พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 7 : คำสารภาพ
โดย : เด็กหญิงเจ้าสำราญ
พระเอกในใจตัวร้ายในจอ นวนิยายออนไลน์โดย เด็กหญิงเจ้าสำราญ จาก อ่านเอา เรื่องราวของดาวร้ายตัวพ่อวัย 82 แห่งวงการบันเทิงที่มีครอบครัวแสนอบอุ่น แต่ก้นบึ้งของหัวใจปรารถนาจะได้รับการให้อภัยจากเพื่อนรัก และเขาก็ได้โอกาสแก้ตัวให้กลับไปในปี พ.ศ.2512 แต่เป้าหมายไม่ใช่แค่เรื่องเพื่อนแต่ยังมีหญิงสาวที่เขาต้องคว้าเธอมาแนบใจให้ได้
“ฉากต่อไปจะเป็นฉากที่พระเอกกับนางเอกมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันสองต่อสอง ฉากนี้พี่อยากให้เจตน์ค่อยๆ จับมือขวัญขึ้นมากุมไว้ แล้วก็ส่งสายตาหวานที่เต็มไปด้วยความรักให้นางเอก…” เทอดอธิบายฉากที่จะถ่ายทำให้ขวัญชีวาและเจตน์ได้เข้าใจ
“…ส่วนขวัญ…พอพี่เจตน์เขาจับมือขวัญก็มองหน้าพี่เขาแล้วยิ้มสบตา ทำท่าเขินอายเล็กน้อยพอประมาณ แต่ไม่ต้องก้มหน้าเยอะไปนะเดี๋ยวจังหวะกล้องจับภาพแล้วจะไม่เห็นหน้านางเอก…” เทอดค่อยๆ อธิบายและแสดงท่าทางให้ขวัญชีวาดู “…แล้วพอถึงจังหวะนี้พี่ก็จะค่อยๆ เคลื่อนกล้องเข้าไปหา…”
“ข้าไม่เข้าใจ ทำไมต้องจับมือถือแขนแล้วส่งยิ้มให้กันด้วยวะ” ธงรบเปรยขึ้นเมื่อเห็นภาพตรงหน้าที่เจตน์จับมือขวัญชีวา พร้อมส่งสายตาหวานเชื่อมที่ทำให้ขวัญชีวา และขวัญชีวาก็แสดงท่าทางเขินอายจนเขาเริ่มหงุดหงิด
“ก็คนเขารักกัน” ท่าทีฮึดฮัดของธงรบทำเอาคมเดชอดส่ายหัวไม่ได้
“ฮะ…มีกอดกันด้วยเหรอวะ” ธงรบตกใจเมื่อเห็นเจตน์โอบกอดขวัญชีวา
“ไม่กอดกันแล้วจะให้เขายืนนิ่งๆ ตากแดดกันหรือไง” คมเดชสวนกลับพร้อมหันมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ
“แต่ข้าไม่ชอบ”
“เอ็งไม่ชอบก็เรื่องของเอ็ง คนดูเขาชอบ”
“ทำไมพี่เทอดเขาเขียนให้มีฉากแบบนี้เยอะนักวะ“ ธงรบเริ่มขัดใจกับฉากหวานๆ ของเจตน์และขวัญชีวา “แล้วเอ็งดู…ทำไมกอดกันนานจังวะ”
“แค่นี้มันน้อยไป…เป็นข้านะข้าจะจับมาจูบเลยด้วย…” คมเดชมองภาพตรงหน้าพร้อมออกความคิดเห็น
“เฮ้ย!…มีหอมแก้มด้วยเหรอวะ…แล้วนี่ไอ้เจตน์…มึงเล่นซะเหมือนจริงเลย” ธงรบทำเสียงไม่พอใจเมื่อเห็นฉากที่เจตน์หอมแก้ขวัญชีวา
“เหมือนจริงสิดี คนดูยิ่งชอบ อีกอย่างเจตน์มันก็ชอบน้องขวัญเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ได้เป็นพระเอกทั้งในจอและนอกจอคงสมใจมัน…แล้วนี่เอ็งจะเดือดร้อนอะไรหนักหนา” คมเดชหันมองธงรบด้วยความสงสัย เพราะหลังๆ มานี้ เวลามีฉากเข้าพระเข้านางระหว่างเจตน์และขวัญชีวา ธงรบมักจะป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ และบ่นงึมงำเป็นหมีกินผึ้งตลอดเวลา
“แต่ข้าไม่ชอบ” ธงรบสวนขวับด้วยเสียงเข้มพร้อมส่งสายตาดุใส่ จนคมเดชถึงกับผงะกับแววตาที่ดูจริงจังจนเกินเหตุ
“เอ็งนี่ผีเข้าหรือเปล่านี่…ทำท่ายังกับจะกินเลือดกินเนื้อข้า…อย่านะ…ข้ากลัวผีนะเว้ย!” คมเดชส่งเสียงเรียกสติให้ตัวเองและชายหนุ่มข้างตัว จนธงรบมีสีหน้าอ่อนลง
“ข้าขอโทษ ข้าอินไปหน่อย” ธงรบตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เบาลง
