สายแนน บทที่ 15 : สายแนน

สายแนน บทที่ 15 : สายแนน

โดย : SUDA

Loading

สายแนน นวนิยายออนไลน์โดย SUDA ที่อ่านเอานำมาให้อ่านทาง anowl.co กับ “เรื่องราว” ในอดีตที่ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาให้เจ็บช้ำ กายพลัดพรากแต่ใจยังผูกพัน แม้เหลือเพียงเถ้ากระดูกบนกองฟอน…ก็มิอาจปล่อยวางแล้วเริ่มต้นใหม่ “เขา” บุรุษสองคนผู้มีใจรักมั่น…จึงหวนกลับมาแย่งชิง “เธอ” อีกครั้ง

ทองกับปิ่นใช้ชีวิตคู่ครองเรือนอย่างเป็นสุข จนกระทั่งเวลาผ่านไปราว 5 ปี แม่ปิ่นจึงตั้งครรภ์และให้กำเนิดทารกน้อยมาเป็นพยานรัก เด็กหญิงตัวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้ม ผิวพรรณขาวนวล ดวงตากลมโตสดใส รอยยิ้มหวานละมุนเหมือนผู้เป็นแม่

และเพราะแม่เดือนมาเข้าฝันก่อนเธอจะตั้งครรภ์ขึ้นมา ปิ่นจึงรู้ดีว่าลูกน้อยของตนนั้นเคยเป็นใคร เมื่อคลอดออกมาเป็นเด็กหญิงอย่างที่คาดไว้…ปิ่นจึงตั้งชื่อลูกเป็นชื่อเดิมในอดีตชาติ

เด็กหญิงตัวน้อยเลี้ยงง่ายตั้งแต่เล็ก ไม่งอแง เมื่อเติบโตจนรู้ความก็ยังมีกิริยาอ่อนน้อม นางสายผู้เป็นยายจึงรักหลานคนนี้มากนัก เหตุเพราะยิ่งเติบโตขึ้นมาเท่าใด…ก็ยิ่งงดงามละม้ายคล้ายแม่เดือนคนก่อนไม่มีผิด

แม่เดือนมิได้เป็นเพียงหลานรักของยายเท่านั้น แต่ยังเป็นลูกรักของพ่อและแม่ด้วย ทองกับปิ่นคอยดูแลเธอเป็นอย่างดี คอยให้ความรัก คอยเอาใจใส่ จากเด็กหญิงตัวน้อยจึงเติบโตขึ้นมาอย่างงดงาม จนกระทั่งอายุถึงวัยอันควรในการออกเรือนแล้ว ความงามของเธอก็ยิ่งเลื่องลือไปไกลนัก

มีชายหนุ่มต่างเมืองมากมายแวะเวียนมาหา และส่งผู้ใหญ่มาทาบทามสู่ขอเป็นจำนวนมาก แต่กระนั้นทองก็ยังไม่ยอมยกลูกสาวให้ใคร เพราะคิดว่าสักวันเธอจักได้พบชายหนุ่มที่เหมาะสม

ชายผู้มีดวงจิตผูกพัน…คู่สายแนนที่จักติดตามกันมาทุกภพทุกชาติ

 

แสงอรุณวันใหม่สาดส่องทั่วแผ่นฟ้า บรรยากาศเช้านี้ดูสดชื่นแจ่มใส หญิงสาวร่างเล็กยืนรับลมอยู่ชานเรือน เรือนผมดำขลับนั้นถูกรวบเป็นมวยเสียบดอกมหาหงส์ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ เท้าเล็กกำลังก้าวเดินลงจากเรือน…มีตะกร้าไม้ไผ่สองใบคล้องแขนไปด้วย

“เดือน…ไปไหนลูก”

แม่ปิ่นเอ่ยเรียกเมื่อเห็นลูกสาวเดินลงเรือนไป หญิงสาวจึงหันกลับมาหามารดาพลางส่งยิ้มกว้าง “ไปเก็บใบหม่อนจ้ะแม่ แวะเอาข้าวไปส่งพ่ออยู่นาด้วย…แม่จะได้บ่ต้องเหนื่อยเอาไปให้”

