สายแนน บทที่ 9 : ด้วยชีวิต

สายแนน บทที่ 9 : ด้วยชีวิต

โดย : SUDA

Loading

สายแนน นวนิยายออนไลน์โดย SUDA ที่อ่านเอานำมาให้อ่านทาง anowl.co กับ “เรื่องราว” ในอดีตที่ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาให้เจ็บช้ำ กายพลัดพรากแต่ใจยังผูกพัน แม้เหลือเพียงเถ้ากระดูกบนกองฟอน…ก็มิอาจปล่อยวางแล้วเริ่มต้นใหม่ “เขา” บุรุษสองคนผู้มีใจรักมั่น…จึงหวนกลับมาแย่งชิง “เธอ” อีกครั้ง

จากการปะทะครั้งนั้นทำให้นายฮ้อยทรัพย์บาดเจ็บหนักพอควร เขาจึงตัดสินใจให้ลูกชายคนโตนำขบวนวัวควายออกเดินทางต่อไป ส่วนตนเองอยู่พักรักษาตัวที่เรือนของนายขันจนกว่าอาการจะดีขึ้น

ยามค่ำวันนี้จึงมีเพียงบุรุษสองคนนั่งสนทนา ชายหนุ่มก่อไฟผิงอยู่หน้าเรือนกับนายฮ้อยทรัพย์ แผลจากคมดาบเริ่มสมานแล้ว อาการเจ็บปวดตามร่างกายก็ทุเลาลงมาก คงเหลือเพียงความเจ็บแค้นในใจเท่านั้นที่ยังมิจางหาย

เขารักกับแม่เดือนมานานหลายปี คอยดูแล คอยทะนุถนอมแม่เดือนดั่งแก้วตาดวงใจ เขาจะไม่มีวันให้คนชั่วช้าอย่างนายแสงคำมาพรากเธอไปเป็นอันขาด

“มันกลับมาคราวหน้า…คงสิได้เห็นดีกัน”

นายขันนิ่งเงียบไปนาน สายตาจ้องมองเปลวไฟตรงหน้าก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงเจือความแค้น มือข้างหนึ่งเผลอกำแน่น “คราวนี้มันเหนือกว่าข้อยเพราะมนตร์ดำ แต่ข้อยบ่ยอมดอก…ต่อให้สู้จนตัวตาย ข้อยก็บ่ยอมแพ้ให้มันพรากนางไปเป็นอันขาด”

“แล้วมึงสิเอาหยังไปสู้”

“ข้อย…ข้อยยังคิดบ่ออก”

เมื่อชายหนุ่มเอ่ยตอบเช่นนั้นนายฮ้อยทรัพย์จึงถอนหายใจเบาๆ นึกเวทนาชายหนุ่มรุ่นลูกตรงหน้านี้นัก แม้เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ก็พอมองออกว่านายขันมีจิตใจกล้าแข็งมากเพียงใด และยังมีรักมั่นคงมากเพียงใด

เขาเห็นแล้วว่านายขันมีฝีมือมากพอจะต่อกรกับพวกโจรได้ ต่างจากตัวเขาเองที่อายุมากแล้ว…พละกำลังจึงมิได้มีมากเท่าเมื่อก่อน หากนายขันรู้จักใช้มนตร์สายขาว ก็คงพอสู้กับนายแสงคำได้ไม่ยากนัก

เมื่อคิดไตร่ตรองดูแล้ว นายฮ้อยทรัพย์จึงเอื้อมมือตบไหล่ชายหนุ่มเบาๆ “หากมึงอยากสู้มันได้…ก็ต้องมีฝีมือพอกันกับมัน เรื่องมีดพร้านั้นกูบ่ห่วงดอก แต่มึงต้องหัดร่ำเรียนอาคมป้องกันภัยเพื่อไปสู้กับมนตร์ดำของมัน…กูสิสอนให้เอง”

ช่วงเวลาเพียงไม่กี่เดือนก่อนนายแสงคำจะกลับมาตามกำหนด นายขันจึงใช้เวลาร่ำเรียนอาคมกับนายฮ้อยทรัพย์ ซึ่งเป็นพุทธคุณมนตร์ขาวถอนแก้คุณไสยในลักษณะต่างๆ ที่นายแสงคำอาจนำมาเล่นงานได้ พักหลังมานี้ชายหนุ่มจึงมักอยู่แต่ในเขตเรือนตนเอง โดยมีเดือนแอบส่งข้าวส่งน้ำให้เป็นระยะ

