หน้ากากมยุเรศ บทที่ 9 : แตกหัก (2)

หน้ากากมยุเรศ บทที่ 9 : แตกหัก (2)

โดย : สิตา

Loading

หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co

“เพื่อนคุณเป็นนักต้มตุ๋นหรือคะ”

วิมลินยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะทำงาน คาดคั้นเจคไม่ยอมปล่อย ชายหนุ่มยิ้มแห้งๆ ตอบรับ

“ไม่ถึงขั้นเป็นเพื่อนหรอกครับบอกคนรู้จักจะใกล้เคียงกว่า หลายปีก่อนผมถูกจ้างไปทำสารคดีที่เม็กซิโกแล้วเจอเขา คุยกันถูกคอจนยอมให้เขากับแฟนติดรถกองถ่ายข้ามกลับอเมริกา” ถอนใจเฮือก “มารู้ทีหลังเขาหลอกผม ทำตีสนิทเพื่อสวมรอยเป็นคนกองถ่ายพาลูกสาวเจ้าพ่อค้ายาเม็กซิโกหนีข้ามประเทศกันมา”

“เดี๋ยวนะ พ่อค้ายาเม็กซิโกขาโหด ชอบปล่อยคลิปตัดหัวคนเป็นว่าเล่นนั่นน่ะนะ”

“ใช่ ถ้าถูกจับได้ทั้งกองถ่ายคงซวย ตอนผมรู้ตัวทีหลังไล่ด่าเขาเปิง แต่อย่างน้อยเขาก็ยอมรับเรื่องติดหนี้ผมหนึ่งครั้ง”

หญิงสาวส่ายหน้า “คุณเริ่มวางแผนหลอกพี่ปริ้นตั้งแต่เมื่อไหร่”

เจคสารภาพจ๋อยๆ “ตั้งแต่วันที่เขาขอเงินห้าล้านนั่นแหละ แล้วยิ่งรู้ว่าคุณปริ้นแค่จะเอาเงินไปซื้อรถก็ยิ่งโกรธ ไม่อยากเห็นคุณเสียเงินฟรีๆ ให้คนพรรค์นั้น อย่างน้อยขอเอาคืนบ้างก็ยังดี ทีนี้นึกขึ้นได้มานูเอลเคยเล่าวิธีหลอกคนแบบหนึ่ง โดยการนัดคนที่อยากซื้อรถมาคุย อีกทางก็นัดคนที่จะขายรถรุ่นเดียวกันมาให้คนซื้อดูอยู่ห่างๆ คนซื้อจะนึกว่ามีรถจริงๆ แล้วยอมจ่ายเงิน ปล่อยสองฝ่ายรอกันไปรอกันมาส่วนโจรหายเข้ากลีบเมฆไปแล้ว” เขายักไหล่ “พอออกจากห้องพี่ปริ้นเลยโทรหามานูเอล ถามว่ายังเล่นวิธีเดิมอีกสักครั้งได้ไหม”

วิมลินย้อนคิดถึงช่วงเวลานั้น มิน่าเจคที่ยังกรุ่นๆ ตอนออกไปหาปวินท์ กลับสลัดความโมโหทิ้งได้ราบคาบยามเจอหน้าเธออีกครั้ง ที่แท้เขาเตรียมแผนตลบหลังปวินท์เรียบร้อยจึงอารมณ์ดีขึ้นทันควัน ทว่าเธอไม่ทันเอะใจเลยสักนิด

“แต่เวลากระชั้นชิดทำได้เนียนกริบเกินไปไหม” หญิงสาวตั้งข้อสังเกต การหลอกลวงระดับนี้ปกติต้องซุ่มเก็บข้อมูลเหยื่อเป็นเดือนๆ เพื่อลดความผิดพลาด

“มานูเอลเขาใช้ทางลัดครับ แอบแฮ็กข้อมูลคุณปริ้นซะเลย พูดไปผมละอึ้ง นี่คุณปริ้นไม่รู้หรือว่าไม่ควรตั้งพาสเวิร์ดทุกอย่างด้วยคำว่า password” เขาสั่นหัวระอา “แต่นั่นแหละพวกผมถึงรู้ว่าเขามีบัญชีลับซุกอยู่ต่างประเทศ รู้กระทั่งจำนวนเงินในบัญชี มานูเอลยังถามผมจะโยกเงินมาดื้อๆ เลยไหมแต่ผมไม่เอา เพราะทำแบบนั้นคุณปริ้นจะสงสัยแล้วอาจโยงถึงเราได้ ผมต้องหาแพะตัวเป็นๆ ให้คุณปริ้นเห็นกับตา มานูเอลยอมรับแผนผมถือเป็นการทดแทนบุญคุณ จบงานนี้จะไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีก”