เดือนเอ่ยตอบพลางเอียงตะกร้าไม้ไผ่ให้เห็น ใบหนึ่งเป็นตะกร้าเปล่า ส่วนอีกใบหนึ่งมีปิ้งปลาเข็งเสียบไม้ราวสิบตัว ถูกห่อในใบตองชาดให้เรียบร้อย มีแจ่วปลาร้ากินกับผักสด ทั้งผักหนอก ยอดกระถิน ดอกสะเดาลวก และยังมีข้าวเหนียวในก่องข้าวน้อยใบหนึ่งด้วย เมื่อแม่ปิ่นผู้เป็นมารดาเอ่ยอนุญาตให้ออกจากเรือนแล้ว เธอจึงก้าวลงเรือนไปทันที

เท้าเล็กเดินลัดเลาะมาตามทางจนกระทั่งถึงที่หมาย เห็นทองผู้เป็นพ่อเดินอยู่กลางผืนนา กำลังไถพรวนดินโดยใช้วัวคู่หนึ่ง เมื่อแดดจัดแล้วเขาจึงจูงวัวมาพักกินน้ำในบ่อด้านหลัง ก่อนจะเห็นลูกสาวกำลังเดินเข้ามาใกล้

“เอาข้าวมาส่งจ้ะ”

เดือนส่งยิ้มให้บิดาพลางยื่นห่อข้าวให้ “ปลาเข็งที่พ่อได้มาเมื่อวาน ลูกเอามาทาเกลือย่างกินเช้านี้ แล้วก็มีผักสดหลายอย่าง มีแจ่วปลาร้าอยู่ในห่อใบตองชาดอีกอันหนึ่งจ้ะ”

ทองพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะรับก่องข้าวน้อยและตะกร้าห่ออาหารมาถือไว้ “แล้วเจ้ากับแม่ล่ะ  กินข้าวกินน้ำแล้วหรือยัง”

หญิงสาวส่ายหน้าปฏิเสธเป็นคำตอบ “ลูกยังบ่ได้กินจ้ะ แต่เตรียมสำรับไว้ให้แม่กินก่อนแล้ว…ออกมาเก็บใบหม่อนพวกนี้เสร็จแล้วก็จะรีบกลับไปหา”

เอ่ยอธิบายเพียงเท่านั้นเดือนก็เดินอ้อมไปด้านหลังไม่ไกลนัก ท้ายผืนนาของเธอเป็นสวนผักที่ทองปลูกไว้ มีทั้งมะละกอ พริกขี้หนู ตะไคร้ และต้นหม่อนที่ปลูกไว้เรียงรายเกือบสามสิบต้น หันไปเห็นบิดานั่งพักกินข้าวกินน้ำแล้ว เดือนจึงถือตะกร้าคล้องแขนเดินไปเก็บใบหม่อนเงียบๆ

มือบางเอื้อมเก็บทีละใบจนเต็มตะกร้า แต่กระนั้นก็ยังอัดลงไปให้แน่นเพราะตัวไหมกินใบหม่อนคราวละมากนัก หญิงสาวเดินเก็บใบหม่อนอยู่ครู่หนึ่ง พลันก็ชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงผิดปกติอยู่ด้านหลัง ก่อนจะเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ เมื่อเห็นงูเห่าตัวใหญ่กำลังเลื้อยเข้ามาใกล้

“กรี๊ดดดดด!”

เดือนถอยหลังด้วยความตื่นตระหนก เท้าเล็กก้าวพลาดจึงทำให้ล้มหงายลงกับพื้น ทองได้ยินเสียงลูกสาวจึงวิ่งเข้ามาโดยเร็ว เห็นงูตัวเขื่องชูคออยู่เขาจึงถือพร้าด้ามใหญ่เดินเข้ามาใกล้

“เดือน! ถอยออกมาเร็วลูก”

ทองวิ่งเข้าไปช่วยลูกสาวอย่างไม่คิดชีวิต แต่อยู่ๆ ก็มีลูกธนูพุ่งเสียบกลางหัวงูทันที

“เฮ้ย!”

