สาปแสงรัก บทที่ 22 : เหตุผลที่คนทิ้งกัน

สาปแสงรัก บทที่ 22 : เหตุผลที่คนทิ้งกัน

โดย : ตวงทิพย์ ยุวชิต

Loading

สาปแสงรัก โดย ตวงทิพย์ ยุวชิต เรื่องรักของผู้ชายธรรมดาที่ต้องคำสาปที่ว่า เมื่อพบรักแท้จะพบแต่ความทุกข์ทรมานไม่รู้จักจบสิ้น “อานุภาพ” ชายที่ไม่มีพลังอำนาจเหมือนชื่อของเขาเลย แถมยังไม่มีของวิเศษ เวทย์มนตร์คาถา แล้วเขาจะเอาอะไรไปสู้กับแรงอาฆาตพยาบาทที่สาปส่งข้ามภพข้ามชาติได้ ติดตามเอาใจช่วยเขาได้ในอ่านเอา anowl.co

แสงเดินทางมาถึงบ้านที่พระนครของเขาในตอนสาย การเดินทางจากเกาะเดือนดับกลับมาบ้านแม้จะใช้เวลาร่วมเดือน แต่เมื่อได้เห็นบ้านที่เขาเกิดและเติบโตมาเขาก็รู้สึกอบอุ่น หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง บ้านตึกก่ออิฐถือปูนหลังใหญ่หลังคามุงกระเบื้องดินเผาแบบจีนขนาบข้างด้วยเรือนครัวแบบไทยและเรือนแพทางด้านซ้าย อาคารที่ใช้เก็บสินค้าและติดต่อค้าขายทางด้านขวา ตรงกลางเป็นลานปูนกว้าง เมื่อแสงมาถึงเขาก็พบสินผู้น้องชายกำลังสั่งการบ่าวไพร่ให้ขนสินค้าเข้าไปเก็บในอาคารเก็บสินค้า เมื่อสินหันมาเห็นพี่ชายเขาก็ละจากงานเดินมาหา

“พี่แสงมาแล้วหรือ ฉันขอสมาเถิดที่มิได้ให้บ่าวไพร่ไปรับพี่ถึงท่าเรือ งานมากเหลือกำลัง”

“มิเป็นไรดอก พี่เองก็มิได้มีสัมภาระมาก มีเพียงห่อผ้าห่อเดียวเท่านั้น ส่วนเครื่องมือทำงานหีบใหญ่ พี่ฝากไว้ในเรือ พรุ่งนี้เจ้าค่อยให้บ่าวไพร่ไปขนเอามาก็ได้”

“ฉันดีใจนักที่พี่กลับมา” สินกล่าวด้วยสีหน้าค่อนข้างเคร่ง

“เจ้าคงเหนื่อยมากสิหนาสิน ดีใจไฉนมิยิ้มเลย” พี่ชายแกล้งเย้า

“บ้านเรากำลังมีเรื่องเป็นคดีจ้ะพี่”

“คดีกระไร”

“คดีซื้อขายฝิ่น”

 

ด้วยความร้อนใจแสงรีบเข้าไปในบ้าน เมื่อพบหน้าพ่อแม่เขาแทบไม่ได้ทักทายนบไหว้ก็ถามถึงเรื่องคดีที่เกิดขึ้นทันที นายเส็งผู้พ่อนิ่งเงียบ สีหน้าเคร่ง แม่แฟงผู้เป็นแม่เป็นฝ่ายเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม

“เรื่องเป็นเช่นนี้ไปได้เยี่ยงไร สิน ในหนังสือที่เจ้าส่งถึงพี่เล่าว่าคราก่อนพ่อถูกยึดเรือเพราะพบว่ามีฝิ่นนั้น เป็นเพราะคนเรือของเราแอบซุกซ่อนฝิ่นมา พ่อหาได้รู้เห็นด้วยไม่ แลหลวงท่านได้ยกเว้นโทษให้แล้วมิใช่รึ” แสงถามความจากน้องชายเมื่อฟังแม่เล่าจบ

“คราก่อน หลวงท่านเพิ่งออกหมายประกาศห้ามสูบฝิ่นแลซื้อขายฝิ่น ครั้นเรือของเราถูกยึด ท่านให้พ่อไปสาบานโดยสัตย์ว่าจักมิทำผิดอีก ก็เป็นอันจบกันไป แต่ครานี้ก็มาเกิดซ้ำอีก” น้องชายว่า

