ศรีนาง ตอนที่ 17 : ทรานซิสเตอร์

ศรีนาง ตอนที่ 17 : ทรานซิสเตอร์

โดย : เมษาริน

Loading

ศรีนาง โดย เมษาริน นวนิยายที่อ่านเอานำมาให้ทุกคนได้อ่านออนไลน์ทาง anowl.co กับชะตาชีวิตของ ศรีนาง สาวชาวบ้านผู้อาภัพเพราะบิดามารดาจากไปด้วยโรคร้าย และนั่นเป็นแรงผลักดันให้เธออยากเป็นหมอ แต่เธอขาดก็คือโอกาสดีๆ นั้น กระทั่งโชคชะตาชักนำให้เธอช่วยชีวิตนายทหารหนุ่มชาวกรุง ผู้ทำให้ชีวิตของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ในที่สุดสารินก็เลือกบ้านไม้ชั้นเดียวยกสูงเล็กน้อยริมแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นที่พักชั่วคราวระหว่างรอบ้านพักสวัสดิการ ทางเข้าเป็นถนนสายเล็ก กว้างแค่คนเดินสวนกัน สองข้างทางเป็นกำแพงวัดและรั้วบ้านของคหบดีร่ำรวยที่ดินคนหนึ่ง ส่วนเจ้าของบ้านไม้ริมแม่น้ำเป็นหญิงชราชื่อประภา ท่าทางใจดีและคิดค่าเช่าไม่แพง

สารินหิ้วกระเป๋าเข้าอยู่บ้านใหม่ในวันแรกของเดือนมิถุนายน เจ้าของบ้านประหลาดใจเมื่อรู้ว่านายทหารหนุ่มท่าทางสุภาพเรียบร้อยมีเมียเด็ก ไม่เพียงอายุน้อย ศรีนางเล่าแจ้วๆ ว่ากำลังอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบ

“ยังเรียนอยู่รึ” หญิงสูงวัยถามย้ำ มองสองหนุ่มสาวสลับกันสีหน้ากังขา

“จบมอหกแล้วค่ะ นุ้ยรอสอบเข้ามหาวิทยาลัยปีหน้า” ศรีนางบอกเล่าอย่างภูมิใจ

“มีผัวแล้วจะเรียนทำไม” เพราะเติบโตมาในยุคสมัยที่ผู้หญิงแต่งงานแล้ว ต้องปรนนิบัติสามี ต้องเลี้ยงลูก ยายประภาจึงอดถามไม่ได้

“อยากเรียนค่ะ นุ้ยชอบเรียนหนังสือ”

“แปลก เมียก็แปลก ผัวรึก็แปลกส่งเสียให้เมียเรียนหนังสือ” หญิงเจ้าของบ้านบ่นพึมพำคนเดียว นางยื่นกุญแจบ้านให้สารินแล้วอธิบาย “บ้านฉันหลังถัดไปนี่แหละ รั้วไม้ใต้ซุ้มเล็บมือนางมีประตูเปิดเข้าหากันได้ ขาดเหลืออะไรก็บอกฉัน แต่ก่อนบ้านหลังนี้สร้างให้ลูกชายคนเล็ก พอมันตายก็ทิ้งร้างไว้เป็นปี เสียดายน่ะ ไม่มีคนอยู่ บ้านจะทรุดโทรม”

“บ้านน่ารักมากค่ะ” ศรีนางฟังยายประภาเล่าประวัติบ้านไม้หลังเล็กอย่างตั้งใจ

“มีห้องเดียว ครัวกับห้องน้ำอยู่ข้างนอก” ยายประภาเปิดประตูบานเฟี้ยม ผลักแล้วพับแผ่นไม้แข็งแรงชิดกรอบประตูทั้งสองข้าง ชี้ให้เห็นห้องน้ำกับครัวเล็กๆ

ตรงหน้าศรีนางเป็นแนวระเบียงค่อนข้างกว้างและเปิดโล่ง สายลมเอื่อยเฉื่อยพัดผ่านผิวหน้า มีละอองน้ำกระจัดกระจายอยู่ในอากาศ กล้วยไม้หลากสีหลายสายพันธุ์กำลังชูช่อออกดอกต้อนรับฤดูฝน ในความคิดของสาวน้อยที่นี่สะดวกสบายและน่าอยู่มาก

“แถวนี้เงียบสงบ บ้านคุณยายไม่ไกลจากท่าเรือด้วยครับ” หนึ่งในเหตุผลที่สารินเลือกที่นี่คือใกล้ท่าเรือ เขาเดินทางไปทำงานสะดวก เช่นเดียวกับที่ศรีนางเดินทางไปเรียนกวดวิชาโดยไม่ยุ่งยากลำบาก

“เดินเลียบริมกำแพงวัดไปเรื่อยๆ ก็ถึงท่าเรือแล้ว” ยายประภาพูดคุยกับสองหนุ่มสาวอีกเล็กน้อยก่อนเปิดรั้วไม้ที่กิ่งก้านของเถาเล็บมือนางเลื้อยพันอวดดอกสีขาวแดง

“ชอบไหม” สารินถามเมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพัง ในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน เขากับสาวน้อยตาโตย้ายที่อยู่ถึงสามครั้ง

“ชอบค่ะ บ้านสวยและน่ารักมาก แถวนี้ก็เงียบ น่าอยู่” ศรีนางสำรวจระเบียงที่ยื่นออกจากริมตลิ่ง มีม้านั่งทำง่ายๆ แต่แข็งแรง ส่วนใต้ชายคามีกล้วยไม้แขวนเรียงรายในกระถางที่ทำจากกาบมะพร้าว ออกดอกบานสะพรั่งต้อนรับเธอ “เงียบๆ แบบนี้ นุ้ยชอบ มีสมาธิอ่านหนังสือค่ะ”

“อาจจะมีเสียงเรือบ้าง” สารินมองไปรอบๆ เขาเจอบ้านหลังนี้โดยบังเอิญ เมื่อรู้ว่าเจ้าของปล่อยเช่าจึงติดต่อขอดู

“นานๆ ทีไม่เป็นไร ถ้าไม่มีเสียงอะไรเลยคงวังเวงพิลึก ข้างๆ นี่ก็วัด” ศรีนางทำท่าขนพองสยองเกล้า จำได้ว่าเดินผ่านเมรุเผาศพ

“กลัวหรือ” สารินมีสีหน้ากังวล เพราะกลางวันศรีนางต้องอยู่คนเดียว

“มัน…เอ่อ…รู้สึกวังเวงนิดหน่อย แต่นุ้ยไม่กลัวผีหรอกนะ”

“กลัวคน?”

“ค่ะ นุ้ยว่าคนน่ากลัวกว่าผี” ศรีนางพูดจากประสบการณ์ ในวัยสิบแปดปีเธอไม่เคยกลัวผี กราบไหว้เสียด้วยซ้ำเมื่อตาสายบูชาผีบรรพบุรุษ มีแต่คนนี่แหละที่จ้องทำร้ายทำลายคนด้วยกันเอง

“น้องนอนในห้อง พี่นอนข้างนอก”

ศรีนางสบตาสารินครู่หนึ่ง ไม่ชินกับบรรยากาศเมื่ออยู่ด้วยกันเพียงลำพังเลยสักครั้ง ค่ำคืนในรั้วบ้านปรียาธรชายหนุ่มหอบหมอนกับผ้าห่มลงไปนอนข้างเตียง โดยให้เหตุผลสั้นๆ ว่า…

เพื่อความสบายใจของเรา

เมื่อสารินใช้คำว่า ‘เรา’ ศรีนางที่ปกติฉลาดหลักแหลมกลับโง่เง่าขึ้นมาทันที คิดไปเองว่าชายหนุ่มไม่อยากใกล้ชิดเธอ ที่ทำไปทุกอย่างเพราะสารินเป็นสุภาพบุรุษ อีกประการคือเธอเป็นเพียงเด็กสาวชาวบ้านที่บังเอิญช่วยชีวิตเขาเท่านั้น

ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ตั้งอยู่บนผลประโยชน์ที่มีร่วมกัน และด้วยเหตุบังเอิญเพราะสถานการณ์พาไป

เนื่องจากสารินเอ่ยปากจัดการแบ่งพื้นที่ด้วยตัวเอง ศรีนางไม่ขัดศรัทธา ได้ครอบครองห้องนอนเพียงคนเดียว เธอรู้สึกหายใจหายคอสะดวก ไม่ต้องระวังตัว ระวังกิริยาเหมือนตอนอาศัยห้องคุณหญิงบัว

ฝ่ายสารินจับจองที่หลับนอนด้านนอก หมายถึงบริเวณรับแขก ซึ่งมีตั่งไม้ขนาดใหญ่ที่เจ้าบ้านทิ้งไว้ให้ เมื่อแบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วนทั้งคู่จึงดูผ่อนคลายและสบายใจ โดยเฉพาะสาริน ชายหนุ่มเผลอยิ้มกับก้าวเล็กๆ ที่ตัวเองเลือก เหนือสิ่งอื่นใดคือได้ดูแลสาวน้อยผู้เป็นเจ้าของชีวิต

“พี่รินอดทนหน่อยนะ นุ้ยขอรบกวน…แค่ปีเดียว”

รอยยิ้มบนใบหน้าสารินหายวับในพริบตา ชายหนุ่มไม่ได้เอื้อนเอ่ยหรือโต้ตอบคำพูดศรีนาง เขาเลี่ยงไปสำรวจประตู หน้าต่าง กลอน บานพับ ห้องน้ำ ห้องครัว และแนวระเบียงที่ยื่นออกจากตลิ่ง ทั้งๆ ที่แสร้งทำตัวยุ่ง ศรีนางยังเดินตามต้อยๆ ไม่ปล่อยให้เขามีเวลาทำใจ ดวงหน้าสวยแปลก น้ำเสียงสดใส กลิ่นแป้งเด็กหอมกรุ่นทำสารินยอมแพ้

“ไม่ต้องลงมา” สารินห้ามระหว่างสำรวจบันไดที่ทอดลงท่าน้ำ แผ่นไม้มีตะไคร่จับ “มันลื่น”

“หน้าฝนนี้ นุ้ยว่าน้ำขึ้นสูงปริ่มระเบียงแน่ๆ” ศรีนางนั่งห้อยขาบนบันไดขั้นแรก เท้าแขนไปด้านหลัง แกว่งเท้าไปมาอย่างสบายใจ

“เราต้องระวังพวกสัตว์เลื้อยคลานหนีน้ำ”

“พี่รินชอบหน้าฝนมั้ย” ศรีนางเอียงคอถาม ไม่ได้สนใจเรื่องที่ชายหนุ่มกังวล ดวงตากลมโตเป็นประกาย จนคนมองตาพร่าใจเต้นแรง ดูเหมือนยิ่งพยายามหักห้ามใจ กลับยิ่งถลำลึกลงไปเรื่อยๆ จนถอนตัวถอนใจไม่ขึ้น

“ชอบหน้า…” น้อง ใบหน้าสารินร้อนผ่าว เก็บคำพูดได้ทัน เกือบเปิดเผยความใจในเสียแล้ว “พี่ชอบปลายฝนต้นหนาว”

“อุ๊ย ฝนตก” ฝนเม็ดใหญ่ตกลงมาทั้งที่แดดจ้า สองหนุ่มสาวหลบฝนใต้ชายคา ศรีนางยื่นใบหน้ามองฟ้าเบื้องบน ส่วนสารินจับจ้องร่างเล็กของเด็กสาวพลางคิดใคร่ครวญ…

นี่อาจจะเป็นเพียงฤดูฝนครั้งเดียวสำหรับทั้งคู่

สารินทอดถอนใจ…ส่งศรีนางถึงฝั่งฝันก็หมดหน้าที่ของเขา

 

ชีวิตในเมืองใหญ่ของสาวน้อยจากชนบทเริ่มเข้ารูปเข้ารอย ศรีนางตั้งหน้าตั้งตาอ่านตำราและฝึกทำข้อสอบเก่า หญิงสาวใช้เวลาอย่างคุ้มค่าทุกวินาที เริ่มจากตื่นนอน เธอเข้าครัวหุงข้าวด้วยหม้อหุงข้าวไฟฟ้า ซึ่งขอร้องให้พี่สอางค์สอนวิธีใช้งานตอนอยู่ที่วังปรียาธร ทำอาหารเช้าง่ายๆ ประเภทต้ม ผัด ทอด เตรียมให้สารินก่อนเขาไปทำงาน และแบ่งส่วนหนึ่งไว้ใส่บาตรพร้อมยายประภา

ทั้งคู่ตกลงใช้คำว่า ‘พี่น้อง’ ในความสัมพันธ์ที่รู้กันสองคน นั่นทำให้ศรีนางสบายใจ มีสมาธิ และมุ่งมั่นกับการอ่านหนังสือ ทว่าเธอไม่ลืมความมีน้ำใจของสาริน ศรีนางมีสมุดหนึ่งเล่ม จดบันทึกว่าสารินใช้จ่ายและให้เงินเธอเท่าไร เพื่อวันข้างหน้าจะได้ตอบแทนน้ำใจยิ่งใหญ่ของเขา

“เตี๋ยวเรือๆ” เสียงไม้พายจ้วงน้ำมาพร้อมกับสำเนียงแปร่งๆ เป็นเอกลักษณ์ของแปะโฮ่ว ชายวัยกลางคนชาวจีนที่พายเรือขายก๋วยเตี๋ยว ศรีนางทิ้งโต๊ะเล็กๆ สำหรับอ่านหนังสือแล้ววิ่งผ่านประตูบานเฟี้ยมไปที่ระเบียง

“เส้นเล็กค่ะแปะ ขอลูกชิ้นเยอะๆ”

“ผัวลื้อล่ะอานุ้ย อีเอาอาไล”

“พี่รินไปทำงานจ้ะ” ถึงตอนนี้คนที่ศรีนางสนิทสนมพูดคุยเป็นประจำคือยายประภาเจ้าของบ้านเช่า และพ่อค้าแม่ค้าที่พายเรือขายของ ใครๆ ก็รู้ว่าเธอกับสารินเป็นสามีภรรยากัน ศรีนางเบาใจไปเปลาะหนึ่งกับสถานะทางสังคม อย่างน้อยหนุ่มๆ ที่มีทีท่าเกี้ยวพาราสีก็หนีหายทุกครั้ง เมื่อรู้ว่าเธอมีสามีแล้ว

ส่วนอาชีพของสารินและเครื่องแบบเท่ๆ ของเขาก็ทำให้สาวๆ ละแวกนี้มองเธอด้วยแววตาไม่เป็นมิตร โดยเฉพาะจิงจู ลูกสาวแปะโฮ่วที่ช่วงหลังเห็นหน้าบ่อยกว่าปกติ

“พี่รินไม่อยู่หรือ” จิงจูถามพลางชะเง้อชะแง้มองเข้าไปในบ้าน “วันนี้วันหยุดไม่ใช่เหรอ”

“ติดภารกิจน่ะ ไปวางพวงมาลาที่อนุสาวรีย์…”

“ว้า อุตส่าห์มา”

“จิงจูมีธุระอะไรกับพี่ริน บอกนุ้ยก็ได้” ศรีนางเชิดคางขึ้นเล็กน้อย ลูกสาวพ่อค้าขายก๋วยเตี๋ยวอ้อร้อจนเธอหมั่นไส้ “นุ้ยเป็นเมียพี่ริน ผัวเมียก็เหมือนคนคนเดียวกัน”

จิงจูมองค้อนศรีนางตาแทบกลับ สะบัดหน้าพรืดพลางพึมพำเป็นภาษาจีน คนฟังหัวเราะน้อยๆ เมื่อพอจะฟังรู้เรื่องอยู่บ้าง ศรีนางจึงพูดลอยๆ แต่ตั้งใจให้จิงจูได้ยิน

“เพราะว่าพี่รินรักนุ้ยไง”

จิงจูทำหน้าเหมือนอมยาขมไว้เต็มปาก ทำท่ากระฟัดกระเฟียด กระทั่งเรือออกจากท่าน้ำ อีกฝ่ายยังชำเลืองมองด้วยหางตา

“พี่รินนี่…” ศรีนางพึมพำคนเดียว “เสน่ห์แรงจริงๆ”

หลังกินก๋วยเตี๋ยวเป็นมื้อเที่ยง ศรีนางกลับไปนั่งประจำโต๊ะ เปิดหน้าต่างรับลมช่วงบ่าย กลิ่นหอมอ่อนของเล็บมือนางลอยมากับลม นานๆ ครั้งจะได้ยินเสียงเรือแล่นผ่าน หญิงสาวเปิดตำราหน้าแล้วหน้าเล่า จดสรุปเนื้อหาใส่สมุด เพราะเป็นคนความจำดีและเรียนรู้เร็ว วิชาที่เน้นการอ่านและความจำเธอจึงทำได้ดี ส่วนวิชาคำนวณอย่างคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมี ศรีนางอ่านทบทวนทฤษฎี เตรียมตัวเรียนกวดวิชาสัปดาห์หน้า

ความเอื้อเฟื้อของเนรัญชรา ศรีนางรับไว้อย่างซาบซึ้ง สองสาวนัดแนะเพื่อติววิชาภาษาอังกฤษวันเดียวกับที่ศรีนางต้องไปเรียนกวดวิชา ส่วนสถานที่คือโต๊ะหินอ่อนใต้ตึกคณะอักษรศาสตร์

‘เรียนสัปดาห์ละสองวัน วันละสองชั่วโมง ว่าแต่นุ้ยไหวหรือเปล่า ไม่หนักไปเหรอ ตอนเช้าเรียนวิชายากๆ พวกนั้น ตอนบ่ายมาติวภาษาอังกฤษอีก’

‘ไหวค่ะพี่รัญ’ สองสาวสนิทสนมกันในเวลารวดเร็ว ศรีนางที่อายุน้อยกว่าสองปี ไม่กล้าเรียกเนรัญชราว่ารัญเฉยๆ อย่างที่เจ้าตัวสั่ง จึงเรียกอีกฝ่ายว่าพี่ ‘นุ้ยจะได้ออกมาทีเดียว จันทร์ถึงศุกร์อยู่บ้านอ่านหนังสือ เสาร์อาทิตย์ออกมากวดวิชา’

‘อ้าว อย่างนี้ก็ไม่ได้ใช้เวลากับพี่รินเลยสิ’ เนรัญชราสงสัย ความสนิทสนมทำให้กล้าถามเรื่องส่วนตัว

‘เอ่อ…กลางคืนก็เจอกัน อยู่ด้วยกันค่ะ’ ศรีนางพูดตามจริง ไม่ได้อธิบายว่าต่างคนต่างอยู่ในมุมของตัวเอง เธออ่านตำราในห้อง ส่วนสารินก็อ่านหนังสือบ้าง แปลเอกสารให้เบนจามินบ้าง แต่คนฟังไม่คิดอย่างนั้น เนรัญชราอมยิ้มกรุ้มกริ่ม พวงแก้มเป็นสีระเรื่อตอนเอ่ยแซวศรีนาง

‘แน่ะ นุ้ยขี้อวด’

คราวนี้เป็นศรีนางที่แก้มแดงก่ำ เสไปคุยเรื่องเรียนกวดวิชาแทน

‘สมัครเรียนแล้วค่ะ นุ้ยตื่นเต้นมาก ไม่เคยเรียนพิเศษมาก่อน กลัวตามเพื่อนไม่ทัน ก็เลยอ่านทฤษฎี ท่องสูตร แล้วก็ฝึกทำแบบทดสอบ’

‘นุ้ยมุ่งมั่นมาก เห็นนุ้ยแล้วรัญมีแรง’

‘พี่รัญหมดแรง?’

‘อืม…เรียกว่าอย่างนั้นก็ได้ บางทีรัญก็ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร’

‘นุ้ยรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร แต่ขาดโอกาสค่ะ’

เนรัญชราพยักหน้าหงึกๆ หลายครั้งที่โลกนี้ไม่ยุติธรรมและไม่สมดุล

 

เสียงไพเราะของท่วงทำนองคุ้นหู ปลุกศรีนางที่เผลอหลับขณะอ่านหนังสือ หญิงสาวรีบลุกเหมือนโดนกระชากวิญญาณ เธอตั้งสติ มองนอกหน้าต่างพบว่าเป็นเวลาเย็นเกือบค่ำ ตอนนั้นเองที่เพิ่งระลึกได้ว่า…ยังไม่ได้ทำกับข้าว!

Oh oh, yea, yea

I love you more than I can say
I’ll love you twice as much tomorrow
Oh love you more than I can say (1)

ภาพที่ศรีนางเห็นคือสารินกำลังถือตะหลิว ข้างกายชายหนุ่มเป็นทรานซิสเตอร์เครื่องเล็กกะทัดรัด เล่นเพลงสากลที่ได้ยินได้ฟังบ่อยๆ ตอนอยู่บ้านปรียาธร เธอเพิ่งมารู้ทีหลังว่าสารินชอบเพลงนี้

“น้องตื่นแล้ว ไปล้างหน้าล้างตาก่อน พี่ทำใกล้เสร็จแล้ว”

“นุ้ยเผลอหลับ” ศรีนางรู้สึกผิด เธอไม่ต้องออกไปทำงาน เพียงอยู่บ้านอ่านหนังสือ ทำงานบ้าน และเตรียมอาหาร แต่กลายเป็นว่าหนังสือก็ไม่ได้อ่าน ปล่อยสารินทำมื้อเย็นทั้งที่เขาเป็นฝ่ายหาเงินมาเลี้ยงดูเธอ

“พักบ้าง อย่าหักโหมเกินไป” สารินส่งยิ้มปลอบใจ “อะไรที่มากไปก็ไม่ดี นุ้ยยังมีเวลา เอาอย่างนี้ดีไหม หลังกินข้าวเย็น เรามาช่วยกันจัดตารางเวลาอ่านหนังสือ เวลานอน เวลาพักผ่อน”

สติรับรู้ของศรีนางยังไม่เต็มร้อย ในหัวได้ยินเสียงสารินสลับกับเพลงโปรดของเขาดังซ้ำไปซ้ำมา…

Oh oh, yea, yea

I miss you more than I can say
Why must my life be filled with sorrow
Oh love you more than I can say

โอ้ ฉันรักเธอเกินจะเอื้อนเอ่ย

ในแสงสีส้มสุกปลั่ง ศรีนางเห็นสิ่งนั้นในดวงตาสาริน แต่สาวน้อยปฏิเสธการรับรู้ เธอสะกดจิตตัวเองให้เชื่อว่า…ตาฝาด

“นุ้ย”

“คะ”

“ล้างหน้าล้างตาแล้วมากินข้าว” สารินสั่งเสียงอ่อน ชายหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อเห็นใบหน้าศรีนางไม่สดชื่น “ปวดหัวหรือ นอนเวลานี้…โบราณว่าผีตากผ้าอ้อม”

ศรีนางหัวเราะคิกตอนได้ยินเรื่องโบร่ำโบราณจากชายหนุ่มผู้รอบรู้ เธอล้างหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วรีบกลับมามองทรานซิสเตอร์เครื่องเล็ก

“พี่รินเอามาจากไหน”

“ซื้อครับ” สารินยิ้มพลางอธิบาย “เงินเดือนออก พี่ก็เลยซื้อมา บ้านเราไม่มีโทรทัศน์ มีทรานซิสเตอร์สักเครื่องไว้ฟังเพลง ฟังข่าว”

“เพลงเพราะ” ศรีนางรู้สึกว่าตัวเองได้รับอิทธิพลรวมทั้งรสนิยมหรูหราขณะอยู่ที่วังปรียาธรมาไม่น้อย อย่างเช่นความชอบและความหลงใหลในเพลงสากล “ถ้าป้ารุ่งได้ยินคงด่าว่านุ้ยดัดจริต กระแดะฟังเพลงฝรั่งทั้งที่ฟังไม่ออก แปลไม่ถูก”

“ดนตรีไม่แบ่งเชื้อชาติ ศาสนา เพศ หรือฐานะ การรับรู้ถึงความไพเราะของเสียงดนตรีเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ ดนตรีเป็นภาษาสากลครับ…ชนใดไม่มีดลตรีกาล ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก”

ศรีนางหัวเราะคิก เมื่อประโยคยาวๆ ของสารินเป็นคำด่าอย่างสุภาพชน “แล้วพี่รินชอบเพลงของใครที่สุด”

“อืม…พี่ชอบบีจีส์ เดอะคาร์เพนเตอร์ คุณชายชอบวิตนีย์ ฮิวสตัน แอร์ซัปพลาย ส่วนคุณเบนก็…เดอะบีทเทิล” สารินนิ่งไปหนึ่งอึดใจ เมื่อประทับใจเนื้อร้องและทำนองของบทเพลงหนึ่ง “ตอนนี้เพลงที่พี่ชอบมากๆ เป็นของจอร์จ เบนสัน เพิ่งออกเมื่อปีที่แล้ว”

“เพลงอะไรคะ”

“Nothing’s Gonna Change My Love for You…ไม่มีสิ่งไหนเปลี่ยนแปลงความรักที่ฉันมีต่อเธอ”

เงียบกันไปทั้งคู่ แก้มศรีนางร้อนวูบ เธอช้อนตามองสาริน ค้นหาความหมายที่ซ่อนอยู่ในชื่อเพลง แต่จังหวะเวลานั้นแสงสุดท้ายเลือนลับดับหายพอดี ทิ้งไว้เพียงบรรยากาศสลัวพร่า แม้พยายามเพ่งพินิจ ทว่าสาวน้อยไม่มีโอกาสได้เห็นแววตาวิบวับกับความชัดเจนจริงจังของอีกฝ่าย

“Gonna…ย่อมาจาก Going to…ใช่ไหมคะ” ศรีนางเลี่ยงไปถามไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ

“ใช่ครับ ฝรั่งนิยมลด หด และย่อคำเพื่อความลื่นไหล ปกติจะใช้ในภาษาพูดมากกว่าภาษาเขียน”

“เรียนภาษาอังกฤษจากเพลงก็ดีเหมือนกัน” ศรีนางเปรย มองทรานซิสเตอร์เครื่องเล็กตาเป็นประกาย

“ฟังเยอะๆ หูมันกระดิก” สารินหัวเราะ “หมายถึงคุ้นชิน ความจริงทักษะภาษาสี่อย่างต้องเรียนรู้ไปพร้อมๆ กันทั้งฟัง พูด อ่าน เขียน แต่ปัญหาของนักเรียนส่วนใหญ่คือไม่รู้ว่าต้องฟังจากไหนและไม่รู้จะพูดกับใคร ยังดีที่คุณเบนจะอยู่ที่นี่อีกพักใหญ่ มีเวลาให้ฝึกฟังฝึกพูดกับเจ้าของภาษา น้องนุ้ยโชคดีมากรู้ไหม”

“ค่ะ นุ้ยโชคดี” จู่ๆ ศรีนางก็ตระหนักว่าเธอโชคดีจริงๆ ที่มีสาริน

 

เชิงอรรถ :

(1) เพลง More Than I Can Say ศิลปิน Leo Sayer

 



Don`t copy text!