เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 16 : นางทับทิม

เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 16 : นางทับทิม

โดย : จันทร์จร

Loading

เหลี่ยมเล่ห์เรไร นวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาปี 4 โดย จันทร์จร…เมื่อความจริงถูกปกปิดไว้ด้วยอำนาจมืด และการหลบเลี่ยงความผิดของคนกลุ่มหนึ่ง เรไรจึงต้องออกมากระชากหน้ากากและเปิดโปงความฉ้อฉลนั้นด้วยตัวเอง เพื่อมอบความเป็นธรรมให้กับเหยื่อทุกคน ที่ยังรอให้ใครสักคนทำหน้าที่ลงโทษคนพวกนั้น นวนิยายสนุกๆ อีกหนึ่งเรื่องที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านที่ anowl.co

อีกด้านหนึ่ง มธุกรก็กำลังถูกความโกรธและความสิ้นหวังเข้าครอบงำ เธอไม่อาจสลัดความรู้สึกไม่สงบเรื่องภาพก่อนศัลยกรรมหลุดออกไปได้ ถึงข่าวจะไม่ได้บอกว่าทับทิมศัลยกรรมออกมาเป็นใคร แต่ตอนนี้ทุกสื่อกำลังหันมาจับจ้องว่ามูลนิธิกำลังเก็บคนทำผิดไว้ และสำคัญยิ่งกว่านั้นคือนางทับทิมไม่ได้ตายจริงใช่หรือไม่

ภายใต้เงามืดที่ปกคลุมเธอและมูลนิธิ มธุกรรู้ว่าตนต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงที่เหลืออยู่ไม่มาก และปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง ก่อนที่จะถูกสาวว่าแท้จริงแล้ว นางทับทิมได้กลายมาเป็นมธุกรเศรษฐีหม้ายใจบุญคนนี้

เรื่องที่มาของเงินยังไม่ทันให้คนลืม เรื่องตัวตนที่ปกปิดไว้ก็กำลังจะมาอีก…

หญิงสูงวัยเคาะนิ้วลงบนโต๊ะทำงานอย่างไม่สบอารมณ์ ในเมื่อมาดามลอร่าถูกกำจัดไปแล้ว ก็ไม่น่าจะมีใครหาหลักฐานการสร้างตัวตนใหม่ของเธอได้ แต่ทำไมเรไรถึงกล้าเล่นเรื่องนี้ต่อหน้าสื่อ นั่นคือสิ่งที่ทำให้เธอยิ่งไม่สบายใจ จนต้องเรียกคนสนิทอย่างดลพรเข้ามาหา

“เรื่องที่ให้ไปเก็บหลักฐานจากลอร่ามาให้หมด แน่ใจใช่ไหมว่าเก็บทุกอย่างดีแล้ว”

“ค่ะ ฉันอยู่ที่นั่นตอนมาดามตาย ก่อนที่เรไรจะมาถึงฉันสั่งให้คนเอาเอกสารทั้งหมดออกมา ทุกอย่างที่จะสาวถึงพวกเรา ไม่มีทางที่จะหลุดถึงตำรวจแน่นอนค่ะ” ดลพรอธิบายพลางบีบมือตัวเองแน่น

มธุกรเอนหลังพิงเก้าอี้ เธอมีสีหน้าสงบ ต่างจากภายในที่ร้อนเป็นไฟ สถานการณ์ทุกอย่างอยู่เหนือการควบคุมไปหมด และเธอก็ไม่ชอบมันเลยสักนิด

“คิดว่าพวกมันจะพบอะไรเพิ่มจากที่อื่นหรือเปล่า หรือลอร่าให้อะไรกับพวกมันไปก่อนแล้ว” เธอวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ทั้งหมด

“ฉันไม่คิดอย่างนั้นค่ะ มาดามลอร่าไม่มีทางทำอะไรให้ตัวเองเดือดร้อนด้วยแน่”

“แล้วทำไมพวกมันถึงได้มั่นใจขนาดนั้นล่ะ” เจ้าของห้องจ้องมองคนสนิทเขม็ง ราวกับกำลังจะหาคำตอบจากท่าทีที่หวั่นเกรงเธออยู่

