สาปแสงรัก บทที่ 17 : เคราะห์ซ้ำกรรมซัด

สาปแสงรัก บทที่ 17 : เคราะห์ซ้ำกรรมซัด

โดย : ตวงทิพย์ ยุวชิต

Loading

สาปแสงรัก โดย ตวงทิพย์ ยุวชิต เรื่องรักของผู้ชายธรรมดาที่ต้องคำสาปที่ว่า เมื่อพบรักแท้จะพบแต่ความทุกข์ทรมานไม่รู้จักจบสิ้น “อานุภาพ” ชายที่ไม่มีพลังอำนาจเหมือนชื่อของเขาเลย แถมยังไม่มีของวิเศษ เวทย์มนตร์คาถา แล้วเขาจะเอาอะไรไปสู้กับแรงอาฆาตพยาบาทที่สาปส่งข้ามภพข้ามชาติได้ ติดตามเอาใจช่วยเขาได้ในอ่านเอา anowl.co

นวลดาราแอบไปที่ชายหาดในยามค่ำคืน ปราสาททรายที่อานุภาพก่อไว้ยังอยู่ ถึงจะไม่ได้เห็นเขาแค่ได้เห็นผลงานของเขาก็ยังดี ดีกว่าให้เธอระทมทุกข์อยู่ในห้องนอน ชายหาดมีแสงสลัวเหมือนคืนที่อานุภาพมาก่อปราสาททราย นวลดาราคิดถึงเขาจับใจ เธอค่อยๆ เดินลงมาที่หาด คิดเพียงว่าได้สัมผัสสิ่งแทนตัวเขาก็พอใจแล้ว เมื่อหญิงสาวก้าวเข้าไปใกล้ปราสาททรายเธอก็เห็นร่างของใครคนหนึ่งนอนขดหันหลังอยู่ในเงามืด

นวลดาราใจหาย หรือจะเป็นเขา เขาเคยบอกกับเธอว่าถ้าหายดีแล้ว เขาก็จะหนีกลับมาหาเธออีก เธอพุ่งไปที่ร่างนั้นทันที เธอจับร่างนั้นพลิกกลับมา และได้เห็นว่าเป็นเขาจริงๆ

อานุภาพมีเลือดออกทางจมูกและปาก เขามองหน้าหญิงสาวแล้วพยายามเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก “นวล…ทำไมคุณไม่ช่วย…” อานุภาพพูดได้เพียงเท่านั้นก็หมดลมหายใจไปต่อหน้าเธอ

 

“คุณอ้าย…” นวลดารากรี๊ดร้องสุดเสียง เธอตกใจผุดลุกขึ้นนั่ง เหงื่อแตกท่วมตัวทั้งที่ห้องนอนเปิดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ น่าแปลกที่หญิงสาวกรีดร้องสุดเสียงแต่เด็กรับใช้ที่นอนเฝ้าเธอกลับยังหลับสนิท นวลดาราต้องรวบรวมสติอยู่ชั่วขณะหนึ่งจึงจะแยกแยะได้ว่าอะไรคือความฝันอะไรคือความจริง เมื่อรู้แน่ว่าสิ่งที่ได้รู้เห็นเมื่อครู่เป็นเพียงความฝัน นวลดาราก็อัดอั้นตันใจจนร้องไห้ออกมา เธอรู้สึกมืดมนไปหมด คนที่เธอรักรอความช่วยเหลือจากเธอ แต่เธอกลับทำอะไรไม่ได้เลย

“เจ้าอยากช่วยผู้ที่เจ้ารักหรือไม่” เสียงของใครคนหนึ่งดังก้องโสตประสาทของนวลดารา เสียงนั้นเป็นเสียงผู้หญิง

ในห้องนอนแม้จะปิดไฟก็ไม่ได้มืดสนิทเพราะมีแสงจากไฟถนนหน้าบ้านส่องเข้ามา นวลดารามองหาเจ้าของเสียง แต่ก็ไม่เห็นใคร “เธอเป็นใคร” หญิงสาวร้องถาม

