นิราศรักสองนครา บทที่ 17 : หวั่นใจ
โดย : ปรียนันทนา
นิราศรักสองนครา โดย ปรียนันทนา เรื่องราวของโชติ หญิงสาวชาวสยาม กับทางเลือกสองทาง ความรักของชายหญิงกับความรักหวงแหนแผ่นดินเกิด เธอจะเลือกทางใด และหากไม่สามารถเลือกได้ จะมีหนทางใดที่ใจสองดวงจะมาบรรจบพบกัน ณ จุดที่ลงตัวได้หรือไม่ นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านพร้อมกันที่นี่ anowl.co
โต๊ะเขียนหนังสือทำจากไม้เนื้อแข็งเข้าชุดกันกับเก้าอี้อันเป็นเครื่องเรือนที่นำเข้าจากยุโรปตั้งตระหง่านริมหน้าต่างอาคารแถวห้องริมของชายหนุ่ม เจ้าของนิ้วมือเรียวยาวกำลังจะจรดปากกาลงบนสมุดคู่ใจหากพลันต้องหยุดชะงักด้วยเสียกเรียกที่ดังมาจากหน้าประตู เมื่อเงยหน้าขึ้นและลุกไปดูก็พบว่าคนสนิทของกงสุลยืนอยู่หน้าบ้าน เขามีสีหน้าเคร่งขรึมต่างจากปกติที่ชายหนุ่มเคยพบ มิเชลสาวเท้าไปหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วพร้อมกับส่งเสียงถามอย่างสงสัยถึงวัตถุประสงค์ของอีกฝ่าย
“ท่านกงสุลให้กระผมนำจดหมายมาส่งขอรับ” นายต่วนยื่นซองจดหมายในมือให้อีกฝ่ายซึ่งมิเชลมองปราดเดียวก็รู้ว่าส่งมาจากฝรั่งเศส เขารับมาถือไว้แล้วยัดใส่กระเป๋ากางเกงโดยไม่คิดเปิดอ่านในตอนนี้
“ขอบใจ ท่านกงสุลมีเรื่องด่วนฤา เหตุใดจึงต้องให้นายต่วนมาตามผม”
“ท่านอยากพบคุณมิเชล บอกว่ามิได้สนทนากันนานแล้วขอรับ”
“เช่นนั้นแน่ฤา” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมีแววไม่เชื่อใจนัก “เพียงแค่อยากพบหน้ากันถึงกับต้องให้นายต่วนมาตามเชียว ปกติผมก็เข้าไปพบท่านอยู่เสมอ”
“เรื่องนั้นกระผมไม่แน่ใจขอรับ” นายต่วนหลบสายตาอย่างมีพิรุธ เขามิรู้เรื่องตื้นลึกหนาบางระหว่างชายสองคนนี้หากแต่เรื่องฝ่ายกงสุลที่เขาเห็นนั้นค่อนข้างเคร่งเครียดมิใช่น้อยนับตั้งแต่เห็นข่าวในหนังสือพิมพ์บางกอกรีคอร์ดเดอร์ แม้กระนั้นเขาก็เห็นว่าไม่สมควรที่จะเล่าเรื่องนี้ให้มิเชลฟังก่อนด้วยคิดว่าอย่างไรเสียท่ากงสุลคงจะอยากหารือเป็นการส่วนตัวกับชายหนุ่มผู้เปรียบเสมือนญาติของเขามากกว่า
“เช่นนั้นรอสักครู่ ผมขอไปเก็บของก่อน”
มิเชลใช้เวลาเก็บข้าวของบนโต๊ะทำงานไม่นานก่อนจะออกจากห้อง ไม่นานนักเขาก็ออกไปพบกับกงสุลโอบาเรต์ตามที่อีกฝ่ายแจ้งให้คนสนิทมาตามตัวเขาไป
