ศรีนาง ตอนที่ 7 : น้ำข้าว

ศรีนาง ตอนที่ 7 : น้ำข้าว

โดย : เมษาริน

Loading

ศรีนาง โดย เมษาริน นวนิยายที่อ่านเอานำมาให้ทุกคนได้อ่านออนไลน์ทาง anowl.co กับชะตาชีวิตของ ศรีนาง สาวชาวบ้านผู้อาภัพเพราะบิดามารดาจากไปด้วยโรคร้าย และนั่นเป็นแรงผลักดันให้เธออยากเป็นหมอ แต่เธอขาดก็คือโอกาสดีๆ นั้น กระทั่งโชคชะตาชักนำให้เธอช่วยชีวิตนายทหารหนุ่มชาวกรุง ผู้ทำให้ชีวิตของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

“ตาจ๋า ทำไมไม่ยังฟื้นสักที หลายวันแล้ว” ศรีนางกระซิบถามตาสายเสียงเบา วิตกกังวลกับอาการสาริน เจ็ดวันเต็มๆ ที่ชายหนุ่มยังไม่ได้สติ วันแรกๆ เขามีไข้สูง หนาวสั่น เพ้อ พูดพึมพำฟังไม่รู้เรื่อง

“รอดมาได้ถึงตอนนี้ก็ไม่ตายแล้ว” ตาสายใช้กรรไกรคีบหมากเป็นชิ้นเล็กๆ พอดีคำแล้วใส่ในเชี่ยนหมาก “ที่จริงก็ตายไปแล้ว แม่นบ่” คำหลังผู้สูงวัยถามเป็นภาษาบ้านเกิด

“นุ้ย…ไม่รู้” สาวน้อยนึกย้อนไปเมื่อเจ็ดวันก่อน ศรีนางอธิษฐานวิงวอนขอชีวิตสารินจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การที่ชายหนุ่มหายใจได้อีกครั้งนับว่าเป็นปาฏิหาริย์ ตอนที่เธอกับตาศักดิ์ช่วยกันแบกร่างเย็นเฉียบออกจากกอไผ่ ไม่มีใครเชื่อว่าชายที่โดนงูพิษกัดจะรอดชีวิตมาถึงตอนนี้

ตอนนั้นศรีนางขอให้ตาสายช่วยชีวิตสาริน เล่าเร็วๆ ว่าเธอรู้จักนายทหารหนุ่มคนนี้ที่เขื่อน สารินสุภาพ เป็นคนที่เปี่ยมด้วยความรู้ความสามารถ แสนดี และมีน้ำใจ

‘ไปขุดว่านมานุ้ย’ ย่ำรุ่งเมื่อเจ็ดวันก่อน ตาสายสั่งความหลานสาวหลังรับคนแปลกหน้าเป็นคนไข้ ฝ่ายยายจันทร์ไม่เห็นด้วย ไม่พอใจที่ศรีนางพาชายปริศนาจะตายแหล่ไม่ตายแหล่เข้าบ้าน แต่เมื่อรู้ว่าคมสันต์ ลูกชายกำนันเกษมโดนฟ้าผ่าอาการสาหัส จึงรีบร้อนลากลูกสาวคนโตไปเยี่ยมถึงโรงพยาบาล ไม่มีเวลาใส่ใจศรีนางกับคนไข้ใหม่

ศรีนางเบาใจที่ยายกับป้าไม่อยู่ หลังได้รับคำสั่งจากตาสาย เธอลงไปที่สวนหลังบ้าน รอบๆ จอมปลวกใหญ่ปลูกสมุนไพรที่มีสรรพคุณแก้พิษหลายขนาน เด็กสาวใช้พลั่วขุดว่านขุนแผนสะกดทัพ ซึ่งดอกสีชมพูของมันกำลังเบ่งบาน ศรีนางคล่องแคล่วว่องไว ทำอย่างนี้นับครั้งไม่ถ้วน เธอรู้ดีว่าต้องแข่งกับเวลา

หลังขุดว่าน ล้างหัวที่ฝังในดินลักษณะคล้ายหัวหอมจนสะอาด ก่อนขึ้นบนเรือนใหญ่ เด็กสาววิ่งปรู๊ดไปที่เรือนข้าว ควานหาเงินที่ซ่อนไว้ นับเหรียญในมือได้สามบาท เด็ดดอกดาวเรืองมาสามดอก แล้ววิ่งขึ้นเรือน

