นิราศรักสองนครา บทที่ 12 : สัญญาณที่ดี
โดย : ปรียนันทนา
นิราศรักสองนครา โดย ปรียนันทนา เรื่องราวของโชติ หญิงสาวชาวสยาม กับทางเลือกสองทาง ความรักของชายหญิงกับความรักหวงแหนแผ่นดินเกิด เธอจะเลือกทางใด และหากไม่สามารถเลือกได้ จะมีหนทางใดที่ใจสองดวงจะมาบรรจบพบกัน ณ จุดที่ลงตัวได้หรือไม่ นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านพร้อมกันที่นี่ anowl.co
“ฉันยอม” ท่ามกลางความลุ้นระทึกในใจของโชติเสียงชายวัยกลางคนผู้อ้างความชอบธรรมในการเป็นเจ้าของชีวิตของบุตรสาวดังขึ้นพร้อมกับที่หญิงสาวลอบระบายลมหายใจอย่างโล่งอก “ตกลงขายมันให้คุณก็ได้” แม้สีหน้าของนายฉ่ำยังเคืองขุ่นหากแววตาเริ่มสงบลงแล้ว
“ขอบใจนะจ๊ะน้า ฉันสัญญาจะดูแลกลอยอย่างดี มิให้ต้องลำบากแลจะไม่ใช้งานเยี่ยงทาสแต่จะให้ติดตามฉันไปทุกที่เสมอ”
“เรื่องนั้นมิใช่เรื่องที่ฉันกังวล เพราะว่านังกลอยมันถูกขายมันก็ย่อมจักต้องทำงานตอบแทนเงินที่ได้รับมา เพียงแต่ว่าฉันยอมเพราะเห็นแก่นังแม่มัน” เขาเอ่ยอย่างปลง ๆ ด้วยตระหนักในสิ่งที่นางทองก้อนพูดเมื่อครู่ ครั้นมาคิดทบทวนจึงทำให้ได้สติว่านี่คงเป็นทางออกที่ดีกับทุกคนในครอบครัวมากกว่าการดึงดันขายบุตรสาวเพียงเพื่อสนองความต้องการเรื่องเงินทองของตนเองแต่ฝ่ายเดียว
“อย่างไรเสียก็ขอบใจน้ายิ่งนักที่เห็นแก่กลอยนะจ๊ะ วันพรุ่งน้าสองคนพากลอยไปที่บ้านลานได้เลยนะจ๊ะ ฉันจะรีบบอกแม่ให้เตรียมอัฐไว้ให้” โชติมองไปทางเด็กหญิงที่ขณะนี้มีมารดานั่งเคียงข้าง แววตาของเด็กหญิงแสดงความดีใจออกมาท่วมท้นส่วนผู้เป็นมารดาก็คลายความกังวลอย่างเห็นได้ชัด ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเมื่อครู่พร้อมกับการตัดสินใจของผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว
“เป็นบุญของนังกลอยมันแท้ ๆ ที่ได้มาเจอคุณ” นางทองก้อนรำพันนำ้ตาคลอพร้อมกับพนมมือไหว้หญิงสาวอย่างสำนึกบุญคุณ โชติรู้ดีว่ามีถ้อยคำอีกมากมายที่อีกฝ่ายอยากจะพรั่งพรูออกมาหากแต่เมื่อเมฆหมอกผ่านไปแล้วก็คงไม่จำเป็นที่จะต้องหวนหาถึงอดีตอันน่าเศร้าใจอีก เพราะการยิ้มรับกับแสงแดดสดใสเมื่อฟ้าเปิดย่อมดีกว่าเสมอ
“มิใช่ดอกจ้ะน้า กลอยเป็นเด็กดี ย่อมต้องได้รับสิ่งดี ๆ อยู่แล้ว”
“กลอย เอ็งไปอยู่กับคุณเขาก็ทำตัวดี ๆ รู้ไหม” มารดากำชับบุตรสาวพลางสะกิดให้เด็กหญิงไหว้โชติด้วยความสำนึกในบุญคุณ
“จ้ะแม่” เด็กหญิงยิ้มแววตาเป็นประกาย ผมที่เปียกลู่แนบศีรษะเริ่มแห้งแล้ว แม้ว่าเสื้อผ้ายังคงเปียกชื้นหากเจ้าตัวกลับไม่ใส่ใจสักนิด “ฉันจะทำตัวดี ๆ แลช่วยเหลืองานพี่โชติทุกอย่าง”
“เอ็งเรียกนายว่าพี่ได้เยี่ยงไร ทำตัวตีเสมอคุณท่านแบบนี้ไม่ได้นะ” นางทองก้อนทำท่าเงื้อมือจะตีที่ต้นแขนขณะติงบุตรสาวที่กำลังเอี้ยวตัวหนีพัลวัน
