กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 8 : กลรักดอกแก้ว (2)

กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 8 : กลรักดอกแก้ว (2)

โดย : ชีวาพร

Loading

กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว โดย ชีวาพร เรื่องราวของสองพี่น้องที่ชีวิตแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน คนหนึ่งใบหน้างดงามโดดเด่นเป็นที่ปรารถนาของผู้คน อีกคนใบหน้าสามัญและยังมีชะตากาลกิณีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ชีวิตของทั้งคู่จะดำเนินไปในทิศทางใด อ่านเรื่องราวของพวกเธอได้ในเว็บไซต์อ่านเอา anowl.co และเพจ anowldotco

“แม่แก้ว เมียของพ่อปราบขอรับ”

คำตอบของบ่าวชายหน้าเรือนทำให้หัวใจของคุณนิ่มบุตรชายของคุณหุ่นกับจมื่นเมฆกระตุกวูบ ทว่าตัวเขาเป็นบุรุษมีศักดิ์ศรีย่อมมิคิดแย่งเมียของผู้อื่น ยิ่งเป็นเมียของสหายที่เติบโตมาด้วยกันอย่างพ่อปราบยิ่งมิคิด ทว่าแม้ตระหนักถึงเรื่องควรไม่ควรนี้ดี แต่เขากลับไม่อาจหักห้ามสายตาของตนเองออกมาจากใบหน้าที่ระบายยิ้มสดใสของแก้วได้เลย

หากเขาได้พบพานแม่แก้วเร็วกว่านี้สักหน่อยคงจะดีไม่น้อย

ร่างสูงโปร่งถอนหายใจยาวอย่างนึกเสียดายในวาสนาบุพเพของตนเอง

“ถอนหายใจเสียยาวเป็นกระไรหรือขอรับคุณนิ่ม”

เสียงเข้มเจือความขุ่นเคืองดังขึ้นที่ด้านหลัง เรียกสายตาของคุณนิ่มให้หันมามองยังต้นเสียง เมื่อสบสายตาของสหายวัยเยาว์ใบหน้าของเขาก็พลันถอดสี แม้ปราบจะเป็นเพียงลูกไพร่สามัญ แต่กลับมีรัศมีอำนาจบางอย่างที่แม้แต่บิดาของเขาก็ยังต้องไว้หน้า

“พ่อปราบ มาได้เยี่ยงไรกัน”

“ย่อมต้องพายเรือมาขอรับ”

คำตอบที่ตรงคำถามแต่กลับมีความยียวนอยู่ในทีทำให้คุณนิ่มถอนหายใจยาว

“ข้ารู้แล้วว่าเอ็งพายเรือมา แต่ข้าหมายถึงเอ็งมาถึงเรือนข้ามีเรื่องกระไร”

“มิมีขอรับ กระผมเพียงมารับแม่ และ เมีย กลับเรือนเท่านั้น”

ปราบจงใจเน้นน้ำเสียงคำว่า เมีย อยู่ในที บนใบหน้าปรากฏความไม่พอใจชัดเจน ความจริงแล้วเขามาถึงเรือนของจมื่นเมฆตั้งแต่คุณนิ่มเอ่ยถามนามของแม่แก้วแล้ว ยิ่งเห็นสายตาที่จดจ้องมองมิวางตาอย่างสนใจทั้งที่รู้ว่าเธอคือเมียของเขา ในใจของปราบก็ยิ่งขุ่นเคืองไม่พอใจอยากจะสั่งสอนคนขึ้นมา หากแต่อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เป็นลูกชายของผู้มีพระคุณจะมิไว้หน้าเลยย่อมมิสมควร

“เย็นย่ำมากแล้วกระผมขอตัวก่อน หาไม่แม่แก้วรอนานไปคืนนี้จะแง่งอนจนมิยอมให้กระผมนอนร่วมเตียง”

แม้ประโยคที่เอ่ยออกมาของปราบจะดูนอบน้อม ทว่าดวงตาคมกลับแข็งกร้าวราวกับจะประกาศศึก

“พ่อปราบ!”