“ก็เพราะผิดซ้ำเยี่ยงนี้ แม่จึงกลัวนัก ว่าหลวงท่านจักมิเว้นโทษ เจ้าก็รู้ พระเจ้าอยู่หัวท่านทรงเคยรับสั่งว่าฝิ่นเป็นภัยร้ายแรง พวกขุนนางก็รู้กันทั่ว แม่กลัวว่าโทษจะร้ายถึงประหาร” แม่แฟงว่าด้วยเสียงเครือ

“ถ้าเป็นเยี่ยงนั้น ก็ถือเสียว่าพ่อโง่เองที่ชุบเลี้ยงคนเนรคุณ” นายเส็งพูดขึ้น

“เจ็บใจไอ้ไปล่นัก มันโกรธแค้นที่พ่อเฉดหัวมันออกไป ไม่เลี้ยงดูมันอีก เพราะมันลักสินค้าของเราไปขาย มันจึงทำทีขนถ่ายฝิ่นลงจากเรือให้คนเห็นโดยง่าย หมายให้โดนจับได้ เมื่อเรือโดนยึดคราก่อน พ่อมิได้เอ่ยถึงมันแม้เพียงคำ ด้วยมิอยากให้มันยิ่งแค้นแลผูกกรรมกับเรา แล้วเป็นเยี่ยงไรเล่า” สินกล่าวอย่างเคียดแค้น

“เจ้าหมายความว่ากระไร ไอ้ไปล่เกี่ยวข้องกับเรื่องคดีในครานี้ด้วยรึ”

“เป็นเช่นนั้นแลพี่ ฉันผิดเองที่สืบเบาะแสของมันได้ว่ามันจ้างให้พวกคนเรือทำการเยี่ยงเดิมอีก แต่ครั้นไปตามจับ กลับจับตัวมันไว้มิได้”

“ถึงจับมันได้ แล้วมันมิยอมสารภาพ เจ้าจักเอาหลักฐานอันใดไปเอ่ยอ้างว่ามันผิดเล่าเจ้าสิน” นายเส็งกล่าวกับลูกชายคนเล็ก แล้วหันไปกล่าวกับลูกชายคนโตว่า “แลพ่อเป็นเจ้าของเรือจักให้ปัดผิดพ้นตัวไปได้เยี่ยงไรเล่า คิดเสียว่าวาสนาของพ่อมีเพียงเท่านี้เถิด พ่อได้มีลูกเยี่ยงเจ้าสองคนก็นับว่าดีนักแล้ว เจ้ากลับมาแล้วก็คงจักได้ช่วยกันทำการงานไปได้ ผิว่าชื่อเสียงในทางค้าขายต้องสิ้นไปเพราะพ่อแล้ว พ่อแสงก็คงจักทำการงานปั้นของเจ้าเลี้ยงตัวได้ เลี้ยงแม่แลน้องได้”

“พ่อ…” แสงตกใจที่พ่อกล่าวเสมือนสั่งเสียเช่นนี้

“ฉันมิยอมให้เป็นเช่นนั้นดอก หัวเด็ดตีนขาดฉันก็มิยอม ฉันคิดหาหนทางไว้แล้ว ขอแต่พ่อแสง…”

“อย่าหนาแม่แฟง ฉันมิยอมเด็ดขาด หยุดคิดเรื่องบ้าๆ นี้เสียทีเถิด” นายเส็งเอ่ยขัดขึ้นด้วยเสียงเคร่ง

“แต่มันเป็นทางเดียวหนาพี่เส็ง” แม่แฟงโต้แย้งไม่ยอมแพ้

“เดี๋ยวนะจ๊ะแม่ ครู่นี้แม่ว่าจักขอกระไรฉัน ฉันช่วยกระไรได้รึแม่” แสงถามขึ้น

“อย่าหนาแม่แฟง” นายเส็งขัดขึ้นอีก

“แม่พูดเถอะจ้ะ ฉันจักฟัง” แสงบอก

“แม่ไปปรึกษากับป้าช้อย เจ้าจำป้าช้อยได้รึไม่เล่าพ่อแสง”

“จำได้สิจ๊ะแม่ ป้าช้อยเพื่อนสนิทของแม่ที่เป็นเมียคุณพระวินิจ กรมวัง”

