สายแนน บทที่ 13 : บุญผลา

สายแนน บทที่ 13 : บุญผลา

โดย : SUDA

Loading

สายแนน นวนิยายออนไลน์โดย SUDA ที่อ่านเอานำมาให้อ่านทาง anowl.co กับ “เรื่องราว” ในอดีตที่ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาให้เจ็บช้ำ กายพลัดพรากแต่ใจยังผูกพัน แม้เหลือเพียงเถ้ากระดูกบนกองฟอน…ก็มิอาจปล่อยวางแล้วเริ่มต้นใหม่ “เขา” บุรุษสองคนผู้มีใจรักมั่น…จึงหวนกลับมาแย่งชิง “เธอ” อีกครั้ง

30 ปีต่อมา…

ศาลาหลังน้อยในเขตวัดยังมีสมภารขันและสองหนุ่มสาวนั่งสนทนา เรื่องราวจากปากสมภารขันทำให้ทั้งสองนั่งปาดน้ำตาด้วยความเศร้า เพราะแม้สมภารจะเล่าเรื่องราวอย่างปกติมากเพียงใด แต่ฟังจากน้ำเสียงก็พอรู้…ว่าเวลาสามสิบปีที่ผ่านมาไม่ทำให้ความเจ็บปวดลดลงเลยสักนิด

“หลังจากนั้นล่ะขอรับ”

“กูก็ออกธุดงค์ตามป่า ผ่านไปเกือบยี่สิบปีจึงกลับมา” สมภารขันเอ่ยตอบ “กลับมาแรกๆ ชาวบ้านก็ยังบ่ยอมรับนับถือ ใช้เวลาอีกเกือบสิบปีจึงสร้างศรัทธาขึ้นมาได้ กูก็อยู่เป็นเจ้าอาวาส เป็นที่พึ่งให้ญาติโยม คอยทำนุบำรุงพระศาสนา อุทิศบุญกุศลให้ดวงวิญญาณของนางอยู่เย็นเป็นสุข”

“แล้ววิญญาณของป้าเดือน…”

“วนเวียนอยู่แถวนี้ละ” สมภารขันเอ่ยตอบพลางส่งยิ้มจางๆ สายตาจ้องมองแม่ปิ่นที่นั่งพับเพียบอยู่ตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยกำชับกับทองอีกครั้ง

“บ่ต้องห่วงเรื่องกูกับโยมเดือนดอก…ให้ห่วงเรื่องบักแสงคำก่อน อีกสามวันจะถึงคืนเดือนมืด มึงต้องดูแลโยมปิ่นให้ดี ดวงจิตโยมปิ่นอ่อนแอลงหลาย หากพลาดท่าให้มันขึ้นมา…บักแสงคำมันเอาถึงตายแน่”

 

สายลมเย็นพัดผ่านเรือนหลังน้อยในยามราตรี แม้ฤดูหนาวคืนนี้อากาศหนาวเย็นเพียงใด แต่สองหนุ่มสาวบนเรือนเล็กๆ หลังนี้กลับรู้สึกอบอุ่นใจนัก ทองกับปิ่นนั่งรับลมอยู่ริมระเบียง สายตาเหม่อมองดวงดาวบนแผ่นฟ้า

ทองจำคำเตือนของสมภารขันได้ขึ้นใจนัก ยิ่งใกล้คืนเดือนมืดมากเท่าใดเขาก็ยิ่งดูแลแม่ปิ่นใกล้ชิดมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะยามค่ำคืนที่ไม่ยอมให้เธอห่างกายไปไหน ชายหนุ่มคว้าเอวบางของปิ่นไว้แล้วดึงเธอขึ้นมานั่งบนตัก มืออีกข้างเชยคางเธอให้หันมาสบตา

“ตั้งแต่กลับจากวัดเจ้าก็เอาแต่นั่งเงียบ…คิดเห็นเรื่องหลวงลุงขันกับป้าเดือนแม่นบ่”

“แม่นจ้ะ” ปิ่นพยักหน้ารับพลางเอ่ยตอบเสียงเบา นึกไปเธอก็เห็นใจทั้งสองคนนัก แม้รักมั่นคงเพียงใดก็มิอาจได้สุขสมหวัง จนต้องทุกข์ทรมานทั้งคนเป็นและคนตายเช่นนี้

“อ้ายทอง…อ้ายว่าป่านนี้วิญญาณป้าเดือนไปอยู่ไหน”