ถึงจะไม่เข้าใจว่าอะไรอินๆ ของธงรบคืออะไร แต่คมเดชก็ประเมินว่าชายหนุ่มข้างตัวคงไม่รู้เรื่องการแสดงมากนัก เลยมีแต่คำถามไร้สาระมาถามอยู่ตลอด “ข้าเข้าใจว่านี่มันเรื่องแรกของเอ็ง เอ็งอาจจะยังไม่คุ้นกับบรรยากาศการทำงานในกองถ่าย วิธีการแสดง อย่างแรกเลยเอ็งต้องเข้าใจก่อนว่า คำว่าการแสดงมันไม่ใช่เรื่องจริง แต่เอ็งต้องเล่นให้มันดูสมจริง ให้คนดูเขาเชื่อ ยิ่งบทเข้าพระเข้านางแบบนี้คนดูเขาชอบ…” คมเดชพยายามอธิบาย
ธงรบตั้งใจฟังสิ่งที่คมเดชพยายามเล่า ก่อนหันกลับไปมองฉากการแสดงตรงหน้า ทำไมเขาจะไม่เข้าใจในสิ่งที่คมเดชอธิบาย ในเมื่อเขาผ่านร้อนผ่านหนาวเห็นบทบาทการแสดงความรักกันของพระเอกนางเอกมาเป็นร้อยๆ เรื่องแล้ว ตลอดระยะเวลากว่า 50 ปี แต่ในวันนี้วันที่เขากลับมาอยู่ในร่างของตัวเองในวัยหนุ่ม เขารู้สึกได้ถึงหัวใจที่ร้อนรนกระวนกระวายของตัวเองทุกครั้ง ที่เห็นเจตน์กับขวัญชีวาหยอกล้อพูดคุยอย่างใกล้ชิด หรือทั้งคู่ต้องเข้าฉากร่วมกันในฐานะพระเอกนางเอก
แม้ยังไม่แน่ใจว่าการย้อนเวลากลับมาในวัยหนุ่มตอนนี้เป็นความฝันหรือความจริง หากแต่ลึกๆ ในใจเขายอมรับอย่างไม่อายเลยว่าเขากลัว กลัวความรักและความมุ่งมั่นที่จริงจังของเจตน์จะเอาชนะหัวใจของหญิงสาวตรงหน้าได้สำเร็จ เพราะหากนึกย้อนไปเขายังจำได้ว่าในอดีตนับตั้งแต่ที่เขาทำให้ขวัญชีวาขุ่นเคืองใจด้วยคำพูดพล่อยๆ เขายังมีโอกาส มีเหตุให้ได้เข้าใกล้ขวัญชีวามากกว่านี้ในฐานะพ่อสื่อพ่อชักของเจตน์ ที่สุดท้ายก็ทำให้เขาติดกับความรักซะเอง จนกลายเป็นอีกหนึ่งในชนวนเหตุให้เจตน์เข้าใจผิดว่าเขาคือคนที่ทรยศต่อความรักของเพื่อน
แล้วเพราะอะไรทำไมการกลับมาในร่างเดิมของเขาครั้งนี้เขากลับไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้ขวัญชีวา แถมดูเหมือนเธอเองก็คอยหลีกเลี่ยงที่จะพบเจอพูดคุย ขืนปล่อยให้ทุกอย่างล่วงเลย แล้วพระพรหมหรือสิ่งใดก็ตามที่ทำให้เขาย้อนกลับมาในห้วงเวลานี้ ไม่ได้ทำให้ทุกอย่างลงเอยและเดินไปเหมือนในช่วงเวลาปัจจุบัน มันคงเป็นความรู้สึกทุกข์ทรมานที่ยากจะรับมือได้ไหวในวัย 82 เป็นแน่ ที่จู่ๆ ก็ต้องกลายเป็นคนที่มีชีวิตอย่างโดดเดี่ยวลำพัง โดยปราศจากความรักและความทรงจำ เพราะความจริงที่เคยเกิดขึ้นอันตรธานสิ้น
“ข้าจะทำยังไงดีวะคม” ธงรบมองสบตาคมเดชอีกครั้งด้วยสีหน้าและแววตาหมองเศร้า จนคมเดชเริ่มไม่เข้าใจในพฤติกรรมและอารมณ์แปลกๆ ของเพื่อนจนต้องลองโยนหินถามทาง
“เอ็งชอบน้องขวัญเขาเหรอวะ”
“อืมม”
“ฮ้า!…ตาเถรตกใต้ถุน” คมเดชตาโต ส่งเสียงดัง เพราะไม่คาดหวังว่าจะได้คำตอบนี้จากปากชายหนุ่มก่อนถอนหายใจเมื่อนึกถึงเรื่องที่ธงรบก่อไว้เมื่อไม่นาน
“…เฮ้อ…แล้วเอ็งก็น้า…ดั๊นไปปากหมาๆ แบบนั้นให้เขาได้ยิน” คมเดชนึกถึงคำพูดของธงรบที่กลายเป็นประเด็น จนทุกคนรับรู้และอนุมานได้ว่าน่าจะเป็นสาเหตุให้ขวัญชีวาขุ่นเคือง ถึงขั้นไม่อยากจะเสวนาพูดคุยด้วย
“แล้วเอ็งไปรับปากเจตน์มันทำไมว่าจะช่วยมันจีบน้องขวัญ ถ้าเอ็งชอบเขา” คมเดชอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัย
“ก็…วันนั้นข้ารู้ว่าเขาแอบฟังอยู่ ข้าแค่อยากล้อเล่นสนุกๆ ไม่คิดว่าเขาจะเสียใจและโกรธ ข้ามันปากไม่ดีเอง แต่ข้าก็รักของข้ามานาน…” พอรู้ว่ามีคนพร้อมจะรับฟังธงรบก็ยิ่งพรั่งพรูสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมา เพราะไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีจุดเริ่มต้นความรักของเขากับขวัญชีวามันก็ยังเหมือนเดิมและเป็นเรื่องจริง เพียงแต่ในเวลานั้นเขายังมีโอกาสได้ใกล้ชิดเย้าแหย่เธออยู่บ่อยครั้ง แต่นี่ดูเหมือนทุกอย่างจะผิดแผกไปหมด เขาแทบไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้ขวัญชีวาเลย
“เอ็งเอาเวลาไหนไปรักเขามานานวะ” คมเดชมองหน้าธงรบด้วยความงุนงงอีกครั้ง เพราะพวกเขาเพิ่งได้เจอและทำความรู้จักกับขวัญชีวาในวันและเวลาเดียวกัน
“เอาน่า…แค่วินาทีเดียว ชั่วโมงเดียว วันเดียว ที่ได้รักเขามันก็นานพอสำหรับข้า และข้าก็ไม่รู้จะอยู่ยังไงด้วย ถ้าไม่มีเขาในชีวิต…” ธงรบสารภาพ จนคมเดชถึงอ้าปากหวอกับคำพร่ำพรรณนาที่ดูจะเกินจริงของธงรบ
“โห…ถึงขนาดไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ยังไงเลยวะ เป็นเอามากนะเอ็ง” คมเดชกระแทกไหล่แซวคนข้างตัวเบาๆด้วยความรู้สึกประหลาดใจ เพราะไม่คิดว่าคำพูดเหล่านี้จะหลุดออกมาจากปากคนที่ชอบพูดจากวนประสาทเขาอยู่เสมอๆ และก็น่าแปลกที่เขาสัมผัสได้ถึงความรักที่มั่นคงของธงรบ ที่ไม่ใช่แค่เพียงลมปากบอกรักจากชายหนุ่มทั่วๆ ไปด้วยเช่นเดียวกัน
“เอ็งช่วยข้าได้ไหม” ธงรบเริ่มเว้าวอน
“ข้าจะช่วยเอ็งได้ยังไง ในเมื่อเอ็งเองก็รับปากว่าจะช่วยเจตน์มัน” คมเดชเริ่มถอนหายใจเป็นครั้งที่ร้อย “ข้าว่าถ้าเอ็งรักเขาดังปากพูด อย่างแรกเลยเอ็งต้องไปเปิดอกคุยกับเจตน์มัน ข้ามันแค่คนดู แล้วถ้าเอ็งรักจริงอย่างปากว่า เอ็งก็ต้องพิสูจน์มันด้วยตัวเอ็งเอง ข้าช่วยใครไม่ได้ร้อก…” คมเดชทำเสียงสูงใส่อย่างเป็นต่อที่จู่ๆ ชายหนุ่มจอมเจ้าเล่ห์ที่ชอบกวนประสาทเขาอย่างธงรบมาขอให้ช่วย “…แค่ทำให้น้องจิตรเลขาเหลียวแลข้า ข้าก็เหนื่อยแล้ว…” คมเดชลูบหนวดที่ตัวเองรักพร้อมพูดต่ออย่างคนที่ถือไพ่เหนือกว่า
“…เอาเป็นว่าระหว่างพระเอกกับดาวร้าย ข้าจะลองเดิมพันข้างดาวร้ายอย่างเอ็งละกัน” คมเดชหัวเราะร่า เพราะมั่นใจว่าครั้งนี้เขาก็คงมีแต่เสียกับเสีย แต่ก็เป็นการเสียเพื่อให้เพื่อนอย่างธงรบได้พอมีกำลังใจ เพราะไม่ว่าจะมองมุมไหนดาวร้ายอย่างธงรบรึ จะสู้พระเอกทั้งในจอและนอกจออย่างเจตน์ได้ เห็นทีคงต้องรอพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกซะละมั้ง หรือไม่ก็ต้องรอให้เครื่องบินมาจอดที่ท่ารถทัวร์
“น้องขวัญเริ่มคุ้นกับกองถ่ายหรือยัง” เจตน์เอ่ยถามขวัญชีวาระหว่างพักการถ่ายทำ
“ต้องขอบคุณพี่เจตน์ กับพี่ๆ ในกองถ่ายเลยค่ะ ที่อดทนกับมือใหม่อย่างขวัญ” หญิงสาวยิ้มตอบ วันแรกๆ เธอเองก็รู้สึกเขินๆ ที่ต้องสวมบทบาทเป็นคนอื่นและพูดในสิ่งที่ขัดกับความเป็นตัวเองตามบทที่ผู้กำกับบอก หากแต่เพื่อนๆ พี่ๆ ในกองของเทอดก็ใจเย็นพอที่จะอธิบาย สอนเรื่องมุมกล้อง จังหวะการพูดคุยโต้ตอบ และยอมเสียเวลารอเมื่อต้องถ่ายซ้ำจากความผิดพลาดที่เธอทำ หรือคิดอีกทีที่เธอไม่ได้ยินคำบ่นหรือตำหนิจากคนรอบๆตัว อาจเพราะทุกคนคงรู้ว่าเธอเป็นหลานเทอดเลยค่อยมีใครกล้าแสดงออกถึงความไม่พอใจก็เป็นได้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็นับว่าเป็นโชคดีที่ไม่ต้องรู้สึกเสียใจ เหมือนเมื่อครั้งที่เธอได้ยินธงรบพูดถึงเธอ เพราะทุกครั้งที่ต้องเข้าฉากด้วยกันหรือเห็นหน้าธงรบ คำพูดของชายหนุ่มในวันนั้นมักทำให้เธอรู้สึกน้อยใจเสมอ จนต้องถามตัวเองว่าเธอผิดหรือที่ชอบแต่งตัวสวย ชอบพูดคุย และเป็นนักเรียนนอก