“มิเป็นไรดอกจ้ะน้า ฉันบอกแล้วว่าจะดูแลกลอยให้ดีเยี่ยงน้องสาว จะให้กลอยคอยติดตามฉัน ไปด้วยทุกที่ เรียกพี่เช่นเดิมแหละจ้ะกลอย” ประโยคสุดท้ายหญิงสาวหันไปกำชับกับเด็กหญิง “เด็กที่ไปเรียนหนังสือบ้านมิสซิสเฮาส์ก็เรียกฉันว่าพี่กันทุกคน ฉันถือว่าพวกเรามีครูคนเดียวกันก็เปรียบเสมือนพี่น้องกันจ้ะน้า”
“จ้ะ พี่โชติ”
เด็กหญิงแววตาเป็นประกายสดใสต่างจากเมื่อตอนแรกที่กลุ่มของโชติมาเยือนเรือนนี้ บัดนี้ดูท่าทางนายฉ่ำคลายความแข็งกร้าวลงแล้ว โชติคิดว่าคงเพราะเขาตระหนักได้อย่างดีว่าหากขาดภรรยาไปเขาคงหมดทางที่จะใช้ชีิวิตอย่างสุขสบาย และคงเห็นแก่ความยากลำบากที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานาน ที่สำคัญสุดเขาไม่ได้เสียอะไรไปเพราะยังได้เงินเช่นเดิมและลูกสาวก็ไม่ได้ไปตกระกำลำบากด้วยตัวเธอรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะเรื่องการดูแลกลอย
ซึ่งโชติก็หมายความเช่นที่ได้เอ่ยวาจาไปเช่นนั้นจริง
เรือนริมน้ำของหมอเฮาส์ที่ใช้เป็นสถานศึกษาอบรมเด็กหญิงชาวสยามดูคึกคักกว่าปกติด้วยบัดนี้เด็กหญิงผมจุกทั้งหลายรวมถึงเด็กหญิงที่เพิ่งเข้าสู่วัยสาวหลายคนต่างมายืนเมียงมอง รวมถึงมุงดูชายชาวฝรั่งเศสที่แม้ผมเผ้าเริ่มแห้งแล้วหากแต่เสื้อผ้าชุดหนาของเขานั้นยังคงเปียกชื้นอยู่
“เดี๋ยวครูไปเอาเสื้อผ้าของหมอมาให้เปลี่ยนก็แล้วกัน” มิสซิสเฮาส์กล่าวกับหญิงสาวและชายหนุ่มที่ยืนอยู่เคียงกันหลังจากที่ทุกคนเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เจ้าของบ้านฟังอย่างละเอียด ท่าทีของศิษย์รักดูไม่ต่อต้านชายหนุ่มรูปงามตรงหน้าหากก็ยังสงวนท่าทีสมกับเป็นกุลสตรีที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี
“ค่ะครู ฉันไปด้วยนะคะ” โชติไม่รีรอที่จะตามไปหากแต่เมื่อออกเดินก็ต้องหยุดชะงักทันที
“มิต้องดอกแม่โชติ เธออยู่ที่นี่แหละ ครูไปกับลอราดีกว่า เธอจะได้ช่วยดูน้อง ๆ ด้วย เห็นไหมว่าแต่ละคนมิมีสมาธิทำสิ่งใดกันแล้ว” มิสซิสเฮาส์หันไปมองเด็กหญิงที่จับกลุ่มกันอยู่อย่างระอาในความช่างอยากรู้ตามประสาเด็กเพราะต่างละจากงานในมือมายืนเมียงมองอยู่ไม่ห่าง
“แม่พุดตานคงจะนำคนอื่นเป็นแน่” โชติมองไปยังเด็กหญิงแก้มยุ้ยซึ่งยืนจ้องมิเชลอย่างอยากรู้อยากเห็น “มานี่เลยแม่พุดตาน” หญิงสาวกวักมือเรียกอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู
“คุณพี่ขา ได้เรื่องแม่กลอยไหมคะ” เจ้าตัววิ่งมาหาโชติอย่างรวดเร็วราวคาดคะเนไว้แล้วว่าอีกฝ่ายต้องเรียกหา
“ถามพี่หรือถามใครจ๊ะ” โชติถามกลับเมื่อเห็นท่าทีที่อีกฝ่ายจ้องมองชายหนุ่มชาวฝรั่งเศสไม่วางตา
