สายแนน บทที่ 11 : เพียงลำพัง

สายแนน บทที่ 11 : เพียงลำพัง

โดย : SUDA

Loading

สายแนน นวนิยายออนไลน์โดย SUDA ที่อ่านเอานำมาให้อ่านทาง anowl.co กับ “เรื่องราว” ในอดีตที่ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาให้เจ็บช้ำ กายพลัดพรากแต่ใจยังผูกพัน แม้เหลือเพียงเถ้ากระดูกบนกองฟอน…ก็มิอาจปล่อยวางแล้วเริ่มต้นใหม่ “เขา” บุรุษสองคนผู้มีใจรักมั่น…จึงหวนกลับมาแย่งชิง “เธอ” อีกครั้ง

ชายหนุ่มยอมรักษาสัจจะที่ให้ไว้ ยอมทิ้งร่างนายขันให้จมกองเลือดอยู่ตรงนั้นก่อนจะพาเดือนออกเดินทางไปทันที แต่ขบวนต้อนวัวควายของกลุ่มโจรก็ออกเดินทางได้ไม่ไกลนัก เหตุเพราะการต้อนวัวให้ออกเดินยามฟ้ามืดสนิทนั้นเป็นไปได้ยาก เมื่อกลุ่มโจรต่างหมดแรงแล้วจึงตัดสินใจหยุดพักค้างแรมในที่สุด

แสงคำผูกม้าไว้ใต้ต้นไม้ ต้อนวัวให้นอนเป็นกลุ่มใหญ่บนลานหญ้ากว้าง ส่วนเกวียนแต่ละเล่มผูกไว้ใต้ต้นไม้ล้อมลานหญ้าไว้ทุกทิศทาง เพื่อให้พวกโจรป่าคอยเฝ้าวัวให้และคอยระวังภัยเป็นระยะด้วย

จัดเวรยามเรียบร้อยดีแล้ว เขาจึงเดินเข้ามาหาหญิงสาวที่ซ่อนตัวอยู่ในเกวียนใหญ่ใต้ต้นไม้ เป็นเกวียนที่มีไม้ไผ่สานโค้งเป็นหลังคาดูมิดชิด

ร่างสูงโน้มตัวลงมาหาก็เห็นเดือนนั่งเช็ดน้ำตาเงียบๆ เขาจึงมุดเข้าไปนั่งเคียงข้างแล้วคว้ามือเธอมากุมไว้ แม้เดือนจะมิได้ปฏิเสธ…แต่ก็พอมองออกว่าเธอไม่เต็มใจพบหน้าเขาเลยแม้แต่น้อย เมื่อถูกเขาเอื้อมมือสัมผัสหัวไหล่บาง น้ำตายิ่งไหลอาบดวงหน้าด้วยความทุกข์

“เดือน…หันมาคุยกันดีๆ ได้บ่”

แม้จะถูกขอร้องอย่างนั้นแต่เธอก็ยังคงเบือนหน้าหนี มือบางยกปาดน้ำตาตนเองเบาๆ “ได้ข้อยมาด้วยวิธีสกปรกอย่างนี้ อย่าคิดหวังหาความเต็มใจจากข้อยเลย”

“อ้ายบ่ได้ใช้วิธีสกปรก…”

แสงคำเอ่ยแย้งเสียงสั่น ร่างสูงขยับเข้าไปใกล้แล้วเชยคางเธอให้หันมาสบตา “อ้ายไปหาพ่อแม่เจ้า…ไปสู่ขอเจ้าตามประเพณี ถึงแม้คืนนี้อ้ายสิพาเจ้าหนีมา แต่สินสอดทองหมั้นอ้ายก็ยังวางไว้ให้พ่อแม่เจ้า ทั้งเงินทองและวัวควายมีครบถ้วนตามที่ตกลงไว้ อ้ายบ่ได้ผิดผี…”

“หรือหากอ้ายสิผิด…ก็คงผิดที่อ้ายมันเป็นโจรชั่ว แต่อ้ายก็บ่เคยทำร้ายเจ้า” ชายหนุ่มเสียงสั่นเครือด้วยความเจ็บปวด “หรือต่อให้อ้ายชั่วช้าชาติหมาปานใด แต่คนชั่วคนนี้ก็บ่เคยคิดทำร้ายเจ้า หากอยากฉุดเจ้ามาบำเรอกามชั่วครั้งชั่วคืน…อ้ายก็คงฉุดเจ้าไปนานแล้ว แต่เพราะอ้ายรัก…เพราะอ้ายอยากอยู่เคียงหมอนกับเจ้าไปจนวันตาย อ้ายจึงรอมาจนบัดนี้”

แสงคำหันสบตาเธออยู่อย่างนั้น นัยน์ตาคมมีน้ำตาไหลเอ่อ “เดือนเอ๋ย อ้ายขอร้องละ…เห็นใจอ้ายบ้างได้บ่…”

เดือนยังคงนิ่งเงียบไม่ยอมตอบ เมื่อแสงคำขยับเข้ามาใกล้…เธอจึงปล่อยให้เขาโอบกอดตนไว้ในอ้อมอก เธอมิได้ปฏิเสธสัมผัสจากกายเขา เพราะให้คำสัญญาแล้วว่าจะยอมมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้…เพื่อแลกกับชีวิตของชายคนรัก

แต่เพราะนวลแก้มใสแนบอยู่บนแผ่นอกแกร่ง เธอจึงรู้ดีว่าบัดนี้หัวใจเขาเต้นแรงเหลือเกิน เดือนจึงยกมือเช็ดน้ำตาตนเองอีกหน หรือโชคชะตาจะลิขิตให้เธอเป็นเช่นนี้…หรือสุดท้ายแล้วเธอจะต้องอยู่กับเขาไปจนชั่วชีวิต

“คืนนี้…ให้เป็นคืนเริ่มต้นชีวิตคู่ของเฮาได้บ่…”

แสงคำเอ่ยกระซิบเสียงสั่น “อ้ายสัญญาว่าจะดูแลเจ้าให้ดี…ดูแลด้วยชีวิตของอ้าย”

ร่างสูงโน้มเข้ามาใกล้ เมื่อเธอมิได้ขัดขืนเขาจึงประทับจูบบนริมฝีปากบางอย่างทะนุถนอม ดูดกลืนเอาความหวานจากกายเธอเบาๆ