เขาปิดปากเงียบเรื่องความจริงที่นั่นจะเป็นแผนสำรอง หากมานูเอลหลอกเอาเงินปวินท์ไม่ได้ค่อยแฮ็กบัญชีขโมยเงินมาเสียเลย!

“คุณสุมหัวกับเพื่อนหลอกพี่ปริ้น จากนั้นก็โกหกฉันอีกต่อว่าจะขอเงินกงสีมาใช้”

ชายหนุ่มกลืนน้ำลายเฝื่อน “เพราะถ้าบอกความจริงคุณต้องห้ามทำแน่ๆ”

หญิงสาวกุมขมับ ให้มันได้อย่างนี้สิ หลอกเอาเงินปวินท์มาวนจ่ายคืนให้เจ้าตัวอีกรอบ!

“ตอนนี้เพื่อนคุณอยู่ไหน”

“บินปร๋อออกจากไทยแล้ว บัญชีที่คุณปริ้นโอนเงินก็ตามรอยไม่ได้ หายห่วง”

แต่สีหน้าวิมลินยามนี้ห่างไกลคำว่าหายห่วงหลายโยชน์ “เจค คุณรู้ตัวไหมทำอะไรลงไป”

ชายหนุ่มยิ้มประจบ “ก็ช่วยคุณประหยัดเงินตั้งสองล้านแล้วยังได้สั่งสอนพี่ปริ้นทางอ้อมด้วย มันไม่ดีตรงไหน”

“คุณถลำลึกมากเกินไป! ต้องคิดเผื่อเวลาถอนตัวตอนจบเรื่องด้วยสิ ยังไงคุณก็เป็นแค่คนนอก”

คนนอก! คำนั้นทำเอาเจคตัวชาเหมือนถูกตบหน้า เขาสะกดความพลุ่งพล่านไว้อย่างยากเย็น “คุณเป็นห่วงผมเข้าใจ เอาเป็นว่าผมขอโทษต่อไปจะระวังมากกว่านี้ แต่จะห้ามผมไม่ให้ช่วยคุณมันไม่ได้หรอกครับ อย่าลืมสิเราลงเรือลำเดียวกันเป็นหุ้นส่วนกันนะ”

หญิงสาวเม้มริมฝีปาก “คุณบอกเราเป็นหุ้นส่วน มีอะไรไม่ควรปิดบังกัน แต่คุณกลับเป็นฝ่ายแอบทำอะไรลับหลัง”

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งในทันใด ฝืนหัวเราะทั้งที่ดวงตาเริ่มฉายแววเดือดดาล “แล้วคิดไหมทำไมผมต้องทำแบบนั้น ตั้งแต่การพยายามทุกอย่างแม้คุณไม่เคยยอมเปิดใจให้เลย ถ้าผมเป็นคนทำอะไรลับหลังแล้วคุณล่ะ คุณก็มีเรื่องปิดบังผมอยู่เหมือนกัน!”

ปลายนิ้วเธอพลันเย็นเฉียบ “คุณว่าอะไรนะ ปิดบังที่ไหนกัน”

ความอัดอั้นที่เก็บกดไว้ระเบิดตูมผลักเจคลุกพรวด โน้มตัวไปจ้องหน้าเธอ “คิดว่าผมไม่รู้หรือ ทุกครั้ง…ถ้าคุณจะเล่าเรื่องให้ฟังสักอย่างต้องหยุดคิดแล้วคิดอีก ระวังตัวแจกลัวจะหลุดปากสิ่งที่ไม่อยากให้ผมรู้ เวลาแบบนั้นผมถึงแจ่มแจ้งทะลุจนสุดก้นบึ้งเลย สำหรับคุณผมไม่ใช่หุ้นส่วนหรืออะไรหรอก ก็แค่เครื่องมือที่มีไว้เพื่อเป้าหมายเท่านั้น”

ปัง!