เรือนหลังใหญ่ริมน้ำเจ้าพระยาอันเป็นที่ตั้งของสถานกงสุลฝรั่งเศสแห่งนี้เด่นเป็นสง่ามาหลายปีนับแต่มีการเจริญสัมพันธไมตรีและมีกงสุลมาประจำการ อาคารได้รับการเปลี่ยนผ่านจากอาคารที่พักสินค้าของและรับรองบุคคลผู้มาเยือนของกรมศุลกากร หลังจากถูกทิ้งร้างไปจึงเปลี่ยนมาเป็นสถานกงสุลฝรั่งเศสโดยมีกงสุลที่ทำหน้าตัวแทนจักรพรรดิแห่งฝรั่งเศสหมุนเวียนเปลี่ยนคนมาประจำการที่บางกอกซึ่งใช้เป็นทั้งที่พำนักและทำงาน มิเชลเดินขึ้นบันไดซึ่งอยู่ด้านนอกตัวบ้านไปยังชั้นบนอย่างคุ้นเคย ระหว่างเดินขึ้นไปเขาสังเกตเห็นชายแต่งกายคล้ายผู้ที่เคยก่อปัญหาบนถนนเจริญกรุงสองสามคนเดินอยู่บริเวณสวนหย่อม ชายเหล่านั้นมิได้สนใจเขาเพราะกำลังยืนดูคนงานนำต้นไม้ลงดิน มิเชลจึงละความสนใจจากพวกเขาเมื่อก้าวเข้าไปในห้องโถงชั้นบน ห้องทำงานของกงสุลอยู่ด้านในขณะที่ชายหนุ่มเดินสวนกับชายกลางคนที่เพิ่งออกมาจากทำงานกงสุลโดยที่เจ้าของบ้านเดินตามออกมาส่ง ทั้งคู่มีสีหน้ายิ้มแย้มอย่างผู้ที่อัธยาศัยต้องใจกัน
มิเชลก้มศีรษะตอบเมื่ออีกฝ่ายมีท่าทียิ้มเชิงทักทายหากไร้คำแนะนำจากท่านเจ้าของสถานที่ เมี่อฝ่ายผู้มาเยือนเดินลงบันไดลับหายไปผู้ที่เขานับถือเสมือนญาติสนิทจึงเชื้อเชิญเขานั่งลงตรงเก้าอี้ริมหน้าต่าง
“นั่นใครฤาขอรับคุณอา”
“เขาเป็นตัวแทนนำสุรามาขายในสยามน่ะ” อีกฝ่ายตอบอย่างไม่ใส่ใจมากนักขณะมองหน้ามิเชล ครั้นเห็นชายหนุ่มมีทีท่าต้องการซักไซ้มากขึ้นเขาจึงรีบหันไปบอกคนสนิทให้นำของว่างและน้ำชามาให้
“คุณอามีเรื่องร้อนใจอันใดฤาขอรับจึงต้องให้นายต่วนไปตามผมมาที่นี่” เมื่อเห็นว่าโอบาเรต์ผู้ที่ตนนับถือไม่อยากสนทนาด้วยเรื่องชายแปลกหน้าเมื่อครู่เขาจึงไม่ใส่ใจเช่นกัน
“เรื่องที่หนังสือพิมพ์บางกอกรีคอร์ดเดอร์ลงข่าวเรื่องคนในสยามเปลี่ยนมาเข้ากับเราน่ะสิ” เขาเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอย่างไม่เข้าใจ “แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือการที่ลงข่าวว่าอาทำตัวไม่เหมาะสมต่อหน้าพระพักตร์ทั้งที่ความจริงแล้วอาเพียงแค่อยากทำตามวัตถุประสงค์ให้ลุล่วง” เขาหมายถึงการเจรจาเรื่องดินแดนเขมรอันเป็นภารกิจหลักของกงสุลเช่นเขา
“ผมว่าเรื่องนี้อาจเข้าใจผิดกันได้นะขอรับ คุณอาใจเย็น ๆ ก่อนเถิด” มิเชลครุ่นคิดขณะรินชาให้อีกฝ่ายอย่างกระตือรือร้น เขาหวังว่าสายลมที่พัดพาเข้ามาจากทางหน้าต่างบานยาวและช่องลมจะช่วยคลายความร้อนรุ่มในใจอีกฝ่ายลงได้บ้างแม้สักนิดก็ยังดี หลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาค่อนข้างแน่ใจว่าตนเองได้ใกล้ชิดและคุ้นเคยกับชาวสยามมากพอสมควร มิเชลพบว่ามีความแตกต่างทางความคิดรวมถึงการปฎิบัติต่อผู้คนที่อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อกันได้ คนสยามมีความนอบน้อมต่อผู้ใหญ่มาก ยิ่งเป็นผู้มีพระคุณต่อชีวิตยิ่งได้รับการเคารพอย่างหาที่เปรียบมิได้ ส่วนพวกเขานั้นมีความเคารพในฐานะเป็นเพื่อนมนุษย์ที่มีคุณค่าในตนเองไม่ต่างกัน แม้ว่าประเทศของเขายังเป็นระบบจักรวรรดิมีจักรพรรดิปกครองแต่ก็มีระเบียบวิธีการที่ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น เขาไม่แปลกใจที่คนสยามรวมถึงคนที่คุ้นเคยกับชาวสยามมานานเช่นหมอบลัดเลย์จะไม่พอใจในกิริยาท่าทีของกงสุลโอบาเรต์ที่บางครั้งอาจแสดงท่าทีต่างออกไปจากที่พวกเขาคุ้นเคย