“ก็คงอยู่แถวนี้ละ” ทองเอ่ยตอบ “บักหมอผีชั่วมันกลับมาคราวนี้ก็เพื่อคืนชีวิตให้ป้าเดือน บ่แน่ว่าดวงวิญญาณอาจถูกมันจองจำไว้เพื่อรอเวลา แต่ป้าเดือนก็ยังมีบุญกุศลที่หลวงลุงขันอุทิศให้มาตลอดสามสิบปี แม้ถูกมันจองจำอยู่…ก็คงบ่ถึงขั้นตกทุกข์ได้ยาก”

“แล้วเรื่องที่ลุงแสงคำจะฆ่าข้อย…”

“อ้ายบ่ยอมดอก”

ทองโอบกอดร่างเล็กบนตักให้แน่นขึ้น แต่แม้จะบอกกล่าวเธอไปเช่นนั้น นัยน์ตาคมก็มิอาจปกปิดความกังวลเอาไว้ได้ เหตุเพราะคืนเดือนดับเริ่มใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว…คนชั่วช้าอย่างนายแสงคำคงมิปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไปง่ายๆ

แต่นึกไปแล้วก็โกรธเคืองบิดาเธอเหลือเกิน แม้ยอมทำตามคำขอร้องว่าจะไม่พาแม่ปิ่นไปหานายแสงคำที่ท้ายป่าช้าอีก แต่เรื่องที่ท้ายป่าช้าในคืนนั้นกลับไม่มีใครเชื่อคำเขาแม้แต่น้อย

เหตุใดหนอ…เหตุใดชาวบ้านจึงไม่ยอมเชื่อว่านายแสงคำเป็นคนเลว ทั้งที่หลักฐานก็เห็นอยู่ว่าแม่ปิ่นเกือบสิ้นใจในคืนนั้น

หรือเพราะนายแสงคำรู้จักวางตัวให้น่าเลื่อมใส วาจาน่าเชื่อถือ แววตาสุขุมแต่ก็แฝงไปด้วยความเด็ดขาด แม้วัยล่วงเลยถึงห้าสิบปีแล้วแต่ก็ยังดูสง่างามกว่าคนวัยเดียวกันนัก แต่แล้วเหตุใดผู้คนจึงมองเพียงภายนอก…เบื้องหลังชั่วช้ามากเพียงใดกลับไม่มีใครมองเห็น

“อ้ายทอง…ข้อยกลัว”

ปิ่นโน้มใบหน้าซบลงบนอกอุ่น ในแววตาคู่ใสเจือความหวาดหวั่นชัดเจนนัก “ลุงแสงคำเป็นคนเห็นแก่ตัว จนสามสิบปีผ่านไปแล้วก็ยังอยากได้ป้าเดือนกลับคืนไปหา วิธีการก็สกปรกสมกับเป็นคนชั่ว…คิดจะฆ่าข้อยให้ตายแล้วให้ป้าเดือนเข้ามาอยู่ในร่างข้อยแทน ป้าเดือนเองถึงแม้จะบ่เต็มใจ…แต่ก็คงต่อต้านหมอผีอาคมแก่กล้าอย่างนั้นบ่ได้”

“บ่ต้องห่วงเรื่องนั้นดอก” ทองยังประคองแม่หญิงคนรักไว้ในอ้อมอก ก่อนจะโน้มใบหน้าลงจุมพิตเรือนผมงามนั้นอย่างทะนุถนอม “ต่อให้มันเอาผีสางมาฆ่าเจ้าจนหมดป่าช้า อ้ายก็ยอมสู้จนตัวตาย อ้ายจะสู้ทุกวิถีทาง…บ่ให้มันมาทำร้ายเจ้าเป็นอันขาด”

 

สองหนุ่มสาวนั่งรับลมเคียงกายจนเวลาเข้ายามสอง แต่เมื่อถึงเวลาเข้านอนแม่ปิ่นกลับปลีกตัวออกห่างและยังไล่เขาออกไปนอนข้างนอก เห็นเธอเปลี่ยนไปกะทันหันเช่นนี้ชายหนุ่มจึงกังวลใจนัก เพราะก่อนหน้านี้อยู่ร่วมเคียงหมอนกันทุกคืน…แล้วเหตุใดคืนนี้จึงไล่เขาออกไปนอนนอกมุ้งเสียได้

“เจ้าเป็นหยังไป”