เมื่อทองวิ่งมาถึงจึงก้มลงมองอีกครั้ง มิใช่ธนูที่เสียบอยู่…แต่เป็นลูกดอกของหน้าไม้ หันตามทิศทางไปก็เห็นร่างสูงของชายหนุ่มนั่งอยู่บนเกวียน มือยกหน้าไม้เล็งมาทางตัวงูเห่า ก่อนจะยิงเสียบเข้ากลางลำตัวอีกครั้งจนมันเริ่มแน่นิ่ง

จนกระทั่งเห็นว่าสองพ่อลูกปลอดภัยดีแล้ว ชายหนุ่มจึงวางหน้าไม้ลงก่อนจะส่งยิ้มให้ เดือนรีบลุกขึ้นไปซ่อนตัวด้านหลังบิดาของตน ส่วนทองนั้นทำได้เพียงยืนนิ่งชะงัก ก่อนจะก้าวเข้าไปหาชายหนุ่มแปลกหน้า…แล้วยืนจ้องมองราวกับมิอยากเชื่อสายตา

“หลวงลุงขัน…”

ทองเอ่ยพึมพำในลำคอ สายตาจ้องมองชายรุ่นลูกอยู่อย่างนั้น ชายหนุ่มวัยฉกรรจ์รูปร่างสูงสง่า ท่อนบนเปลือยเปล่าให้เห็นแผ่นอกกำยำ ท่อนล่างนุ่งหยักรั้งด้วยผ้าผืนเดียวแล้วใช้ผ้าขาวม้าผูกเอวทับไว้ แววตาที่มองมานั้นดูเป็นมิตร

แต่ใบหน้าชายผู้นี้ช่างคุ้นตานัก…ละม้ายคล้ายสมภารขันเมื่อครายังหนุ่มแน่น

“ข้อยไหว้จ้ะ”

ชายปริศนาพนมมือไว้ก่อนจะลงจากเกวียนมายืนสนทนาด้วย “ข้อยขี่เกวียนเดินทางผ่านมา ได้ยินเสียงแม่หญิงร้อง ก็เลย…”

“ขอบใจหลาย” ทองกล่าวตัดบททันที “เจ้าเป็นไผ เดินทางมาจากไหนล่ะ”

“ข้อยชื่อขัน เฮือนข้อยอยู่แถวหนองหานทางนู้น เดินทางมาเกือบสิบคืนแล้วกว่าจะมาถึงนี่”

ทองได้ฟังคำอธิบายก็ยืนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “หนองหานอยู่ไกลหลาย…ลุงบ่เคยไป แต่เคยได้ยินว่าเป็นบ้านเกิดของนายฮ้อยทรัพย์ ต้นตระกูลนายฮ้อยที่ต้อนวัวควายผ่านทางนี้”

“แม่นจ้ะ” ชายหนุ่มพยักหน้ารับ “นายฮ้อยทรัพย์เป็นปู่ทวดของข้อย หากยังมีชีวิตอยู่ก็คงอายุร้อยกว่าปีแล้ว แต่น่าเสียดาย…ที่ปู่ทวดตายตั้งแต่ข้อยเพิ่งจำความได้”

นายขันแววตาอ่อนลงเมื่อนึกถึงญาติผู้ใหญ่อันเป็นที่รัก บิดาเคยเล่าให้ฟังว่าในคืนที่เขาเกิด นายฮ้อยทรัพย์เป็นผู้ตั้งชื่อ ‘ขัน’ ให้ อีกทั้งยังรักใคร่เอ็นดูเขามากกว่าลูกหลานคนอื่นๆ ถึงแม้ความทรงจำในวัยเด็กของตนจะเลือนรางนัก แต่เขาก็จำได้แม่น…ว่าตนทั้งรักและเคารพผู้เป็นบรรพบุรุษมากเพียงใด