“มิเข้าใจผิดดอก พวกเขาคงมิพอใจที่อากดดันเรื่องเมืองเขมร แต่อาก็ทำตามหน้าที่นะหลาน” สีหน้าของท่านกงสุลดูเคร่งเครียดหากก็ยังยืนยันความคิดของตนเองอย่างแน่วแน่ “สยามต้องเข้าใจว่าตอนนี้เขมรยอมให้ทางฝรั่งเศสครอบครอง แม้ทางเขมรอาจยังส่งบรรณาการให้สยามเช่นเดิมก็ตาม”
“เรื่องนี้ผมก็มิสามารถออกความเห็นได้ดอกนะขอรับคุณอา พวกเขาถือครองกันมานานย่อมต้องมีความเกรงกันอยู่”
“หาเป็นเช่นนั้นได้ไม่นะมิเชล ในเมื่อทางเขมรโดยกษัตริย์ของเขาลงนามในสนธิสัญญากับเราแล้ว”
“แม้ว่าทางเขาจะมีสัญญาลับ ๆ ต่อกันใช่ไหมขอรับ”
“หลานรู้เรื่องนี้ด้วยฤา” ผู้อาวุโสกว่ามองชายหนุ่มด้วยความแปลกใจที่มิเชลรู้เรื่องสัญญาระหว่างสยามและเขมรที่ลงนามกันหลังจากเขมรลงนามกับฝรั่งเศส ข้อนี้ที่ทำให้เขาต้องมาเจรจาเพื่อให้การลงนามระหว่างสยามและฝรั่งเศสเป็นโมฆะให้ได้
“ขอรับ หลานทราบมาสักพักแล้วและคิดว่าทั้งสองอาณาจักรคงความสัมพันธ์กันมายาวนาน เขมรเองก็คงจะต้องทำตัวให้อยู่รอดปลอดภัยมากที่สุด หากคงไม่ได้คิดว่าเรื่องราวจะบานปลายใหญ่โต”
“อย่างไรเสียอาก็ต้องทำให้สยามยินยอมในที่สุด เพราะเป็นหน้าที่โดยตรงของอา หวังว่าพวกเขาจะเข้าใจได้ในวันหนึ่ง”
“เช่นนั้นคุณอาคงต้องค่อย ๆ เจรจานะขอรับ คนสยามมิใช่บ้านป่าเมืองเถื่อน พวกเขามีอารยธรรมของตนเองที่แม้มิได้เหมือนเราแต่ก็สง่างามในตนเอง”
เขารับรู้ได้ว่าแม้โอบาเรต์ตระหนักดีว่าดินแดนนี้มีกษัตริย์ปกครองหากความที่ถือว่าตนเหนือกว่าด้วยมาจากประเทศที่มีอารยธรรมและเทคโนโลยีในทุกด้านจึงทำให้ลึกลงไปอีกฝ่ายอาจมองว่าผู้คนเหล่านี้มิได้เหนือกว่าตัวเขาที่เป็นเพียงตัวแทนจักรพรรดิแห่งฝรั่งเศสเลยสักนิด และนั่นอาจเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้พฤติกรรมของเขาแสดงออกมาในลักษณะที่ถูกกล่าวถึงในบางกอกรีคอร์ดเดอร์ของมิชชันนารีชาวอเมริกันผู้สนิทสนมแน่นแฟ้นกับราชวงศ์มายาวนาน
เรือนริมน้ำไม่ห่างจากโบสถ์วัดเซ็นต์ฟรังซิสซาเวียร์ได้ต้อนรับหมอชาวอเมริกันหน้าตาสุขุมใจดีเป็นครั้งแรก สตรีร่างบอบบางหน้าตาจิ้มลิ้มผิวขาวเหลืองผู้เป็นเจ้าบ้านกำลังนั่งพิงหมอนอิงกึ่งนั่งกึ่งนอนต้อนรับผู้มาเยือนอย่างยินดี หญิงสาวอีกคนที่นั่งไม่ห่างกันหน้าตาคมคายแววตาเป็นประกายเจิดจรัสอย่างผู้ที่สนใจใฝ่รู้สิ่งรอบตัวเสมอกำลังจับเด็กหญิงผมจุกที่เดินล้มลุกคุลุกคลานข้าง ๆ ให้มานั่งข้างตัวแล้วพนมมือไหว้ผู้ก้าวขึ้นมาบนเรือน
