แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 10 : หอตะวันตก

แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 10 : หอตะวันตก

โดย : ดาราวดี

Loading

แสนฟ้าพันธุ์คำ โดย ดาราวดี ผลงานจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 4 เรื่องราวของสาวชาวเหนือที่เกิดในครอบครัวชนบทที่ยากจน ทำให้เธอต้องตกอยู่ภายใต้สังคมปิตาธิปไตยและการตกเขียวมนุษย์ หากแต่เธอกลับยืนหยัดถึงสิทธิในการมีชีวิตของตนเอง “แสนฟ้าพันธุ์คำ” นวนิยายที่เขียนจากเค้าโครงชีวิตจริงอีกหนึ่งเรื่องที่อ่านได้ใน anowl.co

ขบวนรถยนต์วิ่งออกจากตัวเมืองหมอกใหม่ตั้งแต่ตะวันยังไม่ทันรุ่งสาง เพื่อเดินทางมุ่งหน้าสู่ ‘เมืองแสนฟ้า’ ที่อยู่ห่างออกไปเกือบสองร้อยห้าสิบไมล์ ตลอดทั้งวัน ขบวนรถจึงต้องวิ่งสลับจอดพักระหว่างผ่านเขตเมืองน้ำจ๋าง ลายค่าและเมืองหนอง กว่าจะถึงจุดหมายปลายทางก็กินเวลาหลายชั่วโมง กระทั่งล่วงเลยเข้าสู่ช่วงเย็นย่ำของวัน

‘แสนฟ้า’ นี้เป็นเมืองใหญ่ มั่งคั่งและทันสมัยกว่าเมืองหมอกใหม่หลายเท่านัก เจ้าผู้ครองเมืองจึงมีฐานะเป็น ‘เจ้าฟ้าหลวง’ ปกครองไพร่ฟ้าชาวเมืองที่เป็นทั้งชาวไทพื้นเมือง ชนชาติพันธุ์และชาวต่างชาติต่างศาสนา ‘เมืองแผ่นฟ้าทั้งแสนผืนแห่งนี้’ ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองมากที่สุดเมืองหนึ่ง ในบรรดาสามสิบสี่หัวเมืองของไทคำหลวง เป็นหนึ่งใน ‘จตุนคร’ หัวเมืองเอกทั้งสี่ของรัฐ แสนฟ้า เขมรัฐ ตวนตี และยะปันนา

เมื่อรถยนต์พระที่นั่งของเจ้านายซึ่งอยู่ในการคุ้มกันของขบวนรถจี๊ปทหารองครักษ์ขับผ่านเข้ามา เหล่าทหารยามที่ยืนรักษาการณ์อยู่ตรงป้อมปราการหน้าเขตพระราชฐาน ก็รีบยืนตรงเพื่อถวายความเคารพ และเรียบอาวุธลงข้างกายอย่างพร้อมเพรียง ก่อนขบวนเสด็จจะมุ่งหน้าเข้าไปในบริเวณเขตหอหลวง ซึ่งเป็นถิ่นที่พำนักของเจ้าฟ้าและบรรดาพระญาติพระวงศ์ อันเป็นเขตหวงห้ามที่ประชาชนทั่วไปจะไม่สามารถเข้าถึงได้

ตลอดสองข้างทางในหอหลวงเต็มไปด้วยเหล่าคนงานมากมายที่กำลังถางหญ้าในสนาม บ้างกำลังตัดแต่งกิ่งไม้ในวนอุทยานที่จัดเป็นสวนแบบสไตล์บริติช การ์เดน คนงานและข้ารับใช้มีให้เห็นอยู่ทั่วทุกแห่งหน โดยเฉพาะตำหนักหลังใหญ่ขนาดสองชั้นอันเป็นที่พำนักของเจ้าฟ้าหลวง หรือที่เรียกกันว่า ‘หอคำ’ หอคำรายล้อมไปด้วยสถานที่สำคัญ ทั้งหมู่อาคารตำหนักของเหล่าชายา บุตรธิดา พระบรมวงศ์ พระคลังหลวง ท้องพระโรงและหอพระ

รถยนต์ทั้งหมดวิ่งปราดเข้ามาจอดอยู่ภายในเขตรั้วของ ‘หอตะวันตก’ ซึ่งเป็นตำหนักที่ประทับของเจ้าสอาดองค์ ชายาองค์ที่สามของเจ้าฟ้า

…เรือนปั้นหยายื่นมุขแปดเหลี่ยม มุงหลังคากระเบื้อง ตั้งเด่นเป็นเรือนประธานท่ามกลางหมู่เรือนบริวาร ตัวเรือนมีลักษณะสองชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้ มีบันไดทางขึ้นถึงสองข้าง ตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมไทคำหลวงร่วมสมัย ตลอดแนวรั้วเต็มไปด้วยเถาเครือพวงแสดที่กำลังออกดอกบานสะพรั่ง ส่งกลิ่นหอมเจือจางอ่อนๆ เข้ากันดีกับอากาศหนาวเย็นของบ้านเมืองที่ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขารายล้อมแห่งนี้

