สาปแสงรัก บทที่ 10 : เพลงยาว

สาปแสงรัก บทที่ 10 : เพลงยาว

โดย : ตวงทิพย์ ยุวชิต

Loading

สาปแสงรัก โดย ตวงทิพย์ ยุวชิต เรื่องรักของผู้ชายธรรมดาที่ต้องคำสาปที่ว่า เมื่อพบรักแท้จะพบแต่ความทุกข์ทรมานไม่รู้จักจบสิ้น “อานุภาพ” ชายที่ไม่มีพลังอำนาจเหมือนชื่อของเขาเลย แถมยังไม่มีของวิเศษ เวทย์มนตร์คาถา แล้วเขาจะเอาอะไรไปสู้กับแรงอาฆาตพยาบาทที่สาปส่งข้ามภพข้ามชาติได้ ติดตามเอาใจช่วยเขาได้ในอ่านเอา anowl.co

วันนี้คุณมัทนานัดหมายให้อานุภาพกับอนุชมาดูเครื่องปั้นดินเผาที่จะนำมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ นวลดาราก็ถูกเชิญมาด้วยเพราะผู้เป็นยายรู้ว่าหลานสาวยังไม่ค่อยไว้ใจอานุภาพ คุณมัทนากลัวว่าหากเริ่มงานไปแล้วหลานสาวจะหาเรื่องกับชายหนุ่มอีกจึงให้เธอได้มาดูงานในทุกขั้นตอน

ตอนแรกอานุภาพไม่อยากมาเพราะเขากลัวว่าเมื่อต้องใกล้ชิดกับนวลดาราอาการผิดปกติของเขาจะแสดงออกให้เธอเห็น มันจะดูว่าเขาเป็นคนอ่อนแอ น่าสงสาร จนดูไม่น่าคบหาหรือเปล่าเขาก็ไม่รู้ได้ แต่ความคิดของอานุภาพก็เปลี่ยนไปเมื่ออนุชบอกว่าเขาควรจะมาตามที่นัดกับคุณมัทนาเพราะการได้ชมของเก่าอาจจะทำให้เขาได้รู้ข้อมูลสำคัญที่ช่วยไขปริศนาที่สงสัยอยู่ก็ได้

ข้าวของทั้งหมดถูกเก็บไว้ในอาคารที่อยู่ด้านข้างของเรือนไทย คุณมัทนาตั้งใจกันที่ดินบริเวณนี้ไว้เป็นพิพิธภัณฑ์ อาคารแห่งนี้เป็นห้องโถงโล่งๆ มีห้องเก็บของอยู่ด้านหลัง ในวันที่นัดหมายนั้นคุณมัทนาให้คนงานจัดสถานที่เป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อม นำเอาชิ้นงานเครื่องปั้นดินเผาเด่นๆ มาตั้งแสดงไว้ กระจายอยู่ทั่วห้อง

ก่อนที่ทุกคนจะได้ชื่นชมงานศิลปะ คุณมัทนาก็ได้เล่าประวัติของเกาะแห่งนี้ให้อานุภาพและอนุชฟัง

“เกาะแห่งนี้เดิมชื่อว่าเกาะเพ็ง คำว่าเพ็ง เลือนมาจากคำว่าเพ็ญ ที่แปลว่าเต็ม…” คุณมัทนาบอก

“เหมือนเดือนเพ็ญที่แปลว่าเดือนเต็มดวงน่ะหรือคะ” อนุชถาม

“ใช่จ้ะ”

“ถ้างั้นคืนเดือนเพ็ญที่เกาะนี้พระจันทร์ต้องสวยแน่ๆ เลย แล้วทำไมถึงเปลี่ยนชื่อเป็นเกาะเดือนดับล่ะค่ะ นุชว่าชื่อนี้น่ากลัวนะคะ”