“นั่นละ คุณพระวินิจน่ะ ท่านเป็นคนสนิทของท่านเจ้าคุณกรมวัง ท่านจักช่วยขอร้องท่านเจ้าคุณให้ช่วยลดหย่อนผ่อนโทษคดีของคุณพ่อได้ แต่พ่อแสงต้องรับปากแม่ว่าจักทำตามคำขอที่ป้าช้อยบอกมา”

“คำขอกระไรหรือแม่ ถ้าช่วยพ่อได้ฉันยอมทุกสิ่ง” แสงบอกอย่างแน่วแน่

“ป้าช้อยหมายให้แม่หญิงพิมออกเรือนมาเป็นแม่เรือนของลูก”

 

นับแต่พูดคุยกับพ่อแม่โลกของแสงก็พังทลายลงตรงหน้า เขาพยายามรักษากิริยาให้ปกติ ข่มใจร่วมรับประทานอาหารกับครอบครัวได้เพียงเล็กน้อย น้องชายและพ่อคงรู้ว่าเขากำลังทุกข์หนักจึงปล่อยให้เขาอยู่ในหอนอนเพียงลำพัง เมื่อไม่มีใครจับตาดูก็ยิ่งยากเหลือเกินที่จะข่มน้ำตาให้ไหลอยู่เพียงในหัวอกได้ ยิ่งเมื่อลูบคลำสร้อยหินสีที่สวมอยู่ น้ำตาก็ยิ่งถั่งท้นไม่ขาดสาย แสงฝันไว้ว่าเรื่องแรกที่เขาจะเล่าสู่พ่อแม่เมื่อกลับถึงบ้านก็คือเรื่องที่เขาพบรักที่เกาะเพ็ง คำขอแรกที่เขาจะขอพ่อแม่ก็คือขอให้ท่านอนุญาตให้เขาออกเรือนกับแม่เดือนและไปสู่ขอนาง แต่ทุกอย่างดับสลายไปสิ้นแล้ว

เวลาผ่านไปนับชั่วยามจนเย็นย่ำกว่าแสงจะตั้งสติย้ำเตือนตนเองได้ว่าเขาเป็นใคร มีหน้าที่อะไร และควรใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร เมื่อน้ำตาเหือดแห้งไป เขาก็ได้ยินเสียงกุกกักที่นอกประตู

“เข้ามาเถิดสิน” เขาบอกน้องชายด้วยเสียงเรียบ

เมื่อข้ามธรณีประตูแล้ว สินก็ยอบตัวลงนั่ง และค่อยคลานเข้ามา

“มิต้องเรียบร้อยถึงเพียงนั้นดอก” พี่ชายแกล้งเย้า “เจ้าคงอยากฟังเหตุผลของพี่สิหนา”

“ฉันสงสารพี่นัก” น้องชายว่า

แสงรู้ว่าน้องเอ่ยถึงเรื่องใด ด้วยน้องชายเป็นคนเดียวที่รับรู้เรื่องความรักของเขากับแม่เดือนผ่านหนังสือที่เขาส่งมาถึง

“ทำไมพี่มิบอกพ่อแม่ว่าพี่มีแม่หญิงที่หมายตาหมายใจไว้แล้ว ฉันว่ามันต้องมีหนทางอื่น”

“ทางใดเล่า เจ้าบอกพี่ทีรึ”

“คุณพ่อของเรารักเมืองสยามนี้นักหนาพี่ พ่อมิเคยทำการร้ายใดเลย ที่ได้ค้าขายนี้ก็เพราะเจ้าคุณกรมท่าท่านไว้ใจ…ฉันนึกได้แล้วพี่ เราไปขอร้องคุณหลวงให้ช่วยดีหรือไม่เล่า คุณหลวงท่านฝากฝังให้พี่ไปทำงานที่เกาะเพ็งได้ ก็ต้องช่วยพ่อได้ซี ให้คุณหลวงท่านไปขอร้องท่านเจ้าคุณกรมวังมิได้รึพี่”

“สินเอ๊ย…คำขอร้องของคุณหลวงกับคุณพระ เจ้าว่าของใครจักมีน้ำหนักมากกว่ากันเล่า” แสงถามเสียงเรียบเช่นเดิม

“ถ้าเช่นนั้นเราก็รอให้หลวงท่านตัดสินโทษพ่อ ฉันเชื่อว่าท่านเจ้ากรมวังท่านนี้ท่านมีใจเป็นธรรมพอ เมื่อปีกลายฉันกับพ่อยังได้ไปดูเขาเผาฝิ่นที่หน้าพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ เห็นเยี่ยงนั้นแล้วใครจักกล้าทำผิดเล่าพี่ พ่อยังได้พบท่านเจ้ากรมด้วย ท่านจักต้องรู้ว่าพ่อเกลียดกลัวเรื่องพวกนี้เพียงไร”

