หน้ากากมยุเรศ บทที่ 9 : แตกหัก (3)

หน้ากากมยุเรศ บทที่ 9 : แตกหัก (3)

โดย : สิตา

Loading

หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co

หลังวิมลินและเจคหายตัวกันหมดแล้ว หน้าห้องพลันเงียบกริบพักหนึ่ง ตรงหัวมุมกำแพงเยื้องไปเล็กน้อยหัวดำๆ สองหัวค่อยโผล่มาชำเลืองซ้ายขวา เมื่อไม่เจอใครพวกเธอจึงก้าวมายืนกันเต็มตัว เป็นพนักงานสาวที่คุยกับวิมลินเมื่อครู่นี้ ส่วนข้างๆ ได้แก่โปรดปรานนี่เอง

“นั่นไงคะ หนูตกใจที่คุณเจคมาดึงคุณอิงเข้าไป เผอิญคุณลูกปลาผ่านมาพอดี เห็นไหมคะมันแปลกๆ ท่าทีทั้งสองคนเหมือนไม่ลงรอย หนูกลัวจะเกิดเรื่องถึงขอให้คุณลูกปลาช่วยอยู่ดูด้วย”

โปรดปรานขมวดคิ้วก่อนปรับสีหน้าอย่างรวดเร็ว “ก็นะ ช่วงนี้งานเยอะเลยมีความเห็นต่างกันบ้างเท่านั้นแหละ อย่าห่วงเลย”

“ได้ยินอย่างนั้นค่อยโล่งอก ต้องขอโทษด้วยนะคะที่รบกวนเวลาคุณลูกปลา”

หลังพนักงานแยกตัวไป สีหน้าโปรดปรานกลับดูแย่ยิ่งกว่าเดิม เธอเริ่มแวะเวียนตามแผนกต่างๆ คล้ายจะหาคนคุยเรื่อยเปื่อย สุดท้ายถึงตรงไปยังห้องทำงานของภวัต

“พี่วัต ลูกปลามาหา” เคาะประตูแล้วเปิดเข้าไป “อ้าว พี่ปริ้นอยู่ด้วยหรือ ไหนบอกลายาว”

“กลับมาแล้ว” ปวินท์ตอบส่งๆ ไม่สนใจน้องสาวเพราะมัวกระวนกระวายมองภวัตยืนหันหลังคุยโทรศัพท์ โปรดปรานจึงถือวิสาสะนั่งข้างเขาที่เก้าอี้อีกตัวฝั่งตรงข้ามโต๊ะทำงานภวัต

“ทำไมพี่ปริ้นดูเครียดๆ หายไปพักเสียตั้งนาน”

“ไม่ได้พัก!” ปวินท์กัดฟัน “ฉันถูกหลอกซื้อรถเสียไปตั้งสองล้าน เลยหยุดไปแจ้งความแล้วก็ตามล่าไอ้ฝรั่งขี้นกนั่น ถ้าเจอนะพ่อจะเล่นให้หมอบ”

โปรดปรานอ้าปากเหวอ คะยั้นคะยอแกมบังคับจนปวินท์ต้องเล่าเรื่องทั้งหมด ฟังจบเธอหัวเราะลั่น “สมน้ำหน้า เข็ดหรือยังล่ะพี่ปริ้น”

ลูกพี่ลูกน้องส่งเสียงเชอะ ชี้หน้าสำทับ “อย่าเผลอปูดเชียวละ ฉันปิดพ่อกับแม่อยู่เดี๋ยวโดนด่าเปิง”

ภวัตคุยเสร็จพอดี จึงวางสายแล้วแจกแจงกับปวินท์ “ตำรวจกองปราบเพื่อนผมเขาเช็กให้ ฝรั่งนั่นบินไปสิงคโปร์วันเดียวกับที่หลอกพี่ปริ้นเลย เป็นนักต้มตุ๋นระดับโลกที่องค์การตำรวจสากลตามตัวให้ควั่กหลายปีแล้ว ทางนั้นบอกงานยากและยังสงสัยด้วยว่าทำไมอุตส่าห์มาหลอกพี่ปริ้นถึงนี่กับเงินแค่สองล้าน”