ทันทีที่เห็นรถยนต์พระที่นั่งยี่ห้อเมอร์เซเดสดับเครื่องจอดสนิท ดรุณีวัยแรกรุ่นในชุดนักเรียนคอนแวนต์ก็รีบวิ่งลงมาจากชั้นสอง มายืนต้อนรับอยู่ร่วมกับเหล่าข้าตำหนักคนอื่นๆ รอจนกระทั่งทหารมหาดเล็กเปิดประตูให้คนในรถก้าวลงมา

“เจ้าแม่ เจ้าสิงห์…” คนรอด้วยใจจดจ่อรีบพุ่งตัวเข้าไปสวมกอดพระมารดาและอนุชาด้วยความคิดถึงอย่างรวดเร็ว “ดี…ดีใจเหลือเกินที่พวกท่านกลับมาซะที ปะ…ปล่อยข้าเฝ้าตำหนักคนเดียวมาหลายวันแล้วหนา ใจถึงข้า ใจถึงข้า (คิดถึง)”

คนถูกทิ้งให้เฝ้าตำหนักคนเดียวหัวเราะร่วนด้วยความดีใจ ทั้งกอดและหอมทั้งสองไปด้วยเหมือนกอดหอมตุ๊กตา หากผู้เป็นอนุชาที่อยู่ในชุดแต่งกายลำลองกลับมีท่าทีขะเขินเมื่อถูกหอมต่อหน้าธารกำนัล จึงพยายามเบี่ยงกายให้หลุดออกจากการกกกอดที่แสนอึดอัดของพระพี่นาง

“อะ…อะไรกันเจ้าสิงห์ ไปเที่ยวมาตั้งหลายวัน กะ…กะแค่พี่นางจะกอดให้ชื่นใจเสียหน่อย ทำเป็นเล่นตัวไปได้”

“รู้ว่าพี่นางคิดถึง แต่ข้าโตเป็นหนุ่มแล้ว จะมากอดหอมกันเหมือนเป็นเด็กๆ ได้อย่างไร”

“ถะ…ถึงจะโตเป็นหนุ่ม แต่ก็ยังเป็นน้องชายของพี่นางนะ ไยถึงหวงตัวดีทะ…แท้นัก”

ผู้เป็นพระพี่นางทรงมองค้อนแววตาเอาเรื่อง ก่อนจะทรงหันมายิ้มแป้นและโอบกอดพระมารดาของท่านเอาไว้แทน ทรงกล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อน คิดถึง

“กะ…กอดเจ้าแม่แทนก็ได้ เจ้าสิงห์ไชยทำเล่นตัวเหลือเกิน สะ…สงสัยกลัวทองคำจะกร่อน”

“เจ้าปลา บ่ดีมัวแต่ล้อเล่นกับน้องมากนักเลยน่า หันไปใส่ใจเจ้าลุงกับเจ้าป้าเสียหน่อยเถอะ นู้น…” เจ้าสอาดองค์ทรงกล่าวปรามธิดาของท่าน ก่อนจะทรงบุ้ยใบ้ไปข้างหลัง “พวกท่านอุตส่าห์เดินทางไกลมาจากหมอกใหม่ บ่นว่าคิดถึงหลานสาวเหลือเกิน เลยอยากมาเยี่ยม”

ว่าแล้ว ‘เจ้าสุนันต่า’ หรือ ‘เจ้าปลา’ ก็ทรงรีบวิ่งไปต้อนรับเจ้าลุงกับเจ้าป้าของท่านที่กำลังเสด็จลงมาจากรถยนต์อีกคันด้วยความดีใจอย่างล้นเหลือ ก่อนที่จะยกมือขึ้นพนมไหว้ พร้อมกับทั้งเชื้อเชิญทั้งสองท่านให้ขึ้นไปประทับพักผ่อนที่ห้องรับรองบนตำหนัก

เมื่อขึ้นมาด้านบน เจ้าชายาก็ทรงหันไปเรียกข้ารับใช้ให้นำชุดน้ำชา ขนมอบกรอบและถาดเชี่ยนหมากออกมารับรองแขก ในตอนนั้นเอง เลขานุการของเจ้าฟ้าก็ได้มาขออนุญาตเข้าพบเพื่อแจ้งถึงเรื่องเวลาอาหารเย็น ด้วยวันนี้เจ้าฟ้าท่านจะทรงเลี้ยงมื้อค่ำพระญาติของเจ้าชายาจากเมืองหมอกใหม่ด้วยอาหารแบบสไตล์อังกฤษที่สโมสรโปโล

“รับสั่งมาถึงก่อนคนรับสั่งเสียอีก”

เจ้าสอาดองค์ทรงหันมาบอกพระเชษฐาและพระเชษฐนีของท่าน หลังจากที่ได้ตอบตกลงเลขาฯ ของเจ้าฟ้าไปแล้วว่าท่านและแขกจะเดินทางไปตามเวลาที่นัดหมาย

“ตอนนี้เจ้าฟ้าหลวงบ่ได้ประทับอยู่ที่หอคำหรืออย่างไร”

“ท่านไปประชุมรัฐสภาที่เมืองหลวงเมื่อบ่กี่วันก่อน นี่เลขาแจ้งว่าท่านน่าจะกลับมาถึงแสนฟ้าวันนี้ ตอนค่ำๆ”