ลิ้นอุ่นรุกล้ำเข้ามาเกี่ยวกระหวัดปลุกไฟปรารถนาให้เพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า วงแขนแกร่งประคองเธอให้นอนหงาย…ปลายจมูกคมก้มลงดอมดมกลิ่นหอมบนเรือนกาย ก่อนจะปลดผ้าออกแล้วเลื่อนใบหน้าลงจุมพิตเบาๆ บนเนิ่นอกอิ่ม

เธอมิได้ขัดขืนเลยแม้แต่น้อย…แต่เสียงสะอื้นนั้นก็ทำใจเขาเจ็บปวดเหลือทน

แสงคำหยุดนิ่งอยู่อย่างนั้น หากจะได้ครอบครองเธอเพียงเรือนกายนี้…แล้วมันจะมีประโยชน์อันใดหากมิได้ครอบครองหัวใจของเธอด้วย

ปฏิเสธมิได้ว่าแม่เดือนนั้นทั้งงดงามน่ามองไปทุกส่วน ผิวพรรณนุ่มนิ่มชวนสัมผัส กลิ่นกายหอมหวาน เรือนร่างบอบบางชวนให้หลงใหล แต่เขาจะเป็นสุขได้อย่างไร…หากเธอยังทุกข์ทรมานเพราะสัมผัสจากกายเขาเช่นนี้

ชายหนุ่มพลันผุดลุกขึ้นนั่งพยายามรวบรวมสติ ในใจเจ็บปวดมากเสียจนมิอาจกลั้นน้ำตาได้ไหว มือหนึ่งคว้าผ้ามาห่มกายให้เธออย่างเบามือ…ก่อนจะลุกขึ้นนั่งหันหลังให้

“อ้ายจะไปนอนข้างนอก” แสงคำเอ่ยออกมาในที่สุด “หากเจ้ายังบ่พร้อม…อ้ายบ่อยากข่มเหงน้ำใจ”

กล่าวเพียงเท่านั้นชายหนุ่มก็ขยับกายออกห่าง แต่ร่างสูงก็พลันนิ่งชะงักเมื่อถูกเธอคว้ามือเขาไว้ เดือนลุกขึ้นนั่ง…ก่อนจะขยับเข้าไปสวมกอดเขาจากด้านหลัง สองถันเปลือยเปล่าที่เบียดบนแผ่นหลังนั้นทำให้เขาทั้งเจ็บปวดและสับสนนัก

“บ่จำเป็นดอก…”

เดือนเอ่ยเสียงเศร้า นวลแก้มใสซบอยู่บนแผ่นหลังเขาทั้งที่น้ำตายังไหลออกมามิขาดสาย “บ่จำเป็นต้องรอ…หากอ้ายบ่คิดจะปล่อยข้อยไป มันจะมีประโยชน์อีหยัง หากสุดท้ายแล้ว…อ้ายก็ยังเลือกกักขังข้อยไปชั่วชีวิต”

ถ้อยคำตัดพ้อของเธอทำให้เขาปวดใจนัก ร่างสูงหันกลับมาหาก่อนจะเชยคางเธอให้สบตา “อ้ายบ่มีวันยอมปล่อยเจ้าไปเป็นอันขาด ต่อให้เจ้าบ่รัก…อ้ายก็จะทำทุกวิถีทางให้เจ้ารัก ทำทุกวิถีทางให้เจ้าเต็มใจอยู่กับอ้ายให้ได้”

วงแขนแกร่งคว้าเธอมากอดไว้ในอ้อมอก มือเอื้อมเช็ดน้ำตาให้อย่างทะนุถนอม “เดือนเอ๋ย…เจ้าต้องอยู่กับอ้าย…อยู่เคียงกันไปชั่วชีวิต”

ชายหนุ่มโน้มใบหน้าลงจุมพิตนวลกายสาวอีกครั้ง เธอมิได้ขัดขืนและยังปล่อยให้เขารุกล้ำเข้ามาได้ตามใจ เธอไม่ได้รักเขา…มิได้มีใจให้เขาเลยแม้สักนิด แต่ครั้งนี้เธอเหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยเสียจนขอจบเรื่องราววุ่นวายทั้งหมดไว้เพียงเท่านี้

ยอมยกทั้งชีวิตให้…ยอมยกดวงใจที่บอบช้ำแสนสาหัสนี้ไว้ให้เขา

มือบางยกปาดน้ำตาเองเองอีกครั้งจนมันเริ่มเหือดแห้ง เหตุใดเธอจะไม่รู้เล่าว่าเขาทั้งรักและจริงใจกับเธอมากเพียงใด แต่รักที่เขามีให้มันกำลังทำร้ายเธออย่างแสนสาหัส

ความรักที่ถูกแย่งชิงมาโดยมิคำนึงถึงผิดชอบชั่วดี…ความรักที่ต้องการครอบครองโดยไม่ถามความสมัครใจของเธอเลยสักนิด

แต่ในเมื่อเธอสัญญาไปแล้ว…คงถึงเวลาต้องทำตามสัญญาเสียที

ชายหนุ่มเอื้อมมือลูบเรือนผมเธออย่างทะนุถนอม ก่อนจะประคองเธอลงนอนแล้วโน้มใบหน้าจุมพิตริมฝีปากบางอีกครั้ง วงแขนเล็กคล้องบนบ่าแกร่งแล้วหลับตารับสัมผัสอบอุ่นจากกายเขา…ตั้งแต่กลางดึกจนถึงใกล้ฟ้าสาง

จนกระทั่งเสียงไก่ป่าดังแว่วมาเป็นสัญญาณของวันใหม่ เดือนจึงควานหาผ้ามานุ่งห่มกายเปลือยเปล่าของตนให้เรียบร้อย ก่อนจะลงจากเกวียนแล้วหันมองบรรยากาศโดยรอบ กลุ่มโจรผูกเกวียนนอนอยู่ไกลพอสมควร บางคนตื่นขึ้นมาก่อไฟหุงหาอาหารบ้างแล้ว…เพราะต้องเตรียมออกเดินทางต่อเช้านี้

อากาศยามเช้าวันนี้ลมแรงนัก เธอจึงคว้าเอาผ้าผืนหนึ่งมาคลุมไหล่ไว้ ร่างเล็กนั่งกอดเข่าอยู่ใต้ต้นไม้ข้างเกวียนของตน เมื่อหันมองชายหนุ่มที่ยังนอนหลับเพราะความอ่อนเพลีย…น้ำตาก็ไหลอาบนวลแก้มด้วยความทุกข์ทรมานแสนสาหัส