‘เอาตังค์นุ้ยตั้งราด (1) ’ เมื่อสารินไม่มีญาติ ศรีนางจึงรับหน้าที่นั้น การตั้งราดคือพิธีไหว้ครูหรือบูชาครู ตาสายไหว้ครูอย่างง่ายๆ ใช้หมากพลูสามคำ ดอกไม้สามดอก ธูปเทียน และเงินตามกำลังศรัทธา ใส่ทั้งหมดในจานสังกะสีสีขาว โดยราดจะทำไว้ตั้งแต่วันแรกของการรักษา คล้ายเป็นการผูกสัญญาระหว่างหมองูกับคนไข้ การรักษาในแบบที่ใช้ทั้งสมุนไพร คาถา ความเชื่อ และความศรัทธา

ตาสายจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ตามด้วยบริกรรมคาถาที่ร่ำเรียนมาจากพระอาจารย์ ระหว่างนั้นศรีนางฝนว่านขุนแผนสะกดทัพใส่ชามใบเล็ก เติมน้ำมะนาว เหล้าขาว สุดท้ายคือฝนรากโลดทะนงแดงใส่ไปเป็นอย่างสุดท้าย โดยรากโลดทะนงแดงตาสายได้มาจากเพื่อนสนิทซึ่งเป็นคนจังหวัดสุรินทร์

หมองูใช้สำลีชุบยาที่หลานสาวเตรียมไว้ให้จนชุ่ม ขณะที่โปะยาบนแผลก็พึมพำบริกรรมคาถา ครู่เดียวเท่านั้น ผิวขาวซีดและเย็นเฉียบของสารินก็เริ่มอุ่น นายทหารหนุ่มเริ่มหายใจเข้าออกช้าๆ เป็นสัญญาณว่ารอดพ้นจากความตาย

‘ต้มรางจืดให้กิน’ ตาสายสั่งหลานสาวหลังใส่ยาเสร็จ

‘จ้ะ ตา’ ศรีนางรับคำ เธอทรุดนั่งง่ายๆ บนพื้นกระดานริมระเบียง มองสารินที่ใบหน้าไม่ได้ขาวซีดเหมือนคนตายอีกแล้ว แม้ยังไม่ได้สติ แต่เธอก็เบาใจที่ชายหนุ่มอยู่ในความดูแลของตาสาย

‘นุ้ยแลไว้ให้ดี คอยเปลี่ยนสำลี เช็ดตัว ป้อนข้าว ป้อนยา’ ยาของตาสายคือสมุนไพรขับพิษ ส่วนข้าว ศรีนางไม่มั่นใจ

‘กินข้าวได้เหรอตา’

‘น้ำข้าว’

หนึ่งสัปดาห์เต็มๆ ที่สารินไม่ได้สติ แผลบนหลังเท้าอักเสบ บวมเป่งจนแทบปริ ตาสายบอกว่าชายหนุ่มโดนงูเห่ากัด พิษร้ายแรงกว่างูชนิดอื่น หน้าที่ของศรีนางนอกเหนือจากเปลี่ยนดอกไม้ในราด ใส่ยา ป้อนยา ป้อนน้ำข้าว คือต้มใบมะละกอตัวผู้ นำน้ำที่ได้มาเช็ดทำความสะอาดแผลบนหลังเท้า

เพราะยังไม่ได้สติและได้กินเพียงน้ำข้าวกับรางจืด ชายหนุ่มจึงซูบผอม ผมเริ่มยาว มีหนวดเคราขึ้นหร็อมแหร็มบนใบหน้าขาวสะอาด

โชคดีของสารินที่ยายจันทร์กับป้ารุ่งไม่อยู่บ้าน หลังไปเยี่ยมคมสันต์ถึงโรงพยาบาล ทั้งคู่ยังบวชชีเป็นเพื่อนนางพะยอม ที่ตัดสินใจโกนหัวรักษาศีลแปด หลังลูกชายรอดจากฟ้าผ่า แต่อาการสาหัสต้องรักษาแผลไฟไหม้รุนแรง หมอบอกว่าต้องอยู่โรงพยาบาลอีกพักใหญ่

เพราะได้รับคำสั่งจากตาสายให้ดูแลสาริน ศรีนางจึงย้ายจากเรือนข้าวมานอนนอกระเบียงบนเรือนใหญ่ เพื่อดูแลชายหนุ่มอย่างใกล้ชิดประหนึ่งญาติ

กระทั่งย่างเข้าเช้าวันที่แปด ขณะที่ศรีนางกำลังป้อนน้ำข้าวใส่ปากคนป่วย เสียงอืออาดังลอดมาจากลำคอนายทหารผู้โชคร้าย