“มีราชการใดที่จำเป็นต้องเรียกประชุมเร่งด่วนขนาดนั้นหนอ” เจ้าน้อยยี่เชษฐาถามด้วยความสงสัย พลางจิบชาร้อนๆ ที่หอมกรุ่นด้วยความระมัดระวัง

“ก็คงเป็นเรื่องงานเลี้ยงต้อนรับพวกนักเรียนทุนที่ใกล้เข้ามา ได้ยินมาว่าท่านข้าหลวงใหญ่จะเดินทางมาจากอินเดียเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ด้วย ข้าหลวงใหญ่เสด็จ บรรดาเจ้าฟ้าจึงต้องเรียกประชุมวางแผนกันยกใหญ่ แบ่งภาระหน้าที่ว่ารัฐมนตรีฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายดูแลรับรองคณะของข้าหลวงท่าน”

“ไยว่าครั้งนี้ข้าหลวงจะเสด็จมา ทุกทีบ่เห็นว่าจะสนใจกิจการในไทคำหลวงเลยสักครั้ง”

“ก็ยังเป็นที่สงสัยกันบาทเจ้า บ่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น รัฐบาลกลางถึงได้หันมาสนใจใคร่รู้ความเป็นไปในไทคำหลวงเฮาเสียได้ ถึงขั้นข้าหลวงจะเสด็จด้วยพระองค์เอง”

“ได้ยินว่าข้าหลวงผู้นี้มีเชื้อเจ้า”

“เป็นเชื้อพระวงศ์ที่ทางอังกฤษส่งมารับตำแหน่งอุปราชแห่งบริติชอินเดีย”

เจ้าน้อยยี่พยักหน้า พลางสอบถามไปถึงหลานชายคนโตที่กำลังศึกษาการแพทย์อยู่ที่ต่างประเทศ

“ว่าแต่เจ้าเสือล่ะ ร่ำเรียนตำราไปถึงไหนแล้ว ใกล้จะได้กลับบ้านเมืองเหมือนคนอื่นเขาแล้วหรือยัง”

“ครั้งล่าสุดที่ส่งโทรเลขมาถึงเจ้าฟ้า เห็นว่าทรงกำลังจะได้เข้าไปฝึกตรวจรักษาคนไข้ตามโรงยากันแล้ว…หนนี้ ก็ถูกเจ้าฟ้าเรียกตัวกลับมาเหมือนกัน ก็ด้วยข้าหลวงใหญ่ท่านจะเสด็จมาที่แสนฟ้า”

“เรียนก็ใกล้จะจบเต็มที เห็นทีจะต้องหมั้นหมายคู่ครองไว้ให้เสีย บ่อย่างนั้นจะกลับมาอยู่บ้านเมืองยาก หลายปีที่ไปอยู่ที่นั่น จิตใจก็น่าจะเป็นสยามไปแล้วกลายๆ”

“เกรงว่าจะบ่กลับมาง่ายๆ เห็นว่าหากสำเร็จจากที่สยามแล้ว ก็อยากจะไปเรียนการแพทย์ต่ออีกที่อเมริกา กว่าจะได้กลับไทคำหลวงก็…อีกหลายปี”

“อ้อ ก็คงจะได้หลานสะใภ้เป็นแหม่มหัวทองละซิ” ผู้เป็นศักดิ์เป็นลุงรำพึง

“แล้วนี่ เจ้าพ่อไปราชการที่เมืองหลวง เจ้าแม่กับน้องชายก็ไปทำบุญ แล้วเจ้าปลาตัวน้อยๆ นี้เล่า อยู่ที่หอกับผู้ใดกัน” เจ้าป้าทรงหันมาถามหลานสาวที่กำลังนั่งเล่นเจ้าแมวเหมียวขนสีเทาตัวอ้วนๆ อยู่ที่พรมนั่ง

“ละ…หลานก็ต้องอยู่กับเจ้าคิทคิทกันสองคนน่ะสิบาทเจ้า เจ้าป้า หะ…หากว่าบ่ติดเรียน กะ…ก็คงจะได้ไปไหว้พระธาตุเวียงอินทร์ที่หมอกใหม่กับเจ้าแม่เป็นแน่”

เจ้านางน้อยผู้มีหน้าตาขาวอ่อน จิ้มลิ้ม และถักผมเปียทั้งสองข้างทรงกล่าวโอดครวญ นางพยายามตรัสอย่างช้าๆ เนิบๆ ด้วยมีปัญหาด้านการพูดจากโรคที่เป็นอยู่

“ตะ…ตอนแรกก็ขึ้นไปอยู่กับเจ้าฟ้าที่หอคำอยู่หรอก แต่พอท่านออกไปราชการที่เมืองหลวง หลานก็กลับมานอนที่หอตะวันตกเหมือนเดิม กะ…ก็มหาเทวีท่านดุเหลือเกินบาทเจ้า ทะ…ทำอันใดนิดหน่อยก็ถูกดุ ถูกว่า ยะ…อยู่กับท่านบ่ไหวเลย รู้สึกบ่อุ่นใจยังไงก็บ่รู้”