ในวันที่เจอกันครั้งแรกที่บ้านเทอด เจตน์และธงรบดูเหมือนขั้วตรงข้ามที่น่าทึ่ง เจตน์เหมือนลมเย็นๆ ที่พัดพาความสบาย และมีความเป็นผู้ใหญ่ที่เก็บอารมณ์ได้มากกว่าธงรบที่ดูใจร้อนวู่วาม ยามฟังทุกคนพูดคุยใบหน้าและดวงตาคู่คมที่เธอชอบมองดูนิ่งดุ หากแต่ยามเจ้าตัวพูดคุยแววตาคู่เดียวกันนั้นกลับเต็มไปด้วยความขี้เล่นสนุกสนาน และดูมีเสน่ห์จนทำให้เธอรู้สึกประทับใจและผิดหวังได้ภายในวันเดียวกัน
“ปกติน้องขวัญชอบดูหนังแนวไหนหรือ” เจตน์ชวนคุย
“พี่เจตน์ลองทายดูไหมคะ” ขวัญชีวาหัวเราะเบาๆ
“ถ้าพี่ทายถูกมีรางวัลไหม”
“พี่เจตน์อยากได้รางวัลเป็นอะไรดีคะ” ขวัญชีวาย้อนถาม
“ให้พี่พาขวัญไปดูหนังสักเรื่องเป็นไง” เจตน์สบโอกาสชวน
“งั้นพาไปดูเลยได้ไหมคะ…ชวนเลขาไปด้วย” ขวัญชีวายิ้มถูกใจเหมือนเด็กๆ ได้ของเล่น และไม่ลืมที่จะเอ่ยถึงจิตรเลขาเพื่อนนักแสดงอีกคนที่ตอนนี้กลายมาเป็นเพื่อนสนิท เพราะกินนอนอยู่ด้วยกันในกองถ่ายมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง อีกอย่างมันคงไม่งามนักหากเธอจะไปไหนต่อไหนสองต่อสองกับเจตน์โดยที่ยังรู้จักกันไม่นานพอ
“เลขาเพิ่งบ่นอยากดูหนังของพี่มิตร ชัยบัญชาเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง” ขวัญชีวาโตพอที่จะรู้ว่าเจตน์คิดอย่างไรกับเธอ ต่อให้ไม่ต้องได้ยินสิ่งที่เจตน์พูดกับธงรบในวันนั้น เจตน์ก็ดูแลเธอดีมาตลอดที่อยู่ในกองถ่ายด้วยกันจนเธอรู้สึกได้ถึงความรักและความปรารถนาดีที่เจตน์มีให้ และเธอก็อยากให้โอกาสเจตน์รวมทั้งให้โอกาสตัวเอง
“พี่เจตน์เชื่อไหมคะว่าหนังเรื่องล่าสุดที่ขวัญดูคือ The Sound of Music” ขวัญชีวานึกถึงหนังเพลงชื่อดังของอเมริกาที่เล่าเรื่องราวของหญิงสาวที่รักในเสียงเพลงและต้องไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กๆ 7 คน ซึ่งเธอเคยไปดูกับเพื่อนๆ เมื่อหลายปีก่อนที่โรงภาพยนตร์กรุงเกษม
“นานขนาดนั้นเชียว” เจตน์แกล้งทำเสียงล้อเลียน
“แถมดูไม่รู้เรื่องด้วยนะคะ เพราะตอนนั้นขวัญยังฟังภาษาปะกิตไม่ค่อยออกเท่าไหร่” ขวัญชีวาหัวเราะขำเมื่อนึกถึงบรรยากาศในโรงภาพยนตร์วันนั้น
ธงรบยืนมองขวัญชีวาและเจตน์ที่นั่งพูดคุยกันในศาลาพักผ่อนหลังเล็กภายในพื้นที่ถ่ายทำ ซึ่งถูกจัดให้เป็นบ้านของพระเอกอยู่เป็นนาน เสียงหัวเราะที่ดังแว่วมาให้ได้ยินของทั้งคู่ เป็นอีกครั้งที่ทำให้อารมณ์เขาขุ่นมัว ขวัญชีวาในวันนี้ก็ยังเหมือนขวัญชีวาคนเดิมในอดีตที่ไม่เคยแทนตัวเองกับเขาด้วยชื่อเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ เธอจงใจเรียกเขาว่า ‘คุณ’ ทุกครั้งเพื่อแสดงให้เห็นถึงระยะห่างที่มีให้ นี่เขาต้องตามจีบภรรยาตัวเองให้สำเร็จอีกครั้งใช่ไหมนี่ แต่จะทำยังไงในเมื่อเข้าใกล้ยังไม่มีโอกาสเลย
เขาพยายามนึกถึงถึงสิ่งที่คมเดชพูด หากเขารักชอบขวัญชีวาเขาก็ต้องเริ่มคุยกับเจตน์อย่างลูกผู้ชาย เอาวะ…เป็นไงเป็นกัน ถ้าไม่รู้จะเริ่มที่ไหนก็เริ่มที่เจตน์อย่างที่ไอ้เพื่อนหน้าหนวดมันแนะนำเนี่ยละ ในอดีตไม่เคยทำก็ใช่ว่าตอนนี้จะทำไม่ได้ ไหนๆ เวลานี้มันก็คือปัจจุบันของเขาแล้ว แค่อย่าทำให้เสียเรื่อง แล้วปล่อยให้ทุกอย่างมันดำเนินไปตามที่เคยเป็น คงไม่น่าจะมีอะไรยาก ธงรบคิดคำนวณในใจอย่างหมายมาด