“ตระกูลของข้อยเป็นนายฮ้อยมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตาทวด พ่อของข้อยก็เป็นนายฮ้อย ทยอยซื้อวัวตั้งแต่หนองหานลงมาจนสุดทุ่งกุลา แล้วต้อนตามเส้นทางแม่น้ำมูลไปขายที่เมืองโคราช”

เมื่อฟังเรื่องราวจากชายหนุ่มแล้ว ทองก็เผลอยกยิ้มจางๆ เพราะมั่นใจว่าตนเดาไม่ผิดแน่ นายฮ้อยทรัพย์เป็นคนเดียวกันที่เคยช่วยสมภารขันเปิดโปงพวกโจรชั่ว หากชายหนุ่มตรงหน้านี้ชื่อขัน ย่อมหมายความว่านายฮ้อยทรัพย์ก็คงรู้เช่นเดียวกัน…ว่าในอดีตชาติเขาเคยเป็นใคร

“แล้วออกเดินทางมาคนเดียวอย่างนี้…เจ้าจะไปไหน”

“ข้อยมาสำรวจของป่าแถวนี้จ้ะ” นายขันเอ่ยตอบ “พ่อของข้อยนำขบวนต้อนวัวไปขายแล้ว จึงแบ่งหน้าที่ให้ข้อยตั้งกองเกวียนตามไป…เป็นขบวนเกวียนขนสินค้าไปขาย”

“กองเกวียนขนสินค้า”

เมื่อทองกล่าวถาม ชายหนุ่มจึงพยักหน้ารับแล้วเอ่ยอธิบายอีกครั้ง “กองเกวียนของข้อยมีคนร่วมราวๆ ห้าสิบคนแล้ว แต่ยังบ่เริ่มออกเดินทาง เพราะข้อยอยากสำรวจดูของป่าตามเส้นทางนี้ก่อน ตามหาแหล่งขายผ้าไหม ขี้ไต้ ครั่ง ปอ ป่าน ยาสูบ เพราะหากเริ่มขบวนแล้วจะได้แวะซื้อไปตามทางจนถึงเมืองโคราช เอาของพวกนี้ไปขายในเมือง แล้วซื้อพวกของฝรั่งลงมาเร่ขายตามเส้นทางกลับ อย่างพวกน้ำมันก๊าด ช้อน ปิ่นโต ตะเกียงกระป๋อง ตะเกียงลาน”

ทองเผลอยิ้มละมุนเมื่อเห็นท่าทีสุขุมของชายตรงหน้า สมภารขันสร้างบุญไว้มาก เมื่อเกิดมาชาตินี้จึงงามพร้อมทั้งรูปกายและทรัพย์สมบัติ อีกทั้งยังเกิดในตระกูลนายฮ้อยทรัพย์ผู้มากฝีมือ จนสามารถคุมขบวนเกวียนได้ทั้งที่อายุยังน้อย

“ฝีมือเจ้าคงบ่ธรรมดา เป็นนายฮ้อยเกวียนตั้งแต่ยังหนุ่มอย่างนี้”

“บ่แม่นดอกจ้ะ” นายขันรีบปฏิเสธพลางส่งยิ้มกว้าง “นายฮ้อยตัวจริงคือพ่อของข้อยต่างหาก…ตัวข้อยเองยังต้องเรียนรู้อีกหลาย”

ทั้งสองยืนสนทนากันนานโดยมีเดือนยืนมองเงียบๆ เมื่อเหตุการณ์กลับมาปกติแล้วเธอจึงขอตัวกลับเรือน แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อบิดาเธอชวนเขาไปกินข้าวกินปลาที่เรือนเสียอย่างนั้น และยังให้เธอเดินนำทางพาเขากลับเรือนด้วย