“มหาเทวีเป็นคนเข้มงวด ท่านชอบเด็กเรียบร้อยและว่านอนสอนง่าย เจ้าปลาดื้อรั้นแถมนิสัยกะเปิ๊บกะป๊าบ ดูท่าแล้ว คงจะเผลอไปทำอันใดที่ขัดหูขัดตาท่านเข้าซิท่า” เจ้าแม่ของท่านตั้งแง่สงสัย

“ลูกเป็นเด็กดีนะ จะ…เจ้าแม่” เจ้าสุนันต่าแย้ง

“ละ…ลูกทำตามที่เจ้าแม่สอนทุกอย่าง วะ…ว่าเวลาตอนอยู่กับเจ้าฟ้าและมหาเทวีต้องเชื่อฟังและมีมารยาทเรียบร้อย ตะ…แต่จะทำอย่างไรมหาเทวีท่านก็บ่โปรดลูกอยู่ดี ขะ…ขนาดท่านจะคัดเลือกนางรำเพื่อเอาไปรำต้อนรับคณะข้าหลวงในงานเลี้ยง ละ…ลูกก็บ่เคยถูกท่านเรียกตัวไป”

“โธ่เอ๊ย เจ้าลูกปลาน้อยของป้า”

เจ้าผ่องแสงได้ยินดังนั้นก็นึกเอ็นดูและสงสาร ก่อนจะปลอบใจหลานรักคนเศร้าด้วยกำไลทองคำขาวฝังเพชรเม็ดเล็กๆ วงงามที่ท่านเตรียมมาให้เป็นของขวัญ

เจ้าสุนันต่าทรงเบิกตาโตด้วยของฝากนั้นงดงามถูกใจมากนัก ว่าแล้วก็ทรงรีบก้มลงกราบขอบคุณเจ้าลุงเจ้าป้าก่อนจะแบมือรับกำไลวงงามมาชื่นชม พร้อมกับลองสวมใส่ไว้บนข้อมือตนอย่างรวดเร็ว

 

เย็นนั้น เจ้าสุนันต่าจำต้องอยู่เฝ้าตำหนักและเสวยอาหารเย็นเพียงลำพัง ขณะที่กำลังเสวยอาหารเย็นอยู่นั้น เจ้าหญิงก็ทรงบ่นกระปอดกระแปดไปเรื่อย กับเรื่องที่ตนไม่ได้ติดตามคณะไปชิมอาหารฝรั่งที่สโมสรโปโลเพราะต้องตื่นไปโรงเรียนแต่เช้าในวันรุ่งขึ้น แต่จะว่าเสียใจหรือ ก็ไม่ได้ว่าเสียใจมากนัก เพราะกำไลวงงามที่สวมไว้ที่ข้อมือได้ปลอบใจท่านเรียบร้อยแล้ว ท่านสวมใส่มันตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนที่อยู่ในชุดบรรทมนอนแล้วก็ตาม

“ที…ที่เมืองหมอกใหม่เป็นอย่างไรบ้าง จันทร์หล้า มะ…ม่อนหอมมันได้พาสูเดินขึ้นบันไดสามร้อยเจ็ดสิบขั้นไปไหว้พระธาตุเวียงอินทร์หรือเปล่า”

“บาทเจ้า” ข้ารับใช้สาวหันมาตอบขณะกำลังพยายามคีบถ่านร้อนๆ ออกจากเตารีดทองเหลืองหลังจากใช้งานเสร็จ “ข้าทั้งได้ไหว้พระธาตุเวียงอินทร์ ทั้งได้ตักบาตรพระร้อยรูป แถมยังได้เห็นน้ำตกเจ็ดชั้นที่หน้าผาตรงหลังวิหารพระอีกด้วยนะบาทเจ้า”

“ห๋า มะ…มีน้ำตกแบบนั้นด้วยหรือ ทะ…ทำไมตอนข้าไป บ่เห็นมีอันใดให้ดูเลย”

“มันเป็นสถานที่ลับตาคนน่ะบาทเจ้า ต้องเดินซอกแซกไปอีกไกลกว่าจะเห็น”

“ยะ…อย่างนั้นหรอกหรือ” เจ้าหญิงน้อยทำท่าครุ่นคิด “แล้วบ้านเมืองหมอกใหม่ล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง”

“หมอกใหม่นั้นเป็นเมืองใหญ่ชัดนัก หากแต่ผู้คนบ่พลุกพล่านมากหลายเหมือนอย่างที่แสนฟ้าเรือนผู้คนก็บ่หนาแน่นเท่า เป็นเมืองกลางหุบเขาที่บ้านเรือนชาวบ้านปลูกขึ้นห่างๆ กัน อีกสวนหรือที่นาก็มีบ่หลาย ส่วนใหญ่ชาวบ้านปลูกสวนต้นรักและต้นน้ำมันตุงกัน ชาวบ้านบอกว่าหน้าร้อนน้ำมันจากผลตุงจะขายได้กำไรดีนัก เสียแต่ปีหนึ่งจะออกดอกเพียงสามครั้งเท่านั้น บ่เหมือนดอกรักที่จะออกดอกตลอดปี ส่วนอากาศที่หมอกใหม่ก็บ่ต่างจากที่แสนฟ้า หนาวจนไอออกปาก หนาวจนตัวสั่นเลยบาทเจ้า”