เธอเหนื่อยเหลือเกิน…เมื่อใดจักหลุดพ้นจากความเจ็บปวดนี้เสียที

 

กลุ่มโจรออกเดินทางอีกครั้งในยามสาย เดือนหันมองรอบกายก็เห็นแต่กลุ่มชายฉกรรจ์มีผ้าโพกศีรษะปิดบังใบหน้า แสงคำกำลังยืนพูดคุยอยู่กับชายอีกสองคน เมื่อเห็นเธอยืนมองอยู่จึงเดินกลับมาหา

“ต้องออกเดินทางแล้ว”

ชายหนุ่มกล่าวเพียงเท่านั้นก็แก้เชือกเกวียนที่ผูกใต้ต้นไม้ ก่อนจะประคองเธอขึ้นไปบนเกวียนแล้วออกเดินทางตามหลังขบวน เขามิได้ขี่ม้านำทางอย่างเคยเพราะอยากใช้เวลาอยู่กับเธอตามลำพัง

เดือนยอมเข้าไปนั่งด้านในเกวียนโดยดี เมื่ออยู่กันตามลำพังเช่นนี้บรรยากาศก็เงียบชวนอึดอัดนัก ร่างสูงของนายแสงคำนั่งอยู่ด้านหน้าบังคับเกวียนให้เดินตามทาง เดือนจึงทำได้เพียงนั่งเงียบๆ มองแผ่นหลังเขาเท่านั้น

สายตาเหลือบไปเห็นห่อใบพลูหลุดออกมาจากย่ามข้างกายเขา เธอจึงเผลอจ้องมองมันด้วยความสงสัย เพราะแสงคำไม่ได้เคี้ยวหมาก…แล้วพกห่อใบพลูไว้ข้างกายด้วยเหตุอันใด

มือบางเอื้อมไปหยิบใบพลูตั้งใจจะเก็บใส่ย่ามคืนให้ แต่เมื่อเห็นข้าวของด้านในก็รีบวางย่ามลงทันที นัยน์ตาคู่ใสเจือไปด้วยความตื่นตระหนก เพราะนอกจากจะมีใบพลูสดแล้ว ยังมีสายสิญจน์ มีดลงอาคม หญ้าคา ธูปเทียนและดินเหนียวสีคล้ำ นอกจากนี้ยังมีกระดาษแผ่นเล็กๆ ห่อบางสิ่งไว้ด้วย

แสงคำหันหลังกลับมามองท่าทีของหญิงสาว ก่อนจะส่งยิ้มละมุน

“ของพวกนี้เป็นของลงอาคม…”

เมื่อฟังคำตอบเช่นนั้นเดือนก็รีบเบือนหน้าหนี เก็บซ่อนความหวาดกลัวของตนไว้มิให้เขาเห็น ชายหนุ่มหันมาหยิบเอาเพียงกระดาษห่อนั้นมาเก็บไว้กับตัว เมื่อนึกถึงบางสิ่งข้างใน…นัยน์ตาคมก็เผลอเจือความแข็งกร้าวขึ้นมาอีกครั้ง

“เส้นผมในห่อกระดาษนี้…เป็นเส้นผมบักขัน อ้ายเก็บมาเมื่อคืน” แสงคำเอ่ยอธิบายก่อนจะหันกลับไปคุมเกวียนให้ออกเดินทางอีกครั้ง เมื่อคืนเขากระชากหัวนายขันเพื่อดึงเอาเส้นผมติดมือมาด้วย เพราะรู้ว่าคงได้นำมาใช้ในภายหลัง

“อย่างที่เคยสัญญาไว้กับเจ้านั่นละ ครั้งนี้อ้ายยอมปล่อยมันไป แต่ครั้งหน้า…มันได้ตายเป็นผีแน่”

 

ขบวนเกวียนเดินทางออกไปอย่างเชื่องช้า แต่กระนั้นเดือนก็ไม่คิดหนีเพราะรู้ว่าไร้ประโยชน์นัก วันแล้ววันเล่าเธอจึงเอาแต่เก็บตัวอยู่ในเกวียน ไม่ยอมกินข้าวกินปลาจนร่างกายเริ่มผ่ายผอม ดวงหน้างามที่เคยมีรอยยิ้มสดใสอยู่เป็นนิจ…บัดนี้มองเห็นเพียงความทุกข์

เพราะแม้แสงคำจะคอยดูแลเธอเป็นอย่างดี แต่ความดีเหล่านั้นก็มิอาจลบล้างสิ่งที่เขากระทำลงไปได้

บรรยากาศยามเย็นวันนี้ยังเงียบสงบเช่นเคย เมื่อตะวันเริ่มคล้อยลงปลายไม้ขบวนเดินทางจึงหยุดพักลงกลางทุ่งหญ้า วันนี้เข้าวันที่สามแล้วแต่เดือนก็ยังไม่ยอมกินข้าวกินน้ำ เขาจึงจำเป็นต้องบังคับเธอให้กินอาหารให้ได้ในคืนนี้ หาไม่แล้วแม่เดือนคงได้อดตายกลางป่าเป็นแน่

แสงคำเดินกลับเข้ามาหาเมียรักที่นั่งเหม่อลอยอยู่ใต้ต้นไม้ ก่อนจะก่อไฟให้เธอเพื่อบรรเทาความหนาว ร่างสูงขยับเข้ามานั่งเคียงข้างแล้วแกะห่อข้าวยื่นให้ เป็นห่อข้าวเหนียวกับปลาแห้งย่างส่งกลิ่นหอม ที่ผ่านมาเธอปฏิเสธเขาทุกครั้ง…แต่ครั้งนี้เขาจะไม่ใจอ่อนเป็นอันขาด

“กินข้าวก่อนเถิด…”

“ข้อยบ่หิว”

เดือนเอ่ยตอบโดยไม่ยอมหันมองเขา ทั้งที่แววตาดูอ่อนเพลียมากเสียจนแทบทรงตัวไม่อยู่ ร่างเล็กพยุงกายตนลุกขึ้นยืนโดยไม่หันมองเขาแม้สักนิด “ข้อยสิไปอาบน้ำ”

“แต่มันเริ่มมืดแล้ว ไปคนเดียวมันอันตราย…อ้ายสิไปนั่งเฝ้า”

“บ่ต้อง”