“แหม ก็ถามคุณพี่สิคะ” เด็กหญิงทำท่ากระฟัดกระเฟียดราวสาวน้อยแรกรุ่น ซึ่งความจริงด้วยวัยของพุดตานก็เป็นเช่นนั้นหากแต่โชติรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายมีความเป็นเด็กหญิงที่ไร้จริตหญิงสาวมากกว่าเพื่อนวัยเดียวกัน เพราะไม่ว่าพุดตานจะทำตัวเป็นสาวมากเพียงใดแต่กลับมองดูเหมือนเด็กผู้หญิงที่พยายามเลียนแบบผู้ใหญ่อยู่ร่ำไป
“เรียบร้อยแล้วจ้ะ พี่จะให้แม่ของพี่ซื้อตัวแม่กลอยให้มาอยู่กับพี่ ตอนแรกน้าฉ่ำก็ไม่ยอมต้องกล่อมกันอยู่นานจนน้าทองก้อนขู่ว่าหากไม่ยอมจะขายตัวเองกับกลอยแล้วออกจากบ้านไปเสีย ทีนี้น้ำฉ่ำเลยยอมจ้ะ พี่เลยบอกให้น้าทั้งสองคนพาตัวกลอยไปที่บ้านพี่ในวันพรุ่ง”
“ดีจริงเชียวค่ะคุณพี่ ฉันนั่งลุ้นเสียจนมิเป็นอันทำสิ่งใด ดูสิคะ มือเย็นเฉียบเลย” อีกฝ่ายส่งมือให้โชติจับตามที่พูด
“อู้งานน่ะสิไม่่ว่า” โชติจับแก้มยุ้ยของอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู
“หามิได้นะคะ ฉันเป็นห่วงแม่กลอยต่างหากเล่า” เด็กหญิงยืนต่อปากต่อคำพลางลอบมองชายหนุ่มอย่างสนใจ “ชายผู้นี้ไปกับคุณพี่หรือคะ เขาไปทำอันใดมาถึงตัวเปียกปอนเยี่ยงนี้คะ” เสียงกระซิบกระซาบที่ดังพอควรทำเอาผู้ถูกกล่าวถึงเริ่มรู้ตัวว่ากำลังถูกเอ่ยถึงแม้จะฟังภาษาสยามไม่ออกก็ตาม มิเชลมองเด็กหญิงแก้มยุ้ยอย่างเอ็นดูในท่าทีเปิดเผยแล้วถามโชติว่าเขาคือผู้ถูกกล่าวถึงในบทสนทนาของหล่อนใช่หรือไม่
“ค่ะ แม่พุดตานถามว่าคุณไปทำอะไรมาเสื้อผ้าแลเนื้อตัวจึงเปียกเยี่ยงนี้”
“บงชูร์ พุดตาน” มิเชลทักทายเด็กหญิงเป็นภาษาฝรั่งเศสอย่างเอ็นดู
“อันใดกันคะคุณพี่ ฝรั่งผู้นี้พูดภาษาใด มิใช่ภาษาอังกฤษ” เด็กหญิงสงสัยหากแต่แววตาสนใจใคร่รู้ด้วยเพราะชอบเจรจาพาทีเป็นทุนเดิม แม้มิได้มีทักษะในการเรียนภาษามากเท่าคนอื่นหากแต่ความสนใจของพุดตานนั้นอยู่เหนือทุกสิ่ง
“ภาษาฝรั่งเศสจ้ะ เขาทักทายหล่อนน่ะแม่พุดตาน”
“บง อะไรนะคะคุณพี่” เด็กหญิงหันไปถามโชติอย่างขอความช่วยเหลือ
“บงชูร์”
“บงชูร์ มิสเตอร์ ฉันชื่อพุดตาน” เด็กหญิงกล่าวทักทายภาษาฝรั่งเศสตามเจ้าของภาษาและแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษที่เพียรฝึกฝนมาอย่างชัดเจน
“ผมชื่อมิเชล ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” เขาตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษบ้าง
“มิเชลเขาลงไปช่วยแม่กลอยขึ้นจากน้ำน่ะ”
“แม่กลอยตกน้ำหรือคะ ทำเยี่ยงไรตกน้ำตกท่าได้ ออกจะว่ายน้ำคล่องแคล่ว”
“เรียกว่าตกน้ำก็ไม่เชิงดอกจ้ะ แม่กลอยตั้งใจกระโดดลงไปมากกว่า”
“ว่าอย่างไรนะคะคุณพี่ ตั้งใจ หมายถึงตั้งใจตั้งกระโดดน้ำตายหรือคะ โถ แม่กลอยคงคับข้องใจมากนะคะ” พุดตานเอ่ยอย่างเห็นใจพลางมองหน้าโชติ “ดีนะคะที่คุณพี่แลคุณมิเชลไปช่วยไว้”
