ศรีนาง ตอนที่ 16 : เลี้ยงต้อย

ศรีนาง ตอนที่ 16 : เลี้ยงต้อย

โดย : เมษาริน

Loading

ศรีนาง โดย เมษาริน นวนิยายที่อ่านเอานำมาให้ทุกคนได้อ่านออนไลน์ทาง anowl.co กับชะตาชีวิตของ ศรีนาง สาวชาวบ้านผู้อาภัพเพราะบิดามารดาจากไปด้วยโรคร้าย และนั่นเป็นแรงผลักดันให้เธออยากเป็นหมอ แต่เธอขาดก็คือโอกาสดีๆ นั้น กระทั่งโชคชะตาชักนำให้เธอช่วยชีวิตนายทหารหนุ่มชาวกรุง ผู้ทำให้ชีวิตของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

https://www.groovebooks.com/blog/นิยายใหม่จาก-groove-next-anowl-ลูกองุ่น-เปิดให้สั่งจอง-25-มี-ค-67/62

ใครๆ ต่างเรียกที่นี่ว่า ‘วัง’ แต่สำหรับผู้อยู่อาศัยที่นี่คือ ‘บ้าน’ ในความคิดของสารินสิ่งปลูกสร้างสวยงามตรงหน้าเป็นบ้านของแม่ ตั้งแต่จำความได้บิดาที่เป็นนายทหารมาส่งเขาตามคำสั่งของท่านตา เพื่อเรียนพิเศษกับครูฝรั่ง และมารับหลังเลิกเรียน สารินไม่เคยค้างคืนที่วังปรียาธร ด้วยเหตุผลที่บิดาพร่ำบอกเสมอว่า…

‘เรียนพิเศษหรือ ที่โรงเรียนก็มีครูฝรั่ง แต่ท่านสั่ง…’ ท่านในที่นี้คือหม่อมเจ้าชโนดม ท่านตาของสาริน ‘คุณแม่เสียไปนานแล้ว รินไม่ได้มีฐานันดรอย่างคุณชายฉัตรหรือคุณหนึ่ง รินไม่ใช่ปรียาธร…รินเป็นลูกพ่อ ใช้นามสกุลพ่อ’

ตอนนั้นสารินอายุน้อยจึงเชื่อฟังโดยไม่มีคำถาม ไม่เคยสงสัย แต่เมื่อเริ่มโต สามารถคิด วิเคราะห์ได้ด้วยตัวเอง ชายหนุ่มก็พบว่าบิดาไม่ชอบให้เขาสุงสิงสนิทสนมกับญาติๆ ทางนี้ เพราะเกรงใจครอบครัวใหม่ แต่ผู้ให้กำเนิดไม่อาจหนีความจริงที่ว่า…เลือดครึ่งหนึ่งในตัวเขาเป็นปรียาธร

“เวลคัมๆ โฮม สวีต โฮม” คนที่เอ่ยต้อนรับสารินกับศรีนางคือเบนจามิน ชายชาวอังกฤษวางสมุดโน้ตในมือ แล้วเดินเข้ามาต้อนรับเสมือนเป็นเจ้าบ้านคนหนึ่ง “เปนยางไงบางริน…นามท่วมบ้านรือเป่า”

“ไม่ท่วมครับ…คุณเบนพูดภาษาไทยเก่งมาก” สารินยิ้มกว้างให้เพื่อนน้าตอนที่อีกฝ่ายวางมือบนบ่าแล้วตบเบาๆ

“ต้องฝึกพูด ที่นี่ไม่มีครายสปีกอิงลิช ยกเว้นชาร์ลส์”

“แต่น้องนุ้ยอยากสปีกอิงลิชกับคุณเบน” สารินมองศรีนางด้วยสายตาอ่อนโยน ก่อนมาที่นี่เขาพาเธอไปเดินพาหุรัดและไปร้านหนังสือ ปล่อยเจ้าตัวเลือกตำราเตรียมสอบกับข้อสอบเก่า ตอนแรกเธอหยิบมาไม่กี่เล่มเพราะเกรงใจ สารินต้องยืนยันว่ามีเงิน ศรีนางจึงหยิบเพิ่มอีกเล็กน้อยพร้อมเหตุผล…

