อมฤตาลัย ตอนที่ 10

อมฤตาลัย ตอนที่ 10

โดย : จินตวีร์ วิวัธน์

อมฤตาลัย นวนิยายเรื่องยาวเรื่องแรกของ จินตวีร์ วิวัธน์ นักเขียนสตรีที่เขียนนวนิยายแนววิทยาปาฏิหาริย์และมีผลงานโดดเด่นมากมาย วันนี้อ่านเอาได้นำอมฤตาลัยมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์เป็นครั้งแรกในโครงการปากกาทอง เพื่อให้นักอ่านรุ่นเก่าได้คลายคิดถึงและเป็นโอกาสดีที่นักอ่านรุ่นใหม่จะได้มีโอกาสสัมผัสความสนุกของงานเขียนอมตะเรื่องนี้

ร่างที่ถูกกระหนาบข้างโดยผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ๒ คนนั้นดูอิดโรยป้อแป้และเต็มไปด้วยความหวาดกลัวจนน่าสงสาร ทั่วร่างผอมเล็กเกร็งของเจ้าช่วงติดปลาสเตอร์ปิดแผลไว้เต็ม ดวงตาที่เคยล่อกแล่กแหลมคมกลับเบิกโพลง มีแววตื่นตระหนกอยู่ตลอดเวลา ขณะที่เดินออกมาจากห้องปฐมพยาบาลนั้น หากใครเดินเข้าไปใกล้ เจ้าช่วงจะดินรนหนีสุดเหวี่ยง เอามือปิดหน้าเนื้อตัวสั่นเทาและร้องคร่ำครวญอยู่อย่างน่าสมเพชเวทนา ทัดเทพสะกิดไวฑูรย์ให้ลุกขึ้นเดินเข้าไปหา เจ้าช่วงเห็นเข้าก็มีอาการตัวสั่นเทิ้ม เข่าอ่อนงอทรุดลงจน ส.ต.ต.สนิทกับพลตำรวจต้องหิ้วปีกไว้คนละข้าง

ร.ต.ท.ทัดเทพเดินเข้าไปหาช้าๆ เอ่ยขึ้นด้วยเสียงนุ่มนวลอ่อนโยนและเต็มไปด้วยการปลอบประโลมใจ

“ช่วง เราเป็นเพื่อนกันนะ ไม่ใช่ศัตรู เราไม่คิดจะทำร้ายช่วงเลยดูให้ดีซิ พวกเราไม่มีอะไรเหมือนคนที่ช่วงกลัวเลยใช่ไหม”

ถ้อยคำปลอบโยนอย่างนุ่มนวลซ้ำๆ นั้นดูจะได้ผลไม่น้อย เพราะเจ้าช่วงเงยหน้าขึ้นจากฝ่ามือ มองนายตำรวจหนุ่มอย่างหวาดๆ สีหน้าอันตื่นตระหนกของมันคลายลงเล็กน้อย ส่ายหน้าไปมาแล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบแห้งสั่นเครือ

“ไม่…ไม่ใช่…ไม่ใช่อย่างนี้…มันมีปีกมีขนเหมือนค้างคาว แต่หน้ามัน…หน้ามันเป็นคน…แล้วผีดิบตัวนั้นอีก มันลุกจากโลง…ไม่เหมือนกัน…นั่นมันผี…แล้วก็ค้างคาวผีหน้าเป็นคน…”

ไวฑูรย์ก้าวพรวดไปหาเจ้าช่วงอย่างลืมตัว หัวขโมยผู้กลายเป็นคนสติเฟื่องผงะหงายสุดตัวด้วยความตื่นตกใจ ร้องลั่นเสียงไม่เป็นผู้เป็นคนแล้วสลัดพลตำรวจโดยแรงจนหลุดออกวิ่งไปตามระเบียงอันกว้างยาวหน้าห้องปฐมฯ นั้น หมู่สนิทกับพลตำรวจต้องช่วยกันออกวิ่งกวดจนจับตัวได้ พากลับมาที่เดิมอย่างทุลักทุเล

“เอ็งอย่าเพิ่งวู่วามซี ฑูรย์ ใจเย็นๆ พูดกับคนบ้าต้องเอาน้ำเย็นเข้าลูบ ข้าจะคอยตะล่อมถามเอง เอ็งยืนฟังเฉยๆ เถอะ”

