วนรถเราก็ทำแต่ประกันชั้นสาม”

“มันเป็นเหตุสุดวิสัยนี่คะ อีกอย่างค่าใช้จ่ายเรื่องเงินเดือนกลับลดลงจากเดือนที่แล้ว” พลิกแฟ้มไปหน้ากระดาษใบหนึ่ง “เพราะมีแบ็กออฟฟิศลาออกไปคน แต่มูลนิธิไม่รับเพิ่มเพื่อลดต้นทุนใช่ไหมคะ”

“คุณอิงตรวจงานละเอียดเหมือนเดิม ใช่แล้วค่ะ”

“ปกติเจ้าหน้าที่ก็แทบไม่พออยู่แล้ว นี่หายไปทั้งคนแต่งานยังดูปกติทุกอย่าง คงต้องทำโอทีกันหนัก แต่อิงดูแล้วดูอีกไม่เห็นการเบิกจ่ายค่าโอทีเลย” เสียงถอนใจสั้นๆ “คนในมูลนิธิที่ทำงานปิดทองหลังพระแบบไม่ขอรับโอทีสักบาท อิงรู้จักแค่คนเดียวแหละค่ะ”

พริมหน้าจ๋อยเมื่อถูกจับได้ วิมลินหยิบปากกามาเขียนขยุกขยิกในแฟ้ม

“อิงเพิ่มโอทีให้พริมนะคะ สรุปยอดเงินเดือนของเดือนนี้ตามที่อิงแก้ใหม่” อีกฝ่ายตั้งท่าจะแย้งแต่วิมลินยกนิ้วชี้ขึ้นปรามทั้งที่ยังก้มหน้าดูแฟ้ม “อิงรู้พริมอยากช่วย แต่เป้าหมายมูลนิธิคือการรับบริจาคโดยผู้ให้ไม่เดือดร้อน ถ้าล้ำเส้นมันจะกลายเป็นการเอาเปรียบ หากยอมรับเราคงเรียกตัวเองเป็นมูลนิธิไม่ได้แล้ว อีกอย่างหาคนเพิ่มเถอะค่ะ ทำแบบนี้ร่างกายพริมจะทนได้สักกี่น้ำ”

“แต่ฐานะการเงินของมูลนิธิยังง่อนแง่นนะคะ และอย่าลืมเดือนหน้าเราต้องจ่ายค่าสนับสนุนการรักษาแนวใหม่ที่ทำความร่วมมือต่อเนื่องกับอเมริกาไว้ เพราะส่งคนไข้บางส่วนไปที่นั่น…”

“อิงจัดการได้ค่ะ” วิมลินตัดบท ยื่นแฟ้มคืน “เรื่องตั้งบูธในงานแฟชั่นโชว์อิงขอประสานงานก่อน พร้อมเมื่อไหร่จะติดต่อบอกนะคะ”

วิมลินยังคงควบคุมงานด้วยวิธีเดิม ชี้แจงเหตุผลแล้วรอฟังคำอธิบาย หยุดเจรจาเมื่อคู่สนทนาไม่มีเหตุผลดีพอมางัดค้าง สั่งงานต่อเนื่องทันทีเพื่อให้ทุกอย่างดำเนินการอย่างไม่มีสะดุด โชคดีครั้งนี้ฝ่ายตรงข้ามเป็นพริมไม่ใช่โปรดปราน เลขานุการสาวของมูลนิธิรับคำเจ้านายด้วยความเข้าใจพลางขอตัวกลับไปทำงานต่อ

เจคมองประตูห้องทำงานที่เพิ่งถูกปิดลง เปรยลอยๆ “พริมทุ่มเทให้มูลนิธิมากจริงๆ นะ มันก็ดีอยู่หรอกแต่มากเกินไปหน่อยไหม หรือมีเหตุผลส่วนตัว”

วิมลินส่ายหัว “เธอไม่ค่อยเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟัง แต่ที่แน่ๆ เธอชื่นชมการทำงานของมูลนิธิมาก ให้ฉันเดา…อาจเคยมีประสบการณ์บางอย่างกับผู้ป่วยออทิสติกมามั้ง”

เจคพยักหน้าเห็นด้วยก่อนเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ถ้ามูลนิธิขาดทุนตลอดแล้วคุณเอาเงินที่ไหนไปอุดไว้ล่ะ”

“ตอนพ่อยังอยู่จะโอนเงินเดือนทั้งหมดให้มูลนิธิ พอพ่อตายฉันจึงรับผิดชอบแทน”

คนฟังตาเหลือก “เอาเงินเดือนให้หมดแล้วคุณใช้อะไร”