“ใครจักเชื่อเยี่ยงเจ้าเล่า ทุกคนที่ไปดูเขาเผาฝิ่น มิใช่ว่าจักงดค้าฝิ่นเสมอไป พี่จักให้พ่อไปเสี่ยงเยี่ยงนั้นมิได้ สิน เจ้ารู้ไว้หนาว่าพี่ทำตามคำขอของป้าช้อยด้วยความใจสมัคร พี่ถือเป็นบุญด้วยได้แทนคุณพ่อแม่”

“ฉันเข้าใจพี่ ฉันเข้าใจแม่ แต่ฉันมิเข้าใจแม่หญิงพิม เหตุใดนางจึงทำเยี่ยงนี้ เราเป็นเพื่อนเล่นกันมาแต่น้อย นางน่าจักรู้ว่าพี่แสงมิได้มีใจต้องตรงกันกับนาง บุตรีคนเดียวของคุณพระวินิจอรรถกรกิจจาคงมีชายหมายปองทั้งพระนคร ไยจำเพาะจักต้องเป็นพี่”

“เจ้ามิรู้รึสิน”

“ฉันรู้…รู้ว่าแม่พิมต้องใจพี่มาแต่เล็ก แต่นางก็รู้แจ้งแก่ใจว่าพี่มิคิดเหมือนเช่นนาง อายุนางก็มิใช่น้อย สิบหกเท่ากันกับฉัน ไยจึงคิดการเหมือนเล่นขายของ ป้าช้อยก็มิควรทำเยี่ยงนี้ บุตรีออกเรือนเยี่ยงนี้จักหาสุขได้รึพี่”

“อยู่นานไป นางอาจเป็นที่ต้องใจพี่บ้างก็ได้”

“มิมีทาง พี่แสงของฉันมิใช่คนเยี่ยงนั้น พี่รักใครแล้ว มิผันแปรได้ง่ายๆ ดอก”

ฉับพลันนั้นใจของแสงก็ประหวัดไปถึงคำสัญญาในเพลงยาวนั้น ‘คำสัญญา จารใจมั่น มิผันเอย’ ความเศร้าถาโถมจนลำคอตีบตัน

“พอเถิดสิน” เสียงนั้นสั่นจนน้องชายรู้สึก

“ฉันขอสมาจ้ะพี่ ฉันพูดมากไป” น้องชายกล่าวอย่างรู้สึกผิด

เมื่อพี่ชายปรับใจเป็นปกติได้แล้วจึงว่า “มิเป็นไรดอก พี่ดีใจนักที่เจ้าห่วงใยพี่เยี่ยงนี้”

“ฉันห่วงพี่มาก หากพี่มีเรื่องกระไรให้ฉันช่วย บอกเลยหนา ฉันจักช่วยพี่ทุกสิ่ง”

“งั้นพี่วานเจ้าหาสมุดไทยให้พี่สักหลายๆ พับเถิด”

“ได้จ้ะพี่ ฉันจักเตรียมพู่กัน ฝนหมึกไว้พร้อมสรรพ อ้อ…ฉันจักหาซื้อสมุดบันทึกอย่างฝาหรั่งมาให้พี่ด้วย เขาเพิ่งเอาขึ้นจากเรือมาวางขายใหม่ๆ ที่ปากคลอง” น้องชายกล่าวทิ้งท้ายเพียงเท่านั้นก็ขอตัวออกจากหอนอนไปด้วยคาดเดาว่าพี่ชายคงต้องการอยู่ลำพัง

เมื่ออยู่ลำพังอีกครั้งแสงก็มิอาจกลั้นน้ำตาไว้ได้เมื่อคิดว่าเขาคงตกอยู่ในห้วงทุกข์นี้ไปจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ ในเมื่อแสงไม่อาจหาความสุขในชีวิตจริงได้ เขาก็หวังว่าเขาจะได้มีความสุขจากการร่ายความคิดถึงเป็นตัวอักษร เพราะนั่นเป็นทางเดียวที่เขาจะมีแรงหายใจต่อไปได้

 