“ยายนุช ฟังคุณยายก่อนสิ อย่าเพิ่งถามขัด” พี่ชายว่า

“ถามได้นะ ยายจะค่อยๆ เล่า ถ้าไปเล่าเรื่องชื่อก่อน เดี๋ยวมันจะไม่ปะติดปะต่อกันน่ะ”

“เห็นไหม” พี่ชายบอกขำๆ

“ขอโทษค่ะคุณยาย นุชปากไวไปหน่อย” อนุชบอกพลางยกมือไหว้

“เกาะนี้เป็นจุดขนถ่ายสินค้าและแหล่งค้าขายทางทะเลมาตั้งแต่โบราณ เริ่มมีหลักฐานบันทึกไว้ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่สามว่าเป็นจุดซื้อขาย ขนถ่าย แลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างเรือสำเภาจีนไปยังเรือสำเภาของฝรั่ง สินค้าต้องห้ามที่สำคัญในสมัยนั้นก็คือฝิ่น ว่ากันว่าที่เกาะนี้เป็นจุดขนถ่ายฝิ่นจากเรือสำเภาของจีนไปยังเรือสำเภาของฝรั่ง ก็เพราะสมัยนั้นมีกฏว่าถ้าหากพบฝิ่นในเรือสำเภาจีนเรือจะถูกยึด แต่ถ้าพบฝิ่นในเรือสำเภาของฝรั่งเจ้าหน้าที่จะไม่ยึดเรือ แต่จะคอยดักจับเมื่อพบเห็นการซื้อขายฝิ่นนอกเรือเป็นรายๆ ไป ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะไทยทำสนธิสัญญาค้าขายกับชาติตะวันตก ถ้าหากยึดเรือแล้วไม่พบฝิ่นก็จะเกิดข้อพิพาท กระทบกระทั่งกันระหว่างชาติได้ ฝิ่นที่นำเข้ามาจากจีนก็เลยมาขนถ่ายไปยังเรือฝรั่งที่เกาะนี้เพื่อเลี่ยงไม่ให้พ่อค้าสำเภาจีนถูกยึดเรือ

ที่ยายเล่าให้ฟังนี่เป็นความรู้รอบตัว ไม่ได้แปลว่าต้นตระกูลของสามียายเกี่ยวข้องกับเรื่องขนถ่ายฝิ่นนะ เพราะไม่มีบันทึกที่แน่ชัดในเรื่องนั้น ตามบันทึกเท่าที่สืบค้นได้ต้นตระกูลของคุณนิวัติคือนายทองดำ ท่านเป็นพ่อค้า เป็นหัวหน้าเกาะคนแรก ท่านมีลูกสาวหนึ่งคนลูกชายหนึ่งคน ชื่อเดือนและดวงซึ่งแม่หญิงเดือนคนนี้ก็คือคุณเทียดของสามีของยาย เล่ากันมาว่าการสิ้นชีพของแม่หญิงเดือนนี่เองที่เป็นที่มาของชื่อเกาะเดือนดับที่หนูนุชถาม”

“เรื่องมันเป็นยังไงคะคุณยาย…อุ๊ย ขอโทษค่ะ หนูว่าจะไม่ถามแล้วเชียว” อนุชพูดแล้วก็นึกขึ้นได้เอง

“เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าสืบกันมาน่ะจ้ะ บ้างก็ว่าคุณเทียดฆ่าตัวตาย บ้างก็ว่าถูกฆ่าตาย แต่ไม่มีใครยืนยันได้ มีการเล่ากันปากต่อปากจนไม่รู้ว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องจริง…

หลังจากคุณเทียดเดือนเสียชีวิตไม่นานก็เกิดโรคระบาดขึ้นที่เกาะนี้ ครอบครัวของคุณเทียดและชาวบ้านพากันอพยพออกไปจนเกาะแห่งนี้กลายเป็นเกาะร้าง คุณเทียดดวง น้องชายของแม่หญิงเดือนก็อพยพมาอยู่ที่กรุงเทพฯ พอเป็นเกาะร้างเกาะนี้ก็กลายเป็นรังโจรสลัด จนมีการปราบโจรในเวลาต่อมา