“รายได้ทางอื่นไงคะ เงินปันผลจากหุ้นจากการลงทุน ค่าเช่าต่างๆ กับพวกดอกเบี้ย”

ชายหนุ่มชักมึน “ผมว่าพริมทุ่มเทแล้วนะแต่คุณยิ่งกว่าอีก จะทำจนหมดตัวหรือไง”

“ถ้าจัดการมรดกพ่อเรียบร้อยฉันจะได้ทรัพย์สินมาก้อนใหญ่ ชนิดเทียบกับเงินตอนนี้จะกลายเป็นแค่เศษเงินเท่านั้น ไม่หมดตัวหรอก”

“ถ้างั้นเมื่อไหร่ถึงจัดการเสร็จล่ะ พ่อคุณตายมาเกือบปีแล้วนะครับ”

“มรดกของพ่อค่อนข้างซับซ้อนเพราะบางอย่างพัวพันกับบริษัทด้วย กว่าจะจบคงกินเวลาหลายเดือนหรืออาจหลายปี”

“แบบนี้คุณจะมีเงินช่วยมูลนิธิอีกนานแค่ไหน”

“ถึงต้องรีบจบเรื่องที่ดินไงคะ ถ้าเป็นไปตามแผนฉันยังมีทุนรอนพอประทังจนถึงช่วงนั้น ด้านค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่จะเอาเงินเก็บส่วนตัวขัดตาทัพก่อน หรือถ้ายังไม่พอจริงๆ ก็เหลือแผนสำรองขั้นสุดท้าย ขอเงินกองกลางกงสีในส่วนของฉันโปะเข้าไป”

“ผมรู้จักเงินก้อนนั้น ลูกปลาเคยอธิบายให้ฟัง”

“เพราะงั้นคุณไม่ต้องห่วง ขออย่างเดียวต้องเอาที่ดินกลับมาให้ทันตามกำหนด”

เจคยิ้มแฉ่ง “ไม่มีปัญหา ญาติๆ คุณเขารักผมกันจะตาย”

“ถ้าอยากให้รักยิ่งขึ้นไปอีกก็เริ่มงานของวันนี้ได้แล้วค่ะ”

ชายหนุ่มเหลียวมองกองเอกสารตั้งสูงบนโต๊ะทำงานอย่างสยอง แต่ยังไม่ทันขยับทำอะไรโทรศัพท์ของวิมลินกลับดังขึ้น หญิงสาวเห็นชื่อหน้าจอแล้วพลันหรี่ตา

“ช่วยไปล็อกประตูห้องได้ไหมคะ”

“ทำไม” เขาถามขณะทำตามที่ขอ

“ทนายโทรมา ไม่ใช่ทนายบริษัทแต่เป็นคนที่ฉันจ้างไว้ติดต่อเรื่องซื้อขายที่ดินของมูลนิธิ”

เห็นอาการระแวดระวังของเธอ ชายหนุ่มจึงรู้ทันทีว่าผิดปกติ รีบกลับมานั่งเงียบๆ ระหว่างที่วิมลินรับสายพลางเปิดลำโพงให้เขาฟังด้วย ทนายรีบชี้แจงหลังทักทายกันสั้นๆ

“คุณอิงครับ เจ้าของที่ดินที่คุณจะซื้อติดต่อหาคนของผมมาครับ”

เจคพอเดาออก คนของผมที่ทนายพูดถึงน่าจะเป็นคนที่จ้างไว้สวมรอยซื้อที่ดินแทนวิมลินนั่นเอง

“ใครติดต่อคะ คุณประเสริฐหรือ”

“ไม่ใช่ครับ ลูกชายเขาที่ชื่อคุณปวินท์ คุณประเสริฐให้ลูกชายเป็นคนประสานงานการซื้อขายครับ” ทนายในสายทำเสียงกระแอม “คุณปวินท์แจ้งว่าอยากขอค่าดำเนินการต่างหากจากเงินที่ตกลงกันไว้ โอนให้เขาโดยตรงครับ”

หญิงสาวขมวดคิ้ว “ขอเงินกินเปล่าอย่างนั้นสินะ แต่เราไม่เคยคุยเรื่องเงินส่วนนี้กันตั้งแต่ต้นนะ”

“ผมก็บอกไปเหมือนกัน เขาเลยขู่คืนมัดจำแล้วล้มเลิกการซื้อขาย เปรยทำนองมีเจ้าใหม่มาติดต่อเหมือนกัน เขามีสิทธิ์เลือกจะขายให้ทางไหน”

“เจ้าใหม่นี่มีตัวตนจริงหรือแค่อ้างเพื่อขอเงิน”

“ยังสืบไม่ได้ครับ แต่เคยมีข่าวลือว่าเจ้าอื่นสนใจอยู่บ้าง โอกาสก็ห้าสิบห้าสิบ”

วิมลินนวดขมับ “เรายังไม่ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายเป็นกิจจะลักษณะฟ้องไปก็คงยาก อีกอย่างถ้าฟ้องทางอิงอาจต้องเปิดเผยตัว”

“ครับ ผมถึงรีบโทรปรึกษา”

“เขาเรียกเท่าไหร่”

“ห้าล้านครับ”

เจคตะลึงตามด้วยการกัดฟันกรอด เล่นกันอย่างนี้เลยหรือคุณปวินท์!