ดลพรหลุบตามองต่ำ มือที่บีบแน่นอยู่แล้วยิ่งขยับจนแน่นกว่าเดิม

“ฉันไม่ทราบค่ะ…” เธอยอมรับ ด้วยน้ำเสียงที่เบาจนแทบจะไม่ได้ยิน

มธุกรถอนหายใจและหลับตาลงชั่วขณะ ก่อนจะเปิดตามองไปอย่างไร้ทิศทาง

“เราควรจะกำจัดเลยดีไหม ก่อนที่พวกมันจะทำเรื่องเซอร์ไพรส์อะไรฉันอีก แต่ถ้าทำอย่างนั้นทุกคนก็จะหันมาสนใจฉันทันที มันน่าหงุดหงิดเหลือเกิน…”

ในขณะที่ดลพรไม่ได้ตอบอะไร มธุกรก็ได้แต่หวังว่ามันจะยังไม่สายเกินไปสำหรับการแก้ไข เพราะในเกมนี้หากช้าไปเพียงก้าวเดียว นั่นอาจหมายถึงอันตรายที่ขยับมาประชิดตัวมากขึ้น

เจ้าของห้องลุกออกมาจากเก้าอี้ และเดินออกไปมองยังนอกหน้าต่างของมูลนิธิ ที่ซึ่งเป็นเหมือนเกราะกำบังอันปลอดภัยให้เธอเสมอ แต่ตอนนี้สิ่งที่ปกป้องเธอเอาไว้ กลับกำลังถูกทำลาย และเธอทำได้แต่เฝ้ารอด้วยความวิตกกังวลที่ทวีขึ้นทุกขณะ

ใช้ความคิดอยู่นาน ในที่สุดมธุกรก็หยุดนิ่งและหันมามองดลพรที่กำลังรอคำสั่งจากเธอ

“เราต้องใช้แผนใหม่” เธอเริ่มด้วยน้ำเสียงสงบเยือกเย็น และความน่ากลัวที่แผ่ออกมาแม้ว่าตอนนี้กำลังจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่หนักหนาสาหัสอยู่ก็ตาม “ฉันต้องการคนที่จะสวมรอยเป็นทับทิม”

“คุณหมายถึงใช้ตัวล่อเหรอคะ ตะ…แต่คราวที่แล้ว…” ดลพรนึกถึงความผิดพลาดในการหาแพะครั้งที่แล้ว ซึ่งกว่าจะทำให้เรื่องสงบได้ ก็ต้องใช้ทั้งเงินและอำนาจในการปิดปาก และแก้ข่าวใหม่อย่างทุลักทุเล

“คนเดียวที่ฉันจะไว้ใจให้เล่นบทนี้ก็คือเธอ พร…เธอเป็นคนเดียวที่ฉันเชื่อใจ” สายตาเย็นชานั้นไม่ละไปจากใบหน้าของดลพร

คลื่นความกลัวและกังวลเข้าถาโถมใส่ดลพรแทบจะทันที ริมฝีปากของเธอสั่นและพยายามจะปฏิเสธ

“แต่…คุณมธุกรคะ ไม่มีทางที่คนจะเชื่อฉันแน่ ฉัน…ฉันคงเล่นบทเป็นคุณทับทิมไม่ได้”

“เชื่อใจฉันสิ…ว่าฉันช่วยเธอได้แน่” มธุกรยืนยันความต้องการของตัวเอง โดยไม่ต้องการคำโต้แย้งใดๆ “สิ่งที่เธอต้องทำ คือการทำให้คนเชื่อว่าทับทิมปลอมตัวเป็นคนสนิทของมธุกร และเธอต้องยอมรับผิดกับเรื่องทุจริตที่เกิดขึ้นทั้งหมด”

“คุณมธุกร…”

คนพูดแทบจะไม่ได้ยินเสียงตัวเอง และไม่อยากเชื่อว่าในที่สุด เธอก็ต้องเป็นคนออกหน้ารับ กับทุกความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ดลพรรู้สึกปั่นป่วนท้องไส้และจิตใจเริ่มสับสน แต่ก่อนที่เธอจะได้ทักท้วง มธุกรก็พูดเสริมออกมาก่อน

“ฉันจะตอบแทนเธออย่างงามสำหรับเรื่องนี้ และไม่ต้องห่วงเธอจะไม่ต้องเข้าคุก รู้ใช่ไหมว่าฉันมีวิธีที่จะทำให้เธอกลับมาอย่างผู้บริสุทธิ์อีกครั้ง ทุกคนที่อยู่เบื้องหลังของเราจะทำทุกทางเพื่อให้เธอปลอดภัย และจะไม่มีใครกล้าตั้งข้อสงสัยว่าทำไมนางทัมทิมถึงได้กลายเป็นเธอ”