ทัดเทพว่า พลางพึมพำปลอบโยนเจ้าช่วงต่อไปอย่างใจเย็นและมีน้ำอดน้ำทน ยอดตีนแมวจึงค่อยคลายความตื่นตระหนกและเปิดปากออกมา

“บ้านใหญ่…ใหญ่มาก” มันพูดเสียงขาดเป็นห้วงๆ ทำมือทำไม้ประกอบวุ่นวาย

“มีผีทำสวน… ผีดิบสองตัว โฮ้ย! บ้านนั้นเลี้ยงผีทั้งโขยงแหละครับ…ผู้หญิงคนนั้นสวยเหมือนนางฟ้า แต่เลี้ยงผี…เลี้ยงไอ้ค้างคาวนั่นด้วย”

ทัดเทพกับไวฑูรย์หันมาสบตากันโดยไม่ตั้งใจ นักโบราณคดีหนุ่มขยับปากจะซัก แต่ทัดเทพส่ายหน้าห้ามไว้แล้วถามต่อไปด้วยเสียงนุ่มนวลอย่างเดิม

“ผู้หญิงคนไหน มีผู้หญิงด้วยหรือช่วง”

“มี” เจ้าช่วงตอบเสียงสั่น ตาเบิกโพลงเหลือบไปมาล่อกแล่ก อาการพูดปากบิดปากเบี้ยวแสดงถึงภาวะจิตใจที่ไม่เป็นปกติอย่างยิ่ง

“ผู้หญิงสาว สวยมาก แต่…ร้ายกาจ ผู้ชายกลัวหงอ…คนค้างคาวก็กลัวหงอ…ฮะ ฮะ กลัวหัวหดทุกคน เขาใช้ให้มันไปฆ่าคน…จริงๆ ด้วย…ฆ่าคนผอมสูงใส่แว่น…ใช่ ใช่ นึกออกแล้ว…เขาว่ามีคนสองคน ผอมสูงใส่แว่นตา กับคนผิวคล้ำ สูงใหญ่…ใช่ซี…เขาให้ฆ่าคนผอมสูง ผมได้ยิน ได้ยินถนัดมาก”

อีกครั้งหนึ่งที่นายตำรวจหนุ่มกับโบราณคดีหันมาสบตากัน ไวฑูรย์นั้นถึงกับสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินประโยคท้ายๆ ของเจ้าช่วง สีหน้าบอกความตื่นเต้นถึงขนาดกระซิบกระซาบกับสหายอย่างร้อนรน

“ถามมันซิเทพ มันได้ยินอะไรอีก คนผอมสูงใส่แว่นตาก็รูปร่างเหมือนข้าละซี มันได้รับคำสั่งให้มาฆ่าข้าหรือวะ”

ทัดเทพหันไปทางเจ้าช่วง “ฟังนะ ช่วง มันทำให้ช่วงกลัวมากใช่ไหม ไม่ต้องกลัวมัน เราเป็นพวกเดียวกัน เราจะไม่ปล่อยมันไว้กวนช่วงอีกต่อไป แต่จะช่วยกันจับมันมาขังคุก เข้าใจไหม แต่ก่อนจะจับเราต้องรู้เรื่องมันบ้าง ช่วงบอกซิว่า ได้ยินอะไรอีก”

“ได้ยิน…ได้ยินเท่านั้นแหละ แล้วค้างคาวใหญ่ก็บินไป…เขาก็กลับเข้าไปฉีดยาให้ศพในโลงลุกขึ้น ลุกขึ้นยืน…เดิน…เขาปลุกผีได้ รู้ไหมเขาปลุกผีให้ฟื้น โอ๊ย!”

