นิราศรักสองนครา บทที่ 19 : ฤาดวงใจที่ไหวหวั่นอาจลับหาย
โดย : ปรียนันทนา
นิราศรักสองนครา โดย ปรียนันทนา เรื่องราวของโชติ หญิงสาวชาวสยาม กับทางเลือกสองทาง ความรักของชายหญิงกับความรักหวงแหนแผ่นดินเกิด เธอจะเลือกทางใด และหากไม่สามารถเลือกได้ จะมีหนทางใดที่ใจสองดวงจะมาบรรจบพบกัน ณ จุดที่ลงตัวได้หรือไม่ นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านพร้อมกันที่นี่ anowl.co
มิเชลกำลังเปิดประตูบานเฟี้ยมห้องเช่าพลันก็สะดุ้งเมื่อมีมือของใครคนหนึ่งสะกิดบ่าของเขา หากเมื่อหันไปมองทำให้สลัดเรื่องหมองใจออกได้ชั่วขณะ ด้วยชายสองคนตรงหน้ายืนส่งยิ้มให้อย่างดีใจที่ได้พบกันเพราะนานเกือบเดือนแล้วที่ทอมและแฮรี่ไปติดต่องานที่ต่างประเทศ
“ทอม แฮรี่” มิเชลทักอย่างตื่นเต้นยินดีที่เจอผู้ที่เขานับว่าเป็นสหายในต่างแดน
“เป็นเยี่ยงไรบ้างมิเชล คราวก่อนพวกเรารู้ว่าคุณมาเช่าบ้านอยู่ตรงนี้ มาคราวนี้ขอมาเยี่ยมชมสักหน่อย”
มิเชลผายมือเชื้อเชิญสหายต่างชาติที่รู้จักกันบนแผ่นดินสยาม แม้ได้พบและพูดคุยเพียงไม่นานแต่ด้วยอัธยาศัยที่ต้องกันก่อให้เกิดมิตรภาพที่งดงามทั้งยังรู้สึกคุ้นเคยเสมือนเพื่อนร่วมชาติเดียวกัน
“ผมสุขสบายดี คุณสองคนเล่า เป็นเยี่ยงไรบ้าง” เขาตอบพลางหยิบของว่างมาให้สหายทั้งสองคน ขณะเดียวกันก็เดินไปเตรียมชาชั้นเลิศตรา Mariage Frères ตรงมุมห้องซึ่งมิได้อยู่ไกลกันจนเกินไป
“เราสองคนเพิ่งมาถึงสยาม นึกถึงคุณก็เลยมาพบ งานของคุณเป็นไปด้วยดีหรือไม่” แฮรี่ถามอย่างสุภาพหากแต่สายตาของผู้ผ่านโลกมามากเช่นเขามองเห็นเงาของความกังวลทาบทับประกายเจิดจ้าในดวงตาคมของชายหนุ่มอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“งานของผมมิมีสิ่งใดติดขัด บันทึกเรื่องเมืองแลผู้คนในเมืองสยามเป็นไปด้วยดี”
“ได้ยินว่าตอนนี้คุณเรียนภาษาไทยที่บ้านมิสซิสเฮาส์ดอกหรือ” ทอมตั้งคำถามตามที่ได้ยินมา
“จะเรียกเช่นนั้นก็ได้ แต่นับจากนี้ผมก็มิใคร่แน่ใจนักว่าจะได้กลับไปเรียนหรือไม่”
“เหตุใดเป็นเช่นนั้นเล่า ว่าแต่ที่คุณไปเรียนที่นั่นเพราะตั้งใจไปพบกับหลานสาวคุณหญิงอ่วมใช่หรือไม่” ทอมเอ่ยอย่างรู้ทันด้วยเขาเคยต้องตาต้องใจในรูปโฉมของโชติมิต่างกัน ติดแต่เพียงว่าเขามิค่อยได้อยู่ในสยามและท่าทางโชตินั้นมีเพียงมิตรภาพที่ดีเท่านั้น
“คุณเข้าใจถูกแล้ว เพียงแต่ตอนนี้เธอกับผมบาดหมางกันด้วยเรื่องท่านกงสุลน่ะสิ” เขาเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ
“เรื่องใหญ่เสียด้วย เห็นลงหนังสือของหมอบลัดเลย์” แฮรี่ขยับแว่นสายตาอย่างครุ่นคิด ทำเอาวงสนทนาเงียบงันไปอึดใจก่อนที่ทอมจะทำลายความเงียบขึ้นมา
