แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 12 : ลมหายใจ

แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 12 : ลมหายใจ

โดย : ดาราวดี

Loading

แสนฟ้าพันธุ์คำ โดย ดาราวดี ผลงานจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 4 เรื่องราวของสาวชาวเหนือที่เกิดในครอบครัวชนบทที่ยากจน ทำให้เธอต้องตกอยู่ภายใต้สังคมปิตาธิปไตยและการตกเขียวมนุษย์ หากแต่เธอกลับยืนหยัดถึงสิทธิในการมีชีวิตของตนเอง “แสนฟ้าพันธุ์คำ” นวนิยายที่เขียนจากเค้าโครงชีวิตจริงอีกหนึ่งเรื่องที่อ่านได้ใน anowl.co

จันทร์หล้าเดินตามหมอกุปป้าเข้ามายังอีกห้องหนึ่งซึ่งจัดไว้เป็นที่เฉพาะ ในห้องนั้นเป็นห้องโล่งๆ ทาผนังด้วยสีขาวจนดูกว้างขวาง ไม่มีเขตสิ้นสุด ไร้ซึ่งอุปกรณ์สิ่งของ หรือการตกแต่งหวือหวาใดๆ นอกเสียจากเก้าอี้นวมตัวหนึ่งและเตียงนอนตัวเตี้ยๆ เท่านั้น

หมอกุปป้าให้จันทร์หล้าทานยาสองเม็ดที่นางพยาบาลเตรียมไว้ให้ ซึ่งบอกว่ามันเป็นยาผ่อนคลาย แล้วจึงให้นางขึ้นไปนอนห่มผ้าอยู่บนเตียง

“ทำใจให้สบายๆ นะ บ่ต้องกังวลสิ่งใด สิ่งที่จะคุยกันวันนี้ หมอเพียงรับฟังและจะทำความเข้าใจทุกอย่างเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา เพื่อให้เฮาทั้งสองคนผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน”

จันทร์หล้ารู้สึกสบายใจแปลกๆ เมื่อหมอพูดคำว่า ‘เราสองคน’ นั่นหมายถึงนางไม่ได้ต่อสู้กับโรคนี้เพียงลำพัง หมอกุปป้าเดินมานั่งลงบนเก้าอี้นวมที่จัดไว้ข้างๆ เตียง

“หมออยากให้นางนอนหลับตานิ่งๆ พยายามตั้งสติและฟังสิ่งที่หมอจะถาม นางจงค่อยๆ คิด ค่อยๆ เพ่งมองภาพที่ปรากฏขึ้นมา แล้วค่อยๆ ตอบหมอทีละอย่าง บ่ต้องรีบเร่ง หากภาพที่กำลังเห็นในสำนึกเป็นสิ่งที่น่ากลัวจนทนบ่ไหว ก็ขอให้รู้ไว้ว่าหมออยู่ตรงนี้ แต่หากว่านางง่วง ก็ให้หลับไปเลยโดยที่บ่ต้องบอกหมอ”

หญิงสาวพยักหน้าทำตามหมอว่าอย่างว่าง่าย นางนอนราบปล่อยตัวตามสบายลงบนเตียงนุ่มๆ พยายามตั้งสมาธิไม่คิดว่อกแว่ก ปิดเปลือกตาลงพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึก สักพักก็เหมือนได้ยินเสียงฝีเท้าของใครสักคนเดินเข้ามาในห้อง แต่สุดท้ายเสียงนั้นก็ค่อยๆ ห่างออกไป ไกลออกไป จนหายไปในที่สุด

เสียงหมอเริ่มนับเลขไปอย่างช้าๆ จันทร์หล้าได้ยิน ในใจก็พลอยนับเลขตามท่านไปด้วย

“หนึ่ง สอง สาม…สี่ ห้า…”

“หนึ่ง สอง สาม…สี่ ห้า…”

“หก เจ็ด แปด เก้า สิบ”

“…เจ็ด แปด เก้า สิบ”

“สิบสี่ สิบห้า สิบหก…”

“สิบเจ็ด สิบแปด”

“สิบเก้า…”

“ยี่สิบ…”