“หาต้องรู้ว่าข้าเป็นใคร ตามข้ามา แลัวข้าจักช่วยเจ้า” เสียงลึกลับนั้นบอก

นวลดารามองดูเด็กปิ่นที่นอนหลับอยู่ด้วยกลัวว่าเด็กสาวจะตื่นขื้นมาขัดขวางเธอ

“นังคนนี้มันจักมิตื่นมาดอก เจ้าจงตามข้ามา” เสียงหญิงผู้นั้นบอกอีก

“ฉันไม่เห็นท่าน ฉันจะตามไปได้ยังไง”

“ลงจากเรือน แล้วเจ้าจักรู้เอง”

นวลดารารีบวิ่งลงมาที่ชั้นล่างของเรือนรับแขก เมื่อมองไปบนท้องฟ้า เธอเห็นกลุ่มควันสีขาวลอยไปทางชายหาด หญิงสาวรีบวิ่งตามไปทันที

 

“ลงมาสิ แล้วเจ้าจะแก้คำสาปนั้นได้ ลงมาสิ ลงมา” เสียงลึกลับบอกนวลดาราเมื่อเธอตามกลุ่มควันสีขาวมาถึงชายหาด

นวลดาราทำตามคำสั่งลึกลับนั้นเธอเดินลงไปที่ชายหาด เดินลุยน้ำทะเลลงไป ลึกลงไปเรื่อยๆ น้ำทะเลค่อยๆ ท่วมสูงขึ้น จากระดับเอวถึงระดับอก และเมื่อน้ำทะเลสูงถึงจมูกนวลดาราก็ฉุกคิดขึ้นได้ เธอหยุดยืนอยู่

“ลงมาสิ ลงมา” เสียงหญิงลึกลับบอกย้ำซ้ำอีก

ชั่ววินาทีนั้นหญิงสาวก็รู้ตัวว่าเธอกำลังทำอะไร เธอรู้ดีว่าหากก้าวต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น อำนาจบางอย่างในใจบอกเธอว่าหากเธอหยุดเดินเธอก็จะรอดปลอดภัย แต่หญิงสาวตัดสินใจจะไม่หยุด นวลดาราคิดไปว่าอานุภาพยังยอมตายเพื่อจะได้รักเธอเพียงชั่วคืน แล้วเธอเล่า เธอก็รักเขาดุจเดียวกัน ถ้าหากนี่คือหนทางเดียวที่จะทำให้เธอช่วยแก้คำสาปให้คนรักได้ แม้ต้องแลกด้วยชีวิตเธอก็ยอม เมื่อตัดสินใจแน่วแน่แล้วนวลดาราก็หลับตาแล้วก้าวเดินต่อไป เธอค่อยๆ จมลับหายไปในทะเล

ทันใดนั้นก็เกิดฟ้าผ่าเสียงดังกึกก้องไปทั่วบริเวณชายหาดทั้งที่ไม่มีฝนตก เสียงฟ้าร้องนั้นฟังดูคล้ายเสียงหัวเราะของหญิงสาว

“หยุดเถิดโยม” เสียงนี้ดังมาจากชายหาด เจ้าของเสียงก็คือเณรที่เป็นเณรอุปัฏฐากของหลวงพ่อนิล ในมือของเณรถือสร้อยประคำ เมื่อกล่าวจบเณรก็หลับตาลงเริ่มสวดมนต์พลางนับลูกประคำในมือ

“อย่ามาเสือกเรื่องของข้า คิดเหรอว่าเด็กน้อยอย่างเอ็งจะทำอะไรข้าได้”