“ไหว้หมอสิจ๊ะแม่เพ็ญ” โชติจับมือแม่เพ็ญไว้หลวม ๆ ซึ่งเด็กหญิงก็ก้มศีรษะเมื่อได้ยินคำว่าไหว้ทันที
“หน้าตาน่ารักน่าชัง” มิชชันนารีชาวอเมริกันผู้มากความสามารถส่งยิ้มให้เด็กหญิงตัวน้อยอย่างเอ็นดูพลางหันไปหาผู้เป็นมารดาอย่างกังวัลเพราะได้รับคำบอกเล่าจากคุณหญิงอ่วมว่าภรรยาคุณหลวงภูบดินทร์ทักษ์มีอาการค่อนข้างแปลกหลังจากคลอดบุตรสาวได้เกือบครบปีแล้ว “อาการเป็นเยี่ยงไรบ้างแม่เพ็ญ”
“เหนื่อยง่ายแลเพลียเหลือเกินค่ะหมอ ฉันรู้สึกว่าข้างในมันร้อน อาบน้ำก็แล้วแต่มิใคร่ทุเลาสักเท่าใด ยังดีว่าได้ยาบำรุงที่คุณหลวงจัดหามาให้ แต่ก็มิได้ช่วยมากนัก”
“ขอฉันตรวจอาการได้หรือไม่”
“ได้ค่ะ” จันขยับตัวลุกนั่งในท่าทางที่อีกฝ่ายสะดวกมากขึ้น
นายแพทย์ชาวอเมริกันตรวจอาการโดยใช้หูฟังมาแนบที่ตรงหน้าอกด้วยท่าทีสุภาพและตั้งใจ เขาใช้เวลาครู่หนึ่งก่อนจะเก็บเครื่องมือและซักอาการอย่างละเอียดอีกครั้ง ทั้งหมดนี้ทำเอาโชติที่นั่งฟังอย่างสนใจภาวนาให้แม่ของเด็กหญิงเพ็ญจะหายจากโรคนี้โดยพลัน
“เป็นอย่างไรบ้างคะหมอ” โชติรีบถามเมื่อเห็นสีหน้าของผู้อาวุโสเคร่งเครียด
“อาการของแม่จันค่อนข้างแปลก หัวใจเต้นเร็ว เหนื่อยง่ายทั้งที่เพียงเดินไม่กี่ก้าวเท่านั้น แต่ก็มิได้เกิดจากการคลอดบุตรแล้วมิได้อยู่ไฟดอก ตอนนี้ยังตอบไม่ได้ว่าเป็นโรคอะไร หากแต่จะให้ยาไปกินก่อนเพื่อบรรเทาอาการ” เขาตอบอย่างไม่ชัดเจนด้วยคิดว่าหญิงผู้ป่วยรายนี้คงเป็นโรคที่ยังไม่มีการรักษาได้แน่ชัด
“แล้วยาจีนที่ว่ากินอยู่นั้นช่วยบ้างหรือไม่”
“ช่วยได้ค่ะ แต่เมื่อไม่ได้กินต่อเนื่องก็มีอาการอีก ตอนแรกคุณพี่จะให้หมอจากกรมหมอฝรั่งในวังหน้ามาช่วยดูอาการ แต่เห็นว่าได้เจอแม่โชติจึงได้พูดคุยกันว่าให้ท่านมาดูอาการดีกว่า” จันอธิบายด้วยเสียงเรียบเรื่อยแฝงรอยยิ้มบาง ๆ อย่างคนเหนื่อยอ่อน
“เช่นนั้นลองยาบำรุงขอฉันดูก่อน หากไม่ดีขึ้นจะเปลี่ยนยาให้”
คนไข้และหมอผู้รักษาสนทนากันด้วยความเคร่งเครียด โชตินั่งฟังอย่างร้อนใจด้วยดูเหมือนว่ายังสรุปไม่ได้เลยสักนิดว่าอาการของคุณน้าจันนั้นเป็นอะไรแน่ หญิงสาวรู้สึกกังวลขึ้นมาทันทีเพราะตอนแรกคาดไว้ว่าเมื่อหมอบลัดเลย์มาตรวจอาการคงได้รู้สาเหตุแห่งความเจ็บป่วย หากแต่ก็ไร้วี่แววนั้นเสียแล้ว
“หากไม่ดีขึ้นอาจให้หมอแมะดูไหมคะคุณน้า” โชติพูดขึ้นมากลางวงสนทนา
“นั่นสิแม่จัน ลองให้หมอมาตรวจหรือยัง”
