สายแนน บทที่ 7 : ล่วงเกิน

สายแนน บทที่ 7 : ล่วงเกิน

โดย : SUDA

Loading

สายแนน นวนิยายออนไลน์โดย SUDA ที่อ่านเอานำมาให้อ่านทาง anowl.co กับ “เรื่องราว” ในอดีตที่ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาให้เจ็บช้ำ กายพลัดพรากแต่ใจยังผูกพัน แม้เหลือเพียงเถ้ากระดูกบนกองฟอน…ก็มิอาจปล่อยวางแล้วเริ่มต้นใหม่ “เขา” บุรุษสองคนผู้มีใจรักมั่น…จึงหวนกลับมาแย่งชิง “เธอ” อีกครั้ง

ทองรีบอุ้มร่างเล็กของปิ่นมุ่งหน้าเข้าเขตวัด เมื่อมาถึงศาลาก็เห็นสมภารขันยืนรออยู่แล้ว ชายหนุ่มจึงวางเธอลงแล้วประคองให้นั่งพิงอ้อมอกเขา รับเอาธูปเทียนและดอกไม้มาให้เธอถือไว้ ก่อนจะประคองสองมือเธอให้พนมมือเตรียมทำพิธีถอนคุณไสย

สมภารขันเรียกพระลูกวัดมาก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อพระลูกวัดตามมาสมทบ…สมภารขันจึงเริ่มพิธีสวดถอนคุณไสยในทันที

รอบศาลาได้ยินเสียงสวดมนต์ท่ามกลางความเงียบสงัด ร่างเล็กของปิ่นนั่งพนมมือตัวสั่นงันงก แต่กระนั้นก็ยังพยายามพนมมือไว้ให้ได้ โชคดีที่มีทองคอยโอบเธอไว้จากด้านหลังจึงยังพอทรงตัวไหว ไออุ่นจากกายเขาทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยนัก

เสียงสวดดังก้องเข้ามาในหัวอย่างต่อเนื่อง ภาพพระสงฆ์นั่งบนอาสนะรอบตัวเธอทำให้ปิ่นเริ่มสงบลงอย่างน่าประหลาด ความเย็นยะเยือกที่เย็นลึกถึงกระดูกเริ่มหายไป พร้อมกับไออุ่นที่เริ่มเข้ามาแทนที่ ผิวกายที่เคยซีดเผือดราวกับคนตาย…บัดนี้เริ่มมีเลือดเนื้อขึ้นมาให้เห็น

เมื่อเสร็จพิธีแล้วสมภารขันจึงถือบาตรน้ำมนต์เดินเข้ามาหา ก่อนจะใช้มัดก้านมะยมจุ่มน้ำมนต์แล้วละบัดลงบนศีรษะ

“นะโมพุทธายะ นะรา นะระ รัตตัง ญานัง นะรา นะระ รัตตัง หิตัง นะรา นะระ รัตตังเขมัง วิปัสสิตัง นะมามิหังฯ”

เมื่อพรมน้ำมนต์เรียบร้อยแล้วสมภารจึงยกบาตรน้ำมนต์นั้นให้ทองถือไว้ “มึงตักแบ่งไปให้โยมปิ่นกินแทนน้ำ เดี๋ยวอาการก็ดีขึ้น”

“ขอรับ”

ปิ่นก้มลงกราบสมภารขันด้วยความซาบซึ้ง ก่อนจะร้องไห้กอดซบทองไว้ด้วยความโล่งใจ เมื่อมั่นใจว่าเธอปลอดภัยแล้วสมภารขันจึงให้พระลูกวัดทยอยกลับออกไป เพราะต้องเตรียมตัวออกบิณฑบาตในยามฟ้าสาง บัดนี้ในศาลาจึงมีเพียงทอง แม่ปิ่น และสมภารอยู่กันตามลำพังเท่านั้น ปิ่นอาการดีขึ้นมากแล้วแต่ก็ยังมีความอ่อนเพลียปรากฏให้เห็น ทองจึงยังประคองร่างเล็กไว้ให้เอนซบบนอกเขาอยู่อย่างนั้น