เดือนหันมามองด้วยสายตาเรียบนิ่ง มือคว้าเอาผ้าสะอาดที่เธอซักตากไว้แล้วเดินลับหายไปในความมืด ปล่อยให้เขายืนมองตาละห้อยอยู่ตรงนั้น แม้จะอยากตามเธอไปสักเท่าใดก็มิอาจทำได้ในเวลานี้ เพราะรู้ว่าแม่เดือนยังโกรธเคืองเขามิทันหาย

นึกได้เช่นนั้นเขาจึงกลับมานั่งรออยู่หน้ากองไฟ หยิบเอาข้าวเหนียวมาโรยเกลือทำข้าวจี่ร้อนๆ ไว้ให้ หากแม่เดือนไม่ยอมกินข้าวกับปลาย่างที่เขาเอามา อย่างน้อยก็กินข้าวโรยเกลือก็ยังดี…เผื่อจะทำให้มีเรี่ยวแรงขึ้นมากกว่านี้

 

ตะวันลับแสงไปแล้วจันทราจึงเริ่มสาดส่องบนแผ่นฟ้า ทำให้มองเห็นบรรยากาศยามราตรีได้ชัดเจนนัก เดือนนั่งเงียบๆ อยู่ริมลำธารไม่ไกลจากขบวนเกวียนของพวกโจรป่า ร่างเล็กนั่งอยู่บนโขดหินพลางเหม่อมองสายน้ำเบื้องหน้า

เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา…ดวงตาคู่ใสก็มีน้ำตาหยดอาบนวลแก้มด้วยความทุกข์ เหตุใดหนอโชคชะตาจึงใจร้ายกับเธอนัก เหตุใดหนอต้องลิขิตชีวิตให้พบเจอแต่ความเจ็บช้ำ

เธอรู้ดีว่าเขาเป็นมหาโจรมากอำนาจ หากเขาไม่ถูกฆ่าตายไปเสียก่อนก็คงเลี้ยงดูเธอให้สุขสบายได้ไม่ยากนัก แต่เงินทองที่มาจากการปล้นฆ่าอย่างนี้ เธอจะกล้ารับไว้ได้อย่างไร ความสุขสบายที่มาจากเลือดเนื้อและน้ำตาของผู้บริสุทธิ์…จะทำให้เธอกินอิ่มนอนหลับได้อย่างไร

หนทางชีวิตในวันข้างหน้า…ล้วนมีแต่ความเลวร้ายไม่มีวันจบสิ้น

เดือนนั่งเงียบไปนานโข ก่อนจะปลดผ้าผืนบางออกจากกายแล้วดึงผ้าซิ่นขึ้นห่มแบบกระโจมอก จากนั้นนั่งลงอาบน้ำกลางลำธารน้ำใส ผ้าแพรที่เธอสวมใส่อยู่นี้ก็คงเป็นของที่ได้จากการปล้นฆ่ามาเช่นกัน ไม่อยากใช้ห่มกายให้ต้องรู้สึกผิดบาป เธอจึงเร่งอาบน้ำแล้วกลับมานุ่งผ้าของตนเองที่ซักตากไว้เมื่อเช้าจนแห้ง

หญิงสาวรวมผมเป็นมวยสูงเสียบดอกมหาหงส์ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ สวมผ้าสไบสีขาวห่มเฉียงพาดบ่าอย่างชาวลาวอีสาน ผ้าซิ่นสีแดงย้อมครั่งทอลายละเอียดงดงามน่ามองนัก ผ้าเหล่านี้เธอทอใช้เองทั้งสิ้น

นึกไปแล้วก็ยิ่งเจ็บปวดนัก…ที่มิอาจใช้ชีวิตอย่างสุขสงบดังเดิมอีกแล้ว เธออยากกลับไปเหลือเกิน อยากกลับไปอยู่กับพ่อแม่ อยากเก็บตัวอยู่แต่ในเรือน คอยเลี้ยงน้อง คอยดูแลเรื่องข้าวปลาอาหาร ว่างวันใดก็เลี้ยงหม่อนไหมไว้ทอผ้า แล้วนำออกมาขายให้พ่อแม่มีเงินทองไว้ใช้

แต่โชคชะตาก็โหดร้ายกับเธอนัก ที่ลิขิตให้ต้องมาเป็นเมียโจร…คอยระเหเร่ร่อนเป็นคนป่าเช่นนี้

เดือนยังไม่ยอมกลับไปในเกวียน แต่เลือกนั่งเหม่อมองบรรยากาศรอบลำธารอยู่อย่างนั้น ค่ำมากแล้วบัดนี้จึงมีเพียงเสียงจิ้งหรีดเรไรร้องขับกล่อม บวกกับเสียงน้ำไหลชวนให้เธอรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง หญิงสาวนั่งชมจันทร์อยู่อีกสักพัก…แต่อยู่ๆ ก็พลันสะดุ้งไปเมื่อได้ยินเสียงเอ่ยเรียกจากด้านหลัง

“เดือน…เดือน…”

เดือนพลันหันขวับตามต้นเสียงไปทันที หัวใจสั่นระรัวเพราะเสียงนั้นคุ้นหูนัก เมื่อได้ยินเขาเรียกอีกครั้งจึงรีบเดินตามหา ก่อนจะอ้อมไปดูหลังต้นไม้ใหญ่แล้วเห็นว่าเป็นนายขันจริงอย่างที่คาดไว้

“อ้ายขัน!”

ร่างเล็กเดินปรี่เข้าไปหาเขาทันที นายขันนั่งพิงต้นไม้ด้วยท่าทางอ่อนล้า คราบเลือดแห้งกรังติดตามเสื้อผ้า ตามตัวมีแผลจากคมดาบอีกหลายแห่งที่เริ่มแห้งไปบ้างแล้ว เธอจึงพอเดาออกว่าคืนนั้นเขามิได้กลับไปรักษาตัว แต่เมื่อฟื้นกำลังขึ้นมาก็รีบออกตามหาเธอจนพบในวันนี้

ชายหนุ่มคว้ามือเธอมากุมไว้อย่างทะนุถนอม นัยน์ตาคมที่จ้องมองมานั้นเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส “อ้ายขอโทษหลาย…อ้ายขอโทษหลายที่ดูแลเจ้าบ่ได้”

“บ่เป็นหยังดอกจ้ะ”

เดือนส่งยิ้มให้ทั้งน้ำตา “ข้อยบ่ได้เป็นหยังดอก…ข้อยยังสบายดี”

เมื่อได้ฟังเช่นนั้นนายขันก็เผลอถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ชายหนุ่มยังคงกุมมือเธอไว้แน่น สายตาจ้องมองตามเรือนกายหญิงสาวเพื่อหาร่องรอยบาดเจ็บ