“ยังมิได้มาดอกค่ะ คุณพี่เพียงแต่ไปหายามาให้เท่านั้น” จันเอ่ยถึงสามีด้วยน้ำเสียงซาบซึ้งพลางมองดูบุตรสาวในอ้อมกอดของโชติด้วยความเอ็นดู
นายแพทย์ชาวอเมริกันมองหญิงตรงหน้าอย่างพิจารณา ท่าทีเหนื่อยอ่อนมิได้เกิดจากการการอดหลับอดนอนเลี้ยงดูบุตรเป็นแน่ด้วยในเรือนนี้มีบ่าวไพร่มากมาย แม่จันคงมีโรคอย่างใดอย่างหนึ่งเพราะเขาสังเกตว่าการเต้นหัวใจเร็วผิดปกติ ตรงลำคอดูบวมและดวงตาค่อนข้างโปน แต่เขาไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าคืออะไร เพียงแค่การประคองอาการให้ดีขึ้นและหวังว่าหญิงสาวจะหายในไม่ช้า
“หมอคะ” เสียงเรียกจากหญิงสาวอีกคนทำให้หมอบลัดเลย์หันมามองดวงหน้าสวยหวานสดชื่นที่กำลังมองมาที่เขาอย่างสงสัยใคร่รู้
“ว่าอย่างไรแม่โชติ”
“ข่าวที่หมอเขียนลงในบางกอกรีคอร์ดเดอร์เรื่องท่ากงสุลฝรั่งเศสเป็นจริงเช่นนั้นหรือคะ”
“เป็นเช่นนั้นแหละแม่โชติ” เขาหมายถึงทั้งเรื่องการการคนในบังคับสยามเปลี่ยนไปเข้ากับฝรั่งเศสและเรื่องการแสดงออกต่อหน้าพระพักตร์ของกงสุลคนนั้น “นี่เธอสนใจเรื่องนี้กับเขาด้วยฤา”
“สนใจสิคะ ฉันเคยเจอคนที่เปลี่ยนไปเข้ากับฝรั่งเศสหลังจากที่ไปทำความผิดมากับตัวเองเลย” หญิงสาวเล่าเรื่องชายชาวจีนผู้นั้นที่ได้เจอบนถนนเจริญกรุงซึ่งทำท่าทีอุกอาจใส่คนสยามมากเหลือเกิน
“มิรู้ว่าอีกหน่อยบ้านเมืองจะเป็นเยี่ยงไรหากมีแต่คนพากันเปลี่ยนไปเข้ากับพวกฝรั่งแล้วกระทำท้าทายเช่นนี้”
“คิงของเธอคงมิยอมให้เหตุการณ์บานปลายไปจนวุ่นวายดอก”
“แต่เรื่องนี้ละเอียดอ่อนยิ่งนักนะคะ ทั้งยังเกี่ยวกับการเขามาเจรจาเรื่องเมืองเขมรอีกด้วย”
หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมต่างจากเมื่อครู่ เมื่อมองดูสีหน้าผู้เขียนข่าวก็พบว่าเจ้าตัวกลับมิได้หวาดกลัวหรือหวั่นเกรงใด ๆ ว่าเรื่องราวจะบานปลายใหญ่โต หมอบลัดเลย์ดูท่าทีผ่อนคลายสบายใจที่ได้ทำหน้าที่แจ้งสิ่งที่เกิดขึ้นในสยามแก่บุคคลอื่น ๆ ให้ได้รับทราบ ต่างจากหญิงสาวที่กำลังหวั่นใจว่าผู้ถูกกล่าวถึงในข่าวจะมีท่าทีอย่างไรเมื่อได้อ่านข้อความเหล่านั้น และรวมถึงชายอีกผู้หนึ่งซึ่งสนิทสนมใกล้ชิดกับท่านกงสุลด้วย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 33 : โมงยามแห่งความทรงจำ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 32 : ความในใจของบุรุษทั้งสอง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 31 : หลานสาวภริยาท่านทูต
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 30 : หญิงสาวสองคนในเมืองใหญ่