“ขะ…ข้าไปหมอกใหม่ทุกปี ยังเห็นบ้านเมืองที่นั่นบ่เท่ากับสูไปแค่ครั้งเดียว”

“ครั้งหน้า เฮาไปไหว้พระด้วยกันนะบาทเจ้า”

“ไปสิ ขะ…ข้าอยากไปดูน้ำตกเจ็ดชั้นที่สูว่า”

จันทร์หล้ายิ้มละไมให้เจ้านางน้อย ก่อนจะนำชุดเครื่องแบบนักเรียนที่รีดเสร็จดีแล้วออกมาแขวนผึ่งไว้กับไม้แขวน เครื่องแบบนักเรียนคอนแวนต์ของเจ้าสุนันต่าเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวคอปกแขนยาว ปักตัวอักษร OLMC สีเขียวเข้มไว้ตรงหน้าอกด้านซ้าย ผูกเนกไทและใส่เข้าชุดกับกระโปรงนักเรียนที่จับจีบรอบตัวยาวประมาณเข่า สวมทับด้วยเสื้อคาร์ดิแกนสีเขียวเข้มอันเป็นเครื่องแบบนักเรียนประจำฤดูหนาว ส่วนฤดูร้อน ได้ยินว่าเครื่องแบบทั้งหมดจะถูกเปลี่ยนเป็นสีแดง

“เจ้าปลารีบรับอาหารเย็นเถิดบาทเจ้า เสร็จแล้วจะได้รับยา”

“ขอ…ขอข้าทานของหวานต่ออีกสักหน่อยเถอะน่า”

“แต่รับของหวานก่อนนอน ท้องไส้จะบ่ดีนะบาทเจ้า”

“โธ่ ขะ…ข้าถูกมหาเทวีกับเจ้าแม่เข้มงวดมามากแล้ว สูอย่าเข้มงวดกับข้าอีกคนเลยนะ จันทร์หล้า” เจ้าสุนันต่าทำน้ำเสียงเว้าวอนออดอ้อนผู้เป็นนางพี่เลี้ยง

“ไหนเจ้าปลาเคยบอกว่า หากข้ากลับมาจากหมอกใหม่แล้ว ท่านจะอ่านนิยายภาษาอิงกะริตเรื่องนั้นให้ฟังต่อยังไงเล่า ขืนต้องรอจนเจ้าปลาเสวยอาหารและของหวานจนเสร็จสิ้นดี ข้าคงฝืนหนังตารอฟังบ่ไหว”

“เอาละๆ”

ว่าแล้วเจ้าหญิงก็ทรงรีบรวบช้อน ก่อนจะหยิบเม็ดยาที่จัดไว้ในจานเซรามิกใบเล็กๆ ขึ้นเสวย เสร็จแล้วก็รีบลุกขึ้นไปหยิบนิยายรักโรแมนติกเรื่องเจน แอร์ ออกมาจากตู้หนังสือหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงห้องนั่งเล่น เมื่อเปิดไปยังหน้าที่คั่นเอาไว้ ท่านก็อ่านออกเป็นภาษาอังกฤษเสียงดังฟังชัด ไม่มีตะกุกตะกัก ซึ่งต่างจากยามพูดปกติที่จะมีอาการพูดติดอ่าง

เจ้าสุนันต่าเป็นโรคพูดติดอ่างตั้งแต่อายุได้เจ็ดชันษา ตอนนั้นท่านประสบอุบัติเหตุจมน้ำ หลังจากนั้นมาการได้ยินของท่านก็บกพร่องและมาพร้อมกับการพูดที่ติดๆ ขัดๆ หมอประจำตัวของท่านบอกว่าหากเจ้าหญิงได้ฝึกอ่านออกเสียงทุกวัน ก็อาจจะช่วยให้พูดชัดมากขึ้นและไหลลื่นขึ้น โรคที่เป็นอยู่ก็อาจจะดีขึ้นได้

หมอประจำตัวของเจ้าหญิงท่านเป็นชาวอินเดียมีนามว่า ‘หมอกุปป้า’ ท่านเป็นทั้งหมอและผู้อำนวยการประจำโรงพยาบาลหลวงของแสนฟ้า ท่านหมอเป็นคนใจดีแถมยังสามารถสื่อสารได้หลายภาษา เพราะท่านมีภรรยาเป็นชาวพื้นเมืองของที่นี่

“คฤหาสน์ธอร์นฟิลด์นั้นเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่ ตั้งอยู่ในพื้นที่ชนบทในเมืองมิลคอร์ท วันแรกที่ไปถึง ฉันได้รับการต้อนรับจากมิสซิสแฟร์แฟกซ์ หญิงวัยกลางคนผู้มีรูปร่างบอบบางและมักสวมชุดกระโปรงยาวสีดำ หล่อนดูใจดียามพูดจากับพวกบริวารคนรับใช้ แต่ฉันก็ต้องประหลาดใจเมื่อหล่อนบอกว่า หล่อนไม่ใช่เจ้าของที่นี่…”