เย็นนี้ก็เช่นกัน เมื่อเธอดูแลงานเรือนจนเรียบร้อยแล้วจึงถือตะกร้าหวายคล้องแขนเดินออกจากเรือนมาเงียบๆ ในตะกร้ามีป่นปลาใส่ในถ้วยใบเล็กมีฝาปิด ผักสดอีกหลายชนิด ทั้งผักหนอก ยอดกระถินและลูกเพกา สองเท้าเล็กเดินเลียบชายป่าอีกฝั่งมาจนถึงเรือนของนายขัน เห็นนายฮ้อยทรัพย์กำลังนั่งพักอยู่บนแคร่

“ข้อยเอากับข้าวมาให้จ้ะ”

เดือนพนมมือไหว้นายฮ้อยทรัพย์ด้วยกิริยาอ่อนน้อม ก่อนจะวางข้าวของไว้ให้ ความงดงามของเธอทำให้นายฮ้อยมิแปลกใจสักนิด ว่าเหตุใดชายหนุ่มทั้งสองคนจึงต้องแย่งชิงกันมากถึงเพียงนี้ เพราะนอกจากเดือนจะรูปกายงดงามหาใครเทียมได้ยากแล้ว กิริยายังอ่อนหวานเหมาะสมมาเป็นแม่เรือนทุกประการอีกด้วย

“บักขันอยู่หลังเฮือน เดี๋ยวมันก็ออกมา”

นายฮ้อยทรัพย์เอ่ยอธิบายพลางส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ก่อนจะขอตัวกลับไปนอนพักบนเรือนเพราะรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว เมื่อนายขันเดินกลับมาแล้วจึงปล่อยให้สองหนุ่มสาวนั่งเคียงกายตามลำพัง

เดือนหยิบเอาก่องข้าวไม้ไผ่สานออกมาวางบนแคร่ ก่อนจะจัดบ่นปลาและผักสดใส่สำรับให้เรียบร้อย อาหารการกินของชาวบ้านที่นี่นั้นอยู่อย่างเรียบง่าย เหตุเพราะยามหน้าแล้งทำมาหากินลำบากนัก หากหาปลาหรือสัตว์เล็กๆ กินมิได้ ก็จะมีน้ำพริกปลาร้ากินกับยอดผักพอประทังความหิว

ชายหนุ่มจ้องมองแม่หญิงตรงหน้าด้วยความรัก อาหารตรงหน้าส่งกินหอมน่ากินเหลือเกิน ปฏิเสธมิได้ว่ารสมือของเธอนั้นไม่เป็นสองรองใคร หากสุดท้ายแล้วเราสองได้ครองคู่อยู่ร่วมเรือน อยู่กินข้าวร่วมสำรับไปจนแก่เฒ่าก็คงดีไม่น้อย

แต่อุปสรรคของสองเราก็มากมายนัก เหตุเพราะบิดาเธอมิเห็นดีเห็นงามให้ร่วมเรือนกับหนุ่มชาวบ้านอย่างเขา คงมิแปลกกระมัง…หากคนเป็นพ่อแม่จะหวังให้ลูกมีชีวิตสุขสบายในภายหน้า หากแต่บิดาเธอก็หูเบาเชื่อคนง่ายไปสักหน่อย เพียงเอาเงินทองมากองตรงหน้าก็ยกลูกสาวให้ง่ายดาย มิได้ถามไถ่เจ้าตัวสักนิด…ว่าอยากครองเรือนกับชายผู้นั้นหรือไม่

“อีกบ่ถึงเดือนเขาก็คงกลับมาแล้ว…” เดือนนิ่งเงียบไปนาน ก่อนจะเผลอถอนหายใจเสียงเครียด นัยน์ตาคู่ใสเริ่มมีน้ำตาเพราะความกลัวนั้นยังมิจางหาย

“ข้อยบ่อยากเป็นเมียเขา ข้อยบ่อยากอยู่กับคนชั่วช้าอย่างนั้น…”

“บ่ต้องห่วงดอก” เมื่อเห็นน้ำตาไหลอาบนวลแก้มใส นายขันจึงเอื้อมมือเช็ดน้ำตาให้แล้วดึงร่างเธอมากอดไว้ “เดือนเอ๋ย อ้ายฮักเจ้าปานแก้วตาดวงใจ…ย่อมบ่มีทางปล่อยให้ไผมาทำร้าย อ้ายสัญญาแล้วว่าสิดูแลเจ้าด้วยชีวิต บ่ยอมปล่อยให้มันแตะต้องตัวเจ้าเป็นอันขาด”