“อ้ายทอง…ข้อย…ข้อย…” ปิ่นก้มหน้าตอบไม่เต็มเสียง เหตุเพราะเพิ่งรู้ตัวเมื่อตอนผลัดผ้าเตรียมเข้านอนนี้เองว่าตนกำลังมีระดู แม้จะเป็นเรื่องปกติของแม่หญิง แต่เพราะบัดนี้มีบุรุษเช่นเขามาอิงแอบแนบกาย เธอจึงรู้สึกกระอักกระอ่วนนัก ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร

หญิงสาวนั่งเงียบอยู่อย่างนั้น แต่เมื่อทองนั่งสังเกตกิริยาเธอจนเข้าใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ชายหนุ่มจึงเผลอยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู แม่ปิ่นคงกลัวเขารังเกียจกระมังจึงไล่เขาออกไปนอนข้างนอกอย่างนี้

“ปิ่นเอ๋ย…”

ทองเอ่ยเรียกยิ้มๆ ก่อนจะมุดเข้ามุ้งไปนั่งเคียงข้าง แล้วคว้ามือบางของเธอมากุมไว้อย่างทะนุถนอม “อ้ายบ่รังเกียจดอก แต่อ้ายก็มีมนตร์อยู่จึงต้องอยู่ห่างเลือดระดูไว้เพราะอาจทำให้มนตร์เสื่อม แต่บักแสงคำมันก็มีมนตร์เช่นกัน เลือดระดูหญิงพรหมจรรย์ของเจ้า…จึงเป็นสิ่งเดียวที่จะกำจัดมันได้”

ฟังเขาเอ่ยอธิบายเช่นนั้น ดวงตาคู่ใสก็พลันเงยมองหน้าเขาด้วยความงุนงง “หมายความว่า…”

ทองโน้มใบหน้าเข้ามาพลางส่งยิ้มละมุน วงแขนโอบเธอมากอดไว้แนบอก “ผ้าซิ่นที่เจ้านุ่งผืนนี้…ถือว่าอ้ายขอก็แล้วกัน”

 

วันคืนผ่านพ้นจนแรมสิบห้าค่ำเวียนมาอีกครั้ง บรรยากาศยามราตรีดูเงียบสงัดวังเวง ท้องฟ้ามืดสนิทไร้เงาจันทราส่องแสง ยอดไม้ไหวเอนไปมา บวกกับสายลมเย็นยะเยือกที่พัดผ่านมายิ่งชวนให้หนาวจนขนลุก

ปิ่นกับทองนั่งเคียงกันอยู่ในเรือนหลังเก่า ร่างเล็กกอดซบอยู่บนแผ่นอกแกร่งของชายคนรัก น้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาด้วยความหวาดหวั่น เธอมั่นใจว่านายแสงคำต้องทำพิธีอีกครั้งในคืนนี้แน่ แม้จะยังไม่มีสิ่งใดผิดปกติ แต่หากฟ้ายังไม่สว่าง…ก็ยังวางใจกระไรมิได้ทั้งนั้น

“อ้ายทอง…ข้อยกลัว…”

“บ่ต้องกลัวดอก” ชายหนุ่มโอบกอดแม่หญิงไว้ในอ้อมอก เขายังจำคำเตือนของสมภารขันได้แม่นยำนัก ว่าหากเวลาผ่านเข้ายามราตรีเมื่อใด ภูตผีบริวารของนายแสงคำจะมีอิทธิฤทธิ์เป็นอันมาก หลังจากตะวันคล้อยลงจนมืดสนิทแล้วทั้งสองจึงเก็บตัวอยู่แต่ในเรือน ไม่ยอมออกไปไหน

แต่ยังมิทันไร ทองก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกอยู่ด้านล่าง

“ทอง! บักทอง เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”

เสียงที่ได้ยินนั้นคุ้นหูนัก สองหนุ่มสาวจึงลุกออกมาหาในทันที ก่อนจะเห็นว่าเป็นสมภารขันยืนรออยู่ด้านล่าง ในแววตาเจือความกังวลอย่างเห็นได้ชัด

“โยมปิ่น บักแสงคำมันจับตัวพ่อแม่เจ้าไปท้ายป่าช้า”

ปิ่นได้ฟังถ้อยคำก็เบิกตาโพลงด้วยความตกใจ “ลุงแสงคำจับตัวพ่อแม่ข้อย! จับไปเฮ็ดหยัง!”