เจ้าช่วงร้องออกมาสุดเสียงเสมือนความทรงจำนั้นรบกวนมันอย่างหนัก เอามือปิดหน้าตัวสั่นเทาอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองอะไรอีก หนักเข้าก็ร้องไห้โฮ ซบหน้าลงสะอึกสะอื้นกับท่อนแขน ส.ต.ต.สนิทเหลือบมองทัดเทพ แล้วก็ส่ายหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจ

“ผมว่าอาการมันหนักเสียแล้วละครับ หมวด”

“ฮื่อ ติดต่อโรงพยาบาลหรือยังล่ะ หมู่”

“เรียบร้อยแล้วครับ ประเดี๋ยวเขาจะส่งรถมารับ”

“ดีแล้ว เออ…แถวๆ ที่เจ้าช่วงถูกรถชนมีบ้านใหญ่ๆ มั่งไหมหมู่”

ส.ต.ต.สนิทเจ้าของท้องที่เกิดเหตุนิ่งคิด

“เอ…ดูหมือนจะไม่มีนะครับ จะมีก็แต่ในซอยห่างจากที่เกิดเหตุหลายกิโล สุดซอยนั่นมีบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่งครับ เจ้าของบ้านเป็นสาวสังคมชื่อดัง”

“ชื่ออะไรครับ หมู่” ไวฑูรย์ชะโงกมาถามเร็วปรื๋ออย่างอดทนไม่ได้

“ดูเหมือนจะชื่อ พิน…พินอะไรแหละครับ ผมจำไม่ได้เสียแล้ว ชื่อเพราะมาก อ้อ นึกออกแล้วละชื่อพินทุวดีครับ ผมเคยเห็นนั่งรถคันยาวแปดวาออกจากซอยบ่อยๆ”

ไวฑูรย์ถอนใจดังเฮือกใหญ่จนผู้หมู่หนุ่มฟ้อมองอย่างประหลาดใจ

“นั่น ไอ้สิทธิ์ออกมาแล้ว”

ร.ต.ท.ทัดเทพอุทาน รีบสาวเท้าเข้าไปหา ไวฑูรย์ก้าวตามไปติดๆ ส่วนหมู่สนิทกับพลตำรวจช่วยกันเกลี้ยกล่อมเจ้าช่วงเข้าไปนั่งพักในอีกห้องหนึ่ง

“เป็นไงวะ สิทธิ์”

ศุภสิทธิ์ กาญจนันต์ มีสีหน้าชื่นขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนทั้งสอง สภาพของเขาเดี๋ยวนี้ดูน่าขันผิดกับลักษณะหนุ่มเพลย์บอยเจ้าสำราญคนเดิมราวกับเป็นคนละคน ศีรษะของเขาโพกผ้าพันแผลไว้หนาเหมือนชาวภารตะ แขนซ้ายเข้าเฝือกคล้องอยู่กับคอ อาการเดินกระย่องกระแย่งและสีหน้าเหยเกนั้นแสดงว่าเจ้าตัวคงจะเจ็บไม่ใช่เล่น

“สบายไหมวะ พวก คราวนี้ได้หยุดงานนอนเล่นสมใจเอ็งละซี”

ทัดเทพพูดยิ้มๆ ศุภสิทธิ์ก็ยิ้มบ้างแต่กร่อยเต็มที

“แย่ว่ะ ซวยเหลือเกิน…นั่น ไอ้ฑูรย์ก็อุตส่าห์มา รู้ได้ยังไงวะ”

“เทพมันโทรไปบอก…เอ็งไปแถวนั้นทำไมวะสิทธิ์ ห่างจากบ้านเอ็งคนละทิศเลย หรือไปหาพินทุวดี”

ศุภสิทธิ์หน้าเจื่อน พูดอุบอิบอยู่ในลำคอ

“ก็ว่างั้นแหละ แต่เห็นมันดึกมากแล้ว เลยไม่แวะเข้าไป หน็อยมาเจอไอ้บ้านั่นวิ่งตัดหน้ารถได้ ใครจะไปหลบทันวะ จู่ๆ มันก็พรวดออกมาจากเงามืดยังกะผีไล่ นี่เขาเอามันไปไหนแล้วล่ะ”

“คงเอาไปพักรอไปปากคลองสานละมั้ง…เอ็งมันก็ยังงี้แหละ” ไวฑูรย์ทำเสียงเทศนา

“รนหาที่แท้ๆ นี่เข้าประเภทไม่ได้เห็นหน้าขอเห็นหลังคาบ้านใช่ไหมวะ คุณพินทุวดีเขาจะรู้หรือเปล่าว่า เอ็งเป็นเอามากถึงขนาดนี้”

“ใครว่าฉันรู้อะไรคะ”