“คุณพี่จักเขียนหนังสือทั้งคืน มิคิดจะทำกระไรเลยหรือ” แม่หญิงพิมถามขึ้นด้วยไม่สบอารมณ์เมื่อเข้ามาในหอนอนภายในเรือนของคุณพระวินิจอรรถกรกิจจาแล้วเห็นแสงนั่งเขียนหนังสืออยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ

“จะให้พี่ทำกระไร”

“ก็ทำเยี่ยงที่ผัวเมียทำกันไงเล่า”

“นอนน่ะรึ” แสงหัวเราะ “พี่ก็นอนร่วมเตียงกับเจ้าทุกคืนมิใช่รึ”

“นอนโดยมิรู้สึกรู้สากระไรเลยล่ะรึ พี่ปั้นพระปูนจนกลายเป็นหุ่นปูนปั้นไปแล้วกระนั้นหรือ เราออกเรือนมาร่วมเดือน พี่มิเคยมองฉันเยี่ยงคนรักกันเลย ฉันมีกระไรบกพร่อง มีกระไรที่ฉันสู้หญิงชาวเกาะคนนั้นมิได้รึ”

“หล่อนแอบอ่านบันทึกของฉันรึ” สรรพนามที่เรียกต่างไปเพราะอารมณ์ที่ขุ่นมัว

“ผิว่ามิอ่านฉันจักรู้รึว่า พี่ซุกซ่อนหญิงชู้อยู่ในใจ ทั้งที่กายพี่อยู่กับฉัน”

“ก็หล่อนเรียกร้องให้เป็นเยี่ยงนี้เองมิใช่รึ ฉันก็ออกเรือนมาร่วมหอด้วยแล้ว จักต้องการกระไรอีกเล่า”

“ต้องการกระไร พี่ถามเยี่ยงนี้ได้เยี่ยงไร ฉันเป็นเมียพี่ ฉันก็ต้องการให้พี่มีใจปฏิพัทธ์ต่อฉัน มิใช่นอนร่วมเตียง แต่หน้าฉัน พี่ก็มิใคร่จะมอง”

แสงพูดอะไรไม่ออก เขาไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสิ่งที่แม่หญิงพิมพูดนั้นเป็นความจริง

“พี่มิเสน่หาฉันบ้างเลยรึพี่แสง”

“พี่ขอสมาเถิด พี่บังคับกายได้ แต่บังคับใจ พี่จนปัญญา” แม้ไม่มีใจพิศวาส แต่ด้วยคุ้นเคยกันมานานและรู้แก่ใจว่าหล่อนผู้นี้มีใจให้แก่เขามากเพียงใดเสียงตอบจึงอ่อนลง

“ผิว่าพี่บังคับกายได้ พี่ก็ต้องเป็นของฉัน” แม่หญิงพิมจู่โจมเล้าโลมแสงจนเขาไม่อาจฝืนความรู้สึกตามธรรมชาติได้ ต้องยอมไปนอนร่วมเตียงกับหล่อน ทั้งสองกอดก่ายกันอยู่ครู่หนึ่ง แต่ครั้นพอถอยห่างออกมาสบสายตากัน แสงก็ฝืนความรู้สึกแท้จริงในใจของตัวเองต่อไปไม่ได้ เขาผลักหญิงสาวออกแล้วลุกขึ้นจากเตียงทันที

“พี่แสง พี่ดูหมิ่นฉันมากเกินไปแล้ว ต่อนี้ไปอย่าคิดว่าเราจักอยู่เป็นสุขอีกเลย” แม่หญิงพิมพูดจบก็ลุกจากเตียง วิ่งร้องไห้ออกจากหอนอนไป

 

นับแต่วันที่แสงมีเรื่องผิดใจกับแม่หญิงพิม เขาก็ไม่ต้องทุกข์ใจอีกต่อไปเพราะแม่หญิงพิมขอให้เขาย้ายไปนอนที่เรือนแพด้านหลังแทน แสงมีความสุขมากขึ้นเมื่อมาอยู่ที่เรือนแพ ทุกคืนเพ็ญเขาจะมองผ่านหน้าต่างเรือนแพไปบนฟากฟ้า หวังว่าสตรีผู้มีนามพ้องกับดวงจันทร์นั้นจะสุขสบายดี คืนนี้ก็เป็นอีกคืนเพ็ญที่แสงใช้เวลามองจันทร์เนิ่นนาน

ขณะที่แสงกำลังดื่มด่ำกับความคิดถึงเขาก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงพูดคุยหน้าประตูหอนอนบนเรือนแพ