“เรื่องนี้ผมคิดว่าคงเป็นปัญหาที่เรื้อรังไปอีกนานเพราะสยามต้องประวิงเวลาให้นานที่สุดในขณะที่ทางฝรั่งเศส” เขาหยุดพูดแล้วมองหน้ามิเชล “ผมหมายถึงท่านกงสุลโอบาเรต์น่ะ ท่านคงบีบทุกทางเป็นแน่”
“ผมคิดว่าท่านทำตามหน้าที่” มิเชลย้ำความคิดของตนเองชัดเจน
“เช่นนั้นคุณจะมานั่งหมองเศร้าไปด้วยเหตุใด ในเมื่อสิ่งที่คุณคิดนั้นคือผลประโยชน์ของประเทศคุณที่สมควรได้รับ” แฮรี่ถาม
“พวกคุณอยู่สยามมานานและทำการค้ากับเมืองนี้คงรู้นิสัยคนสยามไม่มากก็น้อย”
“พวกเขาเป็นคนจิตใจดี ค่อนข้างรักสบายแลรักสนุก มีบ้างที่นิสัยเจ้าเล่ห์ แต่ส่วนใหญ่แล้วมักไม่มีพิษภัย” ทอมบอกพลางยกชาขึ้นดื่ม
“แต่นิสัยอย่างหนึ่งที่คนสยามหรืออีกนัยหนึ่งคือคนหลากหลายชาติพันธุ์อันรวมอยู่บนแผ่นดินนี้มีร่วมกันก็คือพวกเขารักแผ่นดินนี้ยิ่งด้วยถือว่าบรรพบุรุษได้เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารมาช้านาน หลายบ้านหลายตระกูลก็รบเคียงบ่าเคียงไหล่เพื่อปกป้องผืนแผ่นดิน ส่วนใครใคร่ทำมาหาเลี้ยงชีพอย่างสุจริตก็อยู่สุขสบายตามอัตภาพ พวกเขาจึงสำนึกในบุญคุณใหญ่หลวงนี้ยิ่งนัก”
“ผมเห็นด้วยกับแฮรี่นะมิเชล ความหลากหลายทางเชื้อชาติของชาวสยามไม่ได้ทำให้พวกเขาแบ่งแยกหากกลับทำให้พวกเขายิ่งมีจุดร่วมในการใช้ชีวิตและศูนย์รวมนั้นก็คือความรู้สึกสำนึกในความเมตตาที่ผู้ปกครองของพวกเขามีต่อประชาชนนั่นเอง” ทอมพยักหน้าขณะอธิบายความคิดตนเอง
“และนั่นทำให้พวกเขามิอาจทนได้เมื่อเห็นใครมาลบหลู่พระองค์ท่าน” แฮรี่สรุปในที่สุด
“ผมเข้าใจ” เขาเอ่ยเสียงอ่อน แม้ก่อนหน้านี้คิดว่าตนเองเข้าใจแต่เป็นเพียงเหตุผลของคนที่คิดว่าตนเองมีวุฒิภาวะ แต่ยามนี้เมื่อสหายทั้งสองพยายามมองเรื่องราวให้ลงลึกรอบด้านทั้งยังมีมิติแห่งการย้ายถิ่นฐานและความรู้สึกรักใคร่หวงแหนแผ่นดินโดยมีผู้ปกครองเป็นศูนย์รวมที่เขามิเคยคิดถึงมาก่อน มิเชลจึงคิดว่าเขาจะรอเวลาให้ความตึงเครียดในใจโชติคลายลง เขาเชื่อว่าทุกอย่างคงดีกว่านี้
สหายสองวัยของเขาสนทนาอยู่อีกสักครู่ด้วยเรื่องค้าขายและการเดินทาง เมื่อแดดร่มลงทั้งคู่ก็ขอตัวกลับไป มิเชลร่ำลาด้วยหัวใจแช่มชื่นขึ้นกว่าเดิม ประกายหมองเศร้าในดวงตาจางลงมากแล้วยามที่เขาบอกลาทอมกับแฮรี่ เขาหันกลับมาหยิบจานขนมและชุดน้ำชาไปเก็บ จากนั้นจึงเดินกลับมาที่โต๊ะทำงาน ชายหนุ่มคิดว่าจะเขียนบันทึกสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสักนิดหน่อย หากเมื่อเปิดลิ้นชักก็พบสิ่งที่ดึงดูดสายตาชายหนุ่มนั่นคือซองจดหมายที่ได้รับเมื่อวันก่อนที่เขาเกือบลืมไปแล้วว่าเจ้าของลายมือบนซองจดหมายนี้เคยมีอิทธิพลต่อจิตใจเขาเพียงใด