‘เอาแค่นี้ก่อนดีกว่าค่ะ พักใหญ่กว่านุ้ยจะอ่านจบ’

“อ้าว ริน นุ้ย มาเร็วแฮะ” ฉัตรชลธรในฐานะเจ้าของวังคนปัจจุบันเดินออกมาต้อนรับหลานชายกับหลานสะใภ้ ชายหนุ่มนิ่วหน้าเมื่อเห็นสัมภาระพะรุงพะรังของทั้งคู่ “แล้วนี่ไปไหนกันมา”

“เอ่อ…เราสองคนขอรบกวนคุณชายสักพักครับ” สารินแหงนหน้ามองหน้าต่างห้องหนึ่งซึ่งมองเห็นบัวทั้งบึง “ผมพาน้องออกจากบ้าน ระหว่างรอบ้านพักต้อง…อ่า…”

“ริน ฉันเคยบอกกี่ครั้งกี่หน ที่นี่เป็นบ้านแม่นายนะ” ฉัตรชลธรส่ายหน้าใส่สาริน หลานชายมีลักษณะบางอย่างที่ขัดหูขัดตา เป็นความสุภาพเรียบร้อยที่เขาอยากเข้าไปทำลายทิ้ง ทั้งๆ ที่โตเป็นหนุ่มเต็มตัว แต่ไม่เคยเกเร ไม่กินเหล้า ไม่ติดบุหรี่ หรือแม้แต่พูดคำหยาบ “อ้อ ยินดีต้อนรับหลานสะใภ้ ดูเหนื่อยทั้งสองคน ขึ้นไปพักผ่อนก่อน แล้วค่อยลงมากินข้าวเย็น”

“ขอบคุณครับคุณชาย” สารินพนมมือไหว้น้าชาย

ศรีนางเห็นอย่างนั้นก็รีบทำตาม

ฉัตรชลธรมองทั้งคู่อย่างชื่นชมระคนเอ็นดู

“พี่ริน” โดยไม่ทันตั้งตัว ใครบางคนก็กระโดดใส่สารินจนชายหนุ่มเกือบล้ม ยังดีว่าทรงตัวได้ทัน

“คุณหนึ่งนี่เอง เล่นอะไรเป็นเด็กๆ ไปได้” สารินดุไม่จริงจัง

“ไม่เจอพี่รินชาตินึงแล้ว สวรรค์มาโปรด อยากได้คนช่วยอ่านเอสเซย์พอดี” หม่อมหลวงหนึ่งนริศเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ไว้ผมยาวเป็นรากไทรระต้นคอ แต่ยังดูสะอาดสะอ้านสมเป็นราชนิกุล ส่วนนิสัยเป็นคนอารมณ์ดี ขี้เล่น และพูดเก่ง กำลังศึกษาในชั้นปีที่สามภาควิชาพาณิชยศาสตร์และการบัญชี “เฮ้ย คนนี้เหรอพี่สะใภ้ สวัสดีครับ” หนึ่งนริศยกมือไหว้ศรีนาง

“สะ…สวัสดีค่ะ ไม่ต้องไหว้ค่ะ นุ้ยน่าจะอายุน้อยกว่า” ศรีนางออกตัวพลางปฏิเสธ

“อ้าว เด็กกว่าผมเหรอเนี่ย…ผมยี่สิบเอ็ดแล้ว คุณนุ้ยอายุเท่าไหร่”

“สิบแปดค่ะ”

“ฮะ สิบแปด!” หนึ่งนริศมองหน้าสารินพลางขมวดคิ้ว ความเป็นคนพูดมากปากไว คิดอะไรก็พูดอย่างนั้น “พี่รินเลี้ยงต้อยเหรอ เด็กมาก คือก็โตแล้วแหละ แต่ก็เด็กกว่าที่คิด อายุยังไม่ขึ้นเลขสองเลย”

สารินกับศรีนางแอบสบตากัน ไม่ตอบโต้เพราะไม่รู้จะพูดอะไร เป็นฉัตรชลธรที่ใช้สองนิ้วดีดหน้าผากหนึ่งนริศแล้วพูดสั้นๆ คำเดียว