การเอ่ยถึงเรื่องที่เคยทำและสิ่งที่จะได้รับตอบแทนนั้นทำให้ดลพรชะงัก ถึงจะไม่เห็นด้วยนักกับการสวมหน้ากากอันตรายนี้ แต่เมื่อต้องเผชิญกับข้อเสนอที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ก็ได้แต่พยักหน้ารับอย่างไม่เต็มใจนัก บทบาทที่อันตรายที่สุดบนกระดานหมากของมธุกร ที่ความฉลาดแกมโกงของเจ้านายนั้น จะนำพาเธอให้รอดได้หรือไม่ก็คงเป็นเรื่องที่ไม่อาจคาดเดา

 

และด้วยความรวดเร็ว ในเวลาต่อมาก็ปรากฏข่าวการจับกุมนางทับทิมหน้าสื่อทุกสำนัก โดยรายงานระบุแค่ว่านางทับทิมได้ปลอมตัวเป็นคนสนิทของมธุกร และแอบฟอกเงินผ่านมูลนิธิโดยไม่มีใครรู้ เธอรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา เป็นการปิดตำนานเจ้าแม่แชร์รายใหญ่ที่แกล้งตายอย่างแท้จริง

ในเวลาที่ท้องฟ้ายามค่ำคืนสว่างไสวด้วยแสงสว่างของเมือง รถของพฤกษ์แล่นไปตามถนนขณะที่รู้ข่าว มือของเขากำพวงมาลัยรถแน่น ข่าวการจับกุมนางทับทิมถูกเผยแพร่ไปทั่ว ทำให้เกิดความโกรธแค้นและสับสน ผู้ที่เคยเป็นเหยื่อออกมาเรียกร้องความยุติธรรม ผู้คนบางกลุ่มก็ไม่เชื่อ

และที่น่าประหลาดใจก็คือ ท่ามกลางเรื่องราวทั้งหมด ตอนนี้นางทับทิมได้ถูกประกันตัวออกไป ซึ่งนั่นมันยิ่งทำให้เจ็บใจ เพราะหมายถึงเรื่องนี้มีผู้มีอำนาจอยู่เบื้องหลังและพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ทุกอย่างจบโดยเร็ว นี่คือเครื่องยืนยันชั้นดีที่จะบอกว่ามูลนิธิโลกในฝันนั้นเป็นแหล่งฟอกเงินสำคัญ ที่ไม่มีใครสามารถโค่นลงได้

เมื่อมาถึงคอนโดฯ ของเรไร เขาได้ขึ้นไปหาเธอที่ห้องและพบว่าหญิงสาวกำลังจับจ้องอยู่ที่การรายงานข่าว ด้วยใบหน้าเคร่งขรึมท่ามกลางโถงรับแขกที่ไร้แสงสว่าง

“รู้เรื่องแล้วใช่ไหม” พฤกษ์เดาจากท่าทางของเธอ และการหายตัวไปของทิพย์ซึ่งไปทำการบางเรื่องตามที่เรไรสั่ง วันนี้ช่างเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ทั้งการจับกุม ความคลั่งไคล้ในการหาข่าวของสื่อ การประกันตัวที่ชวนสงสัย

เรไรนั่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าของเธอนิ่งเฉยจนดูน่ากลัว จากนั้นหญิงสาวก็หันไปหาเขา ที่กำลังจ้องมองเธอราวกับกำลังรอคำตอบ

“เราเปิดเผยเรื่องทับทิมต่อหน้าทุกคน เพื่อจะให้พวกมันหาทางหลุดรอดด้วยวิธีนี้น่ะเหรอ ท้ายสุดแล้วพวกมันก็ยังคงใช้อำนาจอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย ไม่มีทางไหนเลยที่เราจะเปิดโปงความจริงโดยไม่ถูกปิดข่าวได้” เธอหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น และมันดังก้องอยู่ในห้องที่มีแต่เสียงจากโทรทัศน์