…ยี่สิบแล้วสินะ

นับได้ยี่สิบ…มันคือยี่สิบวันที่จันทร์หล้าได้ตกมาอยู่ในรังโจรแห่งนี้…

ชีวิตแต่ละวันผ่านไปช่างไร้จุดหมาย ไร้ความแน่นอน ไม่รู้แน่ชัดว่าหากหลับไปในแต่ละคืน อีกรุ่งเช้าหนึ่งจะตื่นขึ้นหรือจะตายลงไป ในที่ที่เต็มไปด้วยความน่ากลัวในตอนกลางวัน และความสยองขวัญอันน่าสะพรึงในยามค่ำคืน เสียงโหยหวนร้องร่ำด้วยความเจ็บปวด เสียงด่าทอจิกทึ้งทุบตีโครมคราม เสียงปืนนัดแล้วนัดเล่าที่ยิงขู่ขึ้นฟ้า เสียงเฮโลโห่ลั่น เสียงพวกนี้ดังผสมผสานกันจนหัวสมองสับสนอลหม่าน แถมข้าวปลาอาหารอันน้อยนิดที่ตกถึงท้อง กอปรกับความเจ็บป่วยที่เป็นอยู่ ก็ยิ่งทำให้ร่างกายกลับซูบผอมลงไปอีก

จันทร์หล้าวางดอกไม้แห้งดอกแล้วดอกเล่า สังเวยแก่ดวงวิญญาณลงของคนที่จากไป วางไว้บนกองซากปรักหักพังของหัวใจ ดวงหน้าฟกช้ำ ดวงตาปิดหนึ่งข้าง บาดแผลปวดร้าว

ว่าแล้วก็ก้มลงเก็บหินก้อนเล็กๆ ขึ้นมา สลักขีดลากเส้นลงบนต้นไม้ต้นใหญ่…ยี่สิบ

“ตอนนี้ลองมองไปรอบๆ บอกหมอ ว่านางเห็นอะไรเป็นอย่างแรก” หมอกุปป้ากล่าวเสียงเบาอยู่ข้างๆ คนนอนหลับตา เสียงเบาจนเกือบจะเป็นกระซิบ

“ข้าเห็นโซ่…โซ่ตรวน”

มันคือโซ่ตรวนที่ผูกพันธนาการอยู่ตรงข้อเท้าของจันทร์หล้าในยามค่ำคืน เครื่องจำกัดอิสรภาพหนึ่งเดียวที่ไม่เคยอนุญาตให้นางเคลื่อนไหวได้ตามต้องการ ถอนลมหายใจทิ้งครั้งแล้วครั้งเล่าเมื่อเห็นมัน ก่อนจะค่อยๆ ใช้มือยันร่างตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆ พลันความเจ็บปวดดั่งเข็มนับแสนก็แล่นเข้ามาแทงเข้าตรงขมับ ตรงนั้นมีบาดแผลที่มีเพียงสมุนไพรที่ทำจากใบไม้เปียกๆ โปะปิดตรงหน้าแผล รอยแผลดูท่าว่าจะยังไม่หายดีแถมยังดูแย่ลงไปเรื่อยๆ ร่องรอยความบอบช้ำยังคงทิ้งความระบมไว้ตรงรอบบริเวณหางตา

“เห็นอะไรอีกหรือไม่…ลองมองไปที่มือตัวเอง นางจับอะไรไว้ในมืออยู่หรือเปล่า”

“ข้าจับมือ…เป็นมือของเด็กผู้หญิง”

เด็กผู้หญิงคนนั้นหันกลับส่งยิ้มเพียงน้อยๆ ให้กับจันทร์หล้า ก่อนจะเอาแขนมาโอบกอดนางที่กำลังผวาตื่นขึ้นมาร้องไห้กลางดึกเหมือนอย่างเช่นทุกๆ คืน พวกเราทุกคนก็ถูกพวกมันพรากมาจากคนที่รัก และทุกคนก็อยากออกไปจากที่นี่ หล่อนกล่าวปลอบโยนอยู่ข้างหู…นอนลงเสียเถิดนะ หากพวกมันเห็นว่าพวกเราตื่นมาคุยกันกลางดึก พวกมันจะเฆี่ยนตีเราจนปางตาย หล่อนกระซิบกระซาบ

จันทร์หล้าเอนตัวนอนลงโดยดีและเห็นว่ามีโซ่ตรวนอันใหญ่ผูกล่ามอยู่ที่ปลายข้อเท้าเด็กหญิงคนนั้นเหมือนกัน นางรู้ทันทีว่าหล่อนเองก็ไม่ต่างอะไรไปจากนาง และไม่ต่างไปจากอีกหลายๆ คนที่กำลังนอนรวมกันอยู่ในโรงนอนที่แออัดแห่งนี้

“เด็กสาวคนนั้นได้พูดหรือบอกอะไรกับนางบ้างไหม…”