เวลาล่วงเลยมาจนถึงสมัยสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงลูกหลานของเทียดดวงได้ทำราชการสนองพระเดชพระคุณจนมีตำแหน่งใหญ่โต และเมื่อมีการออกโฉนดที่ดินเป็นครั้งแรก ท่านจึงได้ขอออกโฉนดที่ดิน นับแต่นั้นมาเกาะแห่งนี้ก็เป็นมรดกของตระกูลของคุณนิวัติ…แล้วในเวลาต่อมา ท่านเจ้าของเกาะก็ยินยอมให้ชาวบ้านที่ตั้งรกรากอยู่ที่นี่ไปขอออกโฉนดเป็นเจ้าของที่ดินบ้านเรือนของตัวเองได้ ส่วนที่วัดกับที่สถานีอนามัยท่านได้บริจาคให้ทางวัดและทางราชการมานานแล้ว เอาละ…เล่าประวัติเกาะจบแล้ว มาดูข้าวของกันดีกว่า”

คุณมัทนาเดินนำทุกคนไปดูแจกันเซรามิกขนาดใหญ่ใบหนึ่งที่ตั้งอยู่มุมห้อง เป็นแจกันพื้นขาวเขียนลายสีฟ้าน้ำทะเล ด้านหนึ่งเขียนภาพภูมิทัศน์ของเกาะเดือนดับแห่งนี้

“แจกันใบนี้เป็นแจกันใบใหญ่ที่สุดที่คุณนิวัติลองเคลือบน้ำยาเผาทำเซรามิก” คุณมัทนาอธิบาย

“พี่อ้าย” อนุชกระซิบเรียกอานุภาพเบาๆ เมื่อเธอหันไปเห็นว่าพี่ชายของเธอไม่ได้เดินตามมาฟังคุณมัทนาอธิบาย อานุภาพหยุดดูสิ่งของที่ตั้งแสดงบนโต๊ะไม้ อนุชมาเป็นเพื่อนพี่ชายด้วยหวังว่าจะช่วยขัดขวางไม่ให้อานุภาพกับนวลดาราใกล้ชิดกัน แต่ดูเหมือนว่าเธอจะปฏิบัติภารกิจล้มเหลวเสียแล้ว เพราะพี่ชายของเธอกำลังชมของเก่าอยู่กับนวลดารา

อานุภาพหยุดอยู่ที่หน้าโต๊ะไม้ที่จัดวางข้าวของเครื่องใช้โบราณหลายอย่าง ตาของชายหนุ่มจับอยู่ที่กล่องไม้ที่เปิดฝาไว้ อานุภาพรู้สึกราวกับโดนสะกดให้เดินตรงไปหา ก่อนที่เขาจะหยิบกล่องไม้นั้นขึ้นดู นวลดาราก็เอื้อมมือไปจะหยิบกล่องนั้นเช่นกัน ทั้งที่อานุภาพพยายามอยู่ห่างจากนวลดารามาตลอด แต่เวลานี้เขาลืมทุกอย่าง เมื่อมือเกือบสัมผัสกันเขาก็พลันได้สติ

“คุณหยิบเถอะ มันเป็นของคุณ ผมขอดูด้วยเท่านั้น” อานุภาพบอกพลางถอนมือกลับ

นวลดาราหยิบกล่องไม้มาวางใกล้ขอบโต๊ะใกล้ตัวเธอ แล้วหยิบแผ่นกระดาษที่ม้วนอยู่ในกล่องออกมาคลี่ดู กระดาษแผ่นนั้นเป็นกระดาษข่อยที่นิยมใช้กันมาตั้งแต่สมัยอยุธยาล่วงเลยมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ปกติแล้วกระดาษข่อยจะถูกตัดเป็นแผ่นยาวและพับทบกันหลายๆ แผ่นเรียกว่าสมุดไทย แต่กระดาษที่ม้วนอยู่ในกล่องไม้เป็นกระดาษข่อยแผ่นยาวแผ่นเดียวลักษณะเหมือนกระดาษเขียนจดหมาย ข้อความที่เขียนบนกระดาษนั้นจางแล้ว อักษรนั้นเลือนเป็นช่วงๆ ข้อความที่เหลือจับใจความเป็นคำไม่ได้ เห็นเพียงตัวอักษรเท่านั้น นวลดาราพยายามอ่านข้อความในกระดาษ