“ต้องขอบใจพุดตานด้วยนะจ๊ะที่รีบบอกพี่ ถือได้ว่าพวกเราช่วยกันนะจ๊ะ”
“ค่ะคุณพี่ นั่นครูมาแล้วค่ะ” เด็กหญิงมองไปทางเรือนใหญ่ซึ่งเจ้าของบ้านกำลังเดินตรงมาพร้อมกับเสื้อผ้าในมือ
“นี่เสื้อผ้าของสามีฉันเอง อาจหลวมนิดหน่อยแต่คงพอใส่กันได้” มิสซิสเฮาส์ส่งเสื้อผ้าให้มิเชล อย่างเต็มใจ
“ขอบคุณครับ”
“ไปเปลี่ยนเสียก่อนเถิด หากช้าไปกว่านี้คุณจะป่วยไข้เอา”
“ครับ” เขาเดินตามลอราไปยังห้องชั้นล่างซึ่งเจ้าของบ้านเตรียมไว้ให้เปลี่ยนเสื้อผ้า
“ตกลงว่าเธอรับแม่กลอยไปดูแลแถมยังให้เงินพ่อแม่เขาอีกนะแม่โชติ” มิสซิสเฮาส์เอ่ยอย่างเข้าใจสถานการณ์
“เรียกอย่างนั้นถูกต้องที่สุดค่ะครู ทำอย่างไรได้คะ บ้านเมืองฉันเรื่องซื้อขายแรงงานเป็นเรื่องปกติ แต่ฉันมิได้คิดว่าการซื้อกลอยมาจะต้องขูดรีดเอาแรงงานจากกลอยดอกนะคะ อย่างที่บอกครูไปแล้วว่าฉันจะดูแลเหมือนน้องแลให้ติดตามไปด้วยทุกที่”
“ครูเข้าใจจ้ะ เธอเป็นคนจิตใจดี ขอให้พระผู้เป็นเจ้าอวยพรด้วยนะจ๊ะ”
“สาธุค่ะครู” โชติยกมือไหว้อย่างขอบคุณผู้อาวุโสกว่า แม้ต่างศาสนาแต่คุณความดีที่ยึดเหนี่ยวทำให้ต่างเข้าใจในการกระทำของกันและกันเสมอ
เด็ก ๆ ต่างแยกย้ายกันไปนั่งทำงานตามมุมต่าง ๆ เมื่อมิเชลเปลี่ยนเสื้อผ้าลงจากเรือนและตรงมาที่สนามหน้าตึกเขาจึงแปลกใจเล็กน้อยที่บรรยากาศวุ่นวายเมื่อครู่กลับสู่ภาวะปกติอย่างรวดเร็ว
“เหตุใดเด็ก ๆ จึงหายไปกันหมดครับ” เขาถามเมื่อรับถ้วยชาร้อนจากเจ้าของบ้าน
“มิได้หายไปไหน แต่กลับไปทำหน้าที่ตามปกติจ้ะ” มิสซิสเฮาส์ตอบอย่างสุขุม
“ต้องขอบคุณคุณอีกครั้งนะคะที่ตัดสินใจช่วยแม่กลอย เหตุการณ์จึงจบลงด้วยดี” โชติเอ่ยอีกครั้งจากใจ แววตาของหญิงสาวเป็นมิตรและไว้ใจเขามากขึ้น
“เป็นเรื่องที่ผมต้องทำอยู่แล้ว ถือว่าพวกเราได้ช่วยเด็กผู้หญิงคนหนึ่งไปสู่สิ่งที่ดีกว่า”
“ค่ะ ฉันก็คิดเยี่ยงนั้น” ทั้งสองมองตากัน ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเปล่งประกายแรงกล้าจนหญิงสาวต้องหลบตาเสมองไปยังมหานทีเบื้องหน้าด้วยอาการนิ่งงันหากภายในใจกลับรู้สึกราวกับกำลังฝ่าคลื่นลมในนาวาอยู่กลางแม่น้ำตรงหน้าก็ไม่ปาน
“วันพรุ่งคุณจะมาที่นี่หรือไม่” เขาไม่รอให้เธอได้มีเวลาไตร่ตรองความรู้สึกตัวเองแต่รีบรุกเร้าเพื่อให้ได้ใกล้ชิดมากขึ้น
“อาจไม่มาค่ะเพราะต้องจัดการเรื่องกลอยให้เรียบร้อยเสียก่อน”
“เช่นนั้น วันมะรืนเล่า มาหรือไม่”
“คงมาค่ะ หากไม่มีเหตุใดมาทำให้ต้องงดการมาเรียนฉันก็มิเคยขาด”
“แม้ว่าไม่มีสิ่งใดจะสอนแล้วก็ตาม” เสียงปรานีของผู้อาวุโสที่สุดในกลุ่มดังขึ้น “แม่โชติเป็นศิษย์เอกของฉันเอง เรียนภาษาได้คล่องแคล่วรวดเร็ว เรื่องงานอื่น ๆ ก็พอมีฝีมือตามสมควร อวดคนได้ไม่อาย” มิสซิสเฮาส์เอ่ยปากชมศิษย์รัก “ทุกวันนี้ที่มาบ้านนี้นั้นมิได้มาเรียนหากแต่มาช่วยดูแลแลสอนน้อง ๆ มากกว่า”