“กำลังจะมีคนมาที่โรงการพนันในเมือง…พวกเขาต้องการหญิงสาว”

“แล้วมีใครอีกหรือไม่ ที่อยู่ที่นั่นกับนาง นอกจากเด็กสาวคนนั้น”

“มะ…มี พวกมัน!…นั่น! พวกมันกำลังเดินเข้ามา! ระวัง…”

ทันใดนั้นร่างของจันทร์หล้าที่นอนหลับตาอยู่บนเตียงก็จิกเกร็งและหายใจเข้าออกติดขัด จนหมอกุปป้าต้องรีบเอามือแตะไหล่นางเพียงเบาๆ เพื่อบรรเทาความสั่นกลัว ท่านรู้ว่าหญิงสาวเห็นอะไรในตาที่กำลังปิดนั้น

ชายหน้าตาเหี้ยมเกรียมและมีท่าทีขึงขัง หนึ่งคนหน้าตาดุดัน อีกสองคนเมาแอ๋ด้วยฤทธิ์สุราพวกมันบุกเข้ามาในโรงนอนตอนกลางดึก ก่อนจะเปิดสวิตช์ไฟขึ้นพรึ่บ บรรดาเด็กสาวที่กำลังนอนหลับอยู่บนพื้นห้องต่างตกใจผวาตื่นขึ้นมากันถ้วนหน้า

พวกมันเดินวนเวียนไปมา ก่อนหนึ่งในนั้นจะชี้เป้าให้อีกคนที่ถือพวงลูกกุญแจไปไขโซ่ตรวนที่ล่ามข้อเท้าของหญิงสาวคนหนึ่งออก หล่อนช่างโชคร้ายที่มีผิวกายผุดผ่องจนเด่นสะดุดตากว่าคนอื่นๆ น่าเวทนา

พวกมันจับหล่อนกระชากลุกขึ้นก่อนจะหิ้วปีกลากออกไปอย่างไร้ความปรานี เหยื่อสาวคนนั้นลอยลิ่วปลิวตามแรงชาย หล่อนกรีดร้องร่ำไห้โวยวาย พลางกระเสือกกระสนร้องขอความเมตตาจนสุดเสียง

คนอื่นๆ ที่เหลือต่างตะลึงพรึงเพริดไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า ไม่มีใครพูดอะไรหรือทำอะไรได้ทั้งนั้น ทุกคนรู้ดี ไม่มีใครช่วยใครได้ ไม่มีใครกล้ายุ่งกับพวกมัน และไม่มีใครอยากเอาชีวิตตัวเองเข้าไปเสี่ยง สิ่งที่ทำได้คือได้แต่นั่งมองสิ่งที่เกิดขึ้น…และตลอดทั้งคืนก็ไม่มีใครกล้าหลับตาอีกเลย

“ที่นั่น มีเด็กผู้ชายด้วยไหม”

“มี…เด็กผู้ชาย พวกมันเฆี่ยนตีเด็กผู้ชาย”

ด้วยท่อนไม้และแส้ ฟาดเข้าไปตรงกลางแผ่นหลังที่เปลือยเปล่าอย่างแรงจนหลังแอ่น แล้วบังคับให้พวกเขายกคานหามขึ้นบ่า กระบุงสานหลายใบบรรทุกของหนักเกินอัตราจนไม้คานแอ่นปริ่มๆ จะหักว่ากันว่าที่พวกมันลำเลียงออกไปทุกวันนั้นคือ ‘ฝิ่น’ นำไปส่งให้พ่อค้าคนกลาง หรือคนที่เดินทางจากต่างเมือง จันทร์หล้าได้แต่ยืนมองจากมุมนั้น เห็นขบวนคนเดินเรียงตามกันไปตามสันเขา ลัดเลาะเข้าไปในป่า

“นางเคยพูดอะไรกับคนเหล่านั้นบ้างไหม”

“พูด ข้าพูดว่า สักวัน ข้าจะหนีไปจากที่นี่…”

วันหนึ่ง กลางลานขี้ฝุ่นดินแดงโล่งกว้าง พวกเด็กสาวต่างถูกเกณฑ์เข้ามานั่งลงตรงกลางลานราวกับเป็นตลาดค้ามนุษย์ และจันทร์หล้าคือหนึ่งในคนที่ถูกพวกมันเลือก!