“พี่…พี่ริน” ศรีนางเอียงหูฟัง แต่เสียงนั้นเบามาก เด็กสาวจึงค่อยๆ ป้อนน้ำข้าวทีละนิด เพื่อไม่ให้คนป่วยสำลัก จู่ๆ คนที่นอนนิ่งถึงเจ็ดวันเต็มก็ค่อยๆ ลืมตา

ภาพตรงหน้าพร่าเบลอจนสารินต้องหลับตาลงอีกครั้ง เขาจำไม่ได้ว่าหลับไปนานแค่ไหน ความทรงจำกึ่งจริงกึ่งฝันทำให้ชายหนุ่มเรียกหาแม่น้ำเสียงแหบแห้ง

“คุณ…แม่” สารินรวบแรงเรี่ยวแรงกุมมือคนข้างกาย ดวงหน้าอ่อนใสของใครบางคนปรากฏแทนที่ใบหน้ามารดา ชายหนุ่มชะงัก รีบปล่อยมือ คิดไม่ออกว่าหญิงสาวตรงหน้าเป็นใคร

“โอยยยย พี่รินตื่นแล้ว…นึกว่าไม่รอด เกือบตายแล้วรู้ไหม”

“ตะ…ตาย?”

“อืม นุ้ยคิดว่าพี่ไม่รอด พี่รินมาที่นี่ได้ยังไง ทำอีท่าไหนถึงโดนงูกัด แล้วทำไมถึงอยู่ในกอไผ่ได้ล่ะ” ศรีนางดีใจจนถามไม่หยุด แต่สารินไม่ตอบ ดูเหมือนว่าเขาฟังไม่ทัน

“คุณ เป็น ใคร”

“อ้าว จำไม่ได้เหรอ” คนป้อนข้าวป้อนน้ำเผลอทำปากยื่น กระแทกถ้วยใส่น้ำข้าวจนของเหลวสีขาวขุ่นกระฉอกเลอะเทอะ ครู่เดียวเด็กสาวก็ตระหนักว่าสารินเพิ่งฟื้น หลังก้าวขาข้างหนึ่งเข้าไปในโลกหลังความตาย เธอไม่แน่ใจว่าสติสตังชายหนุ่มยังอยู่ครบหรือเปล่า “พี่นอนพักก่อน เพิ่งจะเช้า สายๆ กินข้าวต้มนะ เดี๋ยวนุ้ยทำให้ ใส่ไข่ให้ด้วย แม่ไก่ไข่พวกนี้นุ้ยเลี้ยงเอง”

สารินหลับตา ฟังเสียงแจ้วๆ ของเด็กสาวด้วยความรู้สึกคุ้นเคย คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน ชายหนุ่มรู้สึกเหนื่อย ไร้เรี่ยวแรง ปลายเท้าร้าวระบมและปวดตุบๆ จนเผลอนิ่วหน้า

“พี่เจ็บเหรอ”

สารินพยักหน้าทั้งที่ยังหลับตา

“งั้นกินยาแก้ปวดก่อนนะ” ศรีนางประคองศีรษะชายหนุ่ม ฉีกซองยาทัมใจแล้วกรอกยาสีขาวใส่ปากอีกฝ่าย ตามด้วยน้ำฝนเย็นฉ่ำ “เดี๋ยวนุ้ยเปลี่ยนยาให้ แผลพี่อักเสบมาก ต้องผ่าเอาหนองออก แต่รอพี่แข็งแรงอีกหน่อย”

สารินไม่เข้าใจว่าเด็กสาวพูดเรื่องอะไร สภาพร่างกาย จิตใจ และการทำงานของสมองเชื่องช้าไปหมด หลังได้รับแอสไพรินก็หลับไปอีกครั้ง คราวนี้ชายหนุ่มไม่ฝันเห็นบัวในบึงอีกแล้ว

 

สองวันต่อมาสารินที่รอดจากความตาย สามารถช่วยเหลือตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาหลานสาวตาสาย เมื่อได้รับสารอาหาร ร่างกายได้รับการฟื้นฟู สมองจึงกลับมาทำงานเป็นปกติ ตอนนี้ชายหนุ่มจำได้ว่าศรีนางเป็นเด็กสาวที่ร้านขายของชำกิ่งกาญจน์