“ว่าไงธง…” เจตน์ทักขึ้นเมื่อเห็นธงรบเดินตรงมาหาเขา
“ขวัญขอตัวนะคะ” ขวัญชีวายิ้มให้เจตน์ และหันมามองหน้าเขาโดยไม่เอ่ยคำพูดใดๆ และรีบลุกเดินจากไปทันที จนเขาต้องเหลียวหลังมองตามด้วยสายตาตัดพ้อ
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นวะ มีอะไรหรือเปล่า”
“ข้าอยากคุยเรื่องขวัญชีวา” ธงรบเข้าประเด็น
“ข้ารู้…ว่าเอ็งไม่เห็นด้วย” เจตน์นึกถึงสิ่งที่ธงรบเคยพูดกับเขาที่บ้านเทอด “แต่…ข้าก็อยากใช้โอกาสนี้พิสูจน์ให้เขาเห็นความจริงใจของข้า” เจตน์บอกเพื่อหวังให้ธงรบสบายใจ เพราะเข้าใจว่าเพื่อนไม่พอใจที่ไม่ฟังคำทัดทาน
“ข้าไม่ได้หมายความถึงเรื่องนั้น” ธงรบสบตาเจตน์ตรงๆ “ข้าอยากจะบอกว่า…ข้าชอบน้องขวัญ” คนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทที่สุดในชีวิตปรายตามองไปยังทิศทางที่ขวัญชีวาเพิ่งเดินจากไป จนเจตน์ถึงกับนิ่งอึ้งไปเมื่อได้ยิน ส่วนธงรบหากไม่นับกายหยาบในวัยหนุ่มที่เขาได้ย้อนเวลากลับมาอยู่ในร่างตอนนี้ เขาใช้ชีวิตมานานกว่า 80 ปี หลายอย่างในชีวิตมันเริ่มสอนให้เขารู้ว่า บางทีชีวิตก็ไม่ได้มีเวลาให้เราอ้อมค้อมมากนัก โดยเฉพาะเรื่องหัวใจ
“แต่วันนั้น…ที่ข้าถามเอ็งเรื่องน้องขวัญที่บ้านพี่เทอด…เอ็งสารพัดจะต่อว่าเขา” เจตน์ทวนความจำ
“วันนั้นข้ามันปากไม่ดี เห็นเอ็งบอกว่าชอบเขา อยากให้ข้าช่วย ข้าก็เลยคิดว่าจะหลีกทางให้…” ธงรบสารภาพความในใจกับเจตน์อย่างตรงไปตรงมา เพราะมันคือเรื่องจริงไม่ว่าจะในอดีตที่ผ่านมา หรือปัจจุบันที่เขากลับมาอยู่ในร่างของตัวเองและยืนอยู่ตรงหน้าเพื่อนตอนนี้
“วันนั้นข้ารู้ว่าเขาแอบฟังเราคุยกัน ข้าแค่อยากแกล้งเขาสนุกๆ แต่ไม่คิดว่ามันทำให้ทุกอย่างบานปลาย จนเขาเมินหน้าข้า…ข้าขอโทษ”
“แล้วทำไมเอ็งไม่ไปขอโทษเขา” เจตน์มองหน้าธงรบอย่างค้นหาคำตอบ
“ข้ากำลังจะทำ แต่ข้าอยากบอกเอ็งก่อนเพราะเอ็งเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของข้า”
“แล้วเอ็งจะให้ข้าทำยังไง” เจตน์หยั่งเชิงถาม
“ไม่ต้องทำยังไง…ข้าแค่อยากจะตรงไปตรงมากับเอ็ง และตรงไปตรงมากับความรู้สึกตัวเอง” สายตาที่แน่วแน่ของธงรบทำเอาเจตน์นิ่งไปอีกครั้งเพื่อประเมินคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนตรงหน้า
“ข้ารู้ว่าเอ็งคงไม่พอใจ และมันก็คงยากสำหรับข้าด้วย เพราะตอนนี้แม้แต่หน้าข้าเขาก็ยังไม่มอง แต่อย่างน้อยข้าก็อยากพยายามเหมือนที่เอ็งทำ”
“เอ็งจะเป็นคู่แข่งกับข้างั้นรึ” เจตน์ถามขึ้นตรงๆ ซึ่งธงรบก็พยักหน้ารับเบาๆ โดยไม่หลบสายตา ทำเอาเจตน์นิ่งไปชั่วครู่อย่างใช้ความคิด ก่อนยื่นมือขวาของตัวเองออกไปตรงหน้าธงรบ ธงรบมองมือนั้นพร้อมยื่นมือของตัวไปจับกระชับแน่นเป็นคำสัญญาของลูกผู้ชาย
“แต่บอกไว้ก่อนนะ เอ็งคงต้องพยายามเยอะหน่อย” เจตน์ยิ้มให้พร้อมย้ำบอกกับธงรบอย่างหมายมาด
“อ้าว…ขวัญยังไม่กลับบ้านอีกหรือ” จิตรเลขาร้องทักเมื่อเห็นขวัญชีวานั่งอยู่บริเวณด้านหน้าอาคารโรงถ่ายขนาดใหญ่ ที่ภายในสามารถเซตให้เป็นฉากต่างๆ สำหรับถ่ายทำหนังได้