เสียงหวานใสกังวานเพราะพริ้งดังขึ้นเบื้องหลัง ทุกคนหันไปมองพร้อมๆ กัน สีหน้าของคนเจ็บแจ่มใสขึ้นในทันทีเมื่อเห็นร่างงามในชุดกระโปรงพลีตทั้งตัวสีเปลือกมะนาวสุกยืนยิ้มหวานอยู่ เขารีบเดินโขยกเขยกเข้าไปหา เสียงที่พูดเต็มไปด้วยความดีใจ

“พินทุวดี นี่คุณรู้ได้ยังไงครับ”

หญิงสาวยิ้มพราย ดวงตาดำใหญ่ชำเลืองปราดไปยัง ร.ต.ท.หนุ่มผู้ก้มศีรษะให้หล่อนอย่างสุภาพ แล้วยืนพิงผนังตึกเฉยอยู่!

“ไม่ยากอะไรนี่คะ ฉันโทรศัพท์ไปหาผู้หมวดทัดเทพที่สถานี ตำรวจที่นั่นเก่งมาก เขาแจงสี่เบี้ยให้รู้หมดว่าหมวดของเขาไปไหนและใครเป็นอะไร ฉันก็เลยตามมานี่แหละค่ะ ด้วยความเป็นห่วง”

ศุภสิทธิ์ทำตาเชื่อมอย่างแสนซึ้งในประโยคท้ายของหญิงสาวหากทัดเทพเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบๆ

“คุณมีธุระกับผมหรือเปล่าครับ ถึงโทรไปหาที่โรงพัก”

สตรีสาวผู้เลอโฉมตวัดตาเหมือนค้อนน้อยๆ

“อ๋อ มีแน่ค่ะธุระน่ะ อย่าห่วงเลย เผอิญฉันนึกออกว่าสถาพรเขาพูดอะไรในคืนนั้นก็เลยคิดจะโทรศัพท์ไปบอกคุณ”

“มันว่าอะไรครับ”

“เขาบ่นเบื่องานค่ะ คิดจะหลบไปเที่ยวสักพัก ฉันนึกว่าเขาพูดเล่นก็ไม่สนใจ แต่มาคิดอีกทีว่าคงจะเป็นประโยชน์กับคุณบ้าง”

“ครับ เป็นประโยชน์แน่ แล้วผมจะลองสืบดูว่าไอ้พรมันหลบไปไหน ขอบคุณมากครับ”

ทัดเทพตอบ พลางหันไปทางศุภสิทธิ์

“เรื่องของเอ็งคงไม่มีอะไรมาก อย่าวิตกเลยวะ สิทธิ์ ถ้าตกลงจ่ายตามที่เขาเรียกร้องก็คงไม่มีปัญหา เอ็งไปพักก่อนเถอะ แล้วข้าจะจัดการให้”

ศุภสิทธิ์ กาญจนันต์ หันไปทำตาปรอยกับหญิงสาว หากพินทุวดีรีบชิงพูดขึ้นเสียก่อน

“ไปพักเสียเถอะค่ะ ศุภสิทธิ์ ร่างกายคุณต้องการพักผ่อนมาก เชื่อเถอะค่ะ แล้วฉันจะไปเยี่ยมที่บ้านนะคะ”

“เอ็งบอกใครที่บ้านมารับหรือเปล่า ถ้ายัง ข้าไปส่งให้ก็ได้”

ไวฑูรย์ซึ่งตลอดเวลานิ่งเงียบเหมือนครุ่นคิดเอ่ยขึ้น ทัดเทพก็เห็นพ้องด้วย ศุภสิทธิ์จึงกะโผลกกะเผลกไปกับนักโบราณคดีหนุ่มอย่างไม่เต็มอกเต็มใจนัก หลังจากที่ออดอ้อนสั่งเสียกับพินทุวดียกใหญ่แล้ว

“คุณจะไปไหนต่ออีกหรือเปล่าครับ”

นายตำรวจหนุ่มหันมาทางสตรีสาวแสนสวยผู้นั้น ดวงตาของพินทุวดีมองจ้องเขาอยู่ตลอดเวลา เต็มไปด้วยแววเคลิ้มฝัน พึงใจ และขมขื่นเศร้าสร้อยอยู่ในส่วนลึกอย่างที่ทัดเทพไม่เข้าใจความหมายเลย