“บักแสงคำมันทำร้ายเจ้าบ่”

เมื่อเดือนส่ายหน้าปฏิเสธ นายขันก็พลันยิ้มออกมาด้วยความดีใจ วงแขนแกร่งดึงร่างเธอมาโอบกอดไว้ด้วยความรัก ก่อนจะโน้มลงจุมพิตเรือนผมงามนั้นอย่างทะนุถนอม

“อ้ายดีใจหลายที่ตามมาทัน…อ้ายสิพาเจ้าหนีจากมันไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ป่านนี้นายฮ้อยคงคลายมนตร์ดำออกจากพ่อแม่เจ้าแล้ว อ้ายสิพาเจ้ากลับไปบอกความจริงว่าบักแสงคำมันเป็นไผ เรื่องร้ายๆ จะได้จบลงสักที”

เดือนมิได้ขัดขืนอ้อมกอดของชายคนรัก…แต่ในแววตาก็ดูหม่นหมองจนเขาสัมผัสได้

“เดือน…เจ้าเป็นหยังไป”

“บ่เป็นหยังดอกจ้ะ…”

เดือนส่งยิ้มจางๆ ไม่ได้เล่าอะไรให้เขาฟังอีก หญิงสาวช่วยพยุงเขาลุกขึ้นก่อนจะพากันเดินฝ่าความมืดกลางป่า แม้จะสัมผัสได้ว่าเธอมีบางอย่างดูแปลกไป แต่เพราะคิดว่าไถ่ถามเอาคราวหลังก็ยังไม่สาย เขาจึงรีบพาเธอหนีออกมาก่อน…ถึงเรือนแล้วค่อยพูดคุยกันก็ยังได้

แต่การหนีครั้งนี้ก็ยากเย็นนักเพราะนายขันยังบาดเจ็บหนัก อีกทั้งเดือนเองก็ไม่แตะต้องข้าวปลาอาหารมาหลายวัน เมื่อถึงเวลาต้องใช้แรงหนีจึงอ่อนแรงจนแทบก้าวขาไม่ไหว

แม้หญิงสาวจะรู้อยู่แก่ใจว่าการหนีครั้งนี้มิอาจเล็ดลอดสายตาของนายแสงคำไปได้ เพราะเธอปลีกตัวมาเกือบครบหนึ่งชั่วยามแล้ว จึงไม่มีทางที่นายแสงคำจะมิให้ผีพรายออกตามหา หรือบางคราตอนนี้อาจรู้แล้วว่าเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง

แต่ถึงกระนั้นเธอก็มิได้หวาดกลัวเลยสักนิด…

หญิงสาวลอบถอนหายใจเบาๆ พลันน้ำตาก็เอ่อเจียนจะหยดอาบแก้มอีกครั้ง หรือคงถึงเวลาแล้ว…ที่เธอจะได้หลุดพ้นจากเรื่องวุ่นวายนี้เสียที

จันทราเคลื่อนไปตามกาลเวลาที่ผันผ่าน ดึกสงัดแล้วสายลมเย็นจึงเริ่มพัดรุนแรงขึ้นทุกที นายแสงคำกำลังเตรียมตัวออกเดินทางคนเดียว มือหยิบข้าวของลงอาคมในย่ามออกมาตรวจดูความเรียบร้อย…นัยน์ตาคมเจือความแข็งกร้าวชวนขนลุก

มือหนาคลี่กระดาษออกมาดูเส้นผมข้างในอีกครั้ง เผลอสะดุดตาเล็กน้อยเพราะรอยพับกระดาษอยู่ผิดที่ผิดทาง ราวกับถูกคลี่ออกมาแล้วรีบพับเก็บคืนไม่เรียบร้อย แต่กระนั้นเขาก็ยังมองข้ามความผิดปกตินี้ไป เมื่อนึกถึงเจ้าของเส้นผม…ชายหนุ่มก็พลันขบกรามแน่นด้วยแรงโทสะ

เพราะครั้งก่อนแม่เดือนขอร้องไว้…เขาจึงยอมไว้ชีวิต

แต่ก็เพียงครั้งเดียวเท่านั้น หากครั้งนี้มันยังไม่ยอมเลิกราจึงต้องตายกันไปข้าง นึกได้เช่นนั้นชายหนุ่มจึงปั้นดินเจ็ดป่าช้าขึ้นเป็นหุ่นมนุษย์ ใส่เส้นผมลงหุ่นดิน แล้วบรรจงพันสายสินจน์รอบหุ่นพร้อมร่ายมนตร์คาถา…

 

 “เดือน! เดือน! เจ้าเป็นหยังไป!”

สองหนุ่มสาวเดินหนีมาตามทาง แต่อยู่ๆ เดือนก็ปล่อยมือเขาเพราะหมดแรงล้มลงกับพื้น ร่างเล็กทรุดตัวคุกเข่าใช้สองมือยันพื้นไว้ เสียงร่ายมนตร์ของนายแสงคำดังก้องอยู่ในหัว ยิ่งได้ยินยิ่งหมดแรงเสียจนแทบเอ่ยคำใดออกมามิได้ ความหนาวเย็นบาดลึกเข้ามาในกระดูก เสียงสวดดังก้องจนเธอต้องเอามือปิดหูไว้ด้วยความทรมาน ตาพร่ามัวลงจนแทบมองไม่เห็น

“เดือน…เดือน!”