ร่างเล็กของแม่เดือนเดินนำทางให้เขาบังคับเกวียนตามหลัง แม้ชายหนุ่มจะขอให้เธอขึ้นมานั่งบนเกวียนอย่างไรก็ไร้ผล เธอมิได้เหน็ดเหนื่อยที่ต้องเดินเท้าไปมา…หากต้องขึ้นไปบนเกวียนกับชายแปลกหน้าเธอก็ตะขิดตะขวงใจนัก

“บ่ต้องกลัวอ้ายดอกนาง…”

นายขันเผลอยิ้มละมุนเมื่อเห็นท่าทีของหญิงสาว ร่างเล็กเดินตัวปลิวไม่สนใจฟังถ้อยคำเขาเลยสักนิด ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงนั่งอยู่บนเกวียน เฝ้ามองเธอจากด้านหลังเท่านั้น

แม่หญิงร่างบางอ้อนแอ้น ผิวพรรณนวลเนียนน่ามอง ร่างเล็กห่มสไบผืนน้อยเบี่ยงซ้ายอย่างชาวลาวอีสาน นุ่งผ้าซิ่นทอมือสีแดงเข้ม…กลิ่นดอกมหาหงส์จากมวยผมงามก็ทำให้เขาเผลอหลงใหล

แต่แล้วชายหนุ่มก็พลันนิ่งชะงัก…ดวงตาเบิกโพลงเพราะเห็นภาพบางอย่างซ้อนทับเข้ามาในหัว

เขาคุ้นตาแม่หญิงผู้นี้เหลือเกิน ดวงหน้างามผุดผ่องดั่งแสงจันทร์วันเพ็ญ ดวงตากลมโตสดใส รอยยิ้มหวานละมุนของเธอนี้…เขาเคยเห็น…

“อ้ายเป็นหยังไป”

เดือนหันกลับมาถามเมื่อเห็นเขาเงียบไป เสียงเล็กๆ ของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มได้สติคืนมาอีกครั้ง แต่เมื่อนายขันก้มหน้าไม่ยอมตอบเดือนจึงหันกลับไปเดินนำทาง แต่ยิ่งมองเธอชัดเจนเท่าใด…เรื่องราวแปลกประหลาดก็ยิ่งผุดขึ้นมามากขึ้น

“เดือน…”

เดือนพลันสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเขาเอ่ยเรียก เพราะตั้งแต่เขายืนสนทนากับบิดาจนมาถึงตอนนี้ ทั้งเธอและบิดายังมิได้บอกเขาสักคำ…ว่าเธอมีชื่อเสียงเรียงนามอย่างไร

“อ้ายไปรู้ชื่อข้อยมาจากไหน!”

“อ้าย…อ้ายบ่รู้” นายขันรีบตอบทันที เมื่อครู่เขาเอ่ยออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อรู้ว่าเป็นชื่อของหญิงสาวตรงหน้า นัยน์ตาคมก็เจือความตื่นตระหนกไม่ต่างกันนัก

“แต่อ้ายเห็น…อ้ายเห็น…”

กล่าวเพียงเท่านั้นนายขันก็นิ่งหุบปากตนเองไปเสีย เพราะถึงอย่างไรเธอก็คงไม่เชื่อ

แต่ภาพในหัวเขากลับชัดเจนนัก ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ยังติดตรึงอยู่ในใจ…ภาพเธอร่ำไห้กอดซบในอกเขา…ความทรงจำของสองเรายังแจ่มชัดราวกับเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้

เดือนพาเขาเดินผ่านทุ่งนามาจนถึงเขตหลังวัด ชายหนุ่มดึงเชือกวัวให้หยุดเดินสักครู่หนึ่ง ก่อนจะลงจากเกวียนมาผูกวัวไว้ใต้ต้นไม้ “คืนนี้อ้ายคงต้องขอนอนค้างแรมในวัด เจ้าพาอ้ายเข้าไปกราบขอหลวงตาก่อนได้บ่”