“จะไปร้านตัดเสื้อค่ะ แล้วกลับบ้าน วันนี้ต้องนั่งรถรับจ้าง รถของฉันเสียอีกแล้วค่ะ”

ทัดเทพหยุดชั่งใจนิดหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยเรียบๆ

“ให้ผมไปส่งก็ได้ครับ ถ้าไม่รังเกียจ”

“รบกวนเวลาราชการของคุณหรือเปล่าคะ”

“อย่าพูดเรื่องกวนหรือไม่กวนเลยครับ คุณก็รู้คำตอบดีอยู่แล้ว แต่ผมคิดว่าจะเป็นประโยชน์แก่ราชการเสียด้วยซ้ำ เพราะคุณนำข่าวสถาพร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่ผมมาบอกให้รู้ร่องรอยในวันนี้”

หญิงสาวยิ้มอย่างหวานพลางออกก้าวเดิน ร.ต.ท.หนุ่มเคียงมาติดๆ เมื่อถึงรถเขาก็เปิดประตูอัลฟาโรเมโอคันงามให้หล่อนอย่างสุภาพ

“จะไปไหนก่อนครับ”

“ห้องเสื้อเบญญาค่ะ อยู่ที่สุขุมวิททางไปบ้านฉันนั่นแหละ”

“ครับผม ยินดีรับใช้ขอรับ” ร.ต.ท.ทัดเทพก้มศีรษะให้อย่างล้อเลียน พลางสตาร์ตรถคันงามออกจากที่

“ยินดีจริงๆ หรือเปล่าคะ หรือว่าเพียงลมปาก” เสียงที่ถามหวานเจื้อยทอดยาวอย่างล้อเลียนเช่นกัน

“คุณน่าจะทราบคำตอบแล้วนี่ครับ”

“เอ๊ะ คุณพูดคำนี้มาสองครั้งแล้วนะคะ ฉันจะไปเที่ยวรู้คำตอบของใครต่อใครได้ยังไงกัน ไม่ใช่แม่มดนี่คะ”

“อาจจะใช่นะครับ แม่มดเจ้าเสน่ห์ที่มีผู้ชายตอมมากจนรู้ใจทุกๆ คนได้ด้วยประสบการณ์ไงล่ะ”

“เป็นคำชมหรือประชดคะนี่”

หญิงสาวถามเสียงสูง เอียงคอมองดูเขาด้วยสีหน้าท่าทางบอกความรื่นรมย์ในการต่อปากต่อคำเป็นอย่างยิ่ง

“โอ๊ะ ทำไมคิดยังงั้นล่ะครับ ผมหรือจะกล้าหาญประชดคุณพินทุวดี”

“ก็นี่แหละค่ะ กำลังประชดอยู่ละ เอ้อ ชิดซ้ายหน่อยนะคะ จวนถึงแล้ว นั่นแหละค่ะ ร้านใหญ่เบ้อเร่อปากซอยนั่นแหละ”

ผู้หมวดหนุ่มจอดรถแล้วเดินอ้อมมาเปิดประตูให้หล่อน พินทุวดีก้าวเข้าไปในร้านด้วยท่วงท่าราวนางพญา ก่อนที่จะหันมาบอกเขาว่า

“เข้ามาด้วยกันนะคะ คุณทัดเทพ มีห้องนั่งคอยสบายกว่าในรถตั้งเยอะค่ะ ฉันอยากลองเสื้อ คงจะนานหน่อย คุณจะได้ไม่เบื่อไงล่ะคะ”

ชายหนุ่มเดินตามเข้าไปโดยดี ความเหมาะสมในรูปทรงของหนุ่มสาวทั้งสองทำให้ใครๆ ที่พบเห็นอดเหลียวมองอย่างทึ่งเสียมิได้ เบญญาเจ้าของร้านเองเมื่อเงยขึ้นเห็นว่าเป็นใครก็กุลีกุจอลุกมาต้อนรับ นัยน์ตาชำเลืองดูทัดเทพอย่างนิยมชมเชย

“เชิญซิคะ คุณพินทุวดี เสื้อเนาไว้แล้วค่ะ ลองได้เลย เชิญที่ห้องลองเสื้อเถอะค่ะ ผู้หมวดอ่านหนังสือรอก่อนนะคะ”

