นิราศรักสองนครา บทที่ 15 : สยามกับคนในร่มธงฝรั่งเศสและความสัมพันธ์ที่เริ่มเปลี่ยนไป
โดย : ปรียนันทนา
นิราศรักสองนครา โดย ปรียนันทนา เรื่องราวของโชติ หญิงสาวชาวสยาม กับทางเลือกสองทาง ความรักของชายหญิงกับความรักหวงแหนแผ่นดินเกิด เธอจะเลือกทางใด และหากไม่สามารถเลือกได้ จะมีหนทางใดที่ใจสองดวงจะมาบรรจบพบกัน ณ จุดที่ลงตัวได้หรือไม่ นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านพร้อมกันที่นี่ anowl.co
ผู้คนที่เดินขวักไขว่บนถนนใหม่หรือถนนเจริญกรุงแห่งนี้มีต่างชาติต่างภาษา โดยส่วนใหญ่เป็นคนที่เข้ามาค้าขายและติดต่อราชการกับทางการสยาม การสร้างถนนตัดใหม่เกิดขึ้นราวสองสามปีที่แล้วจากการที่บรรดาชาวต่างชาติเรียกร้องให้ทางการทำถนนเนื่องจากอยากมีที่ทางให้รถม้าวิ่งชมเมือง ในหลวงจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างถนนขึ้น
เด็กหญิงผมจุกหน้าตาสะอาดสะอ้านแววตาซุกซนสดใสตามวัยหลายคนหยุดยืนหลังหญิงชาวต่างชาติซึ่งกำลังสนทนากับเจ้าของร้านค้าบนถนน ส่วนบางคนที่เริ่มเข้าวัยสาวก็พากันจับกลุ่มไปดูตามร้านค้าที่มีเครื่องแต่งตัวสวยงามอันล้วนแต่นำเข้ามาจากยุโรปเป็นที่แปลกตายิ่งนัก โชติอยู่ในกลุ่มแรกเพราะหญิงสาวอยากช่วยดูแลนักเรียนรุ่นเล็ก
“พี่โชติจ๊ะ บ้านตุ๊กตานั่นงามจริง ๆ นะจ๊ะ” พุดตานเดินมาใกล้ ๆ พลางกระซิบกระซาบหากเสียงของเด็กหญิงกลับมิได้เบาเช่นเจ้าตัวคิดสักนิด
“ใช่สิ ของมาจากเมืองอังกฤษ แลทำละเอียดลออน่าเอ็นดูเชียวแหละ”
“พี่โชติซื้อไปเล่นด้วยเหรอจ๊ะ” เด็กหญิงถามอย่างพาซื่อ
“ซื้อน่ะใช่แต่มิได้ซื้อไปเล่นเองดอก พี่ซื้อไปฝากน้องสาวน่ะ” โชติหมายถึงแม่เพ็ญ
“เหรอจ๊ะ แหม ฉันอยากลองเอาไปเล่นบ้างคงเพลินน่าดู”
“อยากได้ก็ซื้อสิแม่พุดตาน แม่หล่อนออกจะร่ำรวยมิใช่หรือ” กลอยเอ่ยสัพยอกเพื่อนอย่างรู้ทัน
“ร่ำรวยอะไร้! ฉันมิได้เงินจากแม่เท่าใดดอกแม่กลอย ทุกวันนี้เงินที่ครูให้ยังต้องเอาไปให้แม่เลย มิใช่อะไรหรอก เอะอะก็บอกว่ากลัวจะทำหาย แหม เค็มน่าดูนะแม่ฉัน” เด็กหญิงบ่นพลางเท้าเอวอย่างหัวเสียเมื่อพูดถึงมารดา หากก็มิได้จริงจังนักเพราะเพียงพริบตาที่ชายหนุ่มชาวฝรั่งเศสนามว่ามิเชลเดินเข้า
มาในร้านก็ดูเหมือนกลุ่มของเด็กหญิงจะเงียบกริบเพื่อรอดูปฏิกิริยาระหว่างเขาและพี่โชติคนสวยของพวกเธอ
“บงชูร์ คุณโชติ” ชายหนุ่มเอ่ยดวงตาเป็นประกาย หลังจากเขาและเธอได้ใช้เวลาร่วมกันที่บ้านมิสซิสเฮาส์โดยต่างฝ่ายต่างแลกเปลี่ยนความรู้ภาษาของตนให้อีกฝ่ายได้เรียนรู้ทำให้เขาและโชติเริ่มคุ้นเคยกันมากขึ้น