“แม่หญิงอย่าทำเยี่ยงนี้เลยเจ้าค่ะ” เสียงบ่าวหญิงขอร้อง

“อย่าขัดใจข้าหนา นังบ่าว” เสียงแม่หญิงพิมเกรี้ยวกราดตอบ พลางเปิดประตูห้อง แม่หญิงพิมผลักบ่าวสาวรุ่นเข้ามาในหอนอน แล้วปิดประตูลั่นดาล จากนั้นก็มีเสียงฝีเท้าคนเดินขึ้นจากเรือนแพไป

“แม่หญิง ปล่อยบ่าวเถิดเจ้าค่ะแม่หญิง” บ่าวร้องบอกพลางทุบประตู

“พอเถิดเจ้า นี่มันเรื่องกระไรกัน” แสงถามเสียงเรียบเฉย

“แม่หญิงพิมให้บ่าวมาปรนนิบัติคุณแสงเจ้าค่ะ” บ่าวสาวรุ่นตอบเสียงสั่น ในแววตานั้นหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด

แสงรู้สึกขบขัน แต่เขาก็เพียงยิ้มให้บ่าวแล้วถามด้วยความเมตตา

“แล้วเจ้าเต็มใจจักปรนนิบัติพัดวีข้าหรือไม่เล่า”

สาวรุ่นผู้เป็นบ่าวอึกอักอยู่เป็นนาน

ผู้เป็นนายหัวเราะแล้วจึงว่า “ ข้าเย้าเจ้าเล่น ข้ามิทำกระไรเจ้าดอก เจ้าชื่อกระไรรึ”

“บ่าวชื่อจันเจ้าค่ะ”

“จันทรา…” แสงพึมพำแล้วนิ่งไปนานด้วยนามนี้ทำให้คิดถึงนางผู้เป็นที่รัก ในที่สุดเขาก็เอ่ยกับจันว่า “เจ้าอย่าได้ร้องอึงไป อยู่ในหอนี้เงียบๆ สักสองชั่วยามก็คงจักมีคนมาเปิดประตูให้เจ้า”

“บ่าวมิเข้าใจเลยเจ้าค่ะ แม่หญิงจับบ่าวมาขังในหอนี้ด้วยเหตุอันใด”

“ก็เพื่อให้ผู้คนทั้งหลายเข้าใจว่าข้าเป็นชายเจ้าชู้มากเมีย เมื่อเพลาที่ข้าเลิกร้างกับนายหญิงของเจ้า เขาจักได้พากันโพนทะนาว่าลูกสาวคุณพระต้องตกพุ่มหม้ายก็เพราะเคราะห์ร้ายมาครองคู่กับชายมากรักหลายใจ แม่หญิงทนมิได้จึงต้องเป็นฝ่ายขอเลิกร้าง หาใช่ความผิดของนางไม่”

“มิเป็นธรรมเลยเจ้าค่ะ คุณแสงหาได้เป็นคนเยี่ยงนั้นไม่ แม่หญิงเสียอีกที่คบชู้กับทนายหน้าหอของคุณพระ”

“เจ้าเอากระไรมาพูด”

“จริงหนาเจ้าคะ บ่าวเคยเห็นกับตาว่าไอ้มีมันย่องขึ้นไปหาแม่หญิงที่หอนอน”

“เจ้าอย่าเที่ยวพูดเรื่องนี้ไปหนา ประเดี๋ยวได้ถูกเฆี่ยนหลังขาด”

“บ่าวมิพูดดอกเจ้าค่ะ ที่บ่าวพูดก็เพราะสงสารคุณแสง”

“มิต้องสงสารข้าดอก มินานข้าก็คงหมดทุกข์แล้ว…เจ้านั่งนอนรอเพลาไปเถิด อย่าอึงไป ข้าจักเขียนหนังสือต่อสักหน่อย”

แสงนั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือ ขยับตำแหน่งตะเกียงให้แสงส่องลงที่สมุดบันทึกปกหนัง ชายหนุ่มเปิดสมุดบันทึกยังไม่ทันจะถึงหน้าที่เขาเขียนค้างไว้ก็เกิดอาการไอแรงๆ ติดกันหลายครั้งจนต้องยกมือขึ้นปิดปาก เมื่อเอามือออกก็พบว่ามีเลือดติดที่ฝ่ามือ แสงยิ้มแล้วรำพึงกับตัวเองว่า “แม่เดือน มิช้านานพี่คงจักได้ไปรอเจ้าแล้ว”



Don`t copy text!