“บักทอง มึงต้องดูแลโยมปิ่นให้ดีกว่านี้” สมภารขันเอ่ยกำชับ “พวกภูตผีมันมีฤทธิ์หลายขึ้นในคืนเดือนมืด คืนนี้บักแสงคำมันทำพิธีบ่สำเร็จ คืนเดือนมืดข้างหน้ามันก็คงลงมืออีก…หากมึงยังปล่อยให้พวกมันเอาโยมปิ่นไปได้อีก คราวหน้าอาจถูกมนตร์ดำเล่นงานถึงตาย”

ปิ่นได้ฟังถ้อยคำก็ร่ำไห้ออกมาอีกหน ก่อนจะพนมมือเอ่ยถามเสียงสั่น “มัน…มันคือพิธีอีหยังจ๊ะหลวงลุง เป็นหยังลุงแสงคำจึงคิดฆ่าข้อย”

ภาพเธอนั่งสะอื้นไห้นั้นสะท้อนใจสมภารขันนัก เห็นสายตาของทองที่มองแม่หญิงคนรัก ในใจสมภารยิ่งรู้สึกเวทนาสงสาร เพราะเมื่อสามสิบปีก่อนที่แม่เดือนตายจากไป…เธอก็อายุรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ปิ่นในเวลานี้

“มันคือพิธีสับเปลี่ยนวิญญาณ…”

สมภารขันเอ่ยอธิบายในที่สุด “บักแสงคำมันตั้งใจเอาผีห่ามาหลอกหลอนให้ดวงจิตโยมอ่อนแอลง หลังจากนั้นก็สะกดร่างไว้ ทำพิธีไล่วิญญาณของโยมไป…เพื่อให้วิญญาณดวงอื่นเข้ามาสิงในร่างนี้แทน แต่ดวงวิญญาณที่จะเข้าร่างได้ จะต้องเป็นคนที่มีชะตาชีวิตเดียวกัน…เวลาตกฟากเดียวกันเท่านั้น”

สมภารขันกล่าวเพียงเท่านั้นปิ่นก็เบิกตาโพลงด้วยความตื่นตระหนก น้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาอีกหน

เธอเข้าใจแล้ว…เธอเข้าใจแล้ว…

เพราะมารดาเคยบอกว่าเธอเกิดวันพุธกลางคืน ยาม 2 ขึ้นสิบห้าค่ำ…เดือนสี่…ปีชวด วันเวลาตกฟากเดียวกันกับป้าเดือน มิน่าเล่านายแสงคำจึงมักมองเธอด้วยแววตาชวนขนลุก ที่แท้ก็ต้องการร่างของเธอมาทำพิธีฟื้นชีวิตให้เมียรัก

“โยมปิ่นเอ๋ย…อย่าเพิ่งเข้าใจป้าเจ้าผิด”

สมภารขันรีบเอ่ยอธิบายเมื่อเห็นปิ่นกำมือแน่นด้วยความคับแค้น เพราะเพียงมองตาก็รู้ว่าเธอกำลังคิดสิ่งใด “เรื่องนี้บ่เกี่ยวกับป้าของเจ้า บ่มีวิญญาณดวงใดอยากฟื้นขึ้นมาในกายเนื้อของคนอื่น อีกอย่าง บักแสงคำก็เป็นต้นเหตุให้ป้าเจ้าฆ่าตัวตาย บ่มีไผอยากกลับมาอยู่กับคนชั่วๆ อย่างมันดอก”

ปิ่นได้ฟังเหตุผลก็ทำได้เพียงพยักหน้ารับทั้งน้ำตา ทองจึงดึงร่างของเธอมากอดไว้แน่นขึ้นเพื่อปลอบประโลมแม่หญิงคนรัก ก่อนจะเงยหน้าถามสมภารด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “มันส่งผีมาเล่นงานยามกลางคืนอย่างนี้…แล้วข้อยสิดูแลนางได้จั่งได๋”

สมภารขันยืนนิ่งเงียบ…เพราะถ้อยคำถามของชายหนุ่มนั้นราวกับรู้คำตอบอยู่แล้ว ทองโอบกอดเธอไว้ด้วยความหวงแหน นัยน์ตาคมพลันเจือความเศร้า…เพราะรู้ว่าหนทางข้างหน้าช่างยากเย็นนัก