วิมลินกางมือตบโต๊ะ ตัวสั่นเทิ้มด้วยแรงอารมณ์ สะบัดหน้าขึ้นสบตาเขาพลางขยับริมฝีปากเหมือนจะพูดบางอย่าง แต่แล้วกลับเบือนหลบ เดินหนีออกจากห้องไปทันที เจคทิ้งตัวกับเก้าอี้จนมันลั่นเอี๊ยด ยกสองมือปิดหน้าตัวเอง บีบแน่นราวอยากจะเค้นสักอย่างให้แหลกลาญ

มันกลายเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไรกัน…

 

ถ้าถามทำไมถึงโกรธ เจคคงอ้อมแอ้มตอบว่ามันออกในเชิงน้อยใจเสียมากกว่า ก็เขาอุตส่าห์หวังดี พยายามอย่างลำบากเพื่อช่วยวิมลิน แต่สิ่งที่หญิงสาวตอบรับมีเพียงความเฉยเมยบ้างละ บอกไม่ต้องการการปกป้องบ้างละ เป็นคนนอกบ้างละ ทำกระทั่งมึนตึงใส่วิธีของเขา ไม่น่าน้อยใจหรืออย่างไร

จนเมื่ออารมณ์เย็นลง ชายหนุ่มเริ่มทบทวนทุกอย่างก็ชักเหงื่อตก

หากพิจารณาจากมุมของวิมลิน เขาแอบวางแผนลับหลังเธอ หลอกเธอหน้าตาเฉยตั้งหลายวัน เอาแต่ใจโดยไม่สนเธอจะรู้สึกอย่างไร ถ้าถามทำไมถึงโกรธ…เอ่อ อย่างเขาก็น่าจะโดนโกรธอยู่หรอก

ครั้นสำนึกผิดจึงอยากขอโทษและขอคืนดี ทว่าวิมลินไม่เปิดโอกาสเลย หลังทะเลาะกันเธอไม่ยอมคุยด้วยทั้งวัน มิหนำซ้ำรุ่งขึ้นเมื่อชายหนุ่มลงมารับประทานมื้อเช้าแม่บ้านก็รายงาน

“คุณอิงออกไปทำงานแล้วค่ะ”

“อ้าว” เขาเหวอ “แล้วผมจะไปบริษัทยังไงล่ะครับ”

แม่บ้านยื่นกุญแจรถที่เขาไม่เคยเห็นมาให้ “คุณอิงสั่งไว้ เธอเช่ารถให้คุณใช้ตอนอยู่ที่นี่ รถจอดในโรงรถแล้วหลังกินข้าวเช้าเสร็จก็ตามสบายเลยค่ะ”

เจคขับรถไปทำงานแบบมึนตึ้บ และเมื่อเปิดประตูห้องทำงานที่คอยเขาอยู่ก็คือภวัต ผู้กำลังนั่งอ่านเอกสารรอพร้อมคำชี้แจง

“อิงบอกช่วงนี้ยุ่งมาก ฝากผมดูแลคุณแทนครับ”

เจคกลั้นเสียงถอนหายใจไว้ทัน เปรยลอยๆ “คุณวัตเองก็น่าจะงานยุ่งไม่แพ้กัน ผมไปกับคุณปริ้นก็ได้นะ”

“พี่ปริ้นลาหยุดยาวครับ ถามเหตุผลก็ไม่ยอมบอก”

ให้เดาปวินท์คงลาเพื่อไปตามล่ามานูเอลกระมัง แต่กับนักต้มตุ๋นระดับตำนานแบบนั้นไม่นานน่าจะคว้าน้ำเหลวกลับมา เจคจึงจำยอมรับสภาพ เริ่มอ่านเอกสารบนโต๊ะทำงานโดยมีภวัตยืนกำกับข้างตัว เพียงแต่ทนายหนุ่มมักสอดแทรกความรู้กฎหมายไปด้วยเวลาสอนงาน เจคที่ยังคาใจเรื่องวิมลินอีกทั้งไม่ถนัดงานประเภทนี้อยู่แล้ว เจอข้อกฎหมายเข้าไปอีกเลยมึนหนักจนต้องขอพัก

“ใจคุณไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยนะ” ทนายหนุ่มตั้งข้อสังเกต “ผมแปลกใจตั้งแต่อิงโยนคุณมาให้ผมแล้ว ทะเลาะกันหรือ”