“สงสัยพี่ไม้น่าคงยุ่งๆ อยู่ที่โรงงาน เลยมารับช้า” ขวัญชีวาพูดถึงพี่ชายคนกลางที่มักสลับกันกับพี่ชายคนโตมารับมาส่งเธอที่กองถ่าย
“ให้เลขารอเป็นเพื่อนไหม”
“ไม่เป็นไรจ้ะ เลขากลับเถอะ กว่าจะเรียกแท็กซี่ได้ เดี๋ยวก็ถึงบ้านมืดพอดี”
“สาวๆ ไม่กลับบ้านกันอีกเหรอจ๊ะ” เสียงที่มาก่อนตัวของคมเดชทำให้สองสาวต้องหันไปมอง
“พี่คม…พี่ธง…เอ…แล้วนี่พี่เจตน์หายไปไหนคะเนี่ย” จิตรเลขาถามขึ้นด้วยความสงสัยเพราะปกติ 3 หนุ่มมักจะไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ
“วันนี้พี่เทอดเขาขอยืมตัวเจตน์ไปภัตตาคารคุณเทียน…แว่วมาว่าบรรดาเพื่อนๆ ภรรยาพี่ชายแกเขาอยากเห็นตัวจริง” คมเดชหัวเราะ เพราะนับตั้งแต่เจตน์เริ่มเป็นที่รู้จักและมีผู้คนจดจำได้ จากที่เคยไปไหนมาไหนได้อย่างคล่องตัว ก็ต้องระวังมากขึ้นโดยเฉพาะการรับมือกับผู้คนในที่สาธารณะ บางรายดีหน่อยแค่จดๆ จ้องๆ อยู่ห่างๆ บางรายก็แอบเอานิ้วจิ้มๆ ด้วยทีท่าระแวดระวัง ประหนึ่งดูความสดของเนื้อหมูบนเขียงในตลาด บางรายมีฉุดกระชากลากแขน แต่ที่หนักหน่อยก็คือการจับเนื้อต้องตัวและของสงวนจนแม้แต่เจ้าตัวก็ตั้งตัวไม่ทัน
“พี่เทอดเขาก็ขัดพี่ชายไม่ได้ เลยต้องรบกวนเจตน์มัน” คมเดชตอบ “แล้วนี่ยังไม่ได้บอกพี่เลยทำไมยังไม่กลับบ้านกัน”
“พอดีวันนี้พี่ไม้ยังไม่มารับขวัญ เลขากะว่าจะนั่งรอเป็นเพื่อน”
“งั้นพี่รอเป็นเพื่อนขวัญเอง เลขาจะได้กลับบ้าน” ธงรบรีบอาสา ขวัญชีวาหันมาสบตาธงรบเพียงนิดเดียวก่อนหันไปตอบคมเดชด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เป็นไรค่ะ ขวัญอยู่รอเองได้ ขอบคุณพี่คมกับคุณธงมากนะคะ”
“เลขากลับกับพี่ไหม เดี๋ยวพี่ไปส่ง รับรองความปลอดภัย” คมเดชได้ทีรีบหยิบยื่นไมตรีให้นักแสดงรุ่นน้องที่เขามักแสดงออกอย่างเปิดเผยว่าชื่นชอบ หากแต่หญิงสาวกลับไม่มีท่าทีจะสนใจ แถมยังโต้ตอบกลับอย่างรู้ทันจนบางครั้งเขาเองก็ทำตัวไม่ถูก
“งั้นเอางี้…คมไปส่งน้องเลขาก็ได้ เดี๋ยวข้านั่งรอคุณไม้เป็นเพื่อนน้องขวัญเขาเอง” ธงรบตัดสินใจให้ทุกคนเสร็จสรรพ จนคมเดชยิ้มขอบคุณในความรู้ใจของเพื่อน ต่างจากขวัญชีวาที่มองหน้าเขาด้วยความขุ่นเคือง พอคล้อยหลังคมเดชและจิตรเลขา ธงรบก็นั่งลงตรงข้ามขวัญชีวา
ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำ แสงสีทองอ่อนๆ ที่กำลังลาลับขอบฟ้าลอดผ่านช่องว่างเล็กๆ ของใบไม้ด้านหลัง ส่องกระทบเรือนผมและวงหน้าเล็กให้กระจ่างชัดกลายเป็นดังมนตร์สะกดที่ทำให้ธงรบไม่อาจละสายตาจากหญิงสาวตรงหน้า และมันก็สว่างวาบให้ยิ่งประจักษ์แน่แก่ใจว่า ต่อให้เวลาจะย้อนกลับไปกลับมายังไง ความรักของเขาที่มีต่อเธอมันไม่เคยดับมอด หากแต่หญิงสาวตรงหน้านั้นเล่าท่ามกลางความเงียบที่แผ่ปกคลุม ความรู้สึกที่ถูกจับจ้องเริ่มกลายเป็นความประหม่าในหัวใจ
“คุณธงกลับก่อนก็ได้นะคะ ฉันอยู่ได้”
“ทำไมขวัญไม่เรียกผมว่าพี่และแทนตัวเองว่าขวัญเหมือนพูดกับคนอื่นๆ ล่ะ” ธงรบถามในสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจ แม้คำเรียกอย่างห่างเหินของขวัญชีวานั้นจะเคยเป็นกำแพงสูงที่เขาเคยทลายมันมาแล้วเมื่อในอดีต แต่วันนี้เมื่อต้องกลับมาอยู่ร่างตัวเองในวัยหนุ่ม และต้องมาเริ่มต้นทลายกำแพงนั้นอีกครั้ง มันกลับเต็มไปด้วยความยากลำบากที่บีบรัดหัวใจทุกครั้ง นั่นเพราะมันอัดแน่นไปด้วยความรักที่ไม่เคยลดน้อยลงตลอด 50 กว่าปี ขณะที่ตอนนี้อีกฝ่ายยังเพิ่งเริ่มต้นเรียนรู้ที่จะรัก