“ตัวหนังสือจางไปเกือบหมดแล้ว ยา…ล…อน…จิ…อะไรไม่รู้แล้ว”

“ขอผมดูหน่อย…” อานุภาพพยายามอ่านข้อความในกระดาษแผ่นนั้น “ยาม…ยามยลเดือน นามเตือนจิต คิดครวญหา”

“คราคืนแรม สิ้นแสงเดือน เลือนลับลา” นวลดาราอ่านกลอนต่อจากอานุภาพทั้งที่อักษรบนกระดาษเลือนรางแทบไม่เห็นเป็นคำ

“คำสัญญา จารใจมั่น มิผันเอย” อานุภาพต่อคำกลอนวรรคสุดท้ายได้อย่างที่ตัวเขาเองก็ยังแปลกใจ

“ดูอะไรกันคะ ขอนุชดูด้วยได้ไหม” อนุชเข้ามาร่วมวงสนทนา เธอรับเอากระดาษข่อยจากมือพี่ชายมาดูอย่างระมัดระวัง

“จดหมายโบราณเหรอคะเนี่ย”

“เขาเรียกว่าเพลงยาวจ้ะ” คุณมัทนาบอก

“เพลงยาวที่คนโบราณเขาส่งจีบกันน่ะเหรอคะ”

“ใช่จ้ะ เพลงยาวมีฉันทลักษณ์เหมือนกลอนสุภาพ ต่างกันตรงที่บทหนึ่งจะมีแค่สามวรรค เพราะเวลาแต่งจะขึ้นต้นที่วรรครับ หรือวรรคที่สอง และจะลงท้ายบทด้วยคำว่าเอย เวลาอ่านต้องอ่านจากบนลงล่างนะ” คุณมัทนาอธิบายต่อ

“มีสามวรรคเหรอคะ” อนุชก้มดูกระดาษโบราณเพื่อจะนับจำนวนวรรคของบทกลอนตามที่คุณ  มัทนาบอก แล้วเธอก็ร้องโวยวายขึ้น “ตัวหนังสือเลือนขนาดนี้ นับไม่ถูกเลยว่ามีกี่วรรค…เอ่อ…แล้วเมื่อกี้พี่อ้ายกับคุณนวลอ่านได้ยังไงคะ นุชได้ยินเหมือนอ่านกลอน หรือว่าด้นกลอนสดกันคะ”

อานุภาพอึกอักไม่รู้จะอธิบายให้น้องฟังอย่างไรว่าคำในกระดาษแผ่นนั้นผุดขึ้นมาในสมองเขาเอง

“ก็แต่งมั่วๆ ไปอย่างนั้นแหละค่ะ” นวลดาราบอกหน้าตาเฉย แล้วเธอก็เดินออกไปจากอาคารหลังนั้นไป

อานุภาพไม่เชื่อที่หญิงสาวพูด เขาเชื่อว่าเธอก็คิดเหมือนเขาว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแปลกที่เธอและเขาต่างก็ทำไปโดยไม่ได้ใช้สมองคิดหรือตัดสินใจ เขาอยากจะตามไปถามเธอให้รู้เรื่องว่าเธอรู้สึกเหมือนเขาไหม แต่ก็กลัวว่าถ้าสบตากันในเวลานี้เขาจะเก็บอาการไม่อยู่ จึงอยู่ชมสิ่งของในพิพิธภัณฑ์ของคุณมัทนาต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