เจ้าสุนันต่าในชุดกางเกงนอนอุ่นนุ่มกำลังเพลิดเพลินอยู่กับการอ่านเรื่องราวในนวนิยาย ที่กำลังดำเนินไปในช่วงต้นอย่างสนุกสนาน ขณะที่เจ้าเหมียวคิทคิท แมวทรงเลี้ยงก็กำลังขดตัวหลับตาพริ้มอยู่บนพรมเปอร์เซียผืนนุ่มๆ นอนฟังเจ้านายของมันอ่านหนังสือขับกล่อมอย่างเคลิบเคลิ้ม

“เจ้านายคนใหม่ของฉันชื่อ มิสเตอร์โรเชสเตอร์ ชายผู้ชอบออกเดินทางไปในที่ไกลๆ เหตุเพราะเขาไม่เคยอยู่ที่คฤหาสน์เลยสักวันตั้งแต่ที่ฉันมาถึง จนวันหนึ่ง ฉันได้มีโอกาสถามมิสซิสแฟร์แฟกซ์เกี่ยวกับเขา ‘เขาเป็นที่รักของคนทั่วไปจ้ะ’ มิสซิสแฟร์แฟกซ์ตอบ…”

เจ้าสุนันต่าทรงละสายตาจากหนังสือนิยายตรงหน้า ทอดถอนหายใจ

“ถะ…ถ้าที่มิลคอร์ทมีมิสเตอร์โรเชสเตอร์ เจ้าของคฤหาสน์หนุ่มรูปหล่อและเป็นที่รักของคนทั่วไปแล้วละก็ ที่แสนฟ้านี้ ก็มีมิสเตอร์โรเชสเตอร์เหมือนกันแหละน่า”

“มิสเตอร์โรเชสเตอร์แห่งแสนฟ้า?…ใครกันหรือบาทเจ้า” จันทร์หล้าถามพลางยืดหลังขึ้นตรง ขณะนั่งจัดของกระจุกกระจิกลงใส่ในตลับเครื่องเขิน

“ก็เจ้าแกมเมืองน่ะสิ”

“เจ้าแกมเมือง…เจ้าชายหนุ่มรูปงามประจำเมืองหรืออย่างไรน้อ”

เจ้าสุนันต่ายักไหล่ ยิ้มพรายบนใบหน้าอย่างมีเลศนัย “สำหรับข้าละก็ ใช่แน่นอน ก็…ก็ ท่านน่ะ ทั้งหล่อเหลาและร่ำรวยเอามากๆ ที่สำคัญนะ ทะ…ท่านใจดีกับข้ามากเลย รู้ไหม ยามที่กลับมาจากเมืองหลวงคราใด ท่านก็มักจะมีของฝากมาฝากข้าเสมอ ส่วนใหญ่เป็นสมุดหนังสือ ตำราเรียน”

“มีคนเคยบอกข้าว่า หากใครหยิบยื่นตำราเรียนให้เฮา คนผู้นั้นเป็นคนดี”

“เป็นคนดีแน่นอน ท่านนี่แหละคือมิสเตอร์โรเชสเตอร์ตัวจริง เสียงจริง ที่สำคัญนะ ทั้งสองยังเป็นคนที่บ่ชอบอยู่ประจำที่เหมือนกันอีกต่างหาก”

“คำก็หล่อเหลา สองคำก็ใจดี ข้าเชื่อแล้วบาทเจ้า ว่าเจ้าชายท่านเป็นที่รักจริงแท้”

จันทร์หล้าอดไม่ได้ที่จะกล่าวหยอกเย้า เมื่อเห็นเจ้าหญิงวัยกำดัดของตนแอบซ่อนนัยน์ตาแวววาวลึกล้ำเอาไว้ยามเมื่อได้กล่าวชื่นชมเจ้าชายผู้นั้น

“ว่าแต่ชายหนุ่มที่รูปงามและร่ำรวย แต่บ่ชอบอยู่หออยู่เรือนจะเป็นคนแบบไหนกัน”

“ก็เป็นชายเดี่ยวไร้ชายาน่ะสิ…ที่ท่านบ่ติดเรือนก็เพราะท่านทำงานอยู่แต่ที่เมืองหลวง นานๆ ที ถึงจะเห็นกลับมาที่แสนฟ้านี้สักครั้ง คะ…คฤหาสน์หอหน้าของท่านน่ะงามแสนงาม หลังใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่ม แต่น่าเสียดาย เจ้าของเรือนบ่มักอยู่อาศัย แต่เท่าที่ข้าได้ยินมา คะ…คนเขาบอกว่าที่ท่านบ่อยู่อาศัย เป็นเพราะท่านเกลียดหอของท่าน”

“โธ่ เป็นอย่างนั้นไปเสียได้ แต่ก็อาจจะจริงนะบาทเจ้า บางทีคนเราก็อาจจะมีความหลังฝังใจอยู่ที่หนึ่งที่ใด…ถึงได้บ่อยากกลับมา ดั่งคำคนเขาว่า คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก”

“ทะ…ทำไมสูถึงคิดว่าเป็นแบบนั้นล่ะ”

“ก็คนเฮาหากอยู่ที่ไหนแล้วคับอกคับใจ ก็มักจะหาทางหลีกหนีโยกย้ายอยู่เสมอ”