“ยุ่ง”

หลังจากทุกคนรู้จักกันแล้ว สารินจูงมือศรีนางเข้าบ้าน มีสอางค์พาทั้งคู่ขึ้นชั้นสอง พักห้องเดิมของคุณหญิงบัว

ศรีนางตื่นตาตื่นใจกับบ้านหลังใหญ่ทรงโคโลเนียลสีไข่ไก่ ส่วนประตูหน้าต่างเป็นสีเขียวอ่อน การตกแต่งภายในมีความผสมผสานทั้งเฟอร์นิเจอร์ไม้ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศ และของแต่งบ้านรูปทรงแปลกตา ที่นี่ต่างจากบ้านบิดาสารินอย่างสิ้นเชิง…ทั้งเจ้าของบ้าน บรรยากาศ และรสนิยม

“พี่อางค์ ผมฝากนุ้ยด้วยนะครับ น้องมาจากต่างจังหวัด บางอย่างก็ไม่เคยเจอ ไม่เคยเห็น ไม่รู้จัก พี่อางค์ช่วยแนะนำด้วย” น้ำเสียงสารินมีความกังวลเจือปน

“ค่ะ คุณริน” สอางค์รับคำสั่งแต่หัวคิ้วขมวดมุ่น คลางแคลงสงสัยในตัวเด็กสาวที่ใครๆ บอกว่าเป็นเมียสาริน ความที่เคยรับใช้คุณหญิงบัวมาก่อนจึงรู้สึกเสียดายที่ลูกชายซึ่งเป็นนายทหารหนุ่มอนาคตไกลเลือกเด็กสาวชาวบ้านธรรมดาๆ เป็นคู่ชีวิต

ศรีนางยิ้มกว้างให้สอางค์ แต่อีกฝ่ายทำหน้านิ่งเรียบ แววตาขยับขึ้นลงอย่างสำรวจตรวจตรา แม้ไม่ใช่สายตาดูแคลนอย่างคุณนายลออกับลูกๆ แต่ศรีนางก็รู้ตัวดีว่าความธรรมดาสามัญของเธอไม่มีอะไรคู่ควรกับสารินสักนิด ยิ่งได้รู้ว่าพ่อแม่เขาเป็นใครยิ่งสะท้อนใจ…แตกต่างกันเกินไป

ความรู้สึกที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำหญิงสาวตกใจ เธอเผอเรอหลงลืมกับความสัมพันธ์ปลอมๆ ที่รู้กันสองคนได้อย่างไร อีกอย่างสถานะที่คนนอกรับรู้จะสิ้นสุดลงในหนึ่งปี

“ห้องคุณแม่พี่” สารินเปิดหน้าต่าง เปิดม่าน เมื่อมองจากตรงนี้จะเห็นบัวในบึง

“สวยมากค่ะ” ศรีนางดึงตัวเองออกจากความคิดสับสน เธอกวาดสายตามองรอบห้อง เครื่องเรือนทำจากไม้ทั้งหมด ตู้ โต๊ะ เตียง แม้แต่ฉากบังตาก็เป็นไม้ฉลุลายวิจิตรงดงาม จู่ๆ ก็รู้สึกตัวลีบเล็ก สำเหนียกว่าไม่เหมาะกับสถานที่เอาเสียเลย

“ทำไมทำหน้าอย่างนั้น” สารินถาม

“เอ่อ…คือที่นี่สวยเกินไปค่ะ นุ้ยไม่กล้า…” ศรีนางไม่พูดต่อ เธอไม่กล้าแตะต้องข้าวของเครื่องใช้ราคาแพงในห้องนี้

สารินยังอยู่ริมหน้าต่างจ้องมองศรีนางที่ยืนอยู่กลางห้อง จำความฝันเมื่อครั้งเฉียดใกล้ความตายได้ดี เขาฝันว่าอยู่ในห้องนี้ เจอคุณแม่ที่ริมบึง นอนหนุนตักอุ่น ท้อแท้เหน็ดเหนื่อยกับชีวิต เอ่ยปากร้องขอติดตามไปอยู่กับท่าน กระทั่งรอดจากเงื้อมมือมัจจุราช คนแรกที่เห็นเมื่อตื่นลืมตาเป็นสาวน้อยตากลมคนนี้