สมภารขันยืนมองทั้งสองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยกยิ้มจางๆ “บักทองเอ๋ย…กูรู้ว่ามึงกำลังคิดอีหยังอยู่ แต่ก่อนจะตัดสินใจลงไป…ให้มึงคิดไตร่ตรองให้ดีก่อนแล้วกัน”

 

ทันทีที่ฟ้าสางปิ่นก็อาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อพ่อแม่มารับกลับเรือน…เธอก็เอาแต่เก็บตัวเงียบเพราะยังโกรธทั้งสองอยู่ ไม่ยอมออกจากหอนอนตนเอง ไม่กินข้าวกินปลา ไม่ยอมไปที่ใดทั้งนั้น

ท่าทีของเธอสร้างความกลุ้มใจให้นางสายผู้เป็นมารดาไม่น้อย นางสายรู้ดีว่าลูกสาวยังโกรธเรื่องเมื่อคืน เพราะก่อนหน้านี้แม่ปิ่นเคยกำชับไว้หนักหนาว่าไม่ให้พาเธอไปหานายแสงคำเป็นอันขาด

แต่แล้วจะให้ทำอย่างไรได้…นายแสงคำมีอาคมแก่กล้ามาก่อนหน้าที่สมภารขันจะบวชเสียอีก แม่ปิ่นถูกผีสางมาทำร้ายจนหมดสติไปเช่นนี้เธอย่อมพาลูกไปหาผู้มีอาคมสูงกว่า ที่ทำไปก็เพราะหวังดีกับลูกทั้งนั้น

แต่เมื่อแม่ปิ่นยังไม่ยอมพูดจา เอาแต่เก็บตัวเงียบด้วยความโกรธเช่นนี้ นางสายจึงทำได้เพียงปล่อยเลยตามเลย…หากทุกอย่างคลี่คลายลงแล้วแม่ปิ่นคงอาการดีขึ้น และคงออกมาใช้ชีวิตตามปกติได้ในเร็ววัน

 

สายลมพัดผ่านยามราตรีในค่ำคืนนี้ชวนผ่อนคลายนัก เสียงใบไม้ปลิวไหวแว่วมาดังดนตรีขับกล่อม ร่างเล็กของปิ่นกำลังนอนหลับใหลในหอนอนหลังน้อย มีเพียงผ้าห่มคลุมกายผืนเดียวไว้กันลมหนาว แม้เข้าสู่ห้วงนทราไปแล้ว…แต่พลันก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงกุกกักอยู่ริมหน้าต่าง

หญิงสาวผุดลุกขึ้นนั่งท่าทางงัวเงีย แต่ก็ต้องเบิกตาโพลงเมื่อมองผ่านมุ้งออกไปแล้วเห็นชายฉกรรจ์งัดหน้าต่างเข้ามาได้ เธอเกือบจะกรีดร้องตะโกนให้คนช่วย…แต่ก็ต้องรีบยกมือปิดปากเมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนเป็นใคร

“อ้ายทอง!”

ปิ่นอุทานด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบเข้าไปช่วยประคองชายหนุ่มให้ปีนหน้าต่างเข้ามาจนได้ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย “ดึกดื่นป่านนี้แล้ว อ้ายปีนเข้ามาหอนอนข้อยเฮ็ดหยัง”

“อ้ายทนบ่ไหวแล้ว…”

ปิ่นได้ฟังถ้อยคำก็สะดุ้งสุดตัว ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตื่นตระหนก “มะ…หมายความว่า…”

“ปิ่นเอ๋ย เจ้าก็เห็นแล้วว่าบักหมอผีชั่วมันต้องการอีหยัง มันเอาผีมาทำร้ายเจ้ายามกลางค่ำกลางคืน อ้ายจึงจำเป็นต้องทำอย่างนี้เพื่อให้ปกป้องเจ้าได้”

ทองเอ่ยอธิบายพลางจ้องมองเธอด้วยความเป็นห่วง เขารู้ว่าพ่อแม่หญิงสาวมิได้อยากได้เขาเป็นเขยแม้สักนิด แต่ความรักที่มีให้เธอนั้นก็มากเกินกว่าจะปล่อยวางแล้วปล่อยเธอไปได้ อีกทั้งหมอผีแสงคำมันยังทำร้ายเธอหนักขึ้นทุกวัน…หากปล่อยให้แม่ปิ่นอยู่คนเดียวยามค่ำคืนเช่นนี้ อีกไม่นานคงพลาดท่าให้พวกคนชั่ว