“ถ้าไม่ได้น้องนุ้ย พี่คงตายไปแล้ว” แววตาคนป่วยสดใส ใบหน้าก็เริ่มมีสีสัน ไม่ซีดเซียวเหมือนหลายวันก่อน เมื่อรู้ว่าเกิดอะไรกับตัวเอง สารินสำนึกบุญคุณสองคนที่ช่วยชีวิต

“ตาต่างหากที่ช่วยพี่ นุ้ยก็แค่ลูกมือ” ศรีนางพูดพลางเปลี่ยนสำลีโปะยาสมานแผลให้ชายหนุ่ม

“แต่น้องเป็นคนเจอพี่ในกอไผ่”

“บังเอิญน่ะค่ะ ใครเห็นก็ต้องช่วยทั้งนั้น”

“ขอบคุณครับ” สารินส่งยิ้มบางๆ ให้ศรีนาง น่าแปลกที่ใจเต้นไม่เป็นจังหวะยามมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของสาวน้อยตาคม

“ขอบคุณอย่างเดียวไม่ได้นะ พี่รินต้องคืนเงินให้นุ้ยด้วย ใส่ราดไปสามบาท ค่าครู” เมื่ออีกฝ่ายเริ่มพูดคุยได้ เจ้าของเงินก็รีบทวงทันที

“ครับ แต่ตอนนี้พี่ไม่มีอะไรติดตัวเลย” สารินเกาท้ายทอยแก้เก้อ ตอนนั้นเองที่ระลึกได้ว่ามีสร้อยใส่ป้ายชื่อกับแหวนของแม่ จู่ๆ สารินก็นึกถึงคำพูดมารดา…

หลังจากนี้รินจะมีชีวิตใหม่ พ่อกับแม่ไม่ใช่เจ้าของชีวิตรินอีกต่อไปแล้ว

ใช่! เขามีชีวิตใหม่และคนที่ให้ชีวิตคือเธอคนนี้…ศรีนาง

“แหวนแม่พี่ครับ มั่นใจว่าราคามากกว่าสามบาทแน่ๆ พี่ให้นุ้ย”

“โธ่ ไม่เอาหรอก นุ้ยไม่ได้หน้าเงินนะ” ศรีนางหัวเราะน้อยๆ เมื่อเห็นสารินหน้าเจื่อนที่โดนปฏิเสธ “นุ้ยช่วยพี่รินไม่ได้หวังอะไรเลย ตอนเห็นหน้าชัดๆ ว่าเป็นพี่ นุ้ยตกใจเกือบตาย”

“ไม่รู้จะตอบแทนยังไง อะไรที่พี่ทำเพื่อน้องนุ้ยได้ พี่จะทำ”

ศรีนางชะงัก ในใจแปลกแปร่งพิกล คล้ายว่าเขากำลังให้คำสัญญา “แล้วพี่รินมาทำอะไรที่นี่” เธอเปลี่ยนเรื่องคุย

สารินส่ายหน้า ความทรงจำขาดหาย ไม่ปะติดปะต่อ จำได้ว่ามาทำภารกิจให้บิดา นั่งรถผ่านน้ำตกหัวโค้ง วัดที่อยู่บนเนิน พระจันทร์เกือบเต็มดวง สระแก้ว และสะพานไม้ เหตุการณ์หลังจากนั้นเป็นปริศนา สารินมองเห็นเพียงความมืด

“จำไม่ได้ครับ แต่จำได้ว่าตื่นมาเจอน้อง พี่เป็นหนี้น้องนุ้ย”

“ก็บอกแล้วไง ไม่ได้หวังอะไรจริงๆ” ศรีนางกัดริมฝีปาก เมื่อจู่ๆ ความคิดบางอย่างพลันสว่างวาบ เป็นเส้นทางที่เธอปรารถนาใฝ่ฝัน แต่สำนึกด้านดีฉุดรั้งความคิดบ้าระห่ำ “อ้อ นุ้ยพยายามติดต่อญาติพี่ริน แต่ติดต่อใครไม่ได้เลย พี่กิ่งบอกว่าคุณเบนกลับกรุงเทพไปแล้ว ที่เขื่อนไม่มีใครรู้ว่าพ่อแม่พี่เป็นใคร บ้านอยู่ไหน”

“พี่รบกวนน้องนุ้ยอีกอย่างได้ไหมครับ” คราวนี้น้ำเสียงสารินจริงจัง

“คะ? ได้ค่ะ” ศรีนางเอียงศีรษะ รอฟังตาแป๋ว

“พี่ขออยู่ที่นี่อีกสักพักได้ไหม เรื่องญาติ…เอ่อ…ไม่จำเป็นต้องติดต่อใคร”