เณรหยุดสวดมนต์แล้วกล่าวว่า “หลวงปู่ให้อาตมามาบอกโยมว่า คืนนี้ไม่ใช่คืนเดือนดับ โยมไม่มีอำนาจแม้แต่จะสะกดคุณโยมนวล หากหลวงปู่จะปราบโยมให้ยอมศิโรราบก็ย่อมทำได้ แต่หลวงปู่ไม่อยากให้วิญญาณของโยมต้องดับสลายไป”

“อย่ามาอวดเก่งกับข้า ถ้าหลวงปู่ของเอ็งเก่งนัก ก็ให้มันมาเอาชีวิตของนังนี่คืนไป” สิ้นเสียงตอบฝนก็ตกกระหน่ำลงมา ฟ้าแลบแปลบปลาบ

“หลวงปู่เห็นว่าโยมหาใช่วิญญาณร้าย โยมยังมีโอกาสสุดท้ายที่จะละวางความอาฆาตพยาบาทและสร้างสมบุญบารมีเพื่อความหลุดพ้นได้ คิดดูให้ดีเถิดนะโยม” เณรลงนั่งขัดสมาธิ หลับตาลงและเริ่มสวดมนต์อีกครั้ง

ผ่านไปหลายนาทีเสียงฟ้าร้องก็ค่อยๆ เงียบลง ฝนที่ตกกระหน่ำก็ขาดเม็ด แต่คลื่นทะเลกลับปั่นปั่วนเกิดคลื่นม้วนตัวขึ้นสูงซัดเข้าฝั่ง และเมื่อคลื่นลมสงบร่างของนวลดาราก็ถูกคลื่นซัดมาเกยตื้นอยู่บนหาดทราย

เกือบจะทันทีที่ร่างของนวลดาราปรากฏขึ้นบนหาดทราย ชลธีที่วิ่งนำหน้าคุณมัทนามาที่ชายหาดก็รีบวิ่งลงไปที่ริมทะเล ผู้เป็นยายของหญิงสาวตกใจกับภาพที่เห็นตรงหน้าจนเกือบจะเป็นลม โชคดีที่นางชื่นที่ติดตามมาด้วยเข้ามาประคองไว้ได้ทัน

“คุณนวลยังไม่ตายครับคุณยาย” ชลธีร้องบอกหลังจากเอานิ้วอังที่จมูกของนวลดาราแล้วสัมผัสได้ถึงลมหายใจรวยริน

เมื่อได้ยินว่าหลานสาวไม่เป็นไร คุณมัทนาก็ตั้งสติได้ออกคำสั่งว่า “รีบพานวลไปส่งโรงพยาบาลบนฝั่งเร็วเข้า” ชลธีไม่รอรับคำสั่ง เมื่อคุณมัทนาพูดจบเขาก็อุ้มนวลดาราขึ้นไปบนเรือยนต์แล้ว คุณมัทนารีบร้องบอกว่า “รีบไปเลยชล”

เมื่อเรือยนต์ของชลธีออกไปแล้วคุณมัทนาก็ยกมือไหว้ท่วมหัว ปากก็พึมพำว่า “ขอบคุณคุณพระคุณเจ้า ขอบพระคุณหลวงพ่อนิลนะเจ้าคะ” จากนั้นเธอกับนางชื่นก็พากันไปตามตาน้อมเพื่อให้เอาเรือออกตามไปที่โรงพยาบาล

 

สองวันหลังเกิดเหตุคุณมัทนาและนางชื่นก็พากันมาหาหลวงพ่อนิลที่วัด หญิงสูงวัยเจ้าของเกาะรู้ดีว่าถ้าหากในคืนวันเกิดเหตุหลวงพ่อนิลไม่มาเข้าฝันปลุกให้เธอรีบไปที่หาด หลานสาวเธอคงหาชีวิตไม่ไปแล้ว เพราะเมื่อไปถึงโรงพยาบาลในอำเภอศรีราชาแพทย์ต้องทำการช่วยชีวิตนวลดาราอยู่นานหลายนาที หัวหน้าทีมแพทย์แจ้งกับเธอว่าถ้าหากคนไข้ถูกนำส่งมาช้ากว่านี้เพียงสองสามนาทีก็อาจจะหมดโอกาสที่จะยื้อชีวิตเอาไว้ได้ หรือหากมีชีวิตอยู่ได้ก็อาจจะกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา

“อิฉันกราบขอบพระคุณหลวงพ่อนะเจ้าคะ” คุณมัทนากล่าวเสียงเครือก่อนจะก้มลงกราบหลวงพ่อนิลที่นั่งรออยู่หน้าหอนอนภายในกุฏิโดยมีเณรนั่งคอยอุปัฏฐาก

“สงฆ์เป็นผู้ขออาหารจากญาติโยม ดังนั้นการช่วยเหลือญาติโยมในยามทุกข์ร้อนตามกำลังย่อมเป็นกิจของสงฆ์”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะเจ้าค่ะ หากหลวงพ่อไม่เมตตาไปบอกกล่าว อิฉันคงไปช่วยหลานไม่ทัน”

“แล้วหลานสาวของโยมเป็นอย่างไรบ้างล่ะ”

“หลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืน ตอนนี้ฟื้นแล้วเจ้าค่ะ”

“ดีแล้วละ คุณโยมมัทนาก็จะได้คลายกังวล”

“จะให้คลายกังวลได้ยังไงเจ้าคะหลวงพ่อ อิฉันอดคิดไม่ได้เลยว่าเรื่องทั้งหมดเป็นความผิดของอิฉัน เพราะอิฉันขัดขวางไม่ให้นวลช่วยคุณอานุภาพ นวลคงเสียใจมากที่ช่วยคนรักไม่ได้ก็เลยคิดสั้น เดินลงทะเลไปแบบนั้น ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาก็ยังไม่ยอมพูดยอมจากับอิฉันเลย”

“คุณโยมนวลไม่ได้…” เณรเอ่ยขัด

“เณร ไปชงน้ำชาให้หลวงปู่หน่อยไป” หลวงพ่อนิลบอก เณรจึงลุกขึ้นหยิบป้านชาบนโต๊ะเตี้ยข้างหลวงพ่อแล้วลงจากกุฏิไป จากนั้นหลวงพ่อก็กล่าวกับคุณมัทนาต่อไปว่า “อานุภาพแห่งความรักมันห้ามกันไม่ได้หรอกนะโยม ภพชาติไม่จบสิ้นลงก็เพราะความรักความเกลียดที่เรามีต่อกันนี่ละ”

“เจ้าค่ะ หลานสาวอิฉันก็รักแรงเกลียดแรงเสียเหลือเกิน” คุณมัทนาเปรย แล้วเลยกราบนมัสการลาหลวงพ่อนิลด้วยหมดเรื่องจะสนทนาแล้ว

สักครู่ใหญ่หลังจากคุณมัทนาและนางชื่นลากลับไปเณรก็ถือป้านชากลับขึ้นมาบนกุฏิ

เณรยอบตัวลงนั่ง วางป้านชาในมือลงข้างตัว พนมมือแล้วเอ่ยว่า “น้ำชามีอยู่กว่าครึ่ง และก็ยังไม่เย็นชืดเลยครับ”

“งั้นก็เห็นจะไม่ต้องชงใหม่” หลวงพ่อนิลว่า ท่านมองเณรลูกศิษย์ด้วยสายตาเปี่ยมเมตตา

“ทำไมหลวงปู่ไม่ให้เณรบอกคุณโยมมัทนาว่าคุณโยมนวลไม่ได้คิดสั้น แต่ถูกวิญญาณโยมคนนั้นหลอกให้เดินลงทะเลล่ะครับ”

“ให้รู้เท่านี้ดีแล้ว ยิ่งรู้มากก็ยิ่งทุกข์มาก แค่นี้โยมคุณยายก็ทุกข์มากแล้ว”