หากวันใดมันทำร้ายเธอถึงตายอย่างที่สมภารขันกล่าวไว้…เขาคงมิอาจให้อภัยตนเองเป็นแน่

ปิ่นเงยหน้าสบตาชายคนรักอยู่นานโข เมื่อฟังคำอธิบายจนรู้แล้วว่าคืนนี้เขาตั้งใจทำสิ่งใด ปิ่นจึงรีบกล่าวปฏิเสธด้วยความตื่นตระหนก “บ่ได้! บ่ได้เป็นอันขาด”

“ปิ่น…อ้ายขอร้อง”

“บ่ได้! พ่อแม่ข้อยสิอับอายที่ลูกสาววางตัวบ่งาม…มันผิดผี!”

“อ้ายสัญญาว่าจะบ่ล่วงเกินเจ้า หากจะผิด…ก็คงผิดเพียงแค่หลอกลวงพ่อแม่เจ้า” ทองรีบเอ่ยอธิบายพลางขยับเข้ามากุมมือเธอไว้แน่น

“อ้ายสัญญา…อ้ายขอเพียงโอกาสให้ดูแลเจ้าใกล้ๆ เท่านั้น”

ถ้อยคำที่เขากล่าวออกมานั้นจริงจังและจริงใจมากนัก นัยน์ตาคมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่ใส การลักลอบเข้าหาเธอในคืนนี้เขามาด้วยเจตนาบริสุทธิ์อย่างที่กล่าวไว้ มิได้ตั้งใจให้ผิดประเพณีอันดีงาม มิได้มีประสงค์ให้แม่ปิ่นต้องเสียเกียรติ อีกทั้งยังมิได้ต้องการพรากพรหมจรรย์ไปจากเธอในคืนนี้

เพราะสิ่งเดียวที่จะทำให้มนตร์ดำของหมอผีแสงคำเสื่อมลงได้ มีเพียงเลือดระดูของหญิงพรหมจรรย์ เขาเพียงออกอุบายผูกมัดเธอไว้กับตนเอง เพื่อให้ตนมีสิทธิ์ได้ดูแล…เพื่อให้ตนมีโอกาสได้ปกป้องเธอเท่านั้น

“อ้ายทอง…”

“เชื่อใจอ้ายได้บ่” ทองโอบร่างเล็กของเธอมากอดไว้แนบอก

เมื่อสองคนได้สบตา ปิ่นก็พอรู้ว่าเขาทั้งรักทั้งหวงเธอมากเพียงใด แม้ใจจะอยากปฏิเสธเขานัก แต่เมื่อถึงถึงถ้อยคำมารดาที่เคยกล่าวกับเธอเมื่อครั้งก่อนหน้า หญิงสาวจึงทำได้เพียงก้มหน้าเงียบ

เพราะรู้ดีว่ามารดามิได้อยากได้เขาเป็นเขย แม้เขาอาจเป็นคนเดียวที่ปกป้องคุ้มภัยเธอได้ในเวลานี้ เขาเองก็รู้ดีเช่นกัน…ว่าต่อให้หาเงินทองมากมายมากองตรงหน้า ก็มิอาจได้เธอไปครอบครองตามประเพณี หากผู้ใหญ่ไม่ยอมรับการเจรจาสู่ขอ

“อ้ายขอโอกาสได้บ่…” ทองเอ่ยกระซิบข้างหู ก่อนจะโน้มใบหน้าจุมพิตเรือนผมงามด้วยความรัก

ปิ่นยังนั่งเงียบเพราะต้องคิดทบทวนอย่างหนัก ร่างเล็กซอบอยู่บนแผ่นอกเขาอยู่อย่างนั้น เธอรู้ว่าหากทำเช่นนี้ก็เปรียบเสมือนลูกเนรคุณ ทำให้พ่อแม่อับอายขายหน้า เสียเกียรติทั้งตนเองและวงศ์ตระกูล พานให้ผีปู่ย่าตายายโกรธเคืองที่เธอวางตัวมิสมเป็นแม่หญิง