หญิงสาวไม่กะพริบตาสักนิดตอนเอ่ย “ตกลงไปค่ะ นัดอีกหนึ่งสัปดาห์ วันจันทร์หน้าจะโอนเงินให้”

พอเธอวางสายพี่ชายกำมะลอก็โวยทันที “จะให้เงินเขาง่ายๆ เลยหรือ คุณเพิ่งบ่นว่าไม่มีตังค์เองนะ แล้วจะไปหามาจากไหน”

“ฉันยังพอมีวิธีหาเงินค่ะ ยังไงเราก็ต้องให้เพื่อประวิงเวลาไว้ จะเสี่ยงปล่อยเขาไปหาคนซื้อใหม่ไม่ได้ คุณน่าจะรู้ดี”

“มันไม่ยุติธรรมกับคุณนะ!” นึกถึงความลำบากของเธอแล้วยิ่งฮึดฮัด ชายหนุ่มลุกพรวด “ผมจะไปหาคุณปริ้นเผื่อรู้อะไรเพิ่ม” หญิงสาวลุกยืนคว้าแขนเขาไว้แต่เจคสะบัดทิ้ง “คุณอย่าห้ามผม!”

เจคไม่ชอบเลย กับการต้องทนดูวิมลินแบกรับทุกอย่างไว้โดยเขาเองก็จนปัญญาช่วยเหลือ ความอัดอั้นจึงโถมใส่ตัวปัญหาเต็มเหนี่ยว ลืมตั้งสติคิดด้วยซ้ำว่าหากเผชิญหน้าปวินท์เข้าจริงๆ เขายังจะทำอะไรได้…

วิมลินประกบสองมือกับแก้มเจค ดึงใบหน้าชายหนุ่มลงมาประชิด “ไม่ให้ห้ามได้ไง คิดแบกหน้ายักษ์มารแบบนี้ไปหาพี่ปริ้นจริงหรือ ความคงแตกพอดี!”

เจคได้สติ เพิ่งรู้สึกตัวว่าอยู่ใกล้เธอจนลมหายใจเป่ารดกัน ทำเอาแก้มร้อนผ่าว “ผะ…ผมขอโทษ”

หญิงสาวจึงยอมถอยแต่ยังส่งสายตาเป็นห่วง ชายหนุ่มสูดหายใจลึกหลายครั้งจนกระทั่งความพลุ่งพล่านจางหาย ค่อยรู้สึกผิดจนหน้าชา “เมื่อกี้ผมใจร้อนไปหน่อย คุณตกใจไหมครับ”

เธอส่ายศีรษะ “ฉันเห็นด้วยกับคุณ เราน่าจะลองเลียบเคียงถามความคิดพี่ปริ้น แต่ควรทำอย่างระวังที่สุด ต้องคุมอารมณ์ให้ดี”

เจคพยักหน้า ปรับลมหายใจอีกสักพักถึงก้าวจากไปด้วยฝีเท้ามั่นคง วิมลินทรุดตัวนั่งที่เดิม เธอเองก็หงุดหงิดปวินท์เช่นกันเพียงแต่ไม่ถึงขั้นโมโหเท่าเขา จะว่าไปไม่เคยเห็นเจคโกรธขนาดนี้มาก่อนเลย

เขาเป็นห่วงเธอ…ห่วงมาก

ใจไพล่คิดถึงคืนที่เจคเรียกเธอไปช่วยที่ผับ วิมลินอาจเมาค็อกเทลแต่ยังพอรู้สึกตัว จำได้ถึงสัมผัสจากสองมือเขาและไหล่ซึ่งอิงแอบ ความทุลักทุเลที่เขาฝืนตัวไม่ให้ร่างกายส่วนอื่นแตะถูกเธอเกินจำเป็น คงลำบากมากแต่เขากลับไม่บ่นสักคำ

เธอจิบกาแฟอีกครั้ง แปลก…หลังกาแฟขมๆ ล่วงลงลำคอแล้ว ปลายลิ้นกลับยังเหลือรสหวานปะแล่มไม่ยอมจาง



Don`t copy text!