หญิงสาวหันมายิ้มหวานให้นายตำรวจหนุ่มผู้นั่งลงบนเก้าอี้สีสวยตรงมุมเก๋ซึ่งจัดไว้เป็นที่รับแขก เขาหยิบหนังสือแบบเสื้อสองสามเล่มที่วางอยู่บนโต๊ะมาพลิกดูฆ่าเวลา ช่างสาวๆ ของร้านหลายคนมีอันเป็นต้องเดินผ่านที่ตรงนั้นบ่อยผิดสังเกต จนชายหนุ่มนึกรำคาญสายตาของพวกหล่อนอยู่ครามครัน หน้าคมสันนั้นจึงขมวดมุ่นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว

“คู่ควงคนใหม่ของคุณพินทุวดีหล่ออย่าบอกใครเชียว”

ช่างสอยสาวรุ่นคนหนึ่งกระซิบให้เพื่อนฟังในห้องเย็บเสื้อ สตรีสาวร่างผอมบางผู้กำลังเอนเหยียดยาวอย่างสบายอยู่บนเก้าอี้ถึงกับผุดลุกขึ้นนั่งตัวตรง

“ใครจ๊ะแฟนคนใหม่ของคุณพินทุวดี คนรูปร่างผอมสูง ดำๆ หน้าเหมือนแขกใช่ไหม”

“อุ๊ย ไม่ใช่ค่ะ คนนี้สูงใหญ่ผิวสองสี แต่งตำรวจด้วย ล้อหล่อยิ่งกว่ายอดชาย เมฆสุวรรณ ซะอีกค่ะ”

“อ๋อ คงจะเป็นคุณทัดเทพ เขามาหาอลิศหรือ”

“เปล่านี่คะ ควงมากับคุณพินทุวดี ไม่ถามถึงคุณอลิศซักคำ นี่กำลังนั่งรอคุณพินทุวดีลองเสื้ออยู่ คุณจุลจิราออกไปดูซีคะ เท่จังเลย แต่ออกจะเต๊ะนิดๆ ไม่ยิ้มเลย”

จุลจิราลุกขึ้นยืนทันที แฟชั่นชุดกางเกงยีนส์และเสื้อเอวจั๊มทับเสื้อยืดตัวในสีสดทำให้หล่อนดูผอมบางจนน่าวิตก นางแบบสาวเดินลากรองเท้าพื้นหนาเตอะฉับๆ ออกไปยังด้านหน้าซึ่งแต่งไว้เป็นมุมรับแขก เสียงรองเท้าทำให้ทัดเทพเงยหน้าขึ้นมอง นัยน์ตามีแววฉงนเล็กน้อยเมื่อหญิงสาวผอมบางที่เขาไม่เคยเห็นหน้า เดินยิ้มร่าเข้ามาอย่างมักคุ้นเป็นอันดี

“สวัสดีค่ะ มาหาอลิศหรือคะ”

หล่อนถามกระทบทันที หวังจะได้เห็นสีหน้าของเขากระอักกระอ่วนแต่ชายหนุ่มคงเป็นปกติ เขายิ้มและตอบอย่างสุภาพ

“เปล่าครับ ผมมาส่งคุณพินทุวดี อลิศราไม่อยู่หรือครับ”

“ยังไม่มาค่ะ อลิศเขามาสายถือว่าเป็นดาราของที่นี่ เอ้อ…ดิฉันเป็นเพื่อนของอลิศค่ะ เราเคยพบคุณในงานเมตตามหากุศลที่สวนลุม คุณทัดเทพคงจำไม่ได้”

“ครับ คืนนั้นผมรีบกลับก่อน เลยไม่ได้พบเพื่อนๆ ของอลิศรา”

“อลิศยังบ่นตั้งกระบุงที่คุณไปแป๊ปมาแป๊ป จนเขาหาตัวไม่พบ”

“เสร็จแล้วค่ะ ทัดเทพ รอนานไหมคะ”

เสียงกังวานหวานเย็นนั้น ทำให้จุลจิราหันไปมองโดยเร็ว แล้วก็ให้นึกอิจฉาริษยาความงามของหญิงสาวในชุดสีเปลือกมะนาวสุกที่ยืนเด่นเป็นสง่านั้นยิ่งนัก นึกในใจว่า