ดวงตาดุเลื่อนจากใบหน้าอบอุ่นอ่อนโยนเฉกเช่นบิดาไปยังบันไดเรือน สบแววตาตำหนิของมารดาที่ลงเรือนมาทันได้ยินบทสนทนาของลูกชายตนเองกับบุตรชายของอดีตผู้เป็นนาย ตรงข้ามกับคุณหุ่นที่ยกมุมปากขบขันน้อยๆ

“เกรี้ยวกราดเพียงนี้พ่อปราบมิผิดตัวเป็นแน่”

คุณหุ่นกระซิบบอกเสียงเย้าข้างหูแก้ว ทว่าคนที่ถูกเย้ากลับใจสั่นระรัวกลัวคนข้างล่างจะสร้างเรื่องจนผู้อื่นขุ่นเคือง ริมฝีปากสีกลีบบัวส่งยิ้มแห้งก่อนจะก้มหน้าหลบสายตาของคุณหุ่น

“เร่งลงไปปรามเถิด หาไม่วันพุกยามไปเรียนมวยพ่อนิ่มของฉันคงเจ็บตัวไม่น้อย”

นิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้น กัดมิปล่อย มัดมิคลายของพ่อปราบนั้นคนที่รู้ดีที่สุดย่อมเป็นแก้วที่เติบโตมาพร้อมกันกับเขา ยามที่เดินลงเรือนมาแล้วแม่แก้วจึงขยับตัวไปประชิดคนหงุดหงิด เอ่ยกระซิบเสียงเบา

“วันนี้ฉันทำมะม่วงแผ่นเอาไว้ให้พี่ด้วย”

“เห็นพี่เป็นเด็กรึจึงเอาของกินมาล่อ”

แม้ในใจจะยังมีอารมณ์ขุ่นเคือง แต่เมื่อได้รับความใส่ใจจากหญิงสาวข้างกาย หัวใจของปราบก็รู้สึกยินดีจนมุมปากยกขึ้นสูง นางสายมองดูอารมณ์ที่แปรปรวนของลูกชายแล้วถอนหายใจยาว ส่ายหน้าไปมาอย่างระอาใจ

วันหน้าหากมิมีแม่แก้ว ผู้ใดจะเอาโทสะของพ่อปราบลงได้กัน

“เย็นย่ำแล้วมีกระไรก็กลับไปคุยกันที่เรือนเถิด ประเดี๋ยวจะมืดเสียกลางทาง”

คุณหุ่นมองท่าทีที่อ่อนลงของปราบแล้วเอ่ยเร่งให้คนกลับเรือน หากแต่ยามที่หันมาเห็นสายตาของลูกชายที่ทอดมองตามแผ่นหลังของภรรยาผู้อื่นก็อดที่จะเอ่ยเตือนก่อนกลับขึ้นเรือนมิได้

“อย่าได้หาเรื่องให้ตนเองเสียใจภายหลังเลยพ่อนิ่ม”

หลังจากรับมื้อเย็นเสร็จ นางสายก็แยกตัวไปเอนหลังในหอนอนใหญ่ ส่วนแม่แก้วยกสำรับลงไปเก็บยังครัวล่าง ทว่ายามที่กำลังหมุนตัวจะกลับขึ้นบนเรือนก็ปะทะชนเข้ากับอกแกร่ง

“ว้าย!”

ปราบโอบเอวเล็กประคองคนที่ชนเขาจนเสียหลักซวนเซ ก่อนจะดึงมือกลับมาไพล่หลังอย่างไม่เต็มใจนักเมื่อแก้วขยับตัวถอยห่าง

“ลงมาถึงในครัว พี่ปราบอยากได้กระไรหรือจ๊ะ”

“มะม่วงแผ่น”

คนตอบเอ่ยไม่เต็มเสียงนัก อีกทั้งยังเบนหน้าหลบไม่สบสายตา ทว่าแม้ไม่ได้มองหน้าเธอโดยตรงแต่ปราบก็ยังเห็นรอยยิ้มหวานและแววตาที่มองเขาอย่างล้อเลียนจากหางตา ในใจนึกก่นด่าตนเองอย่างหงุดหงิดขึ้น เหตุใดไม่หาเหตุผลอื่นมานะ

“มิใช่ว่าขนมของกินมีไว้ล่อลวงเพียงเด็กๆ ดอกหรือจ๊ะ”

“พี่ก็มิได้อยากกินกระไรหนักหนา เพียงแต่…”

“เพียงแต่…”

แก้วยังคงหยอกเย้าคนหน้านิ่ง พลางขยับตัวยื่นหน้าตามสบสายตาที่พยายามเบนหลบ

“เพียงแต่… กลัวเอ็งจะเสียน้ำใจ!”