“บงชูร์ เมอสิเออร์มิเชล” โชติออกเสียงภาษาฝรั่งเศสอย่างชัดเจนตามสำเนียงที่ได้ยินจากชายหนุ่ม ส่วนเขาก็เอ่ยชื่อเธอได้ชัดเจนมากขึ้นรวมถึงสามารถสนทนาภาษาของเธอได้บ้างแล้วแม้ยังไม่เข้าใจมากนักก็ตาม “กินข้าวมาหรือยังคะ” โชติทดสอบความเข้าใจภาษาของชายหนุ่มตรงหน้า
“อืม กินข้าวตอนเช้าแล้ว” ดวงตาเป็นประกายของชายหนุ่มมีแววครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนตอบออกมาอย่างมั่นใจในความหมายที่อีกฝ่ายสื่อสาร “Avez- vous pris le petit déjeuner? คุณกินข้าวเช้าหรือยังครับ” เขาถามกลับบ้าง
“ฉันกินข้าวแล้วค่ะ , J’ai déjà pris le petit déjeuner”
มิเชลหันไปพูดคุยกับกลอยผู้ซึ่งบัดนี้กลายเป็นคนสนิทของโชติดั่งเงาตามตัว เขารู้สึกคุ้นเคยกับเด็กหญิงผู้นี้มากกว่าคนอื่นอาจเพราะเขาได้ช่วยชีวิตเธอเอาไว้และยังได้รับรู้ถึงชีวิตที่น่าเห็นใจก่อนจะมาถึงวันนี้ วันนี้กลอยดูสดใสมากขึ้นแม้บางคราวยังคงมีแววตาหม่นหมองหากก็เป็นเพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น
โชติยังคงยืนฟังกลอยที่เริ่มสนทนาภาษาอังกฤษได้คล่องมากขึ้นเมื่อมาอยู่กับเธอ ชั่วขณะหนึ่งหญิงสาวรู้สึกได้ถึงสายตาของใครบางคนที่กำลังจ้องมองมา เมื่อเงยหน้าขึ้นดวงตาคู่งามก็ประสบพบกับเจ้าของดวงตาสีนิลเป็นประกายน่าเกรงขามที่กำลังยืนมองเธอและมิเชลอย่างไม่ให้คลาดสายตา
“แม่โชติ” เสียงทุ้มกังวานต่ำทว่ามีร่อยรอยความสงสัยในที “มาละแวกนี้ด้วยเหตุใดกัน” คำถามที่ถามหญิงสาวหากดูเหมือนว่าเขาต้องการสื่อความนัยถึงหนุ่มต่างชาติผู้กำลังยิ้มร่าขณะเดียวกันแววตาที่มองมาก็ช่างเปิดเผยยิ่งนัก เขากล่าวทักทายผู้อาวุโสกว่าทันทีอย่างกระตือรือร้น หลวงภูบดินทร์พิทักษ์ตอบกลับอย่างมีมารยาทแล้วหันมามองโชติอย่างพิจารณา
“ฉันไหว้ค่ะคุณหลวง พอดีวันนี้ครูพาเด็ก ๆ มาเดินชมเมืองแลคุณมิเชลอยู่ตึกห้องถัดไปไม่ไกลจึงได้พบกันค่ะ” หญิงสาวเลี่ยงการกล่าวถึงต้นเหตุแห่งการพบปะมิเชลที่บ่อยครั้งมากขึ้น หากก็พอเดาได้ว่าคุณหลวงคงพอรู้มาบ้างจากภรรยาของเขา
“เช่นนั้นเอง ได้ข่าวว่าเธอสอนภาษาไทยให้ชายผู้นี้หรือแม่โชติ” จริงดังที่โชติคิดไม่ผิดแม้แต่น้อย หญิงสาวพยักหน้าพร้อมกับตอบรับเมื่อคำถามจบลง
“ใช่ค่ะ สอนได้หลายวันแล้ว แลเขาก็สอนภาษาฝรั่งเศสให้กับฉันด้วย คุณหลวงทราบจากคุณน้าจันใช่หรือไม่คะ แลคุณน้าได้แจ้งเรื่องนายเทิดให้ทราบหรือยังคะ”
“บอกแล้ว ฉันจึงให้คนไปสอบถามแลตามหาญาติของนายเทิด ได้ความว่าเป็นคนในละแวกบ้าน จริง ๆ ด้วย ตอนนี้พวกเขาได้เจอกันแล้วแต่นายเทิดยังอยู่ที่เรือนของฉันเช่นเดิม”
“เช่นนี้คุณหลวงจะให้นายเทิดอยู่ต่อไปหรือคะ” โชติสงสัย
“นายเทิดมิใช่บ่าว ฉันมิมีอำนาจไปตัดสินว่าต้องอยู่หรือไป เพียงแค่เขามาตามหาญาติฉันก็ให้ที่พัก หากมีเรื่องเดือดร้อนหนักหนาเกินกว่านี้ก็ค่อยมาหารือกันอีกครา” เขารวบรัดราวกับเดาได้ว่าชายผู้นั้นต้องมีเรื่องเดือดร้อนจึงเดินทางมาถึงที่นี่