เมื่อเปิดซองด้านในก็พบกระดาษพับอยู่ มิเชลเปิดออกก็พบลายมือสวยงามเป็นระเบียบอันเคยคุ้นตาที่ขึ้นต้นด้วยคำทักทายอย่างอ่อนหวานราวกับว่าหลายปีที่ผ่านมาเจ้าของลายมือและเขามิเคยมีเรื่องหมางเมินกัน มิเชลกวาดสายตาอ่านอย่างรวดเร็วก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังแจ้งข่าวร้ายซึ่งคล้ายกับว่าเจ้าตัวกำลังแฝงนัยยะแห่งความยินดีผ่านมายังเขาด้วย หากแต่ชายหนุ่มมิได้ยินดียินร้ายกับการที่สามีผู้มั่งคั่งของเฟลอร์เสียชีวิตลงอย่างกะทันหันสักนิด จะว่าไปเขากลับสลดใจด้วยซ้ำที่ภรรยาสาวอันเป็นที่รักมิได้อาลัยต่อการจากไปในตัวสามีเช่นที่ควรเป็น อาจเพราะขุนนางชายกลางคนผู้นั้นใช้ความเป็นคนมีตำแหน่งใหญ่โตบีบบังคับให้พ่อแม่หล่อนยินยอมยกเฟลอร์ให้แต่งงานด้วยทั้งที่มีเขาเป็นคู่รักอยู่แล้ว และแม้ว่าครอบครัวของเขาก็ฐานะมิได้ด้อยกว่าอีกฝ่าย แต่พ่อแม่ของหญิงสาวกลับแลเล็งการณ์ไกลไว้ว่าหากเฟลอร์ได้สมรสกับท่านผู้นั้นอนาคตจะรุ่งเรืองซึ่งต่างจากเขาผู้ที่มิได้มีตำแหน่งใดในราชสำนักที่จะสามารถพาหล่อนให้ไปอยู่ในสังคมที่สูงขึ้นได้ ที่สำคัญก็คือตัวหญิงสาวผู้เป็นคนรักของเขามิเคยมีทีท่าปฏิเสธหรือต่อต้านใด ๆ สักนิดตั้งแต่เธอรู้ว่ามีชายอื่นที่มิใช่คนรักมาทาบทามสู่ขอ เมื่อมิเชลเห็นดังนั้นเขาจึงค่อย ๆ ยุติการติดต่อกับเฟลอร์และไม่ไปมาหาสู่กับเธอเลย กระทั่งวันหนึ่งที่หญิงสาวมีจดหมายมาบอกว่ากำลังจะแต่งงานในอีกหนึ่งเดือนซึ่งนั่นเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เขาออกเดินทางมายังดินแดนตะวันออกพร้อมท่านโอบาเรต์
มิเชลถอนหายใจกับถ้อยคำหวานที่ผ่านมาทางตัวอักษรซึ่งก็เหมือนกับอากาศที่แปรเปลี่ยนอยู่เสมอ มันเกิดขึ้นเพียงไม่นานและจบลงก่อนที่ฤดูกาลใหม่จะเข้ามาทำให้คนเราต้องปรับตัวอีกครั้ง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนไม่แน่นอน นี่คือสิ่งที่เขาตระหนักและได้เรียนรู้ในรักครั้งแรกจากผู้หญิงซึ่งไร้อิทธิพลกับหัวใจในปัจจุบัน
เมื่อจดหมายถูกพับเก็บลงกลับไปวาง ณ ที่เดิม ความคิดของเขาก็ไพล่ไปถึงผู้ที่ทำให้หัวใจไหวหวั่นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เธอมิใช่อากาศซึ่งอาจเปลี่ยนแปลง หากแต่มิเชลคิดว่าเธอเปรียบเสมือนแสงแห่งวันที่ส่องสว่างยามเช้าจากสุริยาและจันทราเมื่อยามค่ำคืนมาเยือน มิผันแปรแต่คงอยู่เสมอเพื่อนำพาให้ใครสักคนที่ต้องการได้พบกับปลายทางที่รออยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งเขาก็เป็นคนหนึ่งที่ต้องการแสงนั้น เพื่อนำพาหัวใจให้พบกับความสงบสุขอย่างแท้จริง