คนเขินอายแสร้งทำเสียงเข้มตีสีหน้าจริงจังหมายให้คนตรงหน้าหวั่นเกรงเช่นผู้อื่น แต่แก้วกลับมิมีแม้แต่สายตาหวาดหวั่น บนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มกว้างดวงตาเปล่งประกายสะท้อนแสงไต้จนคนมองสบตาใจสั่นระรัวเผลอจดจ้องตอบกลับไม่วางตา

แก้วถูกคนตัวโตจ้องกลับสองแก้มก็ร้อนผ่าวขึ้น จากที่ลอยหน้าลอยตาหยอกเย้าเขาก็กลายเป็นคนถอนสายตาหลบเสียเอง

“เช่นนั้นพี่ปราบขึ้นไปรอที่หอนั่งเถิด ประเดี๋ยวฉันยกไปให้”

ปราบได้ทีหลบก็รีบพยักหน้ารับคำ หมุนตัวกลับขึ้นเรือนไปในทันที หากแต่ยามที่นั่งรอคน ใจก็ไม่อาจสงบนิ่งสายตาทอดมองไปยังประตูหอนอนอยู่มิห่างจวบจนร่างที่คุ้นตาเดินถือจานมะม่วงแผ่นแลขันน้ำฝนขึ้นมาเขาจึงเบนสายตาลงมองตำราบนโต๊ะเตี้ยเบื้องหน้า จานเล็กถูกวางลงตรงหน้าคิ้วเข้มก็ขมวดเข้าหากันในทันที

“เหตุใดมีเพียงมิกี่ชิ้น”

ปกติแล้วยามที่แก้วทำมะม่วงแผ่นเธอจะทำคราวละมากโข เหตุใดวันนี้จึงยกมาให้เขาเพียงมิกี่แผ่น แล้วที่เหลือเธอเอาไปให้ผู้ใดกัน พลันใบหน้าอ่อนละมุนของคุณนิ่มก็สะท้อนเข้ามาในความคิด มือหนากำเข้าหากันแน่น เผลอกลั้นลมหายใจข่มอารมณ์โดยไม่รู้ตัว

“ในครัวมีอยู่อีกมากโขจ้ะ แต่เพลานี้ฟ้ามืดแล้วกินมากไปจะทำให้ไม่สบายท้อง นอนไม่หลับเอา”

“มิใช่ว่าเอ็งเอาไปให้คนอื่นหมดแล้วรึ”

“มะม่วงแผ่นของฉันเคยมีผู้ใดนอกจากพี่ได้กินอีกรึ”

เพราะรู้ว่ามะม่วงแผ่นนี้เป็นของโปรดของปราบดังนั้นขอเพียงมีโอกาสได้ลงมือทำ แก้วก็ไม่เคยแบ่งปันมะม่วงแผ่นนี้ให้ผู้ใดเลย เว้นก็เสียแต่นางสายมารดาของเขาเท่านั้น

“แม่พี่อย่างไรเล่า”

“เยี่ยงนั้นภายหน้าฉันจะแอบซ่อนไว้ แม้แต่แม่สายก็มิให้กินดีหรือไม่จ๊ะ”

แก้วป้องปากแสร้งกระซิบเสียงใส ปราบรู้ดีว่าเธอเพียงหยอกเย้ามิได้จริงจังก็ยกมือขึ้นดีดหน้าผากเล็กของคนยียวน ใบหน้าทะเล้นพลันแปรเปลี่ยนเป็นงอง้ำชวนให้ขบขัน

“กับแม่พี่มิว่ากระไร แต่กับผู้อื่นหาได้ไม่ เข้าใจหรือไม่”

“มิเข้าใจได้หรือไม่เจ้าคะ”

“ไม่ได้!”

“เยี่ยงนั้นจะถามทำไมกัน”

“ประเดี๋ยวนี้เถียงพี่รึ อยากถูกตีก้นหรือไร!”