ความเยาว์วัยของศรีนางทำให้สารินนึกเอ็นดู ไม่ผิดที่เธอจะรู้สึกแปลกที่แปลกทาง ไม่กี่วันก่อนสาวน้อยชะตาอาภัพยังอาศัยในเรือนข้าวขนาดเท่าแมวดิ้นตาย สามวันที่แล้วอยู่ในบ้านหลังใหญ่ทันสมัยแต่โดนดูถูกดูแคลน ส่วนวันนี้ก็เปลี่ยนที่พักอีกครั้ง เป็นห้องนอนตกแต่งสวยงามในบ้านที่ใครๆ เรียกว่า ‘วัง’

“ทุกคนบอกว่าคุณแม่เป็นคนใจดี” สารินผินหน้ามองนอกหน้าต่าง “น่าเสียดายที่พี่จำไม่ได้ แต่รู้สึกลึกๆ ว่าท่านสวยมากและใจดีมาก”

ศรีนางเผลอมองภาพนั้น สารินยืนอยู่ริมหน้าต่าง แววตาชายหนุ่มยามเอ่ยถึงมารดาทั้งสุขทั้งเศร้า ขณะนั้นเองที่ศรีนางตระหนักว่าทุกคนล้วนเป็นมนุษย์ ไม่ว่าเกิดมาจากไหน ล้วนหนีสัจธรรมไม่พ้น เมื่อคิดได้อย่างนั้น อาการเกร็งพลันบรรเทา อย่างหนึ่งที่เจ้าของห้องคนก่อนทิ้งไว้คือความใจดีกระมัง เธอเชื่อว่าสิ่งนั้นถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก

“ถ้าคุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ พี่เชื่อว่าท่านเต็มใจและยินดีต้อนรับน้องเหมือนทุกคนในบ้านหลังนี้” คราวนี้สารินหันกลับมายิ้มให้สาวน้อยที่ยืนบีบมือตัวเองอยู่กลางห้อง “อีกอย่าง…เราอยู่ที่นี่ไม่นานหรอก พี่จะทำเรื่องขอบ้านพัก ระหว่างรอ…เราต้องหาบ้านเช่า”

 

“เช่าบ้าน?” หัวคิ้วฉัตรชลธรขมวดเป็นปม “เพื่ออะไรวะริน”

สารินไม่ตอบ ปล่อยน้าชายโวยวายหน้าดำหน้าแดงเหมือนเขาทำผิดร้ายแรง

“ทำไมไม่อยู่ที่นี่ ห้องเดิมของแม่นายก็กว้างขวาง อยู่สองคนผัวเมียได้สบายๆ รอให้มีลูกมีเต้าค่อยขยับขยาย หรือคิดว่าฉันใจร้ายใจดำเหมือนแม่เลี้ยงนาย” น้ำเสียงฉัตรชลธรเริ่มดัง เจ้าบ้านมองสารินทีมองศรีนางที “มีอะไรปิดบังฉันหรือเปล่า”

“ไม่มีครับ” สารินตอบอย่างใจเย็น

“แล้วนายจะเช่าบ้านทำไม ระหว่างรอบ้านสวัสดิการก็อยู่ด้วยกันที่นี่แหละ”

“ไกลครับคุณชาย” สารินยกเรื่องระยะทางมาอ้าง แต่เหตุผลจริงๆ คือไม่อยากพึ่งพาใคร ไม่กี่ชั่วโมงที่เป็นอิสระ เขารู้สึกเหมือนนกที่หลุดจากกรง เมื่อได้เลือก สารินจึงขอเลือกทุกอย่างด้วยตัวเอง “ไกลที่ทำงานผม ไกลจากโรงเรียนกวดวิชาของน้องนุ้ยด้วย”

“นุ้ยช่วยพูดกับรินหน่อย” ฉัตรชลธรเลิกพูดกับสาริน

“พี่รินว่าอย่างไรนุ้ยก็ว่าอย่างนั้นค่ะ” ศรีนางส่งยิ้มให้คุณน้า ตอนสารินบอกว่าจะอยู่บ้านปรียาธรจนกว่าจะหาบ้านเช่าได้ เธอรู้สึกดีใจ ที่นี่สวยงามสะดวกสบายก็จริง แต่ศรีนางรู้สึกว่าไม่ใช่ที่ทางของเธอ

“นุ้ยเรียนกวดวิชาที่ไหน” หนึ่งนริศถามเมื่อรู้ว่าศรีนางเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์ปีหน้า โดยมีสารินทำหน้าที่สนับสนุน ซื้อหนังสือ ข้อสอบเก่า และหาที่เรียนพิเศษให้ เลี้ยงต้อยแบบสารินคือส่งเสียให้ภรรยาเด็กเล่าเรียนสินะ เป็นคู่ผัวเมียที่แปลกประหลาดที่สุดในสายตาหม่อมหลวงหนึ่งนริศ

“มีโรงเรียนกวดวิชาแถวถนนราชดำเนินกับสยามค่ะ” ศรีนางจำชื่อสถานที่ได้ แต่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน “พี่รินให้นุ้ยเรียนที่สยามค่ะ ความจริงนุ้ยไม่รู้หรอกว่าสยามอยู่ตรงไหน แต่รู้ว่าไกลจากที่นี่”

ฉัตรชลธรเถียงไม่ออก ไม่พอใจที่ดื้อทั้งผัวทั้งเมีย เจ้าของบ้านบ่นพึมพำทำหน้าตึงตลอดมื้อเย็น

หลังมื้อเย็น ฉัตรชลธรจัดการอารมณ์หงุดหงิดและนิสัยเอาแต่ใจตัวเองด้วยการฟังเพลงจากแผ่นเสียง เพลงบลูส์ช้าๆ ช่วยให้อารมณ์เย็นลง ความสงบของคุณชายฉัตรถูกทำลายด้วยสมาชิกในบ้านที่ทยอยเข้ามาในห้องฟังเพลงทีละคน เริ่มจากเบนจามินที่ถือสก็อตช์วิสกี้ซึ่งเจ้าตัวหิ้วข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากอังกฤษ คนต่อมาคือหนึ่งนริศ ส่วนสองคนสุดท้ายเป็นสารินกับศรีนาง

“ห้องฟังเพลง” สารินกระซิบบอกสาวน้อยข้างกาย “คุณชายมีแผ่นเสียงเป็นพันๆ แผ่น”

ศรีนางทึ่งเมื่อเห็นแผ่นเสียงเรียงรายเต็มตู้ เสียงก็ดีกว่าทรานซิสเตอร์ของป้าแอ๊ดหลายเท่า เธอเดินสำรวจชั้นวางแผ่นเสียงอย่างสนใจ มีหนึ่งนริศทำหน้าที่อธิบาย ส่วนเบนจามินจิบวิสกี้พลางฮัมเพลงตามเบาๆ

“คุณชายครับ ผมอยากปรึกษา” สารินกระซิบบอกน้าชาย

ฉัตรชลธรนั่งนิ่ง แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ยังเคืองสารินไม่หาย

“น้าฉัตรฮะ” นับครั้งได้ที่สารินจะเรียกน้องชายแม่อย่างที่ควรจะเรียก

คนเป็นน้าใจอ่อนทันที ฉัตรชลธรลุกจากอาร์มแชร์ตัวโปรด เดินนำหลานชายผ่านประตูบานเฟี้ยม ออกมายืนริมระเบียงกันสองคน จากมุมนี้มองเห็นแม่น้ำเจ้าพระยาชัดเจน “ว่าอย่างไรริน”

“เรื่องคุณรัญครับ”

“รัญไหน”

“คุณรัญ…ลูกสาวท่านนายพลสัญญา คุณน้าบอกว่าเคยเจอ”

“อ๋อ…อดีตคู่หมายนายน่ะหรือ”

“ครับ” สารินอยากจบเรื่องนี้โดยไม่ทำร้ายใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออีกฝ่ายเป็นผู้หญิง ถ้ายืดเยื้อเกรงว่าจะเสียชื่อ เสียเกียรติ “ผมอยากเจอคุณรัญ คุณชายช่วยจัดการให้ด้วยนะครับ”

“วะ” ฉัตรชลธรทั้งฉุนทั้งขำ “นี่นายสั่งฉันหรือริน” น้ำเสียงคนเป็นน้าไม่ได้มีน้ำโห ติดจะขบขันกลั้วหัวเราะ

“เรียกว่าขอร้องดีกว่าครับ”

“ตั้งแต่มีเมียนายเปลี่ยนไปนะ” ฉัตรชลธรล้อหลานชาย “เอาละๆ เดี๋ยวจัดการให้ ว่าแต่อยากเจอลูกคุณหนูนั่นทำไม”

“ผมต้องบอกเธอ…ว่าผมมีภรรยาแล้ว”

 

สัปดาห์ต่อมา ฉัตรชลธรก็ใช้เส้นสายจัดการให้สารินได้เจออดีตคู่หมาย สถานที่นัดพบเป็นคณะอักษรศาสตร์ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง สารินนั่งรอลูกสาวนายพลสัญญาบนเก้าอี้หินอ่อนใต้ต้นก้ามปูใหญ่ เขาไม่ได้มาคนเดียว เพราะทันทีที่ศรีนางได้ยินคำว่ามหาวิทยาลัย เจ้าตัวกระมิดกระเมี้ยนเล็กน้อยก่อนออดอ้อนขอมาชมสถานศึกษา

‘ขอนุ้ยไปด้วยนะพี่ริน สาบานว่าจะเชื่อฟัง ไม่ซน’

เด็กอายุสิบแปดช้อนตาโตๆ ร้องขอตาปริบๆ น่าเอ็นดู แน่นอนว่าสารินไม่กล้าปฏิเสธ

ระหว่างที่เขารอพบเนรัญชรา บัณฑิตหมาดๆ จากคณะอักษรศาสตร์ ศรีนางขอเดินรอบๆ ชมตึกเรียนในมหาวิทยาลัย

“พี่รินใช่ไหมคะ” เสียงใสดั่งแก้วของหญิงสาวหน้าตาสวยหวาน ดึงสารินออกจากภวังค์ความคิด ฉัตรชลธรเคยบอกว่าลูกสาวคนเดียวของท่านนายพลสัญญาเป็นสาวสวยบาดตา สารินเห็นด้วยกับคำพูดของน้าชาย ทว่าเขาไม่มีความรู้สึกอื่นใดเจือปน ไม่ได้ตะลึงพรึงเพริด หรือหลงใหลใบหน้างดงามราวนางอัปสร เมื่อในใจใฝ่ปองเพียงหญิงเดียวเท่านั้น

“คุณรัญ?”

“เรียกรัญเฉยๆ ดีกว่าค่ะ” เนรัญชรายิ้มกว้างให้สาริน เป็นรอยยิ้มเปิดเผยจริงใจ ส่งให้ใบหน้าขาวนวลกระจ่างใสชวนมอง เมื่อรวมลักษณะคล่องแคล่วว่องไว ไม่ได้เชื่องช้าถนิมสร้อย เนรัญชราจึงสร้างความแปลกใจให้ผู้พบเห็นบ่อยครั้ง “พี่รินอยากเจอรัญ มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ หรือว่าพี่อยากแต่งงานกับรัญ”

สารินอึ้งไปอึดใจหนึ่ง ชายหนุ่มรีบปฏิเสธ “เปล่าครับ ไม่ใช่อย่างนั้น”

“ล้อเล่นค่ะ” หญิงสาวฉีกยิ้มอวดฟันสวย แต่แววตาหวานซึ้งไม่ได้ยิ้มด้วย เธอเก็บซ่อนทุกความรู้สึกไว้หลังท่าทีสบายๆ ไม่ทุกข์ร้อนอย่างนี้เสมอ “พี่รินนัดเจอรัญข้างนอก…ทั้งที่ไปหาที่บ้านก็ได้ คงมีธุระสำคัญใช่ไหมคะ”

“ครับ คือพี่…” สารินลำบากใจที่ต้องเป็นฝ่ายปฏิเสธเรื่องที่ผู้ใหญ่จับคู่ให้ ทว่าเขาคิดเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วนดีแล้ว

“พูดมาเถอะค่ะ รัญรับได้” สีหน้าท่าทีของสารินเดาไม่ยาก

“เราคงหมั้นกันไม่ได้…พี่มีคนรักแล้ว พี่มีภรรยาแล้วครับ”

เนรัญชราไม่เอ่ยอะไร เธอรับฟังอย่างตั้งใจ พยักหน้าน้อยๆ เหมือนสนทนาเรื่องดินฟ้าอากาศ ตอนที่รู้ว่าถูกจับคู่ เธอไม่ได้ยินดียินร้าย แต่ถ้าเลือกได้ เนรัญชราอยากตกหลุมรักใครสักคนอย่างบ้าคลั่งสักครั้ง

“ยินดีด้วยค่ะ รัญมั่นใจว่าภรรยาพี่รินต้องเป็นผู้หญิงที่โชคดีมากๆ” เนรัญชราได้ยินเรื่องราวของสารินมาพอสมควร แน่ละ พ่อของเธอสรรหาชายหนุ่มที่คู่ควรเหมาะสม แต่ทั้งเธอและสารินไม่รู้จักกัน ไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน เมื่อโดนจับคู่ เนรัญชราไม่เคยวาดวิมานในอากาศ ไม่คิดเรื่องโรแมนติกหวานแหวว บางครั้งก็นึกอยากปฏิเสธ เพราะต้องการเรียนต่อในสาขาวิชาที่ชื่นชอบหลงใหล แต่ไม่กล้าขัดคำสั่งบิดา

“พี่เกรงว่าคุณรัญจะเสียหาย ถ้าใครรู้ว่าพี่เป็นฝ่ายปฏิเสธ”

“พี่รินก็เลยมาขอให้รัญพูดก่อนหรือคะ” เนรัญชรายิ้มหวานให้สาริน คราวนี้เธอยิ้มไปถึงดวงตา “ขอบคุณมากค่ะที่คิดถึงชื่อเสียงรัญ งั้นรัญขอยกเลิกทุกอย่างที่ผู้ใหญ่คุยกัน แอบตกลงโดยที่เราสองคนไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วย”

ง่ายๆ เพียงเท่านี้ สารินพรูลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขาพบว่าเนรัญชราเป็นหญิงสาวหัวสมัยใหม่ ภายใต้ท่าทีร่าเริงมีบางอย่างแอบซ่อนไว้ และใบหน้าสวยสดมีร่องรอยเศร้าสลดฉาบทา

ซับซ้อน

สารินไม่รู้ว่าวันหนึ่งข้างหน้า โชคชะตาได้พัดพาเนรัญชรากับเรื่องราวซับซ้อนของเธอ หวนกลับมาเกี่ยวพันกันอีกครั้ง…

“นี่หรือคะภรรยาพี่ริน” เนรัญชราเอียงศีรษะไปมา ดวงตาคู่งามจับจ้องร่างเล็กๆ ของศรีนางซึ่งยืนรอสารินริมทางเท้า

“น้องนุ้ย” สารินลุกจากเก้าอี้ เดินไปหาศรีนางแล้วพาสาวน้อยมาแนะนำให้เนรัญชรารู้จัก “น้องชื่อนุ้ยครับ…ภรรยาพี่”

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ รัญชื่อรัญ”

ศรีนางพนมมือไหว้เนรัญชรา ครั้งหนึ่งเธอเคยถามสารินว่าเสียดายไหมถ้าคู่หมายเป็นสาวสวยเหมาะสมคู่ควร ความรู้สึกตอนนี้คือเสียดายแทนสาริน เมื่อเนรัญชราเป็นคนสวย เสียงเพราะ ยิ้มหวาน แววตาเฉลียวฉลาด และมีเสน่ห์ ขนาดเธอที่เป็นผู้หญิงยังอดชื่นชมไม่ได้

“คุณนุ้ยหน้าตาน่ารัก” เนรัญชราเอ่ยชม แววตาเป็นประกายเหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่ “ตาคม โอ้…อิจฉาจัง ขนตายาวแล้วก็งอนมาก”

ศรีนางเผลอกะพริบตาปริบๆ แพขนตางอนยาวขยับราวตุ๊กตามีชีวิต

“เหมาะสมกับพี่รินมากๆ ค่ะ”

“ขอบคุณครับ” สารินรับคำชมอย่างเก้ๆ กังๆ

“หน้าเด็กจัง ขอถามได้ไหม อายุเท่าไหร่คะ”

“สิบแปดค่ะ” ศรีนางตอบ รอฟังว่าเนรัญชราจะวิจารณ์ว่าสารินเลี้ยงต้อยหรือว่าเธอแก่แดด ทว่าสาวสวยไม่ได้พูดอะไรทำนองนั้น

“รัญยี่สิบค่ะ สอบเทียบตอนมอห้าก็เลยเรียนจบเร็ว…ไม่ดีเลย รู้อย่างนี้ เรียนช้าๆ ดีกว่า จบเร็วก็โดนบังคับให้แต่งงาน ไม่แต่งกับพี่ริน สักพักก็ต้องแต่งกับคนอื่น” เนรัญชราไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ทำไมต้องเล่าเรื่องส่วนตัวให้ศรีนางฟัง คงเพราะเธอไม่มีเพื่อนสนิทไว้คอยปรึกษาระบายกระมัง

“ส่วนนุ้ยก็เรียนช้าไปอีกปีค่ะ นี่กำลังอ่านหนังสือเตรียมเอนทรานซ์ปีหน้า คุณรัญเรียนจบตอนอายุยี่สิบ ส่วนนุ้ย ถ้าสอบผ่านก็ต้องเรียนอีกหกปี”

“สอบหมอเหรอคะ” เนรัญชราตาโต

“ค่ะ” ศรีนางรอฟังว่าอดีตคู่หมายของสารินคิดเห็นอย่างไรที่เด็กบ้านนอกอย่างเธอตั้งเป้าหมายไว้สูงเช่นนั้น

“อยากดูคณะแพทย์มั้ย เดี๋ยวรัญพาไป”

“คะ?” ศรีนางงง

“มาเถอะ ไม่ต้องเกรงใจ รัญเป็นเจ้าถิ่น ขอเป็นไกด์ให้นุ้ยนะ” เนรัญชรายิ้มหวานให้ศรีนาง “แล้วก็เรียกรัญว่ารัญเฉยๆ อยากมีเพื่อนตาคมขนตางอนแบบนี้มานานแล้ว”

จากด้อมๆ มองๆ ระหว่างรอสาริน เมื่อมีเนรัญชราสาวสวยประจำมหาวิทยาลัยรับหน้าที่พาชมสถานศึกษา ใจศรีนางพองโตตั้งแต่รอข้ามถนนเพื่อไปชมคณะแพทย์ รู้สึกตื่นเต้นตอนยืนหน้าตึก ได้เห็นนิสิตเดินไปผ่านเดินมา ทุกคนมีสีหน้าท่าทางมุ่งมั่น บรรยากาศอบอวลด้วยความรู้ ได้กลิ่นวิชาการลอยอยู่ในอากาศ สิ่งเหล่านี้ทำศรีนางฮึกเหิม แววตาเป็นประกาย เธอประทับใจและกระหายอยาก…อยากเรียนที่นี่

“นุ้ยจะเรียนกวดวิชาเหรอ” เนรัญชราถาม

“ค่ะ ตั้งใจว่าจะเรียนสามวิชา…คณิต ฟิสิกส์ แล้วก็เคมี” วิชาพวกนี้ เธออ่านเองแล้วไม่เข้าใจ ศรีนางจึงต้องเรียนพิเศษ “วิชาอื่นนุ้ยอ่านเองได้ค่ะ ส่วนภาษาอังกฤษรอพี่รินสอน”

“พี่รินทำงานนี่ เอาอย่างนี้ดีไหม…รัญติวให้นุ้ยเอง พวกข้อสอบแกรมม่า รีดดิง…รัญติวให้ฟรี ไม่คิดเงิน”

ศรีนางไม่เข้าใจเนรัญชรา สาวน้อยมองหน้าสบตาสารินเพื่อขอความเห็น



Don`t copy text!