ในคืนที่แสงจันทร์สุขสว่าง ลมทะเลพัดแรง ที่เรือนไทยของทองดำมีเงาของใครคนหนึ่งเคลื่อนไหวไปมาอยู่ข้างเรือน หลังทิวต้นลั่นทมเล็กใหญ่ที่ปลูกสับหว่างกันเป็นทิวแถว ยามนี้ดอกไม้เบ่งบานทิวไม้จึงดูราวกับกำแพงดอกไม้ บดบังเรือนหลังใหญ่ไว้จากสายตาคนนอก เจ้าของเงาที่เร้นกายอยู่หลังกำแพงพฤกษายืนชะเง้อรออยู่นานก็ไม่มีใครมา เขาจึงหยิบก้อนกรวดที่พื้นใกล้ตัวปาไปที่เสาเรือน เขารออยู่ชั่วอึดใจ กำลังจะปาก้อนกรวดในมือซ้ำอีก มืออีกข้างก็โดนฉุดรั้ง

“เจ้าพุด ไยมาช้านักเล่า” เขาถามเด็กชายที่มุดผ่านช่องว่างระหว่างต้นไม้เข้ามาฉุดมือเขาตั้งแต่เมื่อไรก็มิทันรู้

“พุดต้องรอให้แม่นายเผลอก่อนสิขอรับคุณพี่แสง พุดจึงจักลงมาได้” เด็กชายผมจุกบอกกับชายหนุ่มผู้พรางตัวในเงาไม้

แสงหยิบเพลงยาวที่เตรียมซุกซ่อนมาออกจากชายพก “เจ้าเอานี่ไปให้พี่สาวเจ้า”

“ขอรับ พี่แสงมิต้องปาหินอีกหนาขอรับ เดี๋ยวโดนจับได้” พุดบอกแล้ววิ่งหายไปด้านหลังเรือน

แสงรอจนดึกโขกว่าแม่หญิงเดือนจะลงมาพบเขาได้ ชายหนุ่มรอด้วยใจกระวนกระวายและหัวใจยิ่งเต้นแรงมากกว่าเดิมเมื่อหญิงสาวที่เขาหมายปองมาถึง หล่อนยอบตัวลงนั่งข้างเขาที่โคนต้นลั่นทมแล้วหันมากอดเขา

“แม่เดือน…” ชายหนุ่มจับแขนที่กอดรัดนั้นให้ขยับออกอย่างนุ่มนวล

“ฉันกอดพี่มิได้หรือจ๊ะ”

“มิใช่เยี่ยงนั้น เจ้าอย่าเข้าใจพี่ผิด พี่เพียงมิปรารถนาจักล่วงเกินเจ้าก่อนที่จักได้เจ้ามาเป็นแม่เรือนของพี่”

“ฉันจักได้เป็นแน่รึเล่า อีกสองวัน เมื่อพี่ไป พี่อาจมิกลับมา”

“พี่จักทำเยี่ยงนั้นได้เยี่ยงไร เจ้ามิเชื่อเพลงยาวของพี่รึว่า คำสัญญา จารใจมั่น มิผันเอย”

“คำสัญญาของคนไกลอาจผันไปก็เป็นได้ ในพระนครมีแม่หญิงงามเกลื่อนไป”

“ในใจพี่ มิมีใครมาแทนเจ้าดอกนะแม่เดือน หากเลือกได้ พี่มิอยากห่างเจ้าเลยหนา อย่าว่าชั่วเดือน ชั่ววันพี่ก็มิอยากห่างเจ้า แต่เมื่องานล่วงแล้วพี่ก็ต้องไปรายงานหลวงท่าน มิเช่นนั้นพี่ก็มีผิด”

“ฉันรู้จ้ะพี่ แต่พี่ต้องเร่งกลับมาให้ทันวันเพ็ญเดือนสิบสองหนาพี่ มิเช่นนั้นฉันจักต้องตกเป็นเมียพี่ทิว ตามคำพ่อ”