สัญญาใดที่กล่าวออกไปแล้วเขาย่อมตั้งใจกระทำตามนั้น นอกจากจะฝึกวิชาอยู่กับนายฮ้อยทรัพย์แล้ว ทั้งนายขันและหนุ่มชาวบ้านอีกหลายที่คนที่เติบโตด้วยกันมาก็มักจะมาฝึกใช้ดาบและมีดอยู่เสมอ เพราะโจรพวกนั้นมีเป็นกลุ่มใหญ่ หากปล่อยให้นายขันต่อสู้ตามลำพัง…ต่อให้ฝีมือเก่งฉกาจมากเพียงใดก็คงมิอาจสู้ได้

เดือนก็ยังคอยแอบส่งข้าวส่งน้ำให้เป็นระยะ ยิ่งใกล้ถึงกำหนดวันมงคลเธอยิ่งหวาดกลัว นายแสงคำไม่เคยทำร้ายเธอก็จริงอยู่ แต่เพราะไม่เคยมีใจให้เป็นทุนเดิม อีกทั้งมารู้ว่าเขาเป็นโจรป่าคอยปล้นฆ่าผู้คน…เธอก็ยิ่งไม่อยากเข้าใกล้

เดือนรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเขามิใช่คนน่าคบหา เหตุเพราะเขารู้ทั้งรู้ว่าเธอมีชายคนรักอยู่แล้ว แต่ก็ยังทำทุกอย่างเพื่อบังคับให้เธอมาเคียงกาย แม้ภายนอกจะดูอ่อนโยนมากเพียงใด แต่ภายในนั้นเลือดเย็นและหยาบช้า เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเธอจะอยู่กับคนชั่วอย่างเขาได้อย่างไร

 

แสงแดดอ่อนเปลี่ยนผืนนภาให้เป็นสีทองอร่าม สายลมบางเบาที่พัดจากชายป่าทำให้ยามเย็นวันนี้อากาศไม่ร้อนนัก ในเรือนหลังเล็กยังมีพ่อแม่ลูกนั่งรับลมใต้ถุนเรือนเช่นเคย บิดานั่งสานแหอยู่บนแคร่หน้าเรือน ส่วนมารดาและน้องสาวกำลังฝัดข้าวอยู่ด้านหลัง

เดือนนั่งทอผ้าอยู่ใต้ถุนเรือนที่เก่า ร่างเล็กนั่งอยู่บนกระดานกี่ทอผ้า ใช้ฝ่าเท้ากดไม้เหยียบหูกลงข้างหนึ่งแล้วสอดกระสวยทอผ้าพุ่งผ่านไหมบนกี่ที่ถูกขึงเป็นปล่องเล็กๆ จากนั้นใช้เท้ากดไม้เหยียบหูกอีกฝั่งให้ด้ายพันสลับกัน ก่อนจะดึงฟืมกระแทกเข้าหาตนให้ด้ายชิดกันจนแน่น

นั่งทอผ้าได้เพียงไม่นานก็มีชายหนุ่มควบม้ามาหยุดยืนอยู่หน้าเรือน ด้านหลังมีชายฉกรรจ์อีกหลายคนที่ขี่ม้าติดตามมาด้วย นอกจากจะอยู่บนหลังม้าสามคนแล้ว ยังมีขบวนเกวียนอีกราวห้าเล่มที่กำลังเดินตามหลัง

“มาถึงแล้ว…”

นายจั่นผู้เป็นบิดากล่าวทักทายพลางส่งรอยยิ้มกว้าง “ลุงคิดไว้แล้วว่าแลงนี้เจ้าต้องเดินทางมาถึง…มื้ออื่น (พรุ่งนี้) ก็จะเป็นวันมงคลแล้ว เจ้าพาญาติพี่น้องเข้ามานั่งพักให้หายเหนื่อยก่อน แล้วคืนนี้เราค่อยคุยกัน”

บิดามารดาของเธอเข้าไปต้อนรับแขกผู้มาเยือนด้วยความยินดี คงมีเพียงเดือนเท่านั้นที่ยังนิ่งชะงักอยู่บนกี่ทอผ้า นัยน์ตาคู่ใสมีน้ำตาเอ่อด้วยความหวาดหวั่น

แสงคำพาบรรดาชายฉกรรจ์ตามเข้ามาในเรือนของหญิงสาว นอกจากในเกวียนเหล่านั้นจะมีเงินทองเตรียมเป็นสินสอดแล้ว ยังมีอาหารแห้งและเหล้าขาวอีกเกือบยี่สิบไหเตรียมใช้เลี้ยงแขกในวันพรุ่งนี้ด้วย เพียงครู่เดียวบรรดาญาติผู้ใหญ่ของเดือนก็ตามมาสมทบ…ทำให้บรรยากาศในเรือนเริ่มคึกคัก