“เพราะมันอยากได้ตัวเจ้าไปนั่นละ” สมภารขันเอ่ยอธิบายท่าทางเร่งรีบ “บักทอง มึงตามกูมาเร็ว คราวนี้บักแสงคำมันเอาจริง…หากมัวชักช้ามันอาจฆ่าสองคนนั้นตายได้”

“ข้อยขอไปด้วย”

ปิ่นรีบลงจากเรือนมาหาทันที แต่กลับถูกสมภารขันกล่าวห้าม “บ่ได้…มันเฮ็ดอย่างนี้ก็เพื่อล่อเจ้าให้ไปหาอยู่ป่าช้าท้ายวัด เจ้าจะหลงกลมันง่ายๆ อย่างนี้บ่ได้เป็นอันขาด ให้อาตมาไปกับบักทองสองคนก็พอ”

“แต่หากอ้ายทองไป ข้อยก็ต้องอยู่คนเดียว” ปิ่นเอ่ยเสียงสั่น ร่างเล็กวิ่งไปเกาะแขนชายคนรักไว้แน่น “หากอ้ายทองไปไหน…ข้อยก็ขอไปด้วย ข้อยบ่อยากอยู่คนเดียว ต่อให้เป็นตายร้ายดีข้อยก็บ่สน”

เมื่อเธอดื้อรั้นเช่นนั้นทองจึงทำได้เพียงปล่อยเลยตามเลย ชายหนุ่มหันกลับมาหยิบเอามีดลงอาคมใส่ปลอกไว้เรียบร้อยแล้วเหน็บไว้ข้างเอว ก่อนจะถือย่ามใส่ห่อผ้าคล้องไหล่ไว้อีกข้าง เมื่อพร้อมแล้วจึงจูงมือแม่ปิ่นลงบันไดเรือนมาทันที

“ตามมาเร็ว…” สมภารขันเดินนำหน้าไปทางเขตป่าช้าหลังวัด จุดหมายคือกระท่อมไม้ไผ่หลังน้อยของนายแสงคำ สองหนุ่มสาวเดินตามไปอย่างว่าง่าย

แต่ผ่านเขตวัดไปเพียงครู่เดียวทองก็หยุดชะงัก ชายหนุ่มรีบดันตัวแม่ปิ่นมาหลบหลังเขา เมื่อสมภารขันหันกลับมา…ทองจึงชักมีดลงอาคมออกมาชี้หน้า

“บักทอง…มึงสิเฮ็ดอีหยัง…”

“มึงบ่แม่นหลวงลุงขัน…” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ มือยังถือมีดชี้หน้าอีกฝ่ายด้วยความโกรธจัด

เหตุเพราะหน้าเรือนเขามืดสนิทจึงทำให้มองสิ่งใดแทบไม่เห็น แต่เมื่อเดินผ่านหน้าวัดที่มีแสงคบไฟรอบบริเวณ ทำให้ทองสังเกตเห็นว่าสมภารขันไม่มีเงายามเดินผ่าน…เขาจึงมั่นใจว่าเป็นผีบริวารนายแสงคำปลอมตัวมาแน่

สมภารขันตัวปลอมยืนจ้องมองเขาครู่หนึ่งแล้วแสยะยิ้มออกมาชวนขนลุก ก่อนจะเลือนหายพร้อมกับแม่ปิ่นที่กรีดร้องดังลั่น

“อ้ายทอง! อ้ายทองช่วยด้วย!”

“เฮ้ย!”

ร่างของแม่ปิ่นเลือนหายไปในทันที ทองเผลอตะโกนดังลั่นด้วยความตื่นตระหนก แต่เมื่อเห็นเธอหายไปแล้ว ชายหนุ่มจึงวิ่งตรงไปยังท้ายป่าช้าอย่างไม่คิดชีวิต เพราะรู้ว่าพวกมันต้องจับตัวเธอไปทำพิธีที่นั่นเป็นแน่ และเมื่อมาถึงก็เห็นเป็นจริงอย่างที่คาดเดาไว้

“อ้ายทอง! อ้ายทองช่วยด้วย!”