“เห็นไม่ตรงกันบ้างน่ะ ไม่รู้จะคุยยังไง” เจคตอบเลี่ยงๆ

ภวัตทำท่าคิดสักพักก็กอดอกมองเขา “รู้ไหมผมไม่เคยเจออิงงอนใครแบบนี้นะ ไม่สิสมัยเด็กอาจมีบ้างแต่พอโตแล้วก็น้อยลง ยิ่งหลังน้าวาดเสียเธอยิ่งเก็บงำอารมณ์มากขึ้น ไม่เคยแสดงออกตรงๆ อีกเลยจนกระทั่งคุณกลับมา…พี่ชายคนเดียวของเธอ”

เจคทำหน้าไม่ถูก จะยอมรับหรือปฏิเสธคงไม่ได้ทั้งนั้น แต่ถ้าคิดอีกแง่ เขาเองก็อยากจะปกป้องดูแลวิมลินในฐานะพี่ชายจริงๆ นี่นา ถึงมานั่งน้อยใจเมื่อเธอไม่ยอมรับความหวังดีสักนิด

“คุณวัตพูดอะไรอย่างนั้นครับ คุณเองกับคุณปริ้นก็พี่ชายอิงนะ”

“ผมห่างกับเธอยังไม่ถึงปีด้วยซ้ำ ส่วนพี่ปริ้น…รายนั้นน่ะเหมาะเป็นพี่ซะที่ไหน” เขาพึมพำแกมบ่น เอื้อมมือแตะบ่าอีกฝ่าย “ผมดีใจที่เห็นอิงแบบนั้นอีกครั้ง ฝากเธอด้วย”

คนฟังยักไหล่ฝืนๆ “ลืมแล้วหรือเธอยังงอนผมอยู่นะ”

ภวัตขยับแว่น “เคยได้ยินนิทานไหม พ่อแบ่งแพะสิบเจ็ดตัวให้ลูกสามคน โดยสั่งว่าคนโตได้แพะครึ่งฝูง คนรองได้หนึ่งในสาม ส่วนคนสุดท้ายต้องได้หนึ่งในเก้า ให้พวกเขาแบ่งกันเอง”

เจคงงกับการเปลี่ยนหัวข้อสนทนา แต่ก็ยกนิ้วช่วยคำนวณ “มันแบ่งยังไงก็ไม่ลงตัวนี่”

“ใช่ พวกเขาคิดไม่ออกเลยไปขอความช่วยเหลือจากปราชญ์ ปราชญ์จึงยกแพะตัวเองหนึ่งตัวให้พวกเขา ทีนี้ก็สามารถแบ่งแพะจากทั้งหมดสิบแปดตัว คนโตได้เก้าตัว คนรองได้หกตัว คนสุดท้องได้สองตัว รวมเป็นสิบเจ็ดตัวเหลือหนึ่งตัวคืนปราชญ์ไป จบด้วยดี”

“โอ้โห ได้ความรู้ดีมากเลย ไว้ผมเริ่มเลี้ยงแพะเมื่อไหร่จะเอาไปใช้นะ”

ทนายหนุ่มยิ้มขำ “อย่าเพิ่งประชดสิ ผมแค่อยากสื่อว่าบางปัญหาคงต้องอาศัยคนนอกช่วยเหลือถึงสำเร็จ เรื่องของคุณกับอิงเองก็น่าจะลองหาดูนะ หาปราชญ์ที่จะช่วยส่งแพะมาอีกตัวไง”

เจคจ้องคนพูดตาเป๋ง ภวัตขยับแว่นพูดว่า “แต่ผมไม่ยุ่งด้วยนะ เรื่องความสัมพันธ์ของคนเนี่ยผมไม่ถนัดที่สุดแล้ว ขอบาย”

เจคจึงกลับมานั่งละเหี่ยอีกครั้ง พยายามปลอบใจตัวเองว่าวิมลินคงงอนไม่นาน อดทนรอสักพักก็แล้วกัน