“อ้าว ทำไมคะ แม่พี่เป็นห่วงแย่” ศรีนางเผลอมองแหวนเงินเรียบๆ บนลำคอชายหนุ่ม ตอนสารินเพ้อเพราะพิษไข้ คำเดียวที่ฟังออกคือเขาเรียกหาแม่

“แม่พี่เสียนานแล้วครับ”

ท้องฟ้าด้านนอกสดใสเจิดจ้า แต่บนระเบียงบ้านกลับอึมครึม บรรยากาศของสองหนุ่มสาวทั้งเหงาทั้งเศร้า

“พ่อพี่ล่ะ”

สารินไม่ตอบในทันที ชายหนุ่มจับป้ายชื่อบนลำคอ เรื่องเดียวที่เหมือนพ่อมีแค่อาชีพเท่านั้น “พ่อมีครอบครัวใหม่ พี่มีน้องต่างแม่อีกสามคน”

“ที่นี่ไม่ใช่บ้านนุ้ย” ศรีนางชี้ให้สารินเห็นสิ่งปลูกสร้างเล็กๆ ไม่ไกลจากเรือนหลังนี้ “ปกตินุ้ยนอนที่เรือนข้าว บ้านนี้เป็นของแม่เฒ่า”

“เรือนข้าว?”

“ยุ้งค่ะ แต่ก่อนเก็บข้าวเปลือกไว้ในนั้น แม่ของนุ้ยเป็นวัณโรค ใครๆ ก็รังเกียจเราสองคนเลยไปอยู่ที่นั่นสองคน หลังแม่ตาย นุ้ยก็อยู่คนเดียว”

หัวคิ้วสารินย่นเข้าหากัน ปล่อยเด็กสาววัยกำลังโตอยู่คนเดียวอย่างนั้นได้อย่างไร จู่ๆ ความทรงจำบางอย่างก็สว่างวาบในหัว ผู้ชายคนหนึ่งยืนกลางสะพาน แสงฟ้าแลบ เสียงฟ้าร้อง กลิ่นไหม้ สายน้ำเย็นเฉียบ เหตุการณ์ดำเนินไปอย่างไรเขาจำไม่ได้ ทว่าความรู้สึกคือไม่พอใจอย่างรุนแรง…โกรธ ใช่เขาโกรธ แต่เพราะอะไรเล่า สารินพยายามคิด ไม่รู้ว่าใบหน้าขาวสะอาดเปลี่ยนเป็นสีเข้มด้วยแรงอารมณ์

“หน้ายุ่งเชียว พี่รินเจ็บเหรอจ๊ะ ขอโทษค่ะ นุ้ยคงมือหนักไปหน่อย”

“อยู่ที่นั่นคนเดียว…อันตราย” สารินสูดลมหายใจช้าๆ เพื่อระงับอารมณ์ความรู้สึกซึ่งไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร “ทำไมน้องไม่มาอยู่บนนี้”

“แม่เฒ่า…เอ่อ…ดุนุ้ย ป้ารุ่งก็ไม่ชอบนุ้ย อยู่เรือนข้าวก็ดีค่ะ สบายใจ” ศรีนางโกหก ตั้งแต่โดนบังคับให้หมั้นหมายกับคมสันต์ หนังสือเรียนถูกเผา เธอไม่เคยสบายใจ ไม่มีความสุขอีกเลย

“พี่ยังไม่เคยเจอแม่เฒ่ากับป้ารุ่ง”

“บวชชีค่ะ อีกไม่กี่วันคงสึก ถ้าแม่เฒ่ากลับมา นุ้ยต้องกลับไปนอนที่เรือนข้าวเหมือนเดิม”

“แล้วพี่ล่ะ” สารินถามทันที อาการทางกายดีขึ้นทุกวันเพราะได้ศรีนางดูแล เพียงแค่คิดว่าไม่เห็นดวงหน้าจิ้มลิ้มสวยแปลกตาจิตใจพลันห่อเหี่ยว

“พี่รินเป็นคนไข้ แม่เฒ่าไม่ยุ่งวุ่นวายกับคนไข้ของตาค่ะ”

“แต่พี่ไม่มีเงินจ่ายค่ารักษา”

“ตาไม่คิดเงินค่ะ ถ้าอยากให้ก็แล้วแต่ศรัทธา ปกติจะก็ใส่ในราด”

“แต่พี่อยู่ที่นี่หลายวันแล้ว…ข้าว น้ำ ยา”