“ฉันคิดว่าเขาคงมีเรื่องร้องเรียนใครบางคน เพราะเขาฝากหนังสือถึงคุณพ่อด้วยค่ะ” โชติบอกอีกฝ่ายอย่างสงสัยเช่นกัน เรื่องหนังสือนั้นเธอได้มอบให้บิดาแล้วหากยังมิได้ถามไถ่คุณพ่อก็รีบเข้าวังไปอีก ได้ยินว่ากำลังเตรียมตัวเดินทางสำหรับตามเสด็จแปรพระราชฐานไปเพชรบุรี
“เช่นนั้นฉันฝากบอกคุณพระด้วยว่าหากมีสิ่งใดที่ฉันพอช่วยได้ ขอให้บอก อย่าได้เกรงใจกันเลย”
“ได้ค่ะ ฉันจะนำความไปบอกท่านแน่นอน” หญิงสาวรับคำหลวงภูบดินทร์พิทักษ์พลางมองห่อยาในมือของเขาก็นีกรู้ได้ทันทีว่าคงเป็นยาของภรรยาเขา “อาการคุณน้าจันมิดีขึ้นบ้างหรือคะ วันก่อนที่ฉันไปก็ซูบไปผิดตานัก”
“คล้ายจะดีขึ้นแต่ก็เป็นดังที่เธอบอกนะแม่โชติ แม่จันดูซูบผอมแลเหนื่อยง่ายเหลือเกิน” เขาตอบพลางมองห่อยาในมือ “ฉันก็เข้าเฝ้าตลอดมิค่อยมีเวลาออกมาดูแล ครานี้ออกจากวังหน้ามาจึงมาเอายาเพิ่ม”
“ลองให้หมอฝรั่งตรวจดูสักหน่อยไหมคะ อาจมียารักษาถูกกับโรค” โชติแนะนำอย่างเป็นกังวลไม่น้อย
“ฉันก็คิดเช่นนั้น แต่แม่จันก็มิค่อยมีแรงออกจากบ้าน อาจต้องมาเชิญหมอไปรักษา ดีไหมแม่โชติ” เขาหารืออย่างน่าเห็นใจ แววตาที่องอาจเมื่อครู่ดูหมองลงเมื่อนึกถึงอาการเจ็บป่วยของภรรยาผู้เป็นที่รัก
“ดีสิคะ เช่นนั้นฉันจะลองให้คนบ้านคุณป้าติดต่อเชิญหมอบลัดเลย์ไปที่บ้านคุณหลวงนะคะ”
“ขอบใจมากแม่โชติที่เป็นธุระเรื่องแม่จัน”
เขาเอ่ยอย่างจริงใจพลางมองเลยไปยังมิเชลที่บัดนี้กำลังยืนสนทนากับมิสซิสเฮาส์แต่แววตามิได้ละไปจากร่างบางผิวสองสีของหญิงสาวเลยสักนิด และเพียงชั่ววินาทีที่ชายผมเปียผู้กำลังเดินเข้ามาแล้วตั้งใจชนหญิงสาวจึงทำให้ชายหนุ่มผู้มาจากแดนไกลก้าวอย่างว่องไวและรีบเอื้อมมือไปจับแขนโชติไม่ให้เซล้มลงไปได้ทันการ หากมิเชลก็ไม่สามารถกันชายคนนั้นการการรังแกแม่พุดตานโดยการเอามือผลักศีรษะของเด็กหญิงแล้วจากไปพร้อมกับเสียงหัวเราะเบา ๆ อย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง สร้างความแตกตื่นในหมู่เด็กหญิงเพราะพุดตานร้องเสียงหลงอย่างตกใจที่โดนทำร้าย แม้มิได้เลือดตกยางออกแต่เด็กหญิงก็ตกใจเสียขวัญจนน้ำตาซึม เป็นภาพตรงข้ามกับแม่พุดตานคนเก่งที่ปกติช่างเจรจายิ่งนัก
“หยุดนะ เจ้าคนไร้มารยาท เหตุใดทำเยี่ยงนี้กับผู้หญิงและเด็ก” หลวงภูบดินทร์พิทักษ์เอ่ยเสียงดังกังวานก้องอย่างเอาเรื่องหากชายผู้นั้นมิใส่ใจใครกลับเดินผ่านทุกคนไปอย่างย่ามใจ
“แล้วยังไง ฉันทำอะไรผิด ก็คนพวกนี้ยืนขวางทางที่ฉันจะเดินผ่าน”
“เหตุใดมิพูดจาดี ๆ เล่า” ท่าทีองอาจและน้ำเสียงน่ายำเกรงทำเอาชายผมเปียชะงักเล็กน้อยหากก็ไม่ยี่หระต่อการถูกลงโทษเพราะเขารู้ว่าจะไม่มีใครทำอันใดกับคนในร่มธงฝรั่งเศสได้