แต่ครั้นสงครามเย็นคราวนี้ลากยาวถึงวันที่ห้า ชายหนุ่มก็เริ่มทนไม่ไหว

ใครจะนึกว่าวิมลินหลบหน้าเก่งระดับปรมาจารย์ สรรหาการประชุมได้ตลอดทั้งวันหรือไม่ก็หลบไปอยู่ห้องทำงานเก่าของตัวเอง ถ้าจำเป็นต้องคุยงานกับเขาจะจับคนที่สามมาอยู่ด้วยตลอด กลับบ้านทีหลังและออกก่อนให้เช้ากว่า เจคผู้อยากขอคืนดีใจแทบขาดเหมือนกำลังเล่นเกมแมวจับหนู แบบที่หนูคงแอบเอากระพรวนแขวนคอแมวไว้ถึงรู้ตัวล่วงหน้าตลอด ทำไปทำมาแมวเลยชักยัวะ

วันนี้วิมลินประชุมเรื่องการจัดงานแฟชั่นโชว์ตั้งแต่เช้ากว่าจะเสร็จก็เลยเที่ยง กำลังเดินออกจากห้องพนักงานคนหนึ่งกลับเข้ามาขอความช่วยเหลือ

“คุณอิงคะ พอดีคุณเจคไลน์ถามหนูตอนกำลังประชุมพอดี แกสงสัยรายงานสรุปที่หนูทำให้เมื่อคราวที่แล้ว ถามมาตั้งสามหัวข้อ พอหนูบอกมันยังไม่ได้ข้อสรุปเลยยังไม่ลงในรายงานแกก็ไล่หนูมาถามคุณอิงค่ะ” คนพูดบิดตัวไปมาอย่างเกรงใจ “คุณเจคกำชับว่าวันนี้หลังแกกลับจากไปกินข้าวข้างนอกแล้วหนูต้องรายงานทันที หนูกลัวไม่ทัน”

วิมลินจึงอยู่ช่วยอธิบาย กว่าจะจบในห้องประชุมก็เหลือกันแค่สองคน พนักงานยิ้มหน้าบานก่อนเดินตามเจ้านายออกไป แต่ที่หน้าห้อง เจคกอดอกยืนรอพวกเธออยู่แล้ว

“คุณเจค” พนักงานสะดุ้ง “หนูยังทำรายงานสรุปไม่เสร็จเลยค่ะ”

“ผมยังไม่รีบเอารายงานหรอกครับ แค่มีเรื่องจะคุยกับอิง” พูดแล้วก็ดึงตัววิมลินที่กำลังหน้าตื่นกลับเข้าห้องประชุม แถมกำชับพนักงาน “ผมขอเวลาส่วนตัว ห้ามใครรบกวนนะ”

พนักงานสาวยืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่หน้าประตูที่ปิดตัวลง

 

ในห้องประชุมไร้ผู้คน วิมลินหมุนตัวเผชิญหน้าพี่ชายกำมะลอด้วยสองแก้มแดงก่ำ

“คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

“ทำไมล่ะ” เขาเลิกคิ้ว “หรือคุณสงสัยที่ผมไม่ได้ไปกินข้าวข้างนอกตามที่สายรายงานไว้ละสิ คิดว่าผมไม่รู้หรือพนักงานที่คุณส่งมา คนคอยวางคิวแต่ละวันให้ผมน่ะแอบบอกคุณด้วยทุกครั้ง”

หญิงสาวกลอกตา “คุณเลยแกล้งทำเป็นออกไปแล้วสั่งคนให้มาถามงานกับฉัน จะได้รั้งตัวฉันอยู่ที่นี่เป็นคนสุดท้าย”

เจคเอนตัวพิงกำแพงข้างประตูซึ่งเป็นทางออกเดียวของห้อง “ถ้าคุณยอมคุยกันดีๆ ผมคงไม่ต้องใช้วิธีนี้” เขารีบชิงเป็นฝ่ายพูดก่อน พยายามใส่ความสำนึกผิดลงในน้ำเสียงอย่างจริงใจ “เรื่องที่เกิดขึ้นผมผิดครับ ขอโทษจริงๆ อยากให้คุณยกโทษให้”

วิมลินกลับเบือนหน้าไปอีกทาง “ไม่ต้องขอโทษแล้วค่ะเพราะทุกอย่างกำลงจะจบ ฉันเพิ่งยื่นเรื่องเสนอลุงเสริฐ ขอให้เลื่อนการประชุมคณะกรรมการขึ้นมาเร็วขึ้น อ้างว่าไหนๆ คุณกลับมาแล้วไม่ควรทิ้งเรื่องการสืบทอดตำแหน่งประธานไว้นาน”