“เจ้าว่ากระไรนะ พ่อลุงจักบังคับเจ้าให้ออกเรือนกับคนพรรค์นั้นได้เยี่ยงไร”

“พ่อถือคำมั่นที่ให้ต่อพ่อของพี่ทิว พ่อหมั้นหมายฉันไว้กับพี่ทิวตั้งแต่เล็กๆ แล้วจ้ะ”

“พี่มิยอมดอกหนาแม่เดือน พี่จักไปกราบพ่อลุงบอกว่าเรารักกันบัดเดี๋ยวนี้แล” แสงผุดลุกขึ้นด้วยความโกรธเป็นที่สุด

“ประเดี๋ยวก่อนจ้ะพี่” แม่เดือนฉุดแขนเขาไว้ “พี่ฟังฉันก่อนหนา”

เมื่อคนรักขอร้องแสงก็ยอมนั่งลงฟังหล่อน

“พ่อรู้แก่ใจว่าเรารักกัน”

“พี่มิเข้าใจ เมื่อพ่อลุงรู้สิ้นแล้วว่าเรารักกัน ไยเจ้าจึงให้พี่ลักลอบมาพบเจ้าเยี่ยงนี้เล่า”

“พ่อห้ามมิให้เราไปมาหากันให้คนอื่นรู้เห็น พ่อกลัวว่าหากพี่ไปแล้วมิกลับมา ฉันจักต้องอับอาย มิมีหน้ามองคนทั้งเกาะ พ่อสั่งเด็ดขาดว่าฉันจักทำตนเยี่ยงคู่รักของพี่มิได้ เว้นเสียแต่พี่จักออกเรือนกับฉันแล้ว”

“โธ่ แม่เดือนพี่มิมีวันทิ้งเจ้าดอก” แสงโอดครวญ “พี่ต้องทำเยี่ยงไรพ่อเจ้าจึงจักเชื่อ”

“พี่จักต้องกลับมาสู่ขอฉันให้ทันก่อนวันเพ็ญเดือนสิบสอง พ่อบอกฉันว่าพ่อมิเชื่อใจว่าพี่จักมีใจกับชาวเกาะบ้านป่าเยี่ยงฉันจริง พ่อจักเชื่อก็ต่อเมื่อพี่ให้ผู้ใหญ่มาขอฉัน พ่อรับปากกับฉันแล้วว่าถ้าพี่มาขอพ่อจักยอมยกฉันให้พี่ แต่ถ้ามิเป็นตามนี้ ฉันก็จักต้องออกเรือนกับพี่ทิว”

“เจ้ามิต้องกลัวดอกหนา พี่จักกลับมาสู่ขอเจ้าให้ทัน พี่ให้คำมั่น” แสงบรรจงจูบหลังมือหญิงผู้เป็นที่รักเหมือนดั่งจะตอกย้ำคำสัญญา

เดือนถอดสร้อยคอที่สวมอยู่ส่งให้คนรัก

“สร้อยนี้พ่อมอบให้ฉันเมื่อครั้งไปค้าขายที่เมืองมะละกา หินสีเป็นหินมงคลจักช่วยคุ้มครองให้พี่อยู่รอดปลอดภัย”

“แต่พ่อเจ้า ให้เจ้าไว้คุ้มครองตนหนา”

“พี่เก็บไว้เถิดจ้ะ พี่ต้องเดินทางไกล จักได้เอาไว้ดูแทนตัวฉัน เมื่อเห็นสร้อยก็เหมือนเห็นฉัน”

“สวมให้พี่เถิดเจ้า พี่จักจำเพลานี้ไว้จนกว่าเราจักกลับมาพบกันอีกครา”

เดือนสวมสร้อยคอให้แสง เขามิอาจหักห้ามใจจึงดึงตัวหล่อนมากอดไว้แนบแน่น

 