“กะ…ก็อาจจะจริง” เจ้าสุนันต่าทรงทำท่านึกคิด “แต่ก็เอาเถอะ จะยังไงเสีย ท่านก็ยังเป็นมิสเตอร์โรเชสเตอร์ของข้าอยู่วันยังค่ำ”

“แล้วนางเอกของเรื่องล่ะบาทเจ้า หล่อนเป็นคนแบบไหนกัน”

“จะ…เจน แอร์ของข้าน่ะหรือ หล่อนก็เป็นเด็กกำพร้าสู้ชีวิต ขะ…ข้าชอบที่เจน แอร์น่ะ หล่อนเป็นผู้หญิงที่กล้าหาญและอดทน ตอนที่ถูกส่งให้ไปอยู่ที่โรงเรียนประจำ หล่อนก็อุตส่าห์เรียนจนจบ กระทั่งได้ทำงานเป็นครูสอนหนังสือให้กับบุตรสาวของมิสเตอร์โรเชสเตอร์ ขะ…ข้าเดาว่า ท้ายที่สุด ทั้งสองจะรักกัน”

“ฟังๆ ดูแล้ว เรื่องราวดูมีเหตุผลกว่าเรื่องหญิงงามเลือกคู่ของคณะม่านจ๊าดที่เมืองหมอกใหม่เป็นไหนๆ ม่านจ๊าดที่ท่านเล่นในงานปอยที่เมืองหมอกใหม่ เป็นเรื่องของบุตรสาวเจ้าเมืองที่อยากจะไปไหว้เจดีย์ทองคำที่เมืองมอญ แต่ก่อนจะได้ไป ก็ต้องจำยอมเป็นเมียน้อยของเศรษฐีเฒ่า เพราะเขาอาสาพาไป และพ่อแม่ของหล่อนก็ยินยอมยกลูกสาวให้กับเขา เพียงเพื่อแลกกับการได้ไปไหว้เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ยังเมืองไกลห่าง”

“นี่…นี่แหละ เหตุผลที่ข้าบ่ชอบเนื้อเรื่องละครการละเล่นทางนี้ ผะ…ผู้หญิงโลกตะวันออกทางบ้านเมืองเฮาส่วนใหญ่มักถูกผู้ชายรังแกและเอาเปรียบ เป็นผู้ถูกกระทำไปเสียทุกเรื่อง บ่เหมือนเจน แอร์ของข้าเลยสักนิด”

“หล่อนทำไมหรือ”

“นะ…นางเอกของข้า หล่อนทั้งหยิ่งทะนงและนับถือตนเอง”

จันทร์หล้าหัวเราะเพียงนิด “แต่ถ้าหล่อนหัวขบถขนาดนี้ ชายหนุ่มผู้นั้นจะรักหล่อนได้ยังไง”

“ขะ…ข้าก็บ่รู้เหมือนกัน ข้ายังอ่านบ่ถึง”

เจ้าสุนันต่ายังคงตั้งใจอ่านนิยายไปได้อีกหลายหน้า ระหว่างนั้นจันทร์หล้าก็เหลียวไปมองนาฬิกาลูกตุ้มที่แขวนอยู่ตรงผนัง เมื่อเห็นว่าจวนจะได้เวลาที่ต้องพาเจ้าหญิงท่านเข้านอนแล้ว นางก็จึงคะยั้นคะยอให้ท่านรีบเอาหนังสือนิยายเข้าไปเก็บเข้าไว้ในตู้หนังสือดังเดิม

เมื่อพากันขึ้นมายังห้องบรรทมบนชั้นสอง หญิงสาวก็นำชุดนักเรียนที่รีดเสร็จแล้วมาจัดเข้าชุด และตระเตรียมทุกอย่างให้พร้อมใส่ในวันรุ่งขึ้น นางหันมาจัดแจงยกผ้านวมขึ้นห่มคลุมให้คนที่นอนบรรทมเนื้อเย็นอยู่บนเตียง ส่วนเจ้าคิทคิทแมวน้อยพุงพลุ้ยที่ผล็อยหลับไปแล้ว ก็มีชุดอุ่นๆ ใส่นอนเช่นเดียวกัน

“วะ…วันนี้บนหอคำ พวกท่านพูดถึงเรื่องการแข่งขันกีฬาประจำปีที่สโมสรโปโล”

“ฟังดูน่าสนุกดี กีฬา…อันใดนะบาทเจ้า”

“กีฬาประจำปี ชะ…ช่วงสิ้นปีในวันสรรเสริญพระเจ้า เจ้าฟ้าท่านจะจัดงานเลี้ยงฉลองให้กับพวกข้าราชการและชาวอังกฤษที่สโมสรโปโล มี…มีทั้งงานดนตรีและการแข่งขันกีฬา ทั้งพุ่งแหลน ทุ่มน้ำหนัก กระโดดไกล วิ่งสามขาและแข่งขี่ม้าตีโปโล…จะ…เจ้าแกมเมืองท่านเป็นนักกีฬาโปโลมือหนึ่งแห่งแสนฟ้า”

“เจ้าแกมเมืองผู้นี้ ดูทีจะมีมากกว่ารูปงามและร่ำรวยเสียแล้ว เจ้าปลาของข้าถึงได้อ้างถึงเขาบ่อยๆ”