แต่เมื่อนึกถึงเรื่องคืนก่อน…ในใจเธอก็หวาดระแวงขึ้นมาอีกครั้ง

เมื่อคืนเธอถูกนายแสงคำทำร้ายจนเกือบสิ้นลมหายใจ เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะมารดาไม่ยอมทำตามคำขอร้อง รู้ทั้งรู้ว่าเธอหวาดกลัวนายแสงคำมากเพียงใด แต่สุดท้ายก็เลือกเอาเธอไปประเคนให้มันถึงท้ายป่าช้า

เมื่อคิดทบทวนดีแล้วปิ่นจึงยินยอมทำตามประสงค์ แม้จะรู้ดีว่าคนเป็นพ่อแม่ต้องโกรธจนหน้ามืด หากแต่เธอเองก็ยังมองไม่เห็นหนทางอื่นที่ดีกว่านี้ คงดีกว่า…หากมีเขาคอยปกป้องคุ้มภัยในยามคับขัน

เพียงมีเขาคอยเคียงข้าง…เธอก็ไม่กลัวสิ่งใดอีกแล้ว

 

เสียงไก่ขันดังแว่วมาเป็นสัญญาณของวันใหม่ ยังมิทันถึงเวลาฟ้าสาง แต่เพราะเสียงไก่ขันเริ่มดังแว่วมา ผู้คนในเรือนแต่ละหลังจึงเริ่มลุกมาก่อไฟหุงหาอาหารเช้า

เช้ามืดวันนี้นางสายตื่นแล้วเช่นกัน แต่เมื่อเห็นหอนอนของลูกสาวยังปิดเงียบจึงทำให้เกิดความสงสัย เพราะปกติแล้วแม่ปิ่นจะตื่นเช้ากว่าทุกคนในเรือน แต่เมื่อตะโกนเรียกแล้วยังไร้เสียงตอบรับจึงเปิดประตูเข้าไปหา

“ปิ่นเอ๊ย…ตื่นได้แล้วลูก”

นางสายเปิดประตูแล้วก้าวเข้าไปในห้อง แต่ก็กรีดร้องดังลั่นเมื่อเห็นทองนั่งก้มหน้าพิงเสาเรือน ข้างกายมีแม่ปิ่นนั่งหลับอยู่ทั้งๆ ที่ยังเอนกายพิงไหล่เขา…

“กรี๊ดดดด! บักทอง! บักทอง!”

“บักคนชั่ว! มึง…มึง…! อ้ายสิน ! อ้ายสินมาจับตัวบักทองไว้เร็ว!” นางสายโหวกเหวกโวยวายไปทั่วเรือน ชาวบ้านละแวกนั้นจึงออกมามุงดูเหตุการณ์ด้วยความตื่นตกใจ ก่อนจะเล่าลือกันไปทั่วหมู่บ้านอย่างรวดเร็วว่าทองปีนขึ้นหอนอนแม่ปิ่นเมื่อคืนนี้

นายสินพลันสะดุ้งตื่นก่อนจะรีบเข้ามาขวางประตูไว้ เห็นทองนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าก็บันดาลโทสะเสียจนแทบทนไม่ไหว พยายามคุมสติมิให้ตนเผลอทำร้ายชายหนุ่มรุ่นลูก

“บักทอง! มึงเฮ็ดหยังลงไป มึงรู้ตัวบ่!”

นายสินตวาดเสียงดัง มือที่ถือมีดพร้าเริ่มสั่นเพราะความโกรธ เขายืนบังประตูไว้เพื่อมิให้ทองหนีไปได้ แม้ทองจะยังนั่งคุกเข่าเงียบๆ ยอมรับผิดแล้วก็ตาม

การกระทำของทั้งสองทำให้นายสินโกรธเสียจนหน้ามืด แต่เมื่อเห็นแม่ปิ่นเอาแต่ร่ำไห้น่าเวทนา คนเป็นพ่ออย่างเขาก็มิอาจซ้ำเติมได้ แม้จะอยากดุด่าสักเพียงใด แต่ก็ทำได้แค่ยืนคุมสติตนเองอยู่อย่างนั้น

ข่าวทองลักลอบเข้าหอนอนแม่ปิ่นถูกเล่าลือไปอย่างรวดเร็ว เช้านี้จึงมีชาวบ้านและญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายมานั่งเจรจากันอย่างเคร่งเครียด ทองนั่งก้มหน้ายอมรับความผิดของตนทุกประการ ส่วนปิ่นเอาแต่นั่งร้องไห้