อานุภาพรู้สึกตัวตื่นเพราะแสงแดดส่องผ่านผ้าม่านเข้ามาในห้องนอน เขามึนงงอยู่เป็นครู่กว่าจะทบทวนความทรงจำได้ว่าอยู่ที่ไหน เป็นเวลาใด พลันเมื่อนึกได้น้ำตาก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ชายหนุ่มนึกเสียดายและอาลัยอาวรณ์ความฝันจนไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ แม้เมื่อตื่นขึ้นแล้วความสุขก็ยังเต็มตื้นในหัวใจ

ชายหนุ่มหลับตาลง ปล่อยใจให้มีความสุขกับความฝันอยู่อีกครู่ใหญ่ก่อนจะตัดใจลุกจากเตียง เมื่อลุกขึ้นนั่งเขาก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่ามีสร้อยหินสีอยู่ข้างหมอน อานุภาพหยิบสร้อยเส้นนั้นขึ้นมาดู มันเป็นสร้อยเงินที่ร้อยหินมงคลหลายเม็ดสลับสีกันไป เป็นสร้อยในความฝันไม่ผิดแน่ เขาจำลำดับการเรียงหินสีบนสร้อยได้

“เป็นไปได้ยังไง”

อานุภาพรีบเดินออกจากห้องนอน ในมือถือสร้อยเส้นนั้นลงมาด้วย เขาจะต้องหาคำตอบให้ได้ว่าสร้อยเส้นนี้มาอยู่ข้างหมอนเขาได้อย่างไร พอเขาเดินลงมาถึงชั้นล่างของเรือนรับแขก ชเลก็วิ่งมาหา

“พี่อ้ายตื่นแล้วเหรอครับ…ชอบสร้อยของชเลไหมครับ” เด็กชายถาม ตาจับจ้องที่สร้อยคอในมือเขา

“ชเลเป็นคนเอามาให้พี่เหรอ”

“ใช่ครับ ชเลเห็นมันสวยดี มันน่าจะเหมาะกับพี่อ้าย ชเลเลยเอามาให้ครับ”

“แล้วชเลไปเอาสร้อยนี้มาจากไหนครับ”

“ชเลขุดเจอ มันอยู่ในทราย ข้างๆ ก้อนหินที่ชเลชอบ ที่ชายหาดครับ”

“ชเลเอามาให้พี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”

“เมื่อคืนตอนดึกครับ ชเลจะให้ตอนเย็น แต่ลืมไปครับ เลยเอาให้ตอนดึก พี่อ้ายหลับไปแล้ว พี่อ้ายไม่ได้ล็อกประตูห้อง ชเลเลยเอาเข้าไปวางให้ แล้วก็ล็อกประตูให้ด้วยครับ” เด็กชายเล่าแล้วยิ้มภูมิใจที่ทำหน้าที่ไม่ขาดตกบกพร่อง

อานุภาพแน่ใจแล้วว่าเรื่องที่เขาฝันไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อที่เขาคิดไปเอง สร้อยเส้นนี้คือวัตถุพยานที่ยืนยันว่าเรื่องนี้เคยเกิดขึ้นจริงบนเกาะแห่งนี้ ถ้าหากเพลงยาวและคำมั่นสัญญามีจริง มันจะเป็นไปได้หรือไม่ว่าที่เขาทุกข์ทรมานอยู่ทุกวันนี้เพราะผิดสัญญากับเธอ และถ้าหากเป็นอย่างนั้น วิธีเดียวที่เขาจะแก้ไขเรื่องทั้งหมดได้ก็คือเขาก็ต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นในอดีตชาติ เขาทำความผิดอะไร และใคร หรืออำนาจอะไรที่สาปเขา แต่คนเราจะระลึกชาติได้ตามใจต้องการละหรือ เขาต้องทำอย่างไร และใครจะไขคำตอบให้เขาได้



Don`t copy text!