มิว่าเปล่าแต่คนดุยังลุกขึ้นเดินมาหา แม่แก้วพลันเบิกตากว้าง หากเป็นเมื่อก่อนเขาจะตีก้นทำโทษเธอก็มิเป็นกระไร แต่เพลานี้เธอมิใช่เด็กน้อยเยี่ยงวันวาน จะให้บุรุษตัวโตเช่นเขามาตีก้นได้อย่างไร

“พี่ปราบฉันมิใช่เด็กแล้วนะ จะมาตีก้นฉันได้เยี่ยงไร”

“รู้ด้วยรึว่ามิใช่เด็กแล้ว”

“รู้สิจ๊ะ หากฉันยังเด็กอยู่จะเป็นเมียพี่ได้อย่างไร”

ปราบพลันลมหายใจสะดุด เมีย คำนี้ของแม่แก้วหมายความว่าเธอยินดีกับสถานะนี้ใช่หรือไม่

“เยี่ยงนั้นรู้หรือไม่ว่าเป็นเมียแล้วต้องทำกระไรบ้าง”

“ฉัน…”

สองแก้มของแก้วพลันร้อนผ่าวเมื่อถูกคนตรงหน้าเอ่ยถามเรื่องชวนเขินอายซึ่งหน้า ดวงตากลมเบี่ยงหลุบลงต่ำในทันที

“หากมิรู้ เยี่ยงนั้นคืนนี้พี่จักสอนให้ดีหรือไม่”

เอ่ยจบปราบก็ขยับตัวช้อนร่างคนบนพื้นขึ้นอุ้มแนบอก ก้าวเท้าเพียงไม่กี่ลมหายใจก็ถึงหอนอนของเขา ที่หลายเพลามานี้ยกให้แก้วได้พักพิงเพียงลำพัง

“พี่ปราบจะทำกระไร ปล่อยฉันนะ”

“พี่ก็จะสอนเอ็งทำหน้าที่เมียอย่างไรเล่า”

ทันทีที่เสียงประตูหอนอนปิดลงดาล หัวใจของแก้วก็สั่นระรัว ร่างกายตื่นตระหนกเกร็งสะท้าน ยามที่แผ่นหลังสัมผัสฟูกนุ่มบนกายถูกปราบทาบทับแนบชิดลมหายใจก็สะดุดหลับตาแน่น

เวลานี้ร่างกายของปราบเต็มไปด้วยไฟปรารถนาอันมากล้น หากแต่เบื้องหน้าคือแม่แก้วเขาจึงมิอาจลงมืออย่างเอาแต่ใจ ทุกสัมผัสจึงล้วนอ่อนละมุนและทะนุถนอม

“พี่ปราบอย่าจ้ะ”

แก้วรวบรวมสติได้ก็เอ่ยร้องห้าม เธอรู้ดีว่าหญิงในใจของปราบนั้นคือผกากรองผู้เป็นพี่สาว ภายหน้าอย่างไรเสียตำแหน่งเมียของปราบก็คือพี่สาว แม้ผู้อื่นจะมองเรื่องการมีผัวร่วมกันของพี่น้องเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับแก้วแล้ว เธอมิอาจตัดใจฉกฉวยโอกาสนี้ทำร้ายผกากรอง จึงได้แต่กลั้นใจเอ่ยปฏิเสธสัมผัสของปราบ

เมื่อเห็นว่าแก้วมิยินยอมพร้อมใจ ปราบก็สูดลมหายใจเข้า ข่มกลั้นความปรารถนาที่พวยพุ่งในอกพลิกตัวทิ้งกายลงบนฟูกข้างหญิงสาว โดยไม่เอ่ยถามหาเหตุผลที่แก้วมิยินดีมอบกายให้ ไม่ใช่เพราะเขามิอยากรู้แต่เขากลัวว่าหากรู้แล้วตนเองจะรับมิไหวต่างหาก

“เยี่ยงนั้นก็นอนเถิด”

ดวงตาคมปิดลง แก้วลอบมองเสี้ยวหน้าคมด้วยความรู้สึกผิดและสับสน หากแต่สุดท้ายนอกจากห่มผ้าแพรให้เขาแล้วเธอก็มิได้เอ่ยคำใดออกมา



Don`t copy text!