ปิ่นถูกมัดมือเท้าอยู่กลางลานหน้ากระท่อม มีสายสิญจน์โยงรอบตัวเธอไว้ทุกทิศ หญิงสาวถูกจับให้พนมมือถือดอกไม้ธูปเทียนแล้วพันด้วยสายสิญจน์คล้ายมัดตราสังคนตาย ส่วนนายแสงคำกำลังยืนถือเถ้ากระดูกของแม่เดือน คอยทำพิธีอยู่ใกล้ๆ

“บักแสงคำ! มึงหยุดเดี๋ยวนี้!” ทองประกาศเสียงกร้าว มือขวายังกำมีดลงอาคมไว้แน่น ไหล่ซ้ายยังมีย่ามใบเล็กคล้องไหล่ นายแสงคำหันมามองเพียงครู่เดียวก่อนจะเหยียดยิ้มเย้ยหยัน

“ก่อนจะห้ามกู…มึงเอาตัวรอดให้ได้ก่อนก็แล้วกัน!”

สิ้นเสียงนายแสงคำก็มีสัมภเวสีร่างสูงใหญ่ผุดขึ้นมาล้อมชายหนุ่มไว้ทุกทิศ ทั้งเดินออกมาจากมุมมืดในป่าช้าและผุดขึ้นมาจากหลุม แต่ทองกลับมิได้หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย เมื่อผีร้ายเข้ามาพร้อมกันทุกทิศทาง ชายหนุ่มจึงถีบผีตนหนึ่งกระเด็นออกเพื่อเปิดทางโดยเร็ว

“เฮ้ย!” ทองเบี่ยงตัวหลบเมื่อผีอีกตนฟาดดาบลงมาเต็มแรง ชายหนุ่มใช้มีดลงอาคมต้านแรงไว้แล้วเหวี่ยงตัวเตะจนมันกระเด็นล้มเกลือกกลิ้ง ผีอีกตนหนึ่งใช้วงแขนรัดคอเขาจากด้านหลัง ทองจึงใช้ศอกกระทุ้งไปเต็มแรงจนมันล้มหงายลงกับพื้น

“อ้ายทอง…อ้ายทองช่วยด้วย…” ปิ่นร้องเรียกชายหนุ่มทั้งน้ำตา

ร่างเล็กกระเสือกกระสนทุรนทุราย เสียงสวดคาถาดังก้องในโสตประสาทจนมิอาจต้านทานได้ไหว ในหัวเริ่มขาวโพลนจนมองอะไรไม่เห็น เรี่ยวแรงเริ่มหมดไป แต่แม้ลมหายใจเริ่มขาดหาย…ปิ่นก็ยังดิ้นรนขัดขืนสุดชีวิต

“บักหมอผีชั่ว…ปล่อยกู! ปล่อยกูเดี๋ยวนี้!”

เสียงกรีดร้องของหญิงสาวทำให้ทองเจ็บปวดเหลือทน ชายหนุ่มยังต่อสู้กับภูตผีที่ผุดขึ้นมาทั่วสารทิศ ร่างสูงเริ่มเหนื่อยหอบเพราะออกแรงไปมาก แต่หากมัวสู้กับภูตผีที่ผุดขึ้นมาไม่มีวันหมดเช่นนี้…นายแสงคำคงทำพิธีสำเร็จจนวิญญาณแม่ปิ่นออกจากร่างเป็นแน่

นึกได้เช่นนั้นทองจึงรีบเหวี่ยงตัวเตะปลายคางผีตนหนึ่งจนมันกระเด็นออกไป เมื่อได้ยินเสียงแม่ปิ่นกรีดร้องอีกครั้งเขาจึงรีบฝ่าวงล้อมออกไปหา ผีตนหนึ่งพุ่งเข้ามาขวางไว้ทองจึงยกขาถีบมันจนล้มกลิ้ง อีกตนหนึ่งก้าวมายืนตรงหน้า…เขาจึงกระชากเข้ามาแล้วใช้มีดเสียบกลางลำตัวทันที!

“ตายรอบสองเสียเถอะมึง!” ทองประกาศเสียงกร้าว เมื่อเห็นร่างช้ำเลือดช้ำหนองของมันเริ่มเลือนหายไปในอากาศ…ชายหนุ่มจึงพุ่งตัวไปหาแม่ปิ่นอย่างไม่คิดชีวิต

ร่างสูงวิ่งเข้าไปหาพร้อมขว้างมีดพุ่งไปหานายแสงคำเต็มแรง ปลายมีดเฉียดใบหน้าอีกฝ่ายเพียงเล็กน้อย ก่อนจะตกลงปักสายสิญจน์ที่โยงรอบไว้จนขาด…เทียนที่เปล่งแสงจึงดับลงทันที

“บักทอง!” นายแสงคำหันมาตวาดเสียงกร้าว เมื่อพิธีถูกหยุดลงกลางคันเขาจึงหันมาร่ายคาถาเสกควายธนูใส่ทองด้วยความแค้น

แต่สวดยังมิทันสิ้นคำชายหนุ่มก็เข้ามาประชิดตัวแล้วต่อยเข้ากรามซ้ายจนแสงคำล้มหงาย “กูเคยบอกแล้วว่าอย่ายุ่งกับอีนางปิ่น กูเคยบอกมึงแล้ว!”