“แค่สองล้าน!” ปวินท์เดือด “ไม่ใช่เงินตัวเองก็พูดได้สิวะ”

“สรุปว่าตัดใจเถอะ ตำรวจยังตามรอยอะไรไม่ได้เลย”

ปวินท์ทั้งบ่นทั้งด่า ภวัตส่ายหัวระอาเพราะทนฟังมาเกือบชั่วโมง จึงเลี่ยงไปถามลูกพี่ลูกน้องสาวว่ามาหาเขาทำไม

โปรดปรานกลอกตาล่อกแล่ก “ก็เจคกับพี่อิงน่ะ มันแปลกๆ นะ” พลางแจกแจงเหตุการณ์ที่เพิ่งประสบแล้วตบท้าย “หลังจากนั้นลูกปลาไปเลียบเคียงถามพวกที่ทำงานกับเจคและพี่อิง ได้ความว่าพวกเขาสองคนชอบขลุกกันอยู่แต่ในห้องทำงาน บางทีก็สั่งห้ามเข้าไปรบกวนบ้างละ ล็อกห้องทำงานบ้างละ น่าสงสัยจะตาย”

ภวัตงง “สงสัยอะไร”

“ก็แบบ…แอบมีอะไรกัน”

“เหลวไหล!” พี่ชายทั้งสองตะโกนแทบพร้อมกัน แล้วปวินท์จึงสำทับ

“อีกแล้วนะลูกปลาชอบคิดอะไรเลอะเทอะ ที่ผับนั่นก็ทีหนึ่งถูกเพื่อนปั่นหัวจนเพี้ยน พี่น้องกันจะเกิดเรื่องบัดสีบัดเถลิงได้ไง”

“พี่น้องแต่หายหน้าเป็นสิบปีแล้วกลับมาเจอกันแค่เดือนเดียว ก็เหมือนคนเพิ่งรู้จักนั่นแหละ”

โปรดปรานตั้งท่าจะเถียงต่อแต่ถูกปวินท์กำราบเสียงแข็งด้วยสีหน้าถมึงทึง ห้ามพูดเรื่องนี้อีก จากนั้นเขาจึงหันไปซักไซ้ภวัตเรื่องที่ตัวเองโดนต้มตุ๋น โปรดปรานโมโหเมื่อถูกเมินจึงกอดอกนั่งหน้าบูดอยู่คนเดียว

คอยดูเถอะ…อย่าให้เธอจับได้ก็แล้วกัน!

 

หลังการพูดคุยกับวิมลินจบลงด้วยผลลัพธ์ที่แย่กว่าเดิม เจคก็หดหู่จนไม่มีกระทั่งอารมณ์จะรอลิฟต์จึงเดินลงบันไดมาถึงชั้นล่าง ตรงหน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์นั่นเองเขาก็เจอพริมเข้าพอดี

เลขานุการมูลนิธิเห็นเขาเช่นกัน จึงอำลาประชาสัมพันธ์สาวที่กำลังคุยกันอยู่แล้วตรงมาหา “สวัสดีค่ะคุณเจค บังเอิญจัง”

“พริมมาติดต่อเรื่องออกงานแฟชั่นโชว์หรือครับ”

“ใช่ค่ะ เรียบร้อยตั้งนานแล้วแต่พอดีคุยติดพันกับคนรู้จัก” เธอตวัดนิ้วโป้งไปที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ “เลยขออู้ยังไม่กลับมูลนิธิค่ะ”

ชายหนุ่มยิ้มตามมารยาท จังหวะนั้นท้องร้องประท้วงเพราะล่วงสู่ช่วงบ่ายแล้วยังไม่ได้รับประทานอะไรเลย “พริมกินข้าวหรือยัง ผมกำลังจะไปหามื้อกลางวันข้างนอกขอถือโอกาสเชิญด้วยเลย”