“ข้อยบ่เป็นหยัง” เดือนกลั้นใจเอ่ยออกไปในที่สุด

เหงื่อหยดเล็กเริ่มผุดพรมไปทั่วกายสาว เสียงหัวใจเต้นแรงเสียจนแทบหลุดออกมาจากอก แต่กระนั้นเธอก็พยายามรวบรวมสติให้มั่น มือน้อยคว้าแขนเขาไว้แล้วยันกายลุกขึ้นยืน ก่อนจะรีบก้าวเดินต่อในทันที

เธอรู้…เธอรู้ว่าแสงคำกำลังเริ่มเล่นมนตร์ดำใส่นายขัน

เมื่อเป็นเช่นนั้นหญิงสาวก็เผลอยิ้มออกมา ทั้งๆ ที่มนตร์นั้นทำให้เธอทุกข์ทรมานจนแทบสิ้นลมหายใจ เดือนยังก้าวเดินต่อไปโดยให้นายขันช่วยพยุงไว้ เสียงร่ายมนตร์สะกดยังก้องอยู่ในหัว…แต่กระนั้นเธอก็ยังกลั้นใจเก็บอาการไว้มิให้เขาเห็น

สายลมพัดรอบกายเสียงดังหวีดหวิวชวนขนลุก ใบไม้แห้งเริ่มปลิวว่อนราวกับกำลังมีพายุใหญ่ แต่สองหนุ่มสาวก็ยังเดินประคองกันมาตามทางโดยมิได้สนใจรอบกายเลยสักนิด ต่อให้ฝนตกฟ้าผ่าลงตรงนี้ก็ยังต้องเดินทางต่อไปให้ได้

แต่โชคชะตาก็โหดร้ายกับเธอนัก…เพราะหลังจากนั้นไม่นานนายแสงคำก็เดินทางมาถึง ชายหนุ่มนั่งบนหลังม้า…สะพายย่ามพร้อมอาวุธไว้ข้างไหล่ สายตาที่จ้องมองมานั้นดุดันชวนขนลุก ร่างสูงลงมาจากหลังม้ายืนเผชิญหน้า…ก่อนจะชักดาบจ่อคอนายขันพร้อมตวาดดังลั่น

“เดือน! ถอยออกไป!”

มิต้องรอให้กล่าวซ้ำ นายขันก็รีบดันตัวแม่หญิงคนรักออกไปให้พ้นรัศมีดาบทันที สองหนุ่มจ้องมองอย่างไม่มีใครยอมใคร แม้นายขันจะบาดเจ็บจากครั้งก่อนยังมิทันหาย แต่ในแววตาก็มิได้มีความหวาดกลัวเลยสักนิด

“มึงเข้ามา!”

แสงคำฟาดดาบลงมาทันที ชายหนุ่มจึงเบี่ยงตัวหลบแล้วใช้ดาบต้านไว้ แม้สองคนจะเป็นชายฉกรรจ์เรี่ยวแรงพอกัน แต่เพราะนายขันบาดเจ็บหนักจึงเสียเปรียบกว่านัก…เมื่อเริ่มต้านไม่ไหวเขาจึงถีบร่างอีกฝ่ายกระเด็นออกไปทันที

“เฮ้ย!”

แสงคำเซถลาไปเพียงเล็กน้อยแล้วตวัดดาบพุ่งเข้ามา เขาจึงเบี่ยงตัวหลบแล้วพุ่งดาบสวนเข้าใบหน้า ปลายดาบเฉียดปลายคางแสงคำไปเล็กน้อย เมื่อเห็นอีกฝ่ายเผลอชะงักนายขันจึงรีบตวัดดาบปลดอาวุธแล้วเตะเข้าปลายคางนายแสงคำจนล้มหงาย

“บักขัน! มึง!”

ร่างสูงของนายแสงคำทรุดลงกับพื้น แต่เมื่อลุกขึ้นนั่งก็ถูกนายขันตวัดดาบจ่อคอเขาเสียแล้ว ร่างสูงนั่งเหนื่อยหอบจนตัวโยน แต่ในแววตานั้นก็มิได้หวาดกลัวเลยสักนิด

“มึงแพ้แล้ว…” นายขันเอ่ยลอดไรฟัน พลางใช้ดาบชี้หน้าอีกฝ่ายแน่วแน่

แต่ก็ต้องชะงักด้วยความแปลกใจเพราะอยู่ๆ นายแสงคำกลับหัวเราะดังลั่นป่าราวกับคนวิปลาส แม้จะถูกปลายดาบจ่อลำคออยู่ แต่กลับเงยหน้ามองเขาแล้วส่งยิ้มเย้ยหยัน

“บักขันเอ๋ย…มึงต่างหากที่แพ้…”

แสงคำส่งยิ้มเหี้ยม นัยน์ตาวาวโรจน์อย่างผู้ชนะ มือข้างหนึ่งหยิบหุ่นดินออกมาอย่างรวดเร็ว…มืออีกข้างควักมีดพกขึ้นแล้วเสียบลงกลางหุ่นทันที

“กรี๊ดดดดดด!”

ร่างสูงเงื้อมีดขึ้นสูงแล้วปักลงสุดแรงเกิด มีดพกเสียบเข้ากลางลำตัวหุ่นจนมิดด้าม นายขันพลันนิ่งชะงัก นัยน์ตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก แต่เมื่อตั้งสติได้จึงรู้ว่าตนมิได้บาดเจ็บจากหุ่นคุณไสยนี้เลยแม้แต่น้อย…

แสงคำก็นิ่งชะงักไปเช่นกัน…ก่อนจะตะโกนเสียงหลงเมื่อหันมาเห็นแม่หญิงอันเป็นที่รัก

เดือนทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้น แผลฉกรรจ์กลางลำตัวทำให้เลือดไหลทะลัก มุมปากมีเลือดซึมไหลเป็นทาง ร่างเล็กหายใจหอบเหนื่อยจนตัวโยน…ก่อนจะหงายลงตรงนั้น

“เดือน! เดือน!!”

ชายหนุ่มสองคนต่างทิ้งอาวุธแล้ววิ่งเข้าไปในทันที แสงคำคว้าตัวเธอมากอดไว้ในอ้อมอก น้ำตาไหลออกมาไม่ขาดสาย เลือดยังไหลทะลักต่อเนื่องจนสไบห่มกายเปียกชุ่ม พยายามกดแผลเพื่อห้ามเลือดแต่ก็ไร้ผล

“เดือน…เจ้าเฮ็ดหยังลงไป เจ้าเฮ็ดหยังลงไป!”