“พูดไปไยเสียเวลา เรื่องมันจบไปแล้วท่านก็อย่าถือสาเลย”
มิเชลยืนมองการสนทนาที่ไม่เข้าใจอย่างร้อนใจ เขาจำได้ว่าชายผู้นี้คือใคร การกระทำที่ไร้มารยาททำให้เขายิ่งรู้สึกไม่ชอบและเขารู้ว่าอีกสักครู่เรื่องจะจบลงเช่นที่ผ่านมาคือคนสยามก่นด่าการที่กงสุลรับเอาคนสยามเป็นคนในร่มธงเพื่อหนีโทษและไม่ต้องรับการตัดสินจากทางการ
“ขอบคุณค่ะ” โชติขอบคุณชายหนุ่มพลางเอี้ยวตัวให้พ้นจากการเกาะกุมของเขา “ฉันจำได้ว่าเขาคือชายคนนั้น คนที่มีคดีฆ่าคนแล้วเพิ่งย้ายไปเป็นคนในบังคับฝรั่งเศสใช่หรือไม่คะ” หญิงสาวถามต่ออย่างระลึกได้
“ใช่ครับ” เขาตอบอย่างรู้สึกไม่ดีสักนิด
“ท่านกงสุลรู้หรือไม่คะว่ารับคนไปเป็นคนในบังคับแล้วเขาทำตัวเกะกะระรานคนสยามเยี่ยงนี้”
“ผมก็ไม่แน่ใจนัก แต่ผมไม่ได้เห็นด้วยกับการกระทำของเขานะครับ” มิเชลหมายถึงกงสุลฝรั่งเศสผู้ที่เขานับถือและสนิทสนมเป็นการส่วนตัว
“ฉันรู้ค่ะว่าคุณไม่เห็นด้วยกับการที่ฝรั่งเศสมีคนในบังคับแบบนี้ แต่คุณกับท่านกงสุลเป็นคนละคนกัน” โชติมองหน้าอีกฝ่ายอย่างต้องการค้นหาความจริง แม้เชื่อว่าเขาค่อนข้างไม่รู้เห็นเรื่องราวใดระหว่างกงสุลกับชายคนนี้แต่เธอก็ยังไม่รู้ว่าหากต้องถกกันด้วยเรื่องความถูกต้องอย่างแท้จริง ชายคนนี้จะเข้าข้างประเทศของตนหรือไม่
“ผมไม่เข้าข้างเขาแต่สนับสนุนให้ท่านกงสุลตัดสินความผิดเขา แต่ดูเหมือนว่าเรื่องราวที่เขาทำจะถูกลืมเลือนไปพร้อมกับการที่เขาเข้ามาเป็นคนในบังคับของเรา สิทธิที่เขาได้รับมันช่างทำร้ายหัวใจของคนอีกหลายคนที่อยู่ข้างหลังคนตาย คุณว่าไหมครับ” มิเชลเอ่ยเสียงเศร้า
“ใช่ค่ะ ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย”
ทั้งสองคนตกอยู่ในความเงียบงันในขณะที่ภาพตรงหน้าคือหลวงภูบดินทร์พิทักษ์กำลังยืนมองชายผมเปียอย่างเคืองขุ่นกับสิ่งที่เขากระทำ ยิ่งเขาได้ยินสิ่งที่โชติและมิเชลสนทนากันยิ่งทำให้ข้าราชการสยามถึงกับสะท้อนใจที่ไม่อาจทำการใดหักหาญได้ เพียงเพราะต้องเกรงใจและให้เกียรติประเทศมหาอำนาจผู้เข้ามาเจรจาทำสนธิสัญญาต่าง ๆ มากมายภายในเวลาไม่กี่ปีนี้ เขาได้แต่ยืนมองชายผู้นั้นเดินจากไปเงียบ ๆ อย่างไม่อาจทำสิ่งใดได้ เมื่อหันไปสบตากับโชติและมิเชลก็พบว่าทั้งสองคนก็คงรู้สึกอึดอัดใจไม่ต่างกันนัก
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 33 : โมงยามแห่งความทรงจำ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 32 : ความในใจของบุรุษทั้งสอง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 31 : หลานสาวภริยาท่านทูต
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 30 : หญิงสาวสองคนในเมืองใหญ่