“ผมคิดว่าการเปิดโปงความจริง จะทำให้เราเอาตัวมธุกรเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้ แต่ดูเหมือนว่าพวกมันจะนำหน้าเราไปหนึ่งก้าว” พฤกษ์รู้สึกเจ็บแปลบ ความผิดหวังของเธอเสมือนหินก้อนใหญ่ที่หล่นมาทับบ่าของเขา เขาอยากจะปลอบใจและให้กำลังใจเธอ แต่กลับยิ่งรู้สึกว่าตนนั้นล้มเหลวทุกอย่าง

เสียงหัวเราะของเรไรหยุดลงเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ใบหน้าของหญิงสาวฝังแน่นด้วยความอาฆาตอันน่ากลัว

“อิทธิพลของมธุกรหยั่งรากลึกเกินกว่าที่เราจะจินตนาการได้ มีคนที่มีอำนาจยังต้องการเธอ คนที่พยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องผลประโยชน์มหาศาล คนที่ยังต้องใช้มูลนิธิเพื่อฟอกเงินจำนวนมาก คนพวกนั้นไม่มีวันยอมให้มูลนิธิล่มสลายแน่”

คำพูดของเรไรแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดเกินกว่าที่เขาจะคาดเดา เป็นการย้ำเตือนถึงความสิ้นหวังต่อความเชื่อว่าความจริงจะชนะทุกสิ่ง แต่ภายใต้ความขมขื่นและผิดหวังนั้น พฤกษ์กำลังรู้สึกถึงอำนาจมืดในจิตใจของหญิงสาว ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเธอยังห่างไกลกับการยอมแพ้

 

ชายหนุ่มกลับมานั่งอยู่ในรถ สองมือจับพวงมาลัยเอาไว้แน่น หัวใจหนักอึ้งด้วยความผิดหวัง เขาสัญญากับเรไรว่าจะช่วยเธอเปิดโปงด้านมืดของมูลนิธิ แต่เหมือนคำสัญญานั้นจะกลายเป็นลมปากไปเสียแล้ว พฤกษ์หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา นิ้วของเขาเลื่อนไปมาบนหน้าจอโทรศัพท์สว่างไสว ก่อนจะกดหมายเลขที่คุ้นเคย

“อือ…ฉันเอง” เขาพูดทันทีที่ปลายสายรับ ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหนื่อยเกินทน

“ไงพฤกษ์ มีเรื่องอะไรให้ช่วย” ผู้กองรุจตอบกลับมาทันที

พฤกษ์มีสีหน้าลังเลก่อนจะถาม

“รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับการจับกุมนางทับทิมบ้าง”

ปลายสายนิ่งไปชั่วอึดใจ เขาได้ยินเสียงถอนหายใจออกมาดังๆ

“ฉันลำบากใจเหมือนกันนะที่จะพูดกับแกในเรื่องนี้” รุจยอมรับ “แต่ที่รู้คือมีใครบางคนที่มีอิทธิพลมาก เขาไม่ต้องการให้ใครมายุ่งกับเรื่องนี้ ตำรวจที่เคยทำคดีพนักงานที่เป็นแพะรับบาปถูกสั่งย้ายกันเป็นว่าเล่น ดีหน่อยที่สองแม่ลูกนั่นยังปลอดภัยเพราะแทบไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับมูลนิธิ แต่หลักฐานก็ยังไม่มากพอที่จะเอาผิดคนบงการ อย่างที่เดาแต่แรกว่าคนที่มีอำนาจยังไม่ยอมปล่อยให้มูลนิธิเป็นผู้ผิดง่ายๆ ไม่ว่าแกจะคิดว่าเรื่องนี้แปลกยังไง มันก็จะมีคนพร้อมมารับผิดแทนเสมอ ต่อให้แกจะมีหลักฐานเอาผิดได้จริงๆ ฉันว่าคนที่ต้องกลัวมากที่สุดก็คือคนที่อยากจะแฉนั่นแหละ”

“แล้วไม่มีตำรวจคนไหนสงสัยบ้างเหรอวะ ว่าทำไมจู่ๆ นางทับทิมถึงได้โผล่ออกมาตอนนี้ ข้อมูลดีเอ็นเออะไรไม่เห็นมีข่าวว่าตรวจแล้วเลย มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ” พฤกษ์บ่นอย่างหัวเสีย อันที่จริงเรื่องนี้ใครเห็นก็ว่ามีเงื่อนงำ แต่ทุกอย่างกลับปิดเงียบแล้วปล่อยให้มีการประกันตัวออกไปด้วย