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 29 : ต่างบ้านต่างเมือง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 28 : ก่อนถึงจุดหมาย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 27 : ห่างกันไปไกล
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 26 : เพียงชั่วเวลาพลิกฝ่ามือ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 25 : ในความคิดคำนึง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 24 : จังหวะของหัวใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 23 : การเดินทางสู่โลกกว้าง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 22 : เรื่องประหวั่นใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 21 : อุปสรรคและทางออก
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 20 : โรงเรียนเด็กหญิงในสยาม
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 19 : ฤาดวงใจที่ไหวหวั่นอาจลับหาย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 18 : ความไม่ลงตัวในจิตใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 17 : หวั่นใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 16 : มิอาจทำใจยอมรับ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 15 : สยามกับคนในร่มธงฝรั่งเศสและความสัมพันธ์ที่เริ่มเปลี่ยนไป
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 14 : เรื่องที่ไม่อาจเอ่ย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 13 : เรื่องดีและร้ายภายในหนึ่งวัน
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 12 : สัญญาณที่ดี
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 11 : อิสระทั้งกายใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 10 : โอกาสของเด็กหญิง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 9 : ท่าทีเริ่มดีขึ้น
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 8 : ความเป็นไปของชีวิต
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 7 : ผู้ก่อเหตุ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 6 : พบกันอีกครา
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 5 : ความกังวล
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 4 : บทสนทนา
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 3 : บ้านลานย่านบางขุนพรหม
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 2 : ทุ่งสามเสน
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 1 : สองฝั่งน้ำ
- READ นิราศรักสองนครา : บทนำ