เดือนได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งงุนงงมากขึ้น แต่เพราะเป็นทางผ่านกลับเรือนอยู่แล้วเธอจึงยอมพาเขาแวะเข้าไปในวัดโดยดี สองหนุ่มสาวเดินชมบรรยากาศร่มรื่นในวัดอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นหลวงตาเจ้าอาวาสกำลังกวาดใบไม้กลางลานวัด เดือนจึงหยุดรอใต้ต้นไม้ แล้วปล่อยให้ชายหนุ่มเข้าไปกราบหลวงตาตามลำพัง

“หลวงตาขอรับ”

นายขันก้มลงกราบหลวงตาที่ยืนหันหลังให้ “ข้อยเป็นคนต่างเมือง เดินทางรอนแรมมาไกลหลาย คืนนี้ยังบ่มีที่ซุกหัวนอน จึงอยากกราบขอพึ่งบารมี…”

“ตามสบายเถิดโยม”

หลวงตาเจ้าอาวาสเอ่ยตอบ ก่อนจะหยุดกวาดใบไม้แล้วหันกลับมาหา แต่เมื่อมองเห็นใบหน้าชายหนุ่มต่างเมือง หลวงตาก็พลันนิ่งชะงัก จ้องมองเขาอยู่นานโข…แต่ก็มิได้ปริปากเอ่ยคำใดออกมา

เหตุเพราะเคยเป็นพระลูกวัดเมื่อครั้งสมภารขันยังมีชีวิตอยู่ เมื่อกลับมาเห็นชายหนุ่มรุ่นหลานผู้นี้จึงตื่นตกใจไม่น้อย ยิ่งมองสบตายิ่งมั่นใจว่าเป็นคนเดียวกันแน่ แต่เมื่อชายหนุ่มเริ่มมีท่าทีงุนงง หลวงตาเจ้าอาวาสจึงหันกลับไปกวาดลานวัดอีกครั้ง

“ตามสบายเถิดโยม…คืนนี้จะนอนอยู่ศาลาวัดหรือไปนอนอยู่กุฏิอาตมาก็ได้”

 

เมื่อขออนุญาตหลวงตาเรียบร้อยแล้วชายหนุ่มจึงตามเดือนกลับไปที่เรือนอีกครั้ง เกวียนเล่มน้อยมาจอดอยู่หน้าเรือนหญิงสาวจนได้ ชายหนุ่มปลดเกวียนออกแล้วปล่อยวัวให้กินหญ้าข้างทาง ก่อนจะเดินตามเธอขึ้นมาบนเรือน แม่ปิ่นผู้เป็นมารดากำลังก่อไฟเตรียมย่างปลาแห้ง แต่เมื่อเห็นบุรุษร่างสูงที่เดินตามลูกสาวมา…เธอก็เผลอเบิกตาโพลงด้วยความตื่นตระหนก

ชายหนุ่มเข้ามานั่งตรงหน้าก่อนจะพนมมือไหว้ด้วยความอ่อนน้อม

“ข้อยชื่อขันจ้ะ…”

เห็นแม่ปิ่นนั่งอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น เดือนจึงรีบเอ่ยอธิบายให้มารดาคลายความสงสัย “เมื่อเช้าลูกเกือบถูกงูเห่ากัดจ้ะ แต่โชคดีอ้ายขันมาช่วยไว้ เขาเดินทางมาไกลหลาย…พ่อเลยชวนมานั่งพักกินข้าวกินน้ำอยู่เฮือนเฮา”

แม่ปิ่นเผลอยิ้มออกมาเมื่อรู้ว่าสามีเป็นคนชักชวนให้เข้าเรือน หรือจะเห็นตรงกันกับเธอเป็นแน่