“ตำรวจไม่ได้โง่หรอกนะไอ้พฤกษ์ ทุกคนคนมีความเห็นตรงกันหมดว่ามันแปลก แต่อย่างที่บอกว่าเรื่องนี้มีผู้มีอำนาจอยู่เบื้องหลัง แล้วที่สำคัญฉันไม่คิดว่านางทับทิมตัวปลอมจะอยู่ให้ตรวจสอบหรอก”

“แกหมายความว่าไงวะ”

“ตามความเห็นฉัน ถ้าไม่มีคนช่วยออกไปนอกประเทศ ก็อาจถูกเก็บเร็วๆ นี้แหละ” เพื่อนของเขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาในที่สุด

พฤกษ์กดวางสายเมื่อคุยเสร็จ เขาอยู่ตามลำพังกับแสงสลัวของรถ ความกดดันจากคำพูดของผู้กองรุจถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับดลพร หรือผู้ที่อ้างตัวเองว่าเป็นนางทับทิมกดทับจนอัดแน่นไปหมด หรือที่จริงแล้วเขากำลังต่อสู้อย่างไม่มีความหวังกันแน่ ด้วยความจริงได้ถูกบดบังด้วยการฉ้อราษฎร์บังหลวง การหลอกลวง และศูนย์กลางของเรื่องก็ไม่ใช่ใคร แต่เป็นมธุกรที่มีใครบางคนหนุนหลังอยู่อีกที

 

ในเวลาเดียวกันนั้น คนที่กลายเป็นนางทับทิมอย่างเต็มตัวก็ได้แต่นั่งตัวแข็งทื่ออยู่บนที่นั่งฝั่งผู้โดยสารในรถหรู มือของเธอกุมกันเอาไว้แน่นเมื่อเหลือบมองภมรที่กำลังขับรถ ด้วยความกระวนกระวายกับเส้นทางที่กำลังมุ่งไปข้างหน้า เขามีสีหน้าเคร่งเครียดและสงบเงียบ ซึ่งดลพรก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัวจนจุกแน่นในท้องไปหมด

มธุกรผู้เป็นนายบอกให้เธอมั่นใจในความปลอดภัย และบอกว่าเธอจะได้รับการคุ้มครองภายใต้การดูแลของตำรวจ ทว่าตอนนี้เมื่อเธอได้รับการประกันตัวออกมา พร้อมกับอิสรภาพที่ไร้ซึ่งเจ้าหน้าที่คุ้มกะลาหัว ดลพรกลับพบว่าความศรัทธาในตัวเจ้านายนั้นเริ่มถดถอย รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเบี้ยบนกระดานหมากรุก ที่ขยับไปตามความต้องการของผู้เล่นเท่านั้น

“คุณภีมคะ…” เสียงของเธอสั่นขณะเรียกคนที่กำลังขับรถอยู่ “คือฉัน…จะปลอดภัยจริงๆ ใช่ไหมคะ”

“คุณต้องเชื่อใจคุณมธุกรสิครับ แม่ไม่มีทางปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นกับคุณหรอก” มือของภมรจับพวงมาลัยแน่นและไม่ได้มองเธอ ขณะที่เขากล้าเรียกมธุกรว่าแม่อย่างเต็มปาก

คำพูดของเขาดูมั่นใจเกินกว่าที่ดลพรรู้สึก เธอได้แต่พยักหน้าและกัดริมฝีปากแน่น พอเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถ ก็เห็นแต่แสงไฟที่ส่องผ่านไป จึงอดที่จะคิดว่าตนกำลังเดินเข้าไปในกับดักที่เจ้านายวางไว้ไม่ได้ แม้ว่าอยากจะเชื่อใจมธุกรมากเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถปกปิดความสงสัยที่กวนใจอยู่

 

ขณะที่ภมรพารถเข้าสู่ถนนลูกรังแคบๆ ไฟหน้าก็ส่องไปที่บ้านหลังเล็กดูแปลกตาหลังหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางสวนผลไม้ ทิวแถวของต้นมะม่วงยืนตระหง่าน ใบของมันแกว่งไกวเบาๆ ในสายลมยามเย็น เงาของพวกมันทอดยาวอย่างน่าขนลุกบนเส้นทางข้างหน้า ตัวบ้านเป็นโครงสร้างของอิฐฉาบปูนผุกร่อนเป็นบางส่วน มีกระเบื้องมุงหลังคาที่บางจุดก็เปิดให้เห็นโครงไม้ เสมือนสัญญาณของความเสื่อมถอยท่ามกลางความมืดที่ปกคลุม