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 29 : ต่างบ้านต่างเมือง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 28 : ก่อนถึงจุดหมาย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 27 : ห่างกันไปไกล
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 26 : เพียงชั่วเวลาพลิกฝ่ามือ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 25 : ในความคิดคำนึง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 24 : จังหวะของหัวใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 23 : การเดินทางสู่โลกกว้าง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 22 : เรื่องประหวั่นใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 21 : อุปสรรคและทางออก
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 20 : โรงเรียนเด็กหญิงในสยาม
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 19 : ฤาดวงใจที่ไหวหวั่นอาจลับหาย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 18 : ความไม่ลงตัวในจิตใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 17 : หวั่นใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 16 : มิอาจทำใจยอมรับ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 15 : สยามกับคนในร่มธงฝรั่งเศสและความสัมพันธ์ที่เริ่มเปลี่ยนไป
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 14 : เรื่องที่ไม่อาจเอ่ย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 13 : เรื่องดีและร้ายภายในหนึ่งวัน
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 12 : สัญญาณที่ดี
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 11 : อิสระทั้งกายใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 10 : โอกาสของเด็กหญิง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 9 : ท่าทีเริ่มดีขึ้น
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 8 : ความเป็นไปของชีวิต
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 7 : ผู้ก่อเหตุ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 6 : พบกันอีกครา
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 5 : ความกังวล
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 4 : บทสนทนา
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 3 : บ้านลานย่านบางขุนพรหม
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 2 : ทุ่งสามเสน
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 1 : สองฝั่งน้ำ
- READ นิราศรักสองนครา : บทนำ