“แล้วโยมผู้หญิงคนนั้นจะเลิกอาฆาตแค้นจริงๆ ไหมครับ”

“หลวงปู่ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น”

 

วันต่อมานวลดาราก็มาที่วัด เธอขอให้หลวงพ่อนิลช่วยทำพิธีขอระลึกชาติอีกครั้งหนึ่ง หลวงพ่อนิลเดินนำหญิงสาวไปที่หน้าพระพุทธรูปที่ใต้ต้นโพธิ์ลานปฏิบัติธรรม หลวงพ่อนิลบอกให้เณรจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย แล้วท่านก็สวดมนต์บทเดียวกับคราวก่อน ก่อนจะให้นวลดาราตั้งจิตอธิษฐาน

“ลูกขอให้คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ช่วยให้ลูกได้พบคำตอบว่าเหตุใดคนรักของลูกจึงทุกข์ทรมานเพราะความรัก ทั้งที่เคยรักกันมาแต่ปางก่อน หากลูกไม่ได้รับคำตอบ ลูกจะขอคุกเข่าอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน แม้ตายลูกก็ยอม”

กล่าวจบ นวลดาราหลับตาลงและเข้าสู่สมาธิ

แล้วฝนก็เริ่มลงเม็ด

“คุณท่านจะยอมให้คุณนวลทำแบบนี้จริงๆ เหรอคะ” นางชื่นที่ตามเจ้านายมาที่วัดถามขึ้นขณะที่นั่งเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ในศาลาการเปรียญ

“แล้วชื่นจะให้ฉันทำยังไง ถ้าฉันห้าม นวลคงอยู่เหมือนตายทั้งเป็น เกิดคิดสั้นขึ้นมาอีกมิแย่รึ”

“แล้วถ้าคุณนวลเป็นอะไรไป” นางชื่นถามเสียงเบา

“ฉันก็ไปบวชชีเท่านั้นเอง” คุณมัทนาบอกแล้วยกมือไหว้หลวงพ่อนิลและเณรที่เดินกลับออกมาจากลานปฏิบัติธรรมใต้ต้นโพธิ์มุ่งหน้ากลับไปที่กุฏิ

เมื่อเดินตามหลวงพ่อนิลมาจนเกือบถึงกุฏิเณรก็เอ่ยถามว่า “หลวงปู่ปล่อยให้คุณโยมมัทนาเข้าใจผิดเพื่อจะได้ไม่ขัดขวางการระลึกชาติของคุณโยมนวลใช่ไหมครับ”

หลวงพ่อนิลยิ้มในหน้า มิได้ตอบคำของเณรลูกศิษย์

เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่นาทีฝนที่ตกปรอยๆ ก็หนาเม็ดขึ้นจนกลายเป็นพายุฝนฟ้าคะนอง ทุกอย่างรวดเร็วและรุนแรงกว่าการอธิษฐานขอระลึกชาติครั้งก่อนมาก ฟ้าร้องฟ้าผ่าก็เกิดขึ้นถี่จนทุกคนที่อยู่ในศาลาการเปรียญหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ น้ำฝนเจิ่งนองท่วมลานปฏิบัติธรรมจนมิดขาของนวลดาราแต่หญิงสาวก็ยังนั่งสมาธินิ่งไม่ไหวติง มีเพียงริมฝีปากซีดสั่นเท่านั้นที่บอกว่าเธอหนาวจนแทบขาดใจ คุณมัทนาที่ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ขัดขวางหลานสาวก็ยังอดหวั่นใจไม่ได้

แม้ภายนอกจะเปียกปอนหนาวสั่น แต่ภายในใจของนวลดารากลับสงบเย็น สมาธิของเธอมั่นคงแน่วนิ่ง แล้วเธอก็ได้ยินเสียงของใครคนหนึ่งดังแว่วมาจากที่ไกลๆ

“พี่เดือน…”



Don`t copy text!