“ครับ!?” เหมือนโดนทุ่มหินใส่จนเจคผงะ “คุณยื่นเรื่องตอนไหน”

“เมื่อวานค่ะ ลุงเสริฐเห็นด้วยแต่คงต้องถามพวกกรมการดูก่อนถึงกำหนดวันประชุมใหม่ได้” เธอกอดอก เคาะนิ้วกับแขนอย่างเผลอไผล “คุณแค่รออย่างสงบอีกเดี๋ยวก็เป็นอิสระไวกว่าเดิมแล้ว”

อันที่จริงหญิงสาวอยากให้การประชุมดำเนินไปตามธรรมชาติ แต่หลายสิ่งเปลี่ยนไปจนเธอต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง และพยายามไม่คิดว่าความวิบโหวงในอกยามมองหน้าเขาตอนนี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งของความเปลี่ยนแปลงเช่นกัน

เมื่อกล่าวจบวิมลินจึงเดินไปจับลูกบิดประตู แต่เจคกลับกระแทกกรอบประตูกั้นทางไว้จนเธอสะดุ้ง

“คุณทำอย่างนั้นทำไม ไหนพูดบ่อยๆ ว่าปล่อยทุกอย่างเหมือนปกติ อย่าลัดขั้นตอนเพื่อไม่กระตุ้นความสงสัยที่อาจลามไปถึงการขุดคุ้ยเรื่องที่ดิน”

เธอตวัดสายแข็งกร้าวขึ้นจ้อง “ทีคุณล่ะทำแล้วเคยคิดบ้างไหม ตามแผนที่วางไว้ พอทุกอย่างจบลงเราจะแกล้งทำว่าคุณเปลี่ยนใจไม่ขอรับตำแหน่งประธานอีก อ้างเหตุผลหลังทดลองงานพบว่าตัวเองไม่ถนัดทำธุรกิจ ลุงเสริฐคงดีใจจนเนื้อเต้นแต่คนอื่นล่ะ ในบรรดาญาติมีพวกขี้ระแวงอยู่ไม่น้อย เกิดพวกนั้นลองสืบย้อนหลังแล้วดันเจอคุณพัวพันคดีที่หลอกพี่ปริ้นเข้า คุณจะดิ้นไม่หลุด!”

คนฟังนิ่งงัน เธอจึงเสริมว่า “ฉันบอกแล้วคุณถลำตัวมากเกินไป ข้ามเส้นจนจะพังกันหมด”

เขาหัวเราะเสียงขื่น “ถึงอยากรีบไล่ผมพ้นหน้าสินะ”

วินาทีนั้น ลึกลงไปในดวงตาที่ยังสบเขาอยู่ คล้ายมีคลื่นวูบไหวราวเปลวไฟสะบัดตามแรงลม แต่ครั้นจะเพ่งให้ชัดพลันดับหายในพริบตา

“มันไม่ใช่ความผิดคุณหรอกค่ะแต่เป็นฉันเอง ฉันไม่ควรดึงคุณมาเกี่ยวข้องด้วยตั้งแต่แรก จึงเป็นหน้าที่ฉันที่ต้องรีบพาคุณออกไปจากสถานการณ์นี้ก่อนคุณจะเดือดร้อน”

สิ้นประโยคนั้นมือเธอค่อยหมุนลูกบิด ก้มลอดวงแขนเขาแล้วผลักประตูออกไปทันที เจคทิ้งแขนอย่างหมดแรง อยากวิ่งตามวิมลินแต่สองขากลับราวถูกโบกปูนติดพื้น ไม่ขยับเลยสักนิด บางทีอาจเพราะในส่วนลึกของเจคนั้นทราบดี ไม่มีวันเปลี่ยนใจหญิงสาวได้

เขากับวิมลินเริ่มต้นที่จุดหมายเดียวกัน แต่ระหว่างทางดันกลายเป็นเดินบนเส้นขนานตั้งแต่เมื่อใดก็สุดรู้ ยิ่งเขาพยายามเข้าใกล้เธอกลับยิ่งไกลห่างไปเรื่อยๆ ไม่เห็นปลายทางจะบรรจบกันได้เลย

เจคกัดฟันกรอด เดินออกไปพร้อมปิดประตูตามหลังดังปัง!



Don`t copy text!