‘นังอลิศเอ๋ย ไม่ได้กระผีกเขาหรอก เขาสวยสมกันยังกะถูกปั้นให้มาคู่กันออกยังงี้’

ใจคิด แต่สีหน้าและริมฝีปากของนางแบบสาวยิ้มอย่างร่าเริง ในขณะที่ลุกขึ้นและเอ่ยกับทัดเทพด้วยน้ำเสียงมีชัยว่า

“แล้วดิฉันจะบอกอลิศนะคะว่า คุณทัดเทพมาหา”

หล่อนหวังเหลือเกินที่จะได้เห็นริ้วรอยผิดปกติบนใบหน้าของคนทั้งสอง โดยเฉพาะฝ่ายชายคงอิหลักอิเหลื่อและรีบปฏิเสธทันควันเพื่อเอาใจสาวสวยที่มาด้วย แต่ก็ผิดคาดเพราะทั้งหมดที่ได้รับจาก ร.ต.ท.ทัดเทพ ก็คืออาการรับคำอย่างยิ้มแย้ม และก้มศีรษะลาหล่อนด้วยท่าทีปกติธรรมดา ก่อนที่จะเดินตามสตรีสาวแสนสวยผู้นั้นออกจากร้านไป

ทันทีที่อัลฟาโรเมโอสีฟ้าใสเคลื่อนออกจากที่ รถคันเล็กของอลิศราก็พุ่งเข้ามาสู่ลานจอดรถหลังร้านเบญญาพอแลเห็นท้ายรถคันนั้น นัยน์ตาที่แต่งไว้ดำลึกซึ้งตามกรรมวิธีล่าสุดก็เบิกกว้างอย่างประหลาดใจและยินดี ตั้งท่าจะสตาร์ตรถออกตามไป แต่เมื่อรถอัลฟาโรเมโอเร่งความเร็วจนหายลับไปกับตาในนาทีต่อมา หล่อนก็ถอนใจยาวอย่างผิดหวังเดินลงจากรถอย่างเพลียๆ เข้าไปในร้าน

จุลจิราซึ่งยังคุยกับช่างสาวๆ ถึงคู่หนุ่มสาวที่เพิ่งออกไป หันมาเห็นเพื่อนเกลอเข้าก็ถลาเข้ามาหาโดยเร็ว

“พบพ่อยอดชายของแกหรือเปล่ายะ อลิศ เพิ่งออกไปหยกๆ นี่เอง แหม เห็นหน้าตอนกลางวันหล่อกว่ากลางคืนซะอีกแน่ะ”

อลิศราทำหน้าเง้า “ไม่ทันพบตัวหรอก เห็นแต่รถ เขามาหาเราเรอะ”

น้ำเสียงที่ถามเต็มไปด้วยความหวังอย่างกระตือรือร้นจนจุลจิรานึกสงสาร

“เสียใจ ที่จะต้องบอกว่าเขามาส่งคู่แข่งของแกย่ะ อลิศ แม่พินทุวดีคนสวยนั่นแหละ เขาถามถึงแกเหมือนกัน ก็อยากหายหัวไปไหนล่ะ เขาทึ้งได้ควงกันมาเหยียบตะหมูกเอา”

อลิศราขบกราม ใบหน้าบึ้งตึงจนหมดสวย “อ้อ เขามาด้วยกันเรอะ”

“ฮื่อ สาวๆ พวกนี้ยังชมเปาะว่าสวยสมกันยังกะกิ่งทองใบหยก ฉันชักเป็นห่วงแกแล้วนะ อลิศ ขืนทำเฉื่อยๆ แฉะๆ  อยู่ละก็หมาคาบไปกินไม่รู้ด้วย คุณทัดเทพออกเท่ยังกะอะไร รูปหล่อพ่อรวยโก้ด้วยยังงี้ แกตะกายหาอีกทั้งชาติก็ไม่เจออีกแล้ว”

คำพูดของจุลจิราเหมือนเติมเชื้อให้แก่ไฟอารมณ์ของหญิงสาว อลิศราขบกรามแน่น แล้วเอ่ยเหมือนคำรามลอดไรฟันออกมา

“เมินเสียเถอะ ไม่มีวันที่มันจะเอาชนะฉันได้ คอยดูไปซิว่าใครจะแน่กว่าใคร!”

 



Don`t copy text!