“แล้วมึงสิเฮ็ดหยังกูได้…”

แสงคำเอ่ยตอบพลางส่งยิ้มเย้ยหยัน แม้ตนจะถูกทำร้ายจนทรุดตัวลงกับพื้น แต่ในแววตากลับเจือไปด้วยความสนุกสนาน เพราะด้านหลังชายหนุ่มมีผีร้ายกำลังย่างเข้ามาเกือบสี่สิบตน ถึงอย่างไรทองก็ไม่มีทางสู้ “ได้ข่าวว่าพวกมึงเป็นผัวเมียกันแล้ว ถ้าอย่างนั้น…กูก็ขอร่างงามๆ ของเมียมึงไว้เชยชมหน่อยแล้วกัน”

“หุบปาก!” ทองถีบเข้ากลางใบหน้าจนอีกฝ่ายล้มหงาย ก่อนจะก้าวเท้าตามมาติดๆ มือหนึ่งกระชากนายแสงคำให้ลุกขึ้นนั่ง แล้วหยิบเอาผ้าถุงในย่ามมาคลุมหัวทันที!

“เฮ้ย!”แสงคำสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ พยายามดิ้นรนขัดขืนแต่ก็สู้แรงชายฉกรรจ์อย่างทองไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

“ปล่อยกู! ปล่อยกู!”

ทันทีที่ถูกผ้าถุงเปื้อนระดูคลุมหัว…พลันทุกอย่างก็หยุดนิ่ง ผีร้ายรอบป่าช้าที่เคยเป็นบริวาร บัดนี้เลือนหายกลายเป็นเงาดำพุ่งใส่ตัวเขาทันที แสงคำทรุดตัวลงเกลือกลิ้งทุรนทุรายเพราะคุณไสยเข้าตัวจนแทบกระอักเลือด ร่างซีดเซียวนั่งคุกเข่าอ้าปากค้าง…มีเงาดำจากทุกสารทิศลอยเข้าปากลงไปในกายดูน่าสยดสยอง

ทองรีบอุ้มแม่ปิ่นถอยออกมา แต่สายตาก็ยังจ้องมองภาพเบื้องหน้าด้วยความตื่นตระหนกไม่ต่างกันนัก แสงคำทรุดตัวลงนอนดิ้นทุรนทุราย อ้าปากค้าง ดวงตาถลนราวกับกำลังขาดอากาศหายใจ ก่อนจะหมดสติไปในที่สุด

“เขา…เขาตายแล้วแม่นบ่” ปิ่นเอ่ยถามเสียงสั่น ชายหนุ่มจึงวางร่างเล็กของเธอลงก่อนจะเดินเข้าไปดูนายแสงคำใกล้ๆ แต่ยังมิทันได้คำตอบก็ได้ยินเสียงมาจากด้านหลัง

“มันยังบ่ตายดอก…”

สองหนุ่มสาวหันขวับไปในทันที ก่อนจะเห็นสมภารขันที่เพิ่งตามมาถึง ร่างสูงของสมภารก้าวเข้ามาใกล้ สายตาจ้องมองอดีตศัตรูด้วยท่าทางสงบนิ่ง “มนตร์เสื่อมแล้ว…ของจึงเข้าตัวจนกลายเป็นบ้า”

กล่าวเพียงเท่านั้นสมภารขันก็ยืนนิ่งไปนานโข เห็นอีกฝ่ายนอนนิ่งหมดสติไปเช่นนี้ก็นึกเวทนานัก แม้ความเจ็บปวดในอดีตยังแจ่มชัดอยู่ในใจ แต่เมื่อกรรมตามสนองเช่นนี้แล้วก็มิอาจซ้ำเติมได้

“หมดเวรหมดกรรมกันสักที…”

 