“สู…สูจับผิดข้าหรือ จันทร์หล้า”

ดวงหน้าของดรุณีวัยแรกแย้มพลันแดงปลั่งเหมือนลูกตำลึงสุก ขวยเขินตามประสาวัยแรกสาวที่แอบซ่อนชายหนุ่มคนโปรดไว้ในใจ คนถูกกล่าวหา รีบแก้ตัวเป็นพัลวัน

“หยอกเอินน่ะบาทเจ้า ว่าแต่ เจ้าปลาต้องแข่งขันกีฬากับพวกท่านด้วยไหม”

“ขะ…แข่งสิ แต่ว่าหอตะวันตกของเฮาก็คงจะแพ้คนอื่นเขาอีกตามเคย ที่…ที่ผ่านมา ฝ่ายเฮามีแต่คนป่วย ขะ…แข่งกีฬาอันใดก็แพ้ไปเสียหมดทุกรายการ ถูกคนอื่นดูแคลนอยู่ตลอด ชะ…ชายประจำหอที่พอจะมาช่วยแข่งกีฬาได้ก็บ่มีเหมือนอย่างฝ่ายอื่นเขา”

“แต่ม่อนหอมเคยบอกว่า เจ้าสามเมืองท่านจะกลับมาจากสยาม เดินทางมางานเลี้ยงนักเรียนทุน”

“ถะ…ถึงเจ้าอ้ายจะกลับมา ก็คงจะบ่ได้ช่วยอันใดได้เพราะท่านบ่ชอบเล่นกีฬา”

“อ้าว แล้วกัน…”

จันทร์หล้าพยายามจินตนาการถึงคำว่ากีฬาที่เจ้าหญิงท่านว่า แต่ทว่าก็ไม่ค่อยเห็นภาพเท่าไรนัก เพราะตั้งแต่เกิดมานางยังไม่เคยเห็นกีฬาที่เจ้าสุนันต่าเอ่ยมาแต่ละชื่อเลยสักครั้ง บ้านป่าของนางจะมีอะไรกันล่ะ นอกจากการละเล่นดีดลูกแก้ว ปั่นหนังว้อง (หนังยางพลาสติก) ม้าจกคอกและเล่นชนกว่าง

“พะ…พูดถึงงานเลี้ยงนักเรียนทุนแล้วก็น่าน้อยใจ มหาเทวีจัดการเองทุกอย่าง ทะ…ท่านเรียกใช้แต่พระญาติของท่านไปออกงาน แต่…แต่กลับมองข้ามข้าไปเสียได้” เจ้าสุนันต่าเล่าด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย

“ท่านอาจจะอยากให้เจ้าปลาอยู่ช่วยงานเจ้าพ่อ”

“เปล่าหรอก มะ…มหาเทวีท่านบ่โปรดข้าเป็นการส่วนตัว”

พี่เลี้ยงสาวเพียงยิ้มละมุน ก่อนจะโน้มกายเข้าไปเอ่ยปลอบประโลมท่านให้นอนหลับ

“เจ้าปลาของข้าทั้งน่ารักและสดใสถึงเพียงนี้ ผู้ใดไหนเล่าจะกล้าบ่รักและบ่เอ็นดูได้ เข้าบรรทมเถิดพรุ่งนี้ต้องตื่นไปโรงเรียนแต่เช้า ท่านดูจะมีเรื่องให้กังวลมากเกินไปเสียแล้ว”

ว่าแล้วหญิงสาวก็หันไปดับไฟที่หัวเตียงและตรวจดูความเรียบร้อยของฟืนไฟในห้องบรรทม ก่อนจะเตรียมตัวลงไปพักผ่อนที่เรือนนอนด้านล่างด้วยความอ่อนเพลียจากการเดินทางไกลมาตลอดทั้งวัน

เมื่อหันกลับมาอีกครั้ง เจ้าสุนันต่าก็ได้เข้าสู่ห้วงนิทราไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วอย่างง่ายดาย ท่านเลยไม่ทันได้ยินเสียงเจ้าแม่ของท่านที่กำลังกลับมาจากงานเลี้ยงอาหารมื้อค่ำพร้อมกับพระญาติ

เข็มนาฬิกาชี้ที่เลขเก้าและเลขสิบสอง ทันใดนั้นลูกตุ้มก็ร้องเสียดังอีกครา บนตำหนักนี้มีนาฬิกาอยู่ทั่วทุกหนแห่ง เพราะเจ้าของตำหนักท่านอยากฝึกให้ทุกคนเป็นคนตรงต่อเวลา เจ้าชายาเคยบอกกับนางแบบนี้เมื่อครั้งที่สอนนางดูเวลาเป็นครั้งแรก

และก็จริงตามที่ท่านบอก ด้วยยามว่านาฬิกาตีเวลานี้ทีไร จันทร์หล้าเองก็เริ่มง่วงนอน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอิ่มจนง่วง หรือว่าง่วงเพราะฤทธิ์ยาของหมอกุปป้ากันแน่

แต่เอาเถอะ รีบเข้านอน เพราะยังไงประเดี๋ยวนางก็ฝัน แล้วก็ตื่นลุกขึ้นมานั่งร้องไห้อยู่ดี…

 



Don`t copy text!