“ถ้าอย่างนั้นก็นั่งพักเอาแรงก่อนเถิด…น้าจะให้ลูกสาวเอาน้ำท่ามาให้ แลงนี้น้าว่าจะตำป่นปูนากินกับส้มผักเสี้ยน ปิ้งปลาแห้งก็ยังมีหลาย หากเจ้าบ่รีบไปไหนก็อยู่กินข้าวแลงนำกันก่อน”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ก่อนจะนั่งสนทนากับแม่ปิ่นอยู่นานโข ดีใจเหลือเกินที่คนเรือนนี้ต้อนรับเขาด้วยความอบอุ่น แต่กระนั้นในใจเขาก็ยังสับสน เหตุเพราะรับรู้ได้…ว่าทุกคนมีท่าทีตื่นตระหนกในยามได้พบหน้าเขา

แต่ชายหนุ่มก็มิได้กังวลเรื่องนี้นัก เพราะสัมผัสได้ถึงความปรารถนาดีที่ทุกคนมีให้ ทั้งจากพ่อแม่ของหญิงสาว…และหลวงตาเจ้าอาวาสด้วย

 

แสงจันทราสาดส่องทั่วแผ่นฟ้า สายลมบางเบาพัดยอดไม้ให้ปลิวไหว กลิ่นดอกไม้ป่าลอยมาตามลมชวนให้รู้สึกผ่อนคลายนัก นายขันกลับมานอนในศาลาวัดคนเดียว ร่างสูงนอนหงายหนุนแขนตนเอง พลางทอดสายตาชมความงามในยามราตรี

เขาคุ้นตาที่นี่เหลือเกิน…

ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจเบาๆ แต่ยังมิทันเข้าสู่ห้วงนิทราก็ได้ยินเสียงแปลกประหลาดดังมาจากด้านหลัง ร่างสูงจึงผุดลุกขึ้นทันที ก่อนจะลุกเดินตามต้นเสียงไปจึงเห็นชายคนหนึ่งนั่งกอดเข่าอยู่ในเงามืด

เงาดำปริศนานั่งกอดเข่าร่ำไห้ข้างกำแพง ร่างกายผอมแห้ง…ผิวกายดำคล้ำราวซากศพ กำลังนั่งกอดเข่าซุกใบหน้าร่ำไห้ เสียงสะอื้นนั้นชวนให้เวทนานัก

“สัมภเวสี…อยู่วัดนี้มายี่สิบกว่าปีแล้ว…”

เสียงเจ้าอาวาสเอ่ยบอกจากด้านหลัง ทำให้นายขันหันกลับไปทันที หลวงตาเดินถือตะเกียงเข้ามาใกล้ เมื่อเขาหันกลับมามองข้างกำแพง…ร่างชายปริศนานั้นก็หายไปเสียแล้ว

“โยมบ่กลัวผีแม่นบ่”

“บ่กลัวขอรับ” นายขันนั่งคุกเข่าตรงหน้าหลวงตา ก่อนจะพนมมือกล่าวตอบ “ข้อยเกิดในตระกูลนายฮ้อยจึงเคยร่ำเรียนอาคม บ่กลัวภูตผีวิญญาณดอกขอรับ แต่…แต่ดวงวิญญาณนี้…”

“เจ้าคุ้นตาเหมือนเคยเห็นแม่นบ่”

“ขอรับ” นายขันพยักหน้าตอบ หลวงตาเจ้าอาวาสจึงส่งยิ้มจางๆ เมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีตเมื่อหลายสิบปีก่อนหน้า

หลวงตาอายุน้อยกว่าสมภารขันไม่กี่ปี จึงพอจำได้ว่าทั้งสมภารขันและนายแสงคำมีเรื่องบาดหมางกันอย่างไรบ้าง แม้หลวงตามิได้รู้รายละเอียดนัก…แต่หากวิญญาณนายแสงคำมาปรากฏตัวให้เห็นเช่นนี้ ย่อมมีเหตุผลบางอย่างเชื่อมโยงถึงอดีตเป็นแน่

“วิญญาณบักแสงคำ ก่อนหน้านี้เป็นนายฮ้อยค้าวัวร่ำรวย เคยหายไปเกือบสามสิบปี แต่พอกลับมาได้บ่นานก็กลายเป็นคนบ้า แล้วติดไข้ป่าตายอยู่วัดนี้ แต่วิญญาณมันคงมีห่วงบางอย่าง…จึงไปไหนบ่ได้” หลวงตาเอ่ยอธิบาย