บรรยากาศรอบป่าช้ากลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง เมื่อสายลมเย็นพัดผ่านเบาๆ ทองจึงเข้าไปกอดประคองแม่ปิ่นไว้ในอ้อมอก ปล่อยให้เธอซบอยู่บนแผ่นอกแกร่งของเขาเพื่อบรรเทาความหนาว ก่อนจะหันมองสมภารขันที่เดินกลับไปเก็บเถ้ากระดูกแม่เดือนมาถือไว้ ปลดสายสิญจน์ออกจนหมดแล้วสวดบริกรรมคาถาคลายมนตร์ให้

อยู่ๆ แม่ปิ่นก็กรีดร้องด้วยความตกใจ…เมื่อเห็นดวงวิญญาณแม่หญิงคนหนึ่งปรากฏเบื้องหน้า…บัดนี้มีวิญญาณแม่หญิงคนหนึ่งกำลังก้มกราบสมภารขันด้วยกิริยาอ่อนน้อม ก่อนจะเงยหน้าสบตาอยู่นานโข

ถึงแม้ปิ่นจะไม่เคยเห็นป้าของตน…เพราะเดือนตายไปก่อนเธอจะเกิดหลายปี แต่เมื่อเห็นดวงวิญญาณแม่หญิงตรงหน้านี้…เธอก็เดาได้ไม่ยากนักว่าเป็นใคร

“โยมเดือน” สมภารขันเอ่ยเสียงเศร้า “ถึงเวลาแล้วแม่นบ่…”

เดือนพยักหน้ารับอย่างเชื่องช้า หันมองร่างไร้สติของนายแสงคำก่อนจะเผลอยิ้มจางๆ แม้จะโกรธที่ถูกนายแสงคำตามรังควานอยู่บ่อยครั้ง แต่เดือนก็มิเคยคิดผูกใจเจ็บ เหตุเพราะรู้ดีว่าสามสิบปีที่ผ่านมาเขาต้องทนทุกข์ทรมานอย่างไรบ้าง นับตั้งแต่เธอตายจากไปจนถึงวันนี้…ไม่มีวันใดที่เขาไม่กระซิบเรียกหา เพียงแต่เธอไม่ยอมใจอ่อน ไม่เคยปรากฏตัวให้เขาเห็นเท่านั้น

เธออยากให้เขาเจ็บปวดทรมานให้จบสิ้นในชาตินี้ ชดใช้หนี้กรรมที่เคยทำต่อกัน…จักได้มิต้องวนเวียนผูกพันกันอีกในกาลข้างหน้า

และบัดนี้เธอกับแสงคำหมดสิ้นกรรมต่อกันแล้ว แต่เธอเองก็วนเวียนอยู่ในภพภูมิมนุษย์จนครบอายุขัยแล้วเช่นกัน…คงถึงเวลาแล้วที่จักต้องไปสู่ภพภูมิใหม่

เดือนหันมาก้มกราบภิกษุตรงหน้าด้วยความซาบซึ้ง ตลอดสามสิบปีที่ผ่านมาก็มีเพียงสมภารขันที่คอยอุทิศกุศลให้ เพราะเศษกรรมที่หลงเหลือทำให้ชาตินี้เราสองต้องพลัดพราก แต่กระนั้นเขาก็ยังมั่นคงในรัก และยอมสละสิ้นทุกสิ่งเพื่อให้เธอได้อยู่อย่างสงบร่มเย็น แม้มิอาจได้ครอบครองเคียงกาย แต่หลังจากนี้…จักไม่มีสิ่งใดมาพรากเราสองได้อีกแล้ว

“อาตมาขอให้โยมไปสู่ภพภูมิที่ดี…พบเจอแต่ความสุขสงบ” สมภารขันเอ่ยเสียงเบา…ในสายตามิอาจปกปิดความรู้สึกในใจ วิญญาณของเดือนจึงก้มกราบบนพื้นอีกครั้งแล้วเงยหน้าส่งยิ้มให้ทั้งน้ำตา

ก่อนหน้านี้อาจเคยมีน้ำตาเพราะความเจ็บช้ำ แต่บัดนี้กลับเป็นน้ำตาแห่งความสุข เพราะถึงเวลาแล้วที่เธอจะหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง…แล้วเดินทางสู่ชาติภพใหม่

เดือนเงยหน้าส่งยิ้มให้เป็นครั้งสุดท้าย…ก่อนจะค่อยๆ เลือนหายไป…



Don`t copy text!