“บักทองมันผิดผี เข้ามาล่วงเกินลูกสาวข้อยถึงในเฮือนอย่างนี้ ลูกข้อยเสื่อมเสียไปแล้ว ผีปู่ย่าตายายคงบ่ยอมรับหากบ่แก้ไขให้ถูกประเพณี พวกเจ้ามีอีหยังมารับผิดชอบลูกสาวข้อยก็ว่ามา”

นายสินกล่าวถามญาติผู้ใหญ่ของทองด้วยน้ำเสียงเจือโทสะ แต่เหตุเพราะทองกำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่ยังเล็ก ญาติผู้ใหญ่ที่เหลือจึงรู้สึกกระอักกระอ่วนนัก เพราะเป็นเพียงญาติห่างๆ หากจะมารับผิดชอบแทนเขาก็คงมิได้ เมื่อบิดาเธอถามถึงค่าเสียหาย…บรรดาญาติจึงหันกลับไปถามเจ้าตัวอีกครั้ง

“ว่าจั่งได๋บักทอง…มึงมีเงินมีคำมาขอขมาลาโทษเขาบ่”

ทองได้ฟังคำถามจึงคลานเข่าเข้ามากราบบิดามารดาของหญิงสาว แล้วพนมมือเอ่ยอธิบาย “ข้อยมีเงินในไหอยู่เก้าสิบบาท ไก่สิบตัว กับวัวเทียมเกวียนอีกคู่หนึ่ง ที่นาทำกินข้อยก็มีอย่างที่เห็น…พอจะใช้ขอขมาลาโทษและเป็นสินสอดได้บ่”

นายสินจ้องมองชายหนุ่มรุ่นลูกอยู่นานโข ก่อนจะถอนหายใจเสียงเครียด ทรัพย์สินของทองนั้นแม้มิได้มากมายนัก แต่ก็ถือว่าสมเหตุสมผลในการมาสู่ขอ แต่เพราะเขาทำผิดจารีตประเพณีเช่นนี้จึงทำให้มิอาจให้อภัยกันง่ายๆ

แม่ปิ่นลูกสาวเขาเองก็เหลือเกิน…ก่อนหน้านี้เคยเชื่อฟังพ่อแม่เสมอมา เหตุใดครั้งนี้จึงปล่อยกายปล่อยใจง่ายดายนัก แต่เมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้วก็คงต้องปล่อยเลยตามเลย แม้มิเต็มใจนัก…แต่ก็จำต้องรับสินสอดแล้วผูกข้อไม้ข้อมือให้เรียบร้อย

“ถ้าอย่างนั้น…มึงก็มาสู่ขอตามประเพณีก็แล้วกัน”

นายสินกล่าวตอบในที่สุด แม้จะยังโกรธอยู่ แต่เขาก็พอรู้ว่าทองก็มิใช่คนเหลวไหล นอกจากทองจะมีรูปกายสูงสง่าน่ามองแล้ว ยังฉลาดหัวไว และขยันทำมาหากินกว่าชายหนุ่มวัยเดียวกันอีกด้วย หากได้ตบแต่งเป็นผัวเมียไปแล้วแม่ปิ่นคงมิได้ลำบากนัก

ยิ่งพักหลังมานี้ชีวิตเธอต้องพัวพันกับสิ่งลี้ลับอยู่บ่อยครั้ง หากมีบุรุษจิตใจกล้าแข็งอย่างทองคอยดูแล…คนเป็นพ่ออย่างเขาก็คงคลายกังวลลงไปได้มาก

งานมงคลสมรสของทองกับปิ่นถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย มีเพียงพิธีสู่ขวัญและผูกข้อไม้ข้อมือเป็นผัวเมียตามประเพณี แต่กระนั้นก็ยังมีผู้คนมาร่วมยินดีเป็นจำนวนมาก ทั้งมิตรสหายของชายหนุ่ม รวมถึงบรรดาญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝั่งด้วย

หลังจากเจรจากันเรียบร้อยแล้วจึงมิได้มีความบาดหมาง นายสินเองก็ยังเชื่อมั่นว่าทองจะดูแลลูกสาวเขาได้…หรืออาจดูแลได้ดีกว่าพ่ออย่างเขาด้วยซ้ำ