“ฉันไม่ชินค่ะ” ขวัญชีวาตอบง่ายๆ เพราะไม่รู้ว่าธงรบจะมาไม้ไหน ทุกครั้งที่เห็นธงรบคำพูดของเขาก็เหมือนเงาตามตัว เธอรู้ว่าเขาตั้งใจพูดถ้อยคำเหล่านั้นให้เธอได้ยิน ซึ่งแน่นอนว่าในวันแรกมันทำให้เธอโกรธ และเสียดายความรู้สึกดีๆ ที่มีให้เขาเมื่อแรกพบ ที่รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่บิดาอนุญาตให้มาเล่นหนังกับเทอด ได้เจอกับเพื่อนใหม่ๆ อย่างเจตน์ คมเดช ชาติชาย และจิตรเลขา ที่ไว้ใจมอบความเป็นมิตรให้ ทั้งยังต้อนรับเธออย่างดี และจากเหตุการณ์ในวันนั้นเธอก็ยังเคยแอบหวังด้วยว่าจะได้ยินคำขอโทษจากชายตรงหน้า แต่ทุกอย่างก็ไม่เคยเกิดขึ้น นานวันเข้าเธอเลยตัดสินใจเป็นฝ่ายเลี่ยงที่จะพบหน้าหรือพูดคุยกับเขาหากไม่จำเป็น ยกเว้นช่วงที่ต้องเข้าฉากด้วยกัน
“พี่ต้องทำยังไงหรือขวัญถึงจะชิน” ธงรบยังคงใช้สรรพนามเดิมที่เขาเคยชินในการพูดคุยกับขวัญชีวาโดยไม่สนใจว่าเธอจะคิดยังไง ต่อให้อยากจะบุ่มบ่ามรวบรัดตรงไปตรงมาแบบหลานชายตัวแสบ ด้วยการจับคนตรงหน้ามาบอกเล่าความจริงที่ว่าเขาและเธอต้องเป็นคู่กัน มีลูกมีหลาน มีครอบครัวที่แสนอบอุ่นแค่ไหน เขาก็ต้องทนข่มใจไม่ขัดขืนต่อครรลองแห่งยุคสมัย มิเช่นนั้นเขาคงไม่แคล้วกลายเป็นคนสติไม่ดีในสายตาเธอเข้าไปอีกกระทง แล้วเรื่องมันจะยิ่งวุ่นวายไปกันใหญ่
“คุณธงไม่ต้องทำเลยค่ะ ฉันรู้ว่าคุณธงไม่ชอบฉัน” เธอตัดสินใจบอกความรู้สึกของตัวเองออกมา
“จบหนังของพี่เทอดเรื่องนี้ฉันก็ต้องกลับไปเรียน เราคงไม่ได้เจอกันอีก” ขวัญชีวามองชายหนุ่มตรงหน้า พร้อมพูดในสิ่งที่คิดว่าน่าจะเป็นความสบายใจของเขา “ระหว่างนี้ฉันจะพยายามอยู่ห่างๆ คุณธงให้มากที่สุด คุณธงจะได้ไม่ลำบากใจ…” คำพูดสั้นๆ ของขวัญชีวาทำให้ธงรบรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะโดนทิ้ง
“แต่พี่อยากไม่อยากให้ขวัญอยู่ห่างๆ เหมือนที่ขวัญชอบทำ” เขารู้ดีว่าความรักของเขากับขวัญชีวาเริ่มต้นด้วยคำพูดโง่ๆ และกว่ามันจะลงเอยด้วยดีเขาได้ทำร้ายหัวใจคนตรงหน้าและเพื่อนรักของตัวเองมาแล้ว ครั้งนี้เขาไม่ยอมให้มันเกิดซ้ำ ถึงจะดูเห็นแก่ตัว แต่วันนี้เขาจะไม่มีทางปล่อยมือใครคนใดคนหนึ่งเหมือนที่เคยทำอีกเด็ดขาด และมือคนแรกที่เขาจะต้องคว้าเอาไว้ให้ได้ก็คือหญิงสาวตรงหน้า
“และพี่ก็อยากขอโทษขวัญเรื่องวันนั้นที่บ้านพี่เทอด พี่แค่อยากเย้าแหย่ขวัญเล่น แต่คำพูดด้วยความคึกคะนองของพี่ก็ทำร้ายขวัญ พี่ขอโทษ…” ธงรบมองสบตาหญิงสาวผู้เป็นดั่งดวงใจของเขามาทั้งชีวิต
น่าแปลกที่คำอธิบายและคำขอโทษสั้นๆ ที่เธอหวังจะได้ยินมาตลอดมันเทียบไม่ได้กับความหมายที่สะท้อนออกมาจากดวงตาคู่นั้นของเขา ที่เธอรู้สึกได้ว่ามันจริงใจและยอมรับผิดมากกว่าถ้อยคำของเขา ขวัญชีวาสบตาธงรบอย่างค้นหา และเธอก็พบว่าในดวงตาคู่นั้นยังมีความรู้สึกบางอย่างที่เธอไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองไปไกล เพียงเพราะแค่ได้ยินคำว่าขอโทษ ขณะเดียวกันมันก็น่าแปลกที่ความรู้สึกน้อยใจที่เคยกดทับหัวใจมันกลับดูเบาลงอย่างประหลาด