แสงคำนั่งสนทนากับผู้ใหญ่ด้วยกิริยาอ่อนน้อม…แต่เมื่อปลีกตัวมาได้จึงรีบเข้ามาทักทายหญิงสาวที่เอาแต่นั่งเงียบอยู่หลังเรือนคนเดียว ไม่ยอมพบหน้าใครทั้งนั้น เมื่อเห็นเขาเดินปรี่เข้ามาหาก็รีบลุกถอยออกไปทันที…นัยน์ตาคู่ใสเจือความตื่นตระหนกชัดเจนนัก

“เดือน…”

“อย่าเข้ามา!” เดือนก้าวถอยหลังไปจนหลังชนเสาเรือน เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความหวาดหวั่น ท่าทีเปลี่ยนไปของหญิงสาวทำให้แสงคำพลันนิ่งชะงัก เห็นเธอเริ่มจ้องมองเขาแล้วสะอื้นไห้ ก็ยิ่งเป็นหลักฐานว่าเธอรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว ร่างสูงเดินก้าวเข้าไปหา…เมื่อเห็นเธอหันหลังหมายจะวิ่งหนีจึงรีบคว้าข้อมือเรียวงามไว้แน่น

“เดือน ฟังอ้ายก่อน!”

“บ่ฟัง ข้อยบ่ฟังอีหยังทั้งนั้น!” เดือนเอ่ยเสียงสั่น น้ำตายังไหลออกมามิขาดสาย “ข้อยบ่มีทางอยู่กับโจรป่าอย่างอ้าย สินสอดทองหมั้นพวกนี้ก็ปล้นฆ่าเอาของคนอื่นมา ข้อยบ่อยากได้! แล้วหากเฮาสองคนตบแต่งกันไป…แล้ววันหนึ่งเกิดเบื่อข้อยขึ้นมา ก็คงสิฆ่าข้อยทิ้งเหมือนหมูเหมือนหมา”

“บ่มีทาง! อ้ายบ่มีทางทำร้ายเจ้าเด็ดขาด”

แสงคำรีบเอ่ยอธิบายพลางจับข้อมือบางไว้แน่น “ที่ผ่านมาอ้ายบ่เคยล่วงเกินเจ้า อ้ายเฝ้าทะนุถนอมเจ้าตั้งแต่วันแรกจนวันนี้ ทั้งที่โจรป่าอย่างอ้ายจะฉุดเจ้ามาเป็นเมียตั้งแต่คืนแรกก็ยังได้ แต่อ้ายก็ยังรอ…รอจนได้มาสู่ขอตามประเพณี…เจ้าก็เห็น”

เมื่อเดือนเริ่มสงบสติอารมณ์ลงบ้างแล้ว เขาจึงใช้มืออีกข้างเช็ดน้ำตาบนนวลแก้มสาวอย่างทะนุถนอม “เดือนเอ๋ย…อ้ายรู้ดีว่าอ้ายมันคนชั่ว แต่คนอย่างอ้ายหากได้มีรักแล้ว รักของอ้ายก็มั่นคงบ่ต่างจากคนอื่นดอก…อ้ายเพียงอยากขอโอกาสจากเจ้าเท่านั้น”

สายตาจริงใจของแสงคำทำให้เธอร่ำไห้ออกมาอีกหน ใจหนึ่งก็รู้ดีว่าครั้งนี้เขามิได้โกหก…แต่เธอมิได้รักเขาตั้งแต่ต้น แล้วจะให้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมเรือนกับเขา ทั้งๆ ที่ใจรักเพียงชายอีกคนได้อย่างไร

“อ้ายแสงคำ…ปล่อยข้อยไปได้บ่…”

เดือนขอร้องทั้งน้ำตา วันพรุ่งก็เป็นงานมงคลของเธอกับเขาแล้ว หากไม่เจรจากันดีๆ เธอคงถูกบิดาจับใส่พานยกให้เขาเป็นแน่ เมื่อใดหนอ…เมื่อใดหนอทุกคนจะรู้ความจริงเสียที…

แสงคำพลันนัยน์ตาแดงก่ำเมื่อได้ยินเธอกล่าวเช่นนั้น เจ็บปวดนักที่เธอร่ำไห้ราวจะขาดใจเช่นนี้ อยู่ร่วมเรือนกับเขามันเลวร้ายมากหรืออย่างไร เหตุใดเธอจึงไม่ยอมเปิดโอกาสให้เขาแม้สักครั้ง เหตุใดจึงรักมั่นคงเพียงแต่มัน…ชายผู้ไม่มีอะไรมาเทียบเคียงเขาได้แม้สักนิด

“บักขันมันมีอีหยังดีกว่าอ้าย เป็นหยังเจ้าจึงทั้งรักทั้งหลงมันอย่างนี้” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงแข็ง “อ้ายมาทีหลังมันก็จริงอยู่…แต่รักของอ้ายบ่ได้น้อยกว่ามัน อ้ายมาสู่ขอเจ้าตามประเพณี มีเงินมีทองเลี้ยงเจ้าให้ได้อยู่อย่างสุขสบายไปทั้งชีวิต…”

“เงินที่ปล้นฆ่าเขามา ข้อยบ่อยากได้!”