เผอิญหญิงสาวยังท้องว่างเช่นกันจึงตอบรับคำชวน เจคพาไปร้านอาหารกึ่งคาเฟซึ่งอยู่แถวนั้นเอง ตกแต่งสไตล์มินิมอลตามสมัยนิยม คุมโทนขาวทั้งร้านตั้งแต่เก้าอี้ยันจานอาหาร เสริมบรรยากาศปลอดโปร่งสบายตา เจคเลือกร้านนี้เพราะมันใกล้แต่เมื่อนั่งประจำที่ถึงเพิ่งนึกออก วิมลินเคยพาเขามาร้านนี้เมื่อเดือนที่แล้ว นั่งตรงที่เดิมเลยด้วยซ้ำ เจคพานสลดจนกินอะไรไม่ลง ผู้ร่วมโต๊ะจึงไถ่ถาม

“คุณเจคเป็นอะไรไหมคะ อย่าหาว่าพริมละลาบละล้วงแต่คุณดูไม่สดชื่นเลย”

“ไม่มีอะไรครับ”

เธอยิ้มบางๆ “ที่พริมจะพูดอาจฟังดูซ้ำซากนะคะ แต่ถ้าเครียดหรือทุกข์ก็น่าจะระบายมันออกมาบ้าง ปล่อยไว้เหมือนลูกโป่งที่เอาแต่อัดลมเข้าไปสักวันคงแตกโพละ และสำหรับคุณ พริมน่าจะเป็นผู้ฟังที่ดีนะ เพราะเราไม่เกี่ยวข้องกันทั้งเรื่องงานหรือส่วนตัว ระบายไปก็จบลงแค่ตรงนี้ อีกอย่างพริมไม่ใช่คนปากโป้งข้อนี้คุณมั่นใจได้ค่ะ”

แววตาเธอสงบเยือกเย็นแฝงความสุขุมแบบมืออาชีพ เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจไร้ความรู้สึกอื่นเจือปน ตั้งแต่เจคสวมรอยว่าที่ประธานกำมะลอ ต้องยอมรับมีเพศตรงข้ามพยายามเข้าหาเขาพอสมควร ซึ่งชายหนุ่มมองออกแทบทันที แต่กับผู้หญิงตรงหน้าเจครับรู้เพียงความปรารถนาดี คล้ายพี่สาวเอ็นดูน้องชายทั้งที่เธออายุมากกว่าเขาแค่ปีเดียวเท่านั้น

ชายหนุ่มเกาหัวเก้อๆ “ผมเกรงใจครับ”

“อย่าเกรงใจเลยค่ะ พริมทำงานด้านสุขภาพจิตนะคะ การรับฟังคนอื่นเป็นส่วนหนึ่งในอาชีพ เพราะงั้นไม่ต้องกลัวปัญหาที่ระบายจะกลับมาทำร้ายพริม เหมือนที่การรับฟังของพริมจะไม่ทำร้ายคุณ”

ได้ยินแล้วเจคพลันผ่อนคลายลง เขานิ่งคิดก่อนเรียบเรียงคำพูดอย่างระวัง “ผมมีปัญหากับผู้หญิงคนหนึ่ง เราเห็นขัดแย้งไปคนละทางทั้งที่ต่างก็หวังดีต่อกัน เลยคุยไม่ลงตัวเสียที”

พริมไม่ซักไซ้ชื่อผู้หญิงคนนั้นหรือหัวข้อความขัดแย้ง ไม่แสดงอาการอยากรู้ด้วยซ้ำ นั่นทำให้เจคโล่งใจขึ้นมาก เธอแค่ตั้งคำถาม

“ความสัมพันธ์ก่อนจะทะเลาะกันเป็นยังไงคะ”

ชายหนุ่มเกือบหลุดปากว่าคิดกับอีกฝ่ายเป็นแค่น้องสาว แต่ยั้งไว้ทันเพราะดูจะเจาะจงที่ตัววิมลินมากเกิน จึงเลี่ยงไปกล่าวอ้อมแอ้ม