หญิงสาวถูกหิ้วออกจากโรงนอนในช่วงหัวค่ำ นางทั้งขัดขืนและกรีดร้องจนแทบเสียสติ พอพวกมันจับนางแยกออกมาขังไว้ในกระท่อมอีกหลัง ไม่นานก็มีผู้หญิงกลุ่มหนึ่งเข้ามาจับนางแก้ผ้าอาบน้ำ แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ใหม่ ก่อนจะพานางเข้าไปนั่งรอด้านในกระท่อมหลังเดิม จันทร์หล้าได้แต่นั่งกอดตัวเองร้องไห้ ไม่รู้ว่ากำลังจะมีอะไรเกิดขึ้น แต่ว่าท่าจะไม่ดีเสียแล้ว

พิษไข้ทำท่าจะรุมหนักขึ้นเรื่อยๆ จนนางสำรอกอากาศในกระเพาะออกมา กายบอบช้ำสั่นเทิ้มจากการถูกจับอาบน้ำ ร้อนสลับหนาวจนแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ อ่อนเพลียง่วงผล็อยไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

ครู่ใหญ่ นางได้ยินเสียงเครื่องยนต์รถและคนพูดคุยกันอยู่ด้านนอกกระท่อม ไม่อยากนั่งรอความตายอยู่ตรงนี้หรอก จันทร์หล้ารีบทำใจหาญกล้า คิดเอาว่าตายเป็นตาย นางต้องหาทางหนีไปจากที่นี่ ปาดน้ำตาทิ้งและมองไปรอบๆ เห็นประตูกระท่อมปิดไว้แต่หน้าต่างเปิดอ้า ไม่มีเวลาให้คิดมากแล้ว หญิงสาวรวบรวมความกล้าและแรงฮึดก่อนจะกระโดดหนีลงไปทางหน้าต่าง วิ่งโซซัดโซเซเข้าไปในป่าที่มืดมิด

“…แล้วนางหนีรอดหรือไม่”

จันทร์หล้าค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา มองไปยังเพดานที่ว่างเปล่า “บ่รอด…ข้าถูกพวกมันตามไปจับตัวกลับมาได้ พวกมันโยนข้าใส่ท้ายรถ นำข้าไปขายที่โรงการพนันในเมือง ที่นั่นมีแต่แสงไฟสว่าง ควันบุหรี่ และผู้คนที่น่ากลัว”

“ตอนนั้น นางเองคงจะรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังเหลือเกินใช่หรือไม่”

“ข้าแทบจะบ่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ แต่พอได้กลับมาคิดอีกที ตัวข้านี้แท้…ตายไปตั้งนานแล้วต่างหาก”

หมอกุปป้าชะงักกึก โน้มตัวลงมา ถามลงเสียง “ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่นางรู้สึกตัวว่าตายไปแล้ว”

จันทร์หล้านอนน้ำตาไหลพราก สำนึกเห็นชัดเจนถึงตอนที่นายกองหนุ่มถูกยิง นอนตายจมกองเลือด ปืนนัดนั้นไม่ได้ฆ่าแค่ชายหนุ่ม หากวันนี้จันทร์หล้ารู้ตัวแล้วว่า วิญญาณของนางเองก็ถูกปลิดไปในครั้งนั้น…

“ข้าตายไปพร้อมกับตอนที่นายกองโดนพวกโจรฆ่า หากแต่ข้าเป็นคนบาป สวรรค์ยังอยากให้ข้าชดใช้กรรม จำให้ข้าต้องฟื้นตื่นจากความตายมาครั้งแล้วครั้งเล่า…”

“แล้วหากว่านางย้อนเวลากลับไปได้ นางอยากจะทำสิ่งใด หรือพูดอะไรกับเขาไหม…นายกองผู้นั้น”

จันทร์หล้าน้ำตาปรี่ไหลลงตรงหางตา นางพยักหน้า จิตใจสั่นหวิวไหวสั่นเมื่อได้ยินคำว่า ‘นายกอง’ จากน้ำเสียงของคนอื่น เพราะนอกจากคนสยามเมืองบางกอกแล้ว ก็มีแต่นางคนเดียวที่เรียกเขาแบบนั้น

“เอาละ ทีนี้ค่อยๆ หันมาทางหมอ มองมาทางนี้ให้ดีๆ บอกหมออีกที ว่านางเห็นหมอหรือเห็นผู้ใด”

คนเก็บงำความรู้สึกผิดจนกลายเป็นโรคร้ายกัดกินใจค่อยๆ หันมา พลันก็สบใส่กับดวงตาสีอ่อนที่ตนเคยเก็บซ่อนไว้ในซอกลึกแห่งความทรงจำ ภาพที่ปรากฏให้เห็นตรงนั้น จึงกลายเป็นเจ้าของดวงหน้าคมสันที่เคยถวิลหา ดวงตาที่เต็มรื้นไปด้วยน้ำตาเบิกกว้าง