“เดือน!”

ชายหนุ่มเผลอตะคอกเธอไป แต่เมื่อตั้งสติได้จึงรีบเอ่ยอธิบายอีกครั้ง “เดือนเอ๋ย…ให้โอกาสให้อ้ายบ้างได้บ่ ต่อให้อ้ายต้องปล้นฆ่าคนไปเป็นสิบเป็นร้อย แต่อ้ายสัญญาว่าจะบ่ทำร้ายเจ้า อ้ายสัญญาว่าจะเฝ้าถนอมเจ้าปานแก้วตาดวงใจ”

“อ้ายแสงคำ…” เดือนเอ่ยตัดบทเสียงสั่น ก่อนจะเบือนหน้าหนีเพราะไม่อยากฟังเขา ไม่อยากเห็นหน้าเขาอีกต่อไปแล้ว “อ้ายขึ้นไปบนเฮือนได้แล้ว ข้อยขอเวลาอยู่คนเดียว…หากดีขึ้นแล้วจะตามขึ้นไป”

กล่าวเพียงเท่านั้นเดือนก็สะบัดมือให้หลุดพ้นจากการเกาะกุม…แล้วหันหลังเดินจากไปในความมืด

แสงคำยืนมองเธอเดินเช็ดน้ำตาไปเงียบๆ เพราะเธอยังมิพร้อมฟังคำอธิบายจากเขา…หากตามไปก็คงไร้ประโยชน์ คงต้องรอให้เธออารมณ์เย็นลงกว่านี้

นึกได้เช่นนั้นเขาจึงยอมกลับขึ้นเรือนไปโดยดี คอยอยู่สนทนากับญาติผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาวจนถึงดึกดื่น จนกระทั่งบรรดาญาติทยอยกลับเรือนของตนไปหมดแล้ว ส่วนชายฉกรรจ์ที่ติดตามเขามาก็ต่างนอนเฝ้าเกวียนและม้าอยู่ข้างล่าง บนเรือนจึงเหลือเพียงเขา แม่สายผู้เป็นน้องสาวของเดือนและบิดามารดาเธอเท่านั้น

“อีนางเดือนหายไปไหน…” นายจั่นผู้บิดาเอ่ยถามขึ้นมา สายตามองผ่านระเบียงเรือนลงไปด้านล่าง แต่ก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความฉงนเมื่อเห็นเพียงความว่างเปล่า เพราะเธอหายไปเกือบชั่วยามแล้วแสงคำจึงเริ่มสงสัยขึ้นมาเช่นกัน ดึกมากแล้วเหตุใดเธอมิกลับมาเสียที

แต่เมื่อชายหนุ่มหลับตาลงแล้วกระซิบเรียกผีพรายให้ช่วยออกตามหา…เขาจึงได้รู้ว่าเดือนหนีไปแล้ว ร่างเล็กเดินลัดตามชายป่ามุ่งหน้าไปเรือนนายขัน ในเรือนนั้นมีนายฮ้อยทรัพย์และชายฉกรรจ์อีกหลายคนกำลังขัดดาบและมีดพร้าเตรียมต่อสู้…ราวกับตั้งใจจะเปิดศึกนองเลือดขึ้นมาอีกครั้งในคืนนี้

“เดี๋ยวข้อยไปตามเองจ้ะ”

แสงคำหันมาส่งยิ้มให้บิดาหญิงสาว ก่อนจะเผลอผ่อนลมหายใจเพื่อระงับโทสะ นัยน์ตาคมเจือความแข็งกร้าวเมื่อนิมิตเห็นภาพนายขันกำลังปลอบประโลมแม่หญิงคนรัก

กล่าวบอกเพียงเท่านั้นชายหนุ่มก็ผุดลุกขึ้นยืนทันที ร่างสูงเดินปรี่ลงบันไดเข้าไปปลุกชายฉกรรจ์ที่ตามมาด้วย ก่อนทุกคนจะเตรียมดาบคู่กาย…แล้วควบม้าออกไปเงียบๆ 



Don`t copy text!