“ที่จริงคุณธงไม่ต้องขอโทษก็ได้ค่ะ ฉันเข้าใจดีค่ะ” หญิงสาวตอบอย่างไว้ตัว
“ขวัญเข้าใจว่าอย่างไร”
“ก็เข้าใจอย่างคุณธงว่านั่นละค่ะ ฉันชอบแต่งตัว เป็นคนมั่นอกมั่นใจ เป็นนักเรียนนอก มีหนุ่มมาชอบพอเยอะ”
“ขวัญยังโกรธพี่อยู่ ” ธงรบตัดพ้อ
“เอาเป็นว่าขวัญรับคำขอโทษคุณธงไว้นะคะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วคุณธงกลับบ้านเถอะค่ะ ขวัญอยู่รอพี่ไม้ได้” หญิงสาวตัดบทและออกปากไล่ จนธงรบเริ่มใจไม่ดีเพราะเห็นตัวเล็กๆ ดูมั่นอกมั่นใจแบบนี้ เขารู้ดีว่าคนตรงหน้านั้นก็มากทิฐิและแสนงอน ขืนเขาปล่อยให้ขวัญชีวางอนนานมันคงไม่ดีกับตัวเขาเป็นแน่ เพราะใครจะรู้ว่าพระพรหมจะเล่นตลกอะไรอีก ขนาดตัวเขายังย้อนวัยกลับมาอยู่ที่นี่ได้เลย เอาวะ…ตลอดชีวิตที่ผ่านมาไม่มีวันไหนที่เขาไม่เคยบอกรักเธอ ถ้าวันนี้เขาจะบอกรักเธอมันก็คงไม่ผิด
“พี่ชอบที่ขวัญแต่งตัวสวย พี่ชอบความมั่นอกมั่นใจที่ขวัญมี และพี่ไม่สนด้วยว่าขวัญจะเป็นนักเรียนนอกหรือเปล่า แต่พี่ไม่ชอบที่มีหนุ่มๆ มาชอบขวัญ เพราะ…พี่อยากให้ขวัญชอบพี่คนเดียว เหมือนที่พี่รู้สึกแบบนั้นกับขวัญคนเดียว” ประโยคยาวๆ ที่ย้ำชัดทุกถ้อยคำเหมือนคำบอกรักให้ได้ยินทำเอาดวงตาคู่สวยเบิกโพลงด้วยความคาดไม่ถึง แก้มนวลแดงระเรื่อ ในบรรดาชายหนุ่มที่แวะเวียนเข้ามา ธงรบคงเป็นชายหนุ่มที่ตรงไปตรงมาที่สุดที่เธอเคยได้เจอและรู้จัก เพียงไม่กี่นาทีเขาสามารถเปลี่ยนคำขอโทษให้คล้ายเป็นคำบอกรักที่จู่โจมเข้ามาเขย่าหัวใจดวงเล็กๆ ของเธอจนตั้งตัวไม่ทันได้
“เอ่อ…พี่ไม้มาแล้วฉันขอตัวก่อนนะคะ ขอบคุณคุณธงนะคะที่สละเวลามาอยู่เป็นเพื่อน” ขวัญชีวายกมือไหว้ขอบคุณและรีบลุกเดินตรงไปยังรถของพี่ชายที่จอดรออยู่ด้านหน้าโรงถ่ายโดยไม่เหลียวหลัง ปล่อยให้ธงรบมองส่งเธอตามหลังจนรถลับหายไปจากสายตาด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง นี่เขาพูดหรือทำผิดอะไรตรงไหนอีกหรือเปล่า
- READ พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 12 : รอยแผลเป็น
- READ พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 11 : ดาวร้าย
- READ พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 10 : ชาติชาย
- READ พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 9 : แผนการ
- READ พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 8 : กำจร ก้องเกียรติเกรียงไกร
- READ พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 7 : คำสารภาพ
- READ พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 6 : แรกพบ
- READ พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 5 : ธงรบ-ขวัญชีวา
- READ พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 4 : จอมใจไกลปืนเที่ยง
- READ พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 3 : ทางเดินชีวิต
- READ พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 2 : เจตน์ เทพเทวา
- READ พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 1 : ดาวร้ายในดวงใจ