“นายกอง…”

นายกองหนุ่มในชุดเสื้อราชปะแตนเหมือนอย่างที่เคยเห็นในรูปถ่ายส่งยิ้มมาให้อย่างแช่มชื่น หากจันทร์หล้ากลับน้ำตาไหลพรากด้วยความเศร้าเสียใจและความรู้สึกผิด ริมฝีปากสั่นระริกขณะเอ่ยคำที่ซ่อนไว้ในใจ

“ข้าขอโทษ…ขอโทษที่พานายกองมาตาย บ่น่าเลยจริงๆ ข้าบ่น่าหนีออกจากบ้าน วันนั้นหากบ่ร้องขอให้นายกองพาหนี นายกองก็คงกำลังสุขสบายอยู่ที่บางกอก เป็นข้าเอง…ข้าแต่เพียงผู้เดียว”

ความรู้สึกขื่นขมพรั่งพรูออกมาอย่างยากลำบาก ขณะที่กายแข็งทื่อได้แต่นอนนิ่งๆ อยู่บนเตียง แต่ถึงอย่างนั้นนายกองก็ยังใจดีกับนางเสมอ เขากล่าวด้วยสำเนียงสยามที่ฟังแล้วช่างรู้สึกปลอบประโลมจิตใจ ใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“จันทร์หล้าฟังพี่นะ คนเรามีกรรมและวาระที่ต่างกัน ถึงแม้พวกเราจะรอดพ้นไปด้วยกันในวันนั้น แต่ไม่นานความตายก็จะเข้ามาพรากเราสองอยู่ดี ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ‘พานพบเพื่อลาจาก’ สิ่งนี้เรียกว่าชีวิตไม่ใช่ความผิดอะไรของเธอเลย”

“นายกองอยู่ในที่ที่ดีแล้วใช่ไหม ข้าเจ้าอาลัยหา”

“ข้าวทิพย์น้ำทิพย์ที่เธอส่งมา พี่ได้รับมันแล้ว ขอบใจเธอเหลือเกิน” ว่าแล้วเขาก็เผยซากดอกไม้และสิ่งต่างๆ ที่นางเคยใส่บาตรถวายทานไปให้ ภาพนั้นปรากฏเป็นดวงแก้วทิพย์แสงสีนวลลอยละล่องไปรอบๆ

แม้น้ำตาจะไหลริน แต่จันทร์หล้าก็ยังยืนหยัดที่จะยิ้ม เขากลับมาแล้ว เขากลับมาแล้วจริงๆ หากแต่การกลับมาของเขาครั้งนี้ คงจะเพื่อมาบอกนางว่า ‘เขาจะไม่กลับมาอีกแล้ว’…

“ข้าเจ้าเป็นหนี้ชีวิตนายกอง ที่ช่วยข้าในวันนั้น หากนายกองบ่พาข้าหนี ข้าคงต้องตกนรกทั้งเป็นแถมคำสอนของนายกองพวกนั้น แม้จะเป็นเพียงใจความสั้นๆ แต่ก็ทำให้ใจข้าฮึกเหิมยิ่ง ข้าอยากต่อสู้เพื่อชีวิต อยากยืนหยัดเพื่อตัวเอง…หากแต่วันนี้ท่านลาลับไปไกล ข้าน้อยผู้นี้แสนอาลัยความดีของท่านนัก ยังบ่ทันได้ตอบแทน บ่ได้แม้ตกแต่งศพซาก ได้แต่ปรารถนาขอให้ท่านอโหสิกรรม”

นายกองหนุ่มหายใจเข้าลึก เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงใจ “พี่ได้รับรู้ถึงสิ่งที่เธออยากบอกแล้ว พี่ขออโหสิกรรมและขอให้เธอใช้ชีวิตอย่างที่เธอปรารถนา อย่าได้ลืมจิตวิญญาณที่เข้มแข็งของตัวเองเป็นพอ…ยืนหยัดเพื่อตัวเอง”

พลันความแช่มชื่นตื้นตันอันแสนแปลกประหลาดก็โถมทับเข้ามา ดวงตาฝ้าฟาง แสงสว่างขาวจ้า จันทร์หล้าปล่อยโฮออกอย่างไม่อาย นายกองเลือนหายสลายไป…ลอยละล่องไปรออยู่ที่โลกหน้า