เด็กหญิงหน้าตาจิ้มลิ้มหัวเราะคิกคักชี้ชวนให้เด็กหญิงหน้าตาคมคายดูบรรยากาศรอบตัวอย่างตื่นเต้นด้วยเป็นละแวกบ้านท่านเจ้าคุณกลาโหมจึงมีเรือกำปั่นแบบฝรั่งที่กำลังต่ออยู่ ทั้งสองเดินรั้งท้ายครูแหม่มกับหญิงสาวร่างบางที่สวมเสื้อสีโศกห่มสไบสีกลีบบัวผู้เดินคู่กันมาและกำลังมุ่งหน้าไปยังเรือนหลังใหญ่ของพระยาสุรวงษ์ไวยวัฒน์เพราะมีเรื่องสนทนากับคุณหญิงของท่าน
“แหม พี่โชติจ๊ะ เดินเหม่อมองสิ่งใดฤา ระวังตกน้ำตกท่านะจ๊ะ”
“พี่มิได้เหม่อมองอันใดสักหน่อยแม่พุดตาน” โชติหันมาบอกเก้อ ๆ เมื่อตนเองถูกเรียกถึงสองครั้งจากกลอยและพุดตาน
“มิเชื่อดอก ว่าแต่หลายวันมานี้ฉันมิเห็นฝรั่งคนนั้นมาเรียนกับพี่เลยนะจ๊ะ” พุดตานถามเอียงคอสงสัย เมื่อครูหันมามองเด็กหญิงก็รีบเดินไปหลบหลังพี่โชติด้วยรู้ว่ากำลังจะโดนอบรมแน่นอน
“แม่พุดตานมิควรสงสัยเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น” ครูเฮาส์ของเด็กหญิงส่ายหน้าอย่างไม่ถูกใจหากแววตายังเปี่ยมด้วยความเอ็นดูขณะค่อย ๆ สอนเป็นภาษาอังกฤษที่แม่พุดตานเข้าใจได้ดีมากขึ้นแล้ว “พี่โชติของเธออาจมีเรื่องที่ไม่อยากบอกใครซึ่งเราต้องให้ความเคารพเธอในข้อนี้ เข้าใจหรือไม่จ๊ะ”
“เข้าใจค่ะครู”
น้ำเสียงพุดตานสลดลงเล็กน้อยแต่เพียงชั่ววินาทีเด็กหญิงก็หันไปชวนกลอยดูเรือต่อไปอย่างตื่นตาตื่นใจ ปล่อยให้ผู้ถูกถามอยู่ในภวังค์แห่งอารมณ์อันยากลึกเกินคาดเดา
หากแต่ในขณะกำลังเดินเลี้ยวผ่านบ้านหมอบลัดเลย์หญิงสาวก็รู้สึกถึงแรงกระแทกที่หัวไหล่จนเจ็บและเสียหลักล้มลง ก่อนที่ห่อเงินตรงชายพกจะตกลงมาแล้ววินาทีที่เงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าชายหน้าตาดุดันคนหนึ่งเอื้อมมือมาหยิบถุงเงินของเธอไปท่ามกลางเสียงร้องตะโกนไม่เป็นภาษาของเด็กหญิงทั้งสองที่ดูตกใจเสียยิ่งกว่าโชติ เสียงของเด็กหญิงทำเอาผู้คนแถวนั้นแตกตื่นจนต้องวิ่งมาสอบสวนทวนความ
และก่อนที่จะมีใครวิ่งตามชายผู้นั้นไปโชติก็แลเห็นชายหนุ่มร่างสูงสง่าผู้กำลังจ้องมองเธออยู่ เขาส่งสายตาห่วงใยให้หญิงสาวก่อนจะออกวิ่งไปยังทางที่คนร้ายมุ่งหน้าไป
ชั่วเวลานั้นราวกับรอบกายหยุดเคลื่อนไหวเพราะโชติรู้สึกถึงจังหวะของหัวใจที่เต้นเร็วกว่าปกติ เมื่อมิสซิสเฮาส์ช่วยประคองหญิงสาวลุกขึ้นโชติรีบกวาดสายตาไปยังทิศทางที่มิเชลวิ่งไป
…หากทว่าเขาก็ลับตาไปเสียแล้ว…
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 33 : โมงยามแห่งความทรงจำ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 32 : ความในใจของบุรุษทั้งสอง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 31 : หลานสาวภริยาท่านทูต
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 30 : หญิงสาวสองคนในเมืองใหญ่