“ก็…น่าจะค่อนข้างดีนะ ถือว่าเราใกล้ชิดกันระดับหนึ่ง” เขาคงไม่ได้โมเมเอาเองกระมัง เพราะเมื่อมีความลับร่วมกันย่อมสมควรสนิทกว่าเพื่อนหรือคนรู้จักทั่วไปสิ “แต่เธอมักเว้นระยะห่างกับผม ไม่เคยเปิดใจจริงๆ สักครั้ง จนผมหงุดหงิด น้อยใจ…แต่ก็โกรธเธอไม่ลง”

“เธอแสดงออกยังไงคุณถึงคิดแบบนั้น”

“แรกๆ เธอเฉยเมยมาก ผมให้ของขวัญก็ขอบคุณตามมารยาท แล้วยังพยายามมอบของตอบแทนแบบกึ่งยัดเยียด โอเคมันเป็นของมีราคาแต่เธอไม่เคยถามสักคำว่า…ผมชอบไหม เธอยังคอยแต่ออกคำสั่งโดยไม่สนผมจะรู้สึกยังไง ยิ่งช่วงหลังๆ พอผมพยายามเปิดใจเธอก็ไม่ฟัง ช่วยเหลือหวังแบ่งเบาภาระเธอกลับปฏิเสธท่าเดียว ไม่แค่ปฏิเสธยังพยายามผลักไสผมไปไกลๆ เหมือนผมไม่มีค่าอะไรกับเธอเลย”

ยิ่งพูดยิ่งหดหู่ เจคถอนใจหงอยๆ จนพริมยื่นแก้วน้ำให้จึงยกดื่ม รู้สึกลำคอแห้งผากไม่ต่างจากกำลังใจที่แทบไม่หลงเหลือ อีกฝ่ายรอเขาวางแก้วน้ำเรียบร้อยค่อยเอ่ยทีละคำ

“เล่าเห็นภาพชัดดีค่ะ แต่พริมดันเห็นตรงกันข้าม” ยิ้มอีกครั้งโต้ตอบท่าทางสนเท่ห์ของเขา “ก็ใช่ แรกๆ เธอคงเฉยเมยกับคุณจริงๆ อาจมีเหตุผลบางอย่างที่จงใจเว้นระยะห่าง แต่ช่วงหลังล่ะ ทำไมต้องไม่ฟังตอนคุณเปิดใจ ทำไมต้องปฏิเสธความช่วยเหลือของคุณ ทำไมต้องผลักไสไปไกลๆ ในเมื่อถ้าเธอไม่รู้สึกอะไรกับคุณเลยก็แค่เฉยเมยเหมือนก่อน คุณจะทำอะไรก็ช่างสิไม่มีอิทธิพลอะไรเลย แต่มันไม่ใช่…ในใจเธอทำเป็นไม่รับรู้ตัวตนคุณไม่ได้แล้ว”

พริมจิบน้ำบ้างก่อนสรุปสั้นๆ “คนที่หงุดหงิด น้อยใจ…แต่ก็โกรธไม่ลงน่ะ ไม่น่าจะมีแค่ฝ่ายคุณหรอกนะคะ”

ราวกับคำพูดง่ายๆ ของอีกฝ่ายเป็นลมอัดแน่นจนหัวใจพองฟูแทบระเบิด เจคเพิ่งเข้าใจคำว่ากระจ่างแจ้งชัดแจ๋วก็วันนี้ เขาโน้มตัวข้ามโต๊ะไปหาพร้อมแววตาวาววับ “คุณพริม! คุณคือนักปราชญ์ของผม!”

อีกฝ่ายหน้าตาตื่น “อะ…อะไรนะคะ”

ชายหนุ่มหัวเราะ เล่าเรื่อง ‘พ่อแบ่งแพะสิบเจ็ดตัวให้ลูกสามคน’ ให้เธอฟังพลางตบท้ายว่า

“ผมขออนุญาตเป็นเจ้ามือมื้อนี้นะครับ” รีบส่ายหัว “ห้ามปฏิเสธครับ ผมต้องเลี้ยงขอบคุณนักปราชญ์ของผมให้ได้!”



Don`t copy text!