“บักแสงคำ…มันอาจกำลังรอโยมอยู่ก็ได้”

 

ถ้อยคำของหลวงตาเจ้าอาวาสยิ่งทำให้นายขันงุนงงยิ่งกว่าเก่า ความรู้สึกแปลกประหลาดในใจยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี เมื่อหลวงตากลับไปแล้วเขาจึงเดินสำรวจรอบวัดด้วยความฉงน สองเท้าก้าวเดินไปในความมืด สายตามองรอบกายอย่างเชื่องช้า…เพราะเริ่มเห็นภาพเหตุการณ์บางอย่างผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง

พลันสายลมเย็นยะเยือกก็พัดผ่านผิวกาย ร่างสูงก้าวมาหยุดริมกำแพงหลังวัด…ก่อนจะก้มหน้ามองวิญญาณชายตรงหน้าด้วยความสับสน

เพียงวิญญาณนั้นเงยหน้าสบตา…

ภาพที่เขาเห็นผ่านดวงวิญญาณยิ่งชัดเจนขึ้นมาในหัว…

ความเจ็บปวดที่ถูกเก็บไว้ในอดีตชาติพลันปะทุขึ้นมาจนเขาตั้งรับแทบไม่ได้ ในใจพลันเต็มไปด้วยความทุกข์ เพราะยิ่งเห็นยิ่งเจ็บปวด…ยิ่งรับรู้ยิ่งชอกช้ำ เรื่องราวเหล่านั้นวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า…จนเขาเริ่มจำได้ขึ้นใจ

แม้วิญญาณชายหนุ่มตรงหน้าจะมิอาจสื่อสารเป็นถ้อยคำออกมาได้ แต่แววตาเจ็บปวดที่มองมาก็พอรู้ว่าต้องการสิ่งใด ชายหนุ่มจึงนั่งลงก่อนจะเอื้อมมือแตะไหล่เย็นเฉียบนั้นไว้

“แสงคำ…” ชายหนุ่มเอ่ยกระซิบออกมายากเย็นนัก นัยน์ตาคมหันสบตาแน่วแน่ “กูจำได้บ้างแล้ว แต่คงจำได้บ่หมดดอกว่าเคยเกิดเหตุการณ์อีหยังขึ้นบ้าง แต่กูจำได้…ว่ากูเคยโกรธ…เคยเกลียดมึงปานใด”

เอ่ยได้เพียงเท่านั้นน้ำตาก็ไหลอาบใบหน้าชายหนุ่มด้วยความทุกข์ ปฏิเสธมิได้ว่าความคับแค้นยังชัดเจนอยู่ในความรู้สึก แต่หากมัวเคียดแค้นกันไปมาก็ไร้ประโยชน์นัก บัดนี้แสงคำก็ได้รับกรรมที่ก่อไว้แล้ว…วิญญาณต้องทนทรมานถูกกักขังในภพภูมินี้

เขาเริ่มต้นชีวิตใหม่แล้ว…

ทุกคนต่างเริ่มต้นชีวิตใหม่แล้ว…

เหลือเพียงดวงวิญญาณตรงหน้าที่ยังต้องจมอยู่กับกองทุกข์…คงถึงเวลาเลิกแล้วต่อกันเสียที

นายขันจับไหล่ดวงวิญญาณนั้นไว้แน่น สายตาที่มองมานั้นจริงจังและจริงใจนัก “กูขออโหสิกรรมให้ กรรมใดที่มึงเคยล่วงเกิน กูบ่เก็บมาคิดให้ติดค้าง ขอดวงวิญญาณมึงจงไปสู่ภพภูมิอันสุขสงบ…ขอให้หลุดพ้นจากความเจ็บปวดทรมานนี้สักที…”



Don`t copy text!