“ผมเห็นเช่นที่มิสบอกครับ” เขาคล้อยตามที่เจ้าของบ้านพูดและหันไปมองหน้าหญิงสาวอย่างหารือ “เช่นนั้นคุณพอจะมีเวลามาสอนภาษาไทยให้ผมบ้างได้หรือไม่”
“สอนภาษาหรือคะ ฉันมิใช่ครูคงมิอาจสอนใครได้ดอก” โชติรีบออกตัวเพราะรู้ดีว่าเขาจะต้องหาโอกาสใกล้ชิดเธอ
“ได้สิครับ สอนในที่นี้มิต้องสอนตามตำราใด ๆ เพียงแค่คุณสอนให้ผมได้สนทนาเป็นภาษาของคุณ ส่วนผมจะสอนภาษาของผมให้บ้าง เยี่ยงนี้คุณจะทำได้หรือได้ครับ” เขารู้ดีว่าหญิงสาวสนใจใคร่รู้ภาษาของเขาเช่นกันจึงเสนอทางเลือกที่เธอไม่อาจปฏิเสธได้
“จริงหรือคะ คุณจะสอนภาษาของคุณให้ฉันหรือ” น้ำเสียงและแววตากระตือรือร้นของหญิงสาวสร้างรอยยิ้มให้อีกฝ่ายทันที หากเพียงครู่เดียวแววตาของโชติกลับหม่นลงราวลังเลบางอย่าง ด้วยเพราะไม่แน่ใจว่าตัวตนของเขานั้นมีสิ่งใดแอบแฝงอันเป็นภัยแก่บ้างเมืองของเธอหรือไม่ แม้ไม่ติดใจสงสัยในน้ำใจของเขาแล้วก็ตาม
“เอาเถิดแม่โชติ ครูเห็นว่าสิ่งที่มิเชลเสนอมานั้นน่าสนใจมิใช่น้อย ตกลงเธอก็สอนภาษาของเธอให้เขาแลเขาสอนภาษาของเขาให้แก่เธอที่บ้านของครู ดีไหมจ๊ะ”
มิสซิสเฮาส์สรุปให้เรียบร้อยอย่างรู้ดีว่าโชติต้องการสิ่งใด หากลังเลนานไปอาจทำให้เสียเวลาทุกฝ่าย เธอมองว่าอย่างไรเสียการที่หญิงสาวได้เรียนรู้ภาษาเพิ่มเติมย่อมมีประโยชน์มากกว่าการคิดระแวงว่าชายผู้นี้จะมาดีหรือร้าย หากเขาประสงค์ร้ายต่อบ้านเมืองนี้จริงย่อมเป็นการดีที่หญิงสาวจะได้รู้ว่ามีคนไม่ดีอยู่ใกล้ตัวและเธอจะได้นำเรื่องนี้ไปบอกที่บ้านให้เฝ้าระวังทั้งตัวเขาและผู้ที่เขาติดตามมาได้อย่างทันท่วงที
“ก็ได้ค่ะครู” หญิงสาวตกลงตัดสินใจได้เมื่อได้รับการสนับสนุนจากผู้ที่เธอเคารพและไว้ใจ “เช่นนั้นฉันตกลงค่ะ เริ่มเป็นวันมะรืนก็แล้วกันนะคะ”
“ได้ครับ ผมจะมารอที่นี่นะครับ”
มิเชลทอดสายตาอ่อนโยนมายังหญิงสาวตรงหน้า ดวงตากลมโตอันมีแววสุกใสเริงรื่นเป็นประจำมิได้จ้องมองตอบเขาหากแต่กำลังมองตรงไปยังไม้ใหญ่และพินิจพิจารณาราวกับว่าไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งที่ความจริงแล้วหญิงสาวย่อมต้องเคยคุ้นกับบ้านหลังนี้มานานกว่าเขาเสียอีก
เขาถือว่านี่อาจเป็นสัญญาณอันดีที่เป็นจุดเริ่มความสัมพันธ์ระหว่างเขาและหญิงสาวชาวสยามผู้งดงามจับตาทั้งยังมีน้ำใจไมตรีอันจับใจเขายิ่งนัก
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 33 : โมงยามแห่งความทรงจำ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 32 : ความในใจของบุรุษทั้งสอง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 31 : หลานสาวภริยาท่านทูต
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 30 : หญิงสาวสองคนในเมืองใหญ่