วันนี้แม่ปิ่นลูกสาวเขาก็ดูเป็นสุขมากนัก หากลูกเลือกแล้ว คนเป็นพ่ออย่างเขาคงมิอาจใจร้ายพรากความสุขของลูกไป อีกทั้งเหตุการณ์ที่ผ่านมาก็ทำให้นายสินพอรู้ว่าทองก็รักลูกสาวเขาด้วยความจริงใจ เมื่อใดที่ปิ่นตกอยู่ในอันตราย…ก็เป็นชายผู้นี้ที่เข้ามาช่วยโดยมิเกรงกลัวอันตรายใดทั้งนั้น

สองหนุ่มสาวคลานเข่าเข้ามาหา ถือขันดอกไม้ธูปเทียนและเงินสินสอดมาวางตรงหน้า จากนั้นจึงกราบขอขมาลาโทษและขอพรจากญาติผู้ใหญ่ ทั้งนายสิน และนางสาย รวมถึงญาติผู้ใหญ่คนอื่นๆ ด้วย

ยามสองหนุ่มสาวนั่งเคียงกายก็ดูงดงามเหมาะสมกันนัก หลังจากผูกข้อไม้ข้อมือกันเรียบร้อยแล้ว บ่ายวันนั้นบรรดาญาติมิตรจึงเลี้ยงฉลองงานมงคลกันจนถึงยามพลบค่ำ เสียงร้องรำทำเพลงดังไปรอบบริเวณ ผู้คนกินดื่มสุราอาหารกันท่าทางสนุกสนาน

จนกระทั่งตะวันลับดับแสงลงไปแล้วในเรือนของปิ่นจึงเริ่มเงียบสงบลงบ้าง ในห้องนอนเล็กๆ นี้จึงเหลือเพียงสองหนุ่มสาวนั่งเคียงกาย มีเพียงแสงจากกระบองขี้ไต้ท่อนเดียวที่ส่องสว่าง ค่ำมากแล้วทองจึงลุกไปลงกลอนประตูให้เรียบร้อย ก่อนจะเข้ามาประคองเธอเข้าไปนอนลงเคียงข้าง

“อ้ายทอง…”

ปิ่นสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกเขาประคองลงนอน หัวใจพลันเต้นระรัวเมื่อร่างสูงนั้นนอนลงเคียงข้าง ยิ่งเขาขยับกายเข้ามากอดเธอไว้ในอ้อมอก ยามสองกายสัมผัส…ใจเธอยิ่งหวั่นไหว

“อ้ายบ่เฮ็ดหยังเจ้าดอก…”

ทองเอ่ยกระซิบเบาๆ แล้วกอดเธอไว้อย่างนั้น อันที่จริงเขาก็มิใช่พระอิฐพระปูน ยามเรือนกายนุ่มนิ่มของแม่ปิ่นเบียดอยู่ข้างกายเขา…มีหรือชายฉกรรจ์อย่างเขาจะไม่หวั่นไหว ยิ่งลมหายใจอุ่นๆ ของแม่ปิ่นที่รดบนต้นคอ แรงปรารถนาในกายบุรุษยิ่งปะทุจนแทบทนมิได้ แต่แม้อยากจะกลืนกินเธอทั้งตัวสักเพียงใด…เขาก็มิอาจทำได้ในเวลานี้

ทองผ่อนลมหายเบาๆ พยายามรวบรวมสติ เขายังจำถ้อยคำของสมภารขันได้ขึ้นใจ ว่าสิ่งที่จะทำร้ายหมอผีชั่วให้มนตร์เสื่อมจนของเข้าตัวได้ มีเพียงเลือดระดูของหญิงพรหมจรรย์เท่านั้น เขายังต้องรักษาแม่ปิ่นไว้มิให้แปดเปื้อน

หลังจากนี้เขาจะคอยดูแลเธอมิให้คลาดสายตา ทั้งในยามหลับและยามตื่น เพราะตราบใดที่ผลกรรมยังไม่ตามสนองคนชั่วอย่างนายแสงคำ…แม่ปิ่นก็อาจเกิดอันตรายได้ทุกเมื่อ

 



Don`t copy text!