นายแสงคำร่ำไห้คร่ำครวญอย่างคนวิปลาส ยิ่งเธอสำลักเป็นเลือดสดเปื้อนเสื้อเขา ชายหนุ่มยิ่งทุรนทุรายแสนสาหัส วงแขนแกร่งกอดเธอไว้แน่นพลางตะโกนคร่ำครวญทุรนทุราย น้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมามิขาดสาย

มิน่าเล่าเขาจึงเห็นว่ากระดาษห่อเส้นผมของนายขันถูกปิดไว้ไม่เรียบร้อย…ที่แท้แม่เดือนก็แอบสลับใส่เส้นผมตนเองแทนเส้นผมชายคนรัก

ท่าทีเจ็บปวดแสนสาหัสของเขาทำให้เดือนเผลอยิ้มจางๆ ด้วยความเศร้า เมื่อคืนก่อนเธอใช้โอกาสตอนเขาหลับ แอบเปลี่ยนเอาเส้นผมของนายขันทิ้งไปแล้วดึงผมตนเองออกมาแทนกระจุกหนึ่ง ใช้มีดตัดเส้นผมให้สั้นลงเพื่อให้ดูคล้ายกับนายขัน…ก่อนจะใส่ลงในห่อกระดาษนั้นไว้แทนที่

เธอรู้…ว่าสักวันแสงคำต้องทำร้ายเขาถึงตาย…

หากถึงวันนั้น…เธอก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อสิ่งใด

หญิงสาวเอื้อมมือลูบใบหน้าคมของชายผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นสามี ก่อนจะส่งยิ้มเศร้า แม้เขาจะรักเธอด้วยความบริสุทธิ์ใจสักเพียงใด แต่ก็มิอาจปฏิเสธได้…ว่าความรักของเขาทำให้เธอทุกข์ทรมานแสนสาหัส

“อ้ายบ่ได้ตั้งใจ…อ้ายบ่ได้ตั้งใจฆ่าเจ้า…”

“ข้อยรู้…อ้ายอย่าโทษตัวเองเลย” เดือนเงยหน้าส่งยิ้มเศร้า “เป็นข้อยเอง…ที่ตั้งใจให้มันเป็นอย่างนี้”

หญิงสาวรวบรวมกำลังเอ่ยกระซิบข้างหู มือเปื้อนเลือดยกขึ้นเช็ดน้ำตาให้เขาเบาๆ พลางส่งยิ้มละมุนให้ “อ้ายบ่ต้องรู้สึกผิดที่เฮ็ดให้ข้อยเป็นอย่างนี้ เพราะข้อยเลือกทางของข้อยเอง ในที่สุด…ข้อยก็จะได้หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานเสียที”

ถ้อยคำของเธอยิ่งทำให้เขาร่ำไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส ราวกับถูกเธอเอามีดกรีดลงกลางใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนมันแทบแหลกสลายลงตรงนั้น เหตุใดเธอจึงใจร้ายกับเขาเหลือเกิน…ที่ผ่านมาเขายอมทำทุกอย่าง ยอมทำทุกทางให้เธอเห็นใจ มิกล้าแม้แต่จะบังคับจิตใจให้เธอเจ็บช้ำ

แต่สิ่งที่เธอตอบแทนให้มันช่างสาหัสนัก นอกจากจะไม่เคยเปิดใจให้แล้ว ยังยอมตายเสียดีกว่าจะอยู่เป็นเมียเขา เหตุใดจึงใจร้ายกับเขาได้ถึงเพียงนี้ เขาเป็นโจรป่าก็จริงอยู่…แต่เธอไม่คิดว่าโจรชั่วคนนี้มันมีหัวใจบ้างหรืออย่างไร

มาทีหลังนายขันแล้วอย่างไร แต่เขาก็พร้อมรัก…พร้อมดูแลเธอให้สุขสบายกว่าใคร หรืออาจดูแลเธอได้มากกว่านายขันเสียด้วยซ้ำ พ่อแม่เธอก็เห็นดีเห็นงามให้เราสองได้ร่วมเรียงเป็นคู่ชีวิตกันไปจนแก่เฒ่า เหตุใดเธอจึงตอบแทนความรักด้วยการยอมตายดีกว่าอยู่กับเขา

เหตุใดเธอใจร้ายนัก…เหตุใดเธอใจร้ายเหลือเกิน…

แสงคำกอดเธอไว้แน่น ข้างกายมีนายขันที่ทรุดตัวหมดแรงลงข้างๆ ก่อนจะคว้ามือข้างหนึ่งของเธอมากุมไว้ น้ำตาลูกผู้ชายไหลอาบใบหน้ามิต่างกันนัก

ยิ่งเห็นเธอเริ่มหมดลมหายใจ…ความทุกข์ทรมานยิ่งเพิ่มเป็นเท่าทวีจนแทบทนไม่ได้

“เดือน อย่า…อย่าจากอ้ายไป…”

นายขันเอ่ยเสียงสั่นจนแทบฟังมิได้ศัพท์ ลมหายใจเธอเริ่มแผ่วเบาลงยิ่งตอกย้ำให้เจ็บปวดเจียนใจแหลกสลาย มือน้อยที่เขากุมไว้เริ่มเย็นเฉียบลงทุกที เขาจึงยิ่งขยับเข้าไปใกล้แล้วเอื้อมมือลูบนวลแก้มสาวอย่างทะนุถนอม

“อ้ายขัน…” เดือนเอ่ยกระซิบเสียงแหบแห้ง ในแววตาที่มองมานั้นเปี่ยมไปด้วยความสุข…ต่างจากสายตาที่มองชายอีกคนนัก เมื่อนายขันเอื้อมมือเช็ดน้ำตาบนนวลแก้มสาวให้ เธอจึงส่งยิ้มให้เขาเป็นครั้งสุดท้าย

“หากวาสนาชาตินี้บ่ได้เคียงคู่…ก็ขอให้เป็นชาติหน้าที่ได้ร่วมเรียงเคียงหมอน รักของข้อยมีให้อ้ายขันเพียงคนเดียว…ขอให้อ้ายจงจำไว้…”

เดือนส่งยิ้มให้ทั้งน้ำตาไหลอาบดวงหน้า มือน้อยยังกุมมือนายขันไว้แน่น แม้กายจะยังถูกชายอีกคนโอบกอดไว้ในอ้อมอก เธอรู้…เธอรู้ว่าทั้งสองคนต่างมีรักให้เธอไม่แตกต่างกันสักนิด หากแต่เรื่องราวมันวุ่นวายและเจ็บปวดมากเกินกว่าเธอจะรับไหว

ได้แต่หวังว่าหลังจากนี้…ดวงวิญญาณของเธอจะได้อยู่อย่างสุขสงบเสียที

เดือนส่งยิ้มละมุนให้ทั้งสองเป็นครั้งสุดท้าย…

ก่อนทุกอย่างจะเลือนหายไป…

 

“เดือน! เดือน…อย่าจากอ้ายไป…อย่าจากอ้ายไป…”

นายแสงคำตะโกนดังลั่น ร่างไร้วิญญาณในอ้อมอกทำให้เขาเจ็บปวดจนใจแหลกสลายลงตรงนั้น ดวงหน้างามละมุนที่เคยส่งยิ้มให้ บัดนี้เหลือเพียงความว่างเปล่า น้ำเสียงหวานละมุนที่เคยเอ่ยเรียกชื่อเขา…หลังจากนี้คงไม่มีโอกาสได้ยินมันอีกแล้ว