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 29 : ต่างบ้านต่างเมือง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 28 : ก่อนถึงจุดหมาย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 27 : ห่างกันไปไกล
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 26 : เพียงชั่วเวลาพลิกฝ่ามือ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 25 : ในความคิดคำนึง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 24 : จังหวะของหัวใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 23 : การเดินทางสู่โลกกว้าง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 22 : เรื่องประหวั่นใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 21 : อุปสรรคและทางออก
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 20 : โรงเรียนเด็กหญิงในสยาม
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 19 : ฤาดวงใจที่ไหวหวั่นอาจลับหาย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 18 : ความไม่ลงตัวในจิตใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 17 : หวั่นใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 16 : มิอาจทำใจยอมรับ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 15 : สยามกับคนในร่มธงฝรั่งเศสและความสัมพันธ์ที่เริ่มเปลี่ยนไป
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 14 : เรื่องที่ไม่อาจเอ่ย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 13 : เรื่องดีและร้ายภายในหนึ่งวัน
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 12 : สัญญาณที่ดี
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 11 : อิสระทั้งกายใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 10 : โอกาสของเด็กหญิง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 9 : ท่าทีเริ่มดีขึ้น
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 8 : ความเป็นไปของชีวิต
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 7 : ผู้ก่อเหตุ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 6 : พบกันอีกครา
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 5 : ความกังวล
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 4 : บทสนทนา
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 3 : บ้านลานย่านบางขุนพรหม
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 2 : ทุ่งสามเสน
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 1 : สองฝั่งน้ำ
- READ นิราศรักสองนครา : บทนำ