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 29 : ต่างบ้านต่างเมือง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 28 : ก่อนถึงจุดหมาย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 27 : ห่างกันไปไกล
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 26 : เพียงชั่วเวลาพลิกฝ่ามือ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 25 : ในความคิดคำนึง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 24 : จังหวะของหัวใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 23 : การเดินทางสู่โลกกว้าง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 22 : เรื่องประหวั่นใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 21 : อุปสรรคและทางออก
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 20 : โรงเรียนเด็กหญิงในสยาม
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 19 : ฤาดวงใจที่ไหวหวั่นอาจลับหาย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 18 : ความไม่ลงตัวในจิตใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 17 : หวั่นใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 16 : มิอาจทำใจยอมรับ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 15 : สยามกับคนในร่มธงฝรั่งเศสและความสัมพันธ์ที่เริ่มเปลี่ยนไป
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 14 : เรื่องที่ไม่อาจเอ่ย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 13 : เรื่องดีและร้ายภายในหนึ่งวัน
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 12 : สัญญาณที่ดี
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 11 : อิสระทั้งกายใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 10 : โอกาสของเด็กหญิง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 9 : ท่าทีเริ่มดีขึ้น
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 8 : ความเป็นไปของชีวิต
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 7 : ผู้ก่อเหตุ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 6 : พบกันอีกครา
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 5 : ความกังวล
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 4 : บทสนทนา
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 3 : บ้านลานย่านบางขุนพรหม
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 2 : ทุ่งสามเสน
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 1 : สองฝั่งน้ำ
- READ นิราศรักสองนครา : บทนำ