วงแขนแกร่งยังกอดเธอไว้ด้วยความหวงแหน สายตาจ้องมองนายขันที่นั่งทรุดตัวลงตรงหน้า คนหนึ่งก็ใจแหลกสลายที่ต้องสูญเสียแม่หญิงอันเป็นที่รักโดยไม่มีวันหวนกลับ อีกคน…ก็เจ็บปวดเหลือเกินที่รักของเขาไม่เคยมีค่าในสายตาเธอเลยสักครั้ง

และเจ็บปวดแสนสาหัสนัก…ที่เขากลายเป็นคนฆ่าเธอด้วยน้ำมือของตนเองเช่นนี้

แสงคำยังกอดร่างไร้วิญญาณของเธอไว้อย่างนั้น น้ำตาไหลอาบใบหน้ามิขาดสาย…มันทรมานเหลือเกิน…เจ็บเสียจนอยากตายตามเธอไปในตอนนี้

“บักแสงคำ! มึง…มึง…!”

นายขันก่นด่าเสียงสั่น แต่ความทุกข์ทรมานที่มีก็ทำให้ไร้เรี่ยวแรงจนมิอาจทำสิ่งใดได้ เมื่อเห็นบรรดาโจรป่าเดินทางตามมาถึง นายแสงคำจึงช้อนเอาร่างของแม่เดือนกลับไปกอดไว้อีกครั้ง

“กูสิเอาศพกลับไป” นายแสงคำเอ่ยออกมาทั้งน้ำตา แม้พยายามกลั้นสะอื้นแต่ก็ทำได้ยากเย็นนัก “เดือนเป็นเมียกู…กูมีสิทธิ์จัดการศพให้เรียบร้อย”

เอ่ยเพียงเท่านั้นชายหนุ่มจึงลุกขึ้นยืนโดยมีร่างเล็กของเธอในอ้อมอก…ก่อนจะนำศพเธอไว้ในเกวียนแล้วออกเดินทางทันที

 

เกวียนของนายแสงคำออกเดินทางทั้งวันทั้งคืนโดยไม่หยุดพัก จึงมาถึงที่เรือนบิดาหญิงสาวในที่สุด นายแสงคำกล่าวโทษว่านายขันลักลอบชิงตัวแม่เดือนไป กระทำต่ำช้าบังคับจิตใจแม่เดือนทั้งๆ ที่เธอเป็นเมียเขา…อีกทั้งยังถูกชิงตัวไปมาจนทำให้แม่เดือนฆ่าตัวตายในที่สุด

พิธีศพของหญิงสาวถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย หลังจากเผาบนเชิงตะกอนแล้วเขาจึงนำเถ้ากระดูกของเดือนมาฝังไว้ริมกำแพงหลังวัด…ก่อนจะนั่งกอดเข่าเหม่อมองกองดินใต้กำแพงอยู่อย่างนั้น

เวลาผันผ่านจนพลบค่ำ ชาวบ้านและพระสงฆ์ต่างทยอยกลับไปหมดแล้วจึงเหลือเพียงเขาอยู่ตามลำพัง ใบหน้าคมทอดสายตามองหลุมเถ้ากระดูกด้วยสีหน้าอมทุกข์ เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา…ก็พลันมีน้ำตาออกมาอีกหน

แสงคำยกมือปาดน้ำตาตนเองเบาๆ สำหรับเธอแล้ว…เขาคงเป็นเพียงคนชั่วที่เข้ามาทำให้ชีวิตวุ่นวายจนต้องพบจุดจบเช่นนี้ แต่เธอคงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเขาเจ็บปวดมากยิ่งกว่า เขาเองก็เป็นคน…มีเลือดเนื้อ…มีหัวใจ มีรักที่บริสุทธิ์มอบให้ แม้เธอจะไม่เคยมองเห็นค่าของมันเลยสักครั้ง

ความงามที่เธอเคยมี แม้บัดนี้เหลือเพียงเถ้ากระดูกในห่อผ้าขาว แต่รักที่เขามอบให้มันก็ไม่เคยลดลงเลยสักนิด ซ้ำร้ายยังเพิ่มมากขึ้นจนเขาทุกข์ทรมานแสนสาหัส หรือมันจะเป็นเวรกรรมที่ตามสนอง เพราะเขาไม่ยอมปล่อยวางในรัก…สุดท้ายจึงต้องพบเจอความเจ็บปวดเช่นนี้

ชายหนุ่มนั่งปาดน้ำตาตนเองเงียบๆ

พยายามมองหาดวงวิญญาณของแม่เดือน…แต่ก็ยังไร้เงาปรากฏตัวให้เห็น

เมื่อเป็นเช่นนั้นแสงคำจึงนั่งกอดเข่าร่ำไห้อีกครั้ง เธอคงโกรธเกลียดเขามากกระมังจึงไม่ยอมปรากฏตัวให้เห็นหน้า ไม่ยอมมาแม้เพียงเสียงกระซิบ ไม่ยอมให้เขารู้สึกว่ามีเธอวนเวียนอยู่ตรงนี้

“เดือน…เดือนเอ๋ย…เจ้าได้ยินอ้ายบ่”

แสงคำเอ่ยกระซิบถามทั้งน้ำตา…

เขาไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าบัดนี้ดวงวิญญาณแม่เดือนยืนมองอยู่ข้างหลัง ร่างสูงขยับเข้าไปใกล้กำแพงแล้วเอื้อมมือลูบกองดินนั้นอย่างทะนุถนอม น้ำเสียงสั่นเครือนั้นทำให้รู้ได้ไม่ยาก…ว่าบัดนี้ใจเขาเจ็บปวดมากเพียงใด

“อ้ายยังรักเจ้าบ่เคยเปลี่ยน ยังรัก…และคงรักไปจวบจนวันตายของอ้าย…”

ร่างสูงทรุดตัวลงร่ำไห้บนกองดินข้างกำแพง น้ำตายังไหลออกมามิขาดสาย “ชาตินี้เจ้าใจร้ายกับอ้ายหลาย ขอชาติหน้าเจ้าเมตตาอ้ายบ้างได้บ่…อย่าฆ่าอ้ายทั้งเป็นอย่างนี้อีกเลย…”

 



Don`t copy text!