ดลพรสำรวจบ้านด้วยความกังวลใจ หัวใจของเธอเต้นแรงขณะที่ก้าวลงจากรถ กลิ่นของดอกแก้วลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ ช่างหอมหวนและชวนอึดอัดในเวลาเดียวกัน ยิ่งทำให้ท้องของเธอปั่นป่วนด้วยความกระวนกระวายใจที่ทวีมากขึ้น

“ทำไมเราถึงมาอยู่ที่นี่คะคุณภีม” เธอถามด้วยเสียงที่สั่นเจือปนไปด้วยความกลัว

“แม่ของผม…คุณมธุกรมีแผนจะพาคุณออกมาจากความวุ่นวาย และก็เพื่อความปลอดภัย…” ภมรหันไปหาเธอด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะพูดต่อ “คุณอาจต้องหายหน้าหายตาไปสักพัก”

สิ่งที่ออกมาจากปากของเขาทำให้ดลพรรู้สึกหนาวสั่นไปถึงสันหลัง ทุกอย่างให้ความรู้สึกคล้ายกับตอนที่มธุกร หรือที่รู้จักกันในนามทับทิมในตอนนั้น ได้แกล้งทำเป็นตายด้วยการใช้ศพคนอื่น แล้วกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งด้วยตัวตนใหม่

“แล้วยังไงต่อคะ ฉันควรจะกลับมาเป็นคนอื่นเหมือนที่แม่ของคุณทำหรือเปล่า” ดลพรถามด้วยหัวใจที่เต้นแรงอยู่ในอก

ภมรไม่ตอบ และความเงียบของเขาก็ยืนยันสิ่งที่เธอกลัวได้เป็นอย่างดี

ลางสังหรณ์บางอย่างก่อตัวขึ้นขณะที่ดลพรกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก จิตใจของเธอพะวงไปถึงความเป็นไปได้อันน่าสะพรึงกลัวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น หูอื้ออึงด้วยความเงียบรอบตัว ได้ยินแต่เสียงหัวใจที่เต้นระรัว ความกลัวเพิ่มขึ้นสร้างความปั่นป่วนภายในจนรู้สึกได้ ว่านี่อาจเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ทับทิมหายตัวไปจากมธุกรอย่างถาวร

“ไม่! ฉันจะไม่ยอมตายเด็ดขาด” ดลพรพูดกับตัวเอง ความตั้งใจฉายชัดในดวงตา ขณะที่เธอมั่นใจว่าถูกหลอกมากำจัดแน่แล้ว

ทันใดนั้น ดลพรก็วิ่งสวนออกไปแต่ภมรกลับรั้งไว้ทัน ความสิ้นหวังทำให้เธอมีพละกำลังมากเกินกว่าที่ควร แม้ว่าชายหนุ่มจะพยายามดึงร่างไว้ เธอก็พยายามดิ้นรนต่อสู้จนถึงที่สุด และด้วยกำลังที่เหนือกว่า รวมถึงความโหดร้ายของเขา ทำให้ภมรล็อกคอเธอเอาไว้แน่น ในที่สุดดลพรก็หมดสติ ร่างของเธออ่อนปวกเปียกและล้มลงกับพื้นอย่างไร้ชีวิตชีวา

 

ความมืดปกคลุมขณะที่ภมรยืนหอบอย่างหนักอยู่ตรงนั้น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจและหวาดกลัวกับสิ่งที่ได้ทำลงไป เขาค่อยๆ หยิบถุงมือสีดำมาสวมมือตัวเองไว้ทั้งสองข้าง แล้วกลับไปหยิบปืนพกสีดำเงาออกมา มือของเขาสั่นขณะที่ยกปืนขึ้น ก่อนจะเล็งไปที่ขมับของคนที่กำลังสลบอยู่

“ผะ…ผมขอโทษ” เขาละล่ำละลักออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นไปหมด รวมถึงน้ำตาไหลอาบแก้มระหว่างที่กำลังเหนี่ยวไกปืน

ปัง!

ภมรหลับตาแน่นตอนที่เสียงปืนดัง แล้วลืมตาขึ้นมาเมื่อสิ้นเสียง เขาจับจ้องไปที่ร่างไร้วิญญาณของดลพร มูลค่าของสิ่งที่เพิ่งทำลงไปกดลงมาหาราวกับก้อนหินหนัก บรรยากาศรอบตัวนั้นเย็นเฉียบ และเหมือนมีน้ำแข็งเฉือนเข้าไปในตัวทุกครั้งที่มีเสียงหายใจขาดๆ หายๆ น้ำตาของชายหนุ่มไหลอาบใบหน้า

แต่ไม่มีเวลาสำหรับการคร่ำครวญ และเขามีงานที่ต้องทำต่อให้เสร็จ

ร่างสูงเดินเข้าไปใกล้ร่างของดลพรอีกครั้ง เขาเกือบจะสำรอกแต่ต้องกลืนมันลงคอกลับไปขณะที่หยิบปืนขึ้นมา ความเย็นเฉียบของโลหะผ่านถุงมือเข้ามา กระทบกับนิ้วที่สั่นเทา ภมรพยายามควบคุมตัวเอง แล้วระลึกไว้แค่คำสั่งของมธุกร

ภมรย่อตัวลงข้างๆ กับศพ ยกมือที่ไร้ชีวิตให้จับปืนอย่างยากลำบาก จัดวางอาวุธในมือด้วยท่าที่ถูกต้อง และระมัดระวังเพื่อให้แน่ใจว่ารอยนิ้วมือของเธอจะประทับอยู่บนโลหะ จากนั้นก็ปล่อยให้มือของเธอตกลงพื้น ท้ายสุดก็กลายเป็นฉากอันน่าสยดสยองของการจบชีวิตตัวเอง

“คุณอยู่กับความรู้สึกผิดไม่ได้ คุณก็เลยต้องตัดสินใจแบบนี้” เขาพูดกับเธอด้วยเสียงสั่นเครือ และพยายามโน้มน้าวใจตัวเองเพื่อให้คำโกหกดูมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น

ภมรหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วกดหมายเลขของคนที่ออกคำสั่ง ขณะที่เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังอยู่ในหู เขาก็ได้แต่มองดลพรเป็นครั้งสุดท้าย เธอคือผู้หญิงที่เคียงข้างมธุกรมาอย่างซื่อสัตย์ และแทบไม่ระแวงสงสัยในตัวนายของตนเลยจนเกือบวาระสุดท้าย และบัดนี้เธอก็ได้กลายเป็นเหยื่ออันน่าสลดหดหู่ จากความภักดีของตัวเอง

“ทุกอย่าง…เรียบร้อยแล้วครับ” ภมรพูดตะกุกตะกักใส่โทรศัพท์เมื่อมธุกรรับสาย เสียงของเขาละล่ำละลักด้วยความสยดสยอง ขณะที่กำลังบอกรายละเอียด น้ำตาหยดหนึ่งก็ไหลอาบแก้ม บัดนี้เขาได้กลายเป็นฆาตกรไปเสียแล้ว

ชายหนุ่มเดินโซซัดโซเซออกมาจากศพ แล้วทรุดตัวลงข้างกับรถด้วยสีหน้าสิ้นหวังอย่างที่สุด เขากลายเป็นสัตว์ร้ายไม่ต่างจากแม่ตัวเอง และกำลังตกเป็นเบี้ยของเธออย่างเต็มตัว

“ผมขอโทษ…ผมขอโทษจริงๆ”

ชายหนุ่มสะอื้นไห้ แล้วกอดตัวเองในระหว่างที่การกระทำเมื่อครู่ได้พุ่งเข้ามาใส่อย่างแรง ในตอนที่เสียงปืนดังก้องไปทั่วสวนผลไม้ที่ว่างเปล่า เขาเพิ่งตระหนักได้ว่า ตนเองกำลังปลิดชีวิตของคนสำคัญคนหนึ่งไป ดลพรคือคนสนิทของมธุกรแน่นอนว่าเขาเองก็คุ้นเคยกับเธอไม่ต่างอะไรจากพี่น้อง มันไม่เหมือนอย่างโมรีภรรยาที่ล่วงลับ ที่เขาแค่ใส่บางอย่างในสิ่งที่เธอดื่ม ปล่อยให้เธอกินยามากกว่าปกติเหมือนเช่นทุกครั้งและเธอก็จากไป 

 



Don`t copy text!