“โธ่…กินแค่น้ำข้าวกับรางจืด ไม่ต้องซื้อสักหน่อย” ศรีนางบอกพลางหัวเราะคิกๆ

“ใจดีจัง ใจดีมาก” สารินส่งยิ้มกว้างให้สาวน้อยตาคม “น้องนุ้ยยังอยากเรียนภาษาอังกฤษหรือเปล่า พี่สอนได้นะ ถึงพี่ยังเดินไม่สะดวกแต่ก็ลุกนั่งได้แล้ว”

“สมุดหนังสือของนุ้ย…” ศรีนางก้มหน้าซ่อนแววตาผิดหวัง “ป้ารุ่งเผาหมดแล้ว”

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมต้องเผาหนังสือ” หัวคิ้วเข้มขมวดมุ่น “เล่าให้พี่ฟังได้ไหมครับ”

น้ำเสียงอ่อนโยนเข้าอกเข้าใจทำให้ศรีนางเกิดความรู้สึกไว้วางใจ รวมกับลักษณะสุภาพเรียบร้อยใจดี หญิงสาวจึงวางสารินในตำแหน่งปลอดภัย…พี่ชาย

“แม่เฒ่ากับป้ารุ่งจะยกนุ้ยให้พี่สันต์ ลูกกำนันเกษม คนที่โดนฟ้าผ่าตรงสะพานน่ะค่ะ แต่นุ้ยไม่ยอม หนังสือเรียนเป็นของรักของหวงของนุ้ย เขารู้…ทำลายของรัก เป็นวิธีสั่งสอนนุ้ยได้สะใจที่สุด”

“ใจร้ายมาก” สารินวิจารณ์ “น้องนุ้ยอยากเรียนต่อใช่ไหม”

ศรีนางพยักหน้า ตอนพูดถึงหนังสือเด็กสาวน้ำตาคลอเจียนหยด ความคับแค้นเสียใจแน่นอยู่ในอก เธอไม่เคยเล่าให้ใครฟัง เมื่อได้ระบายจึงรู้สึกดี แต่กลั้นน้ำตาไม่ไหว ปลดปล่อยความอึดอัดใจเป็นน้ำตาหยดแล้วหยดเล่า

ภาพนั้นทำสารินใจอ่อนยวบ เมื่อตัดสินใจยกชีวิตให้ศรีนาง ชายหนุ่มใช้ปลายนิ้วซับน้ำตาให้สาวน้อยผู้มีชะตาอาภัพ

“ไม่รู้ว่าพี่พูดแล้วน้องนุ้ยจะเชื่อหรือเปล่า…ที่บอกว่าพี่เป็นหนี้น้อง พี่หมายความอย่างนั้นจริงๆ พี่รินคนนี้ยกทั้งชีวิตให้น้องนุ้ย”

ความเงียบปกคลุมสองหนุ่มสาว ศรีนางครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยถามเพราะไม่มั่นใจ “จริงเหรอคะ”

“ครับ”

“ถ้าเกิดว่า…” ศรีนางกัดริมฝีปากล่าง เป็นกิริยาที่ชอบทำเวลาใช้ความคิดหรือตัดสินใจเรื่องสำคัญ “…นุ้ยเผลอทำร้ายจิตใจพี่ริน”

“ยินดีครับ” แววตาสารินประกาศความจริงใจ

ศรีนางสบสายตาอ่อนโยนคู่นั้น ไม่อยากเอาเปรียบคนดีอย่างสาริน ในชีวิตเธอมีคนหวังดีและจริงใจเพียงหยิบมือ เพราะฉะนั้นศรีนางจะเก็บคนเหล่านี้ไว้อย่างดี ไม่ทำร้าย ทรยศ หรือหลอกลวง

ทว่า อนาคตคือความไม่แน่นอน เด็กสาวมีความจำเป็นต้อง ‘เห็นแก่ตัว’

 

เชิงอรรถ :

(1) ราด สันนิษฐานว่าลดเสียงมาจากคำว่า คราด ในกฎหมายตราสามดวง ซึ่งหมายถึงคู่ความต้องจัดหาเงินและด้ายใส่คราดตั้งในพิธี ในภาษาใต้ ‘ราด’ ใช้กับหญิงที่กำลังคลอดบุตร บ้างก็หมายถึงค่าแสดงมหรสพ ในที่นี้หมายถึงค่าครู (โดย อาจารย์ล้อม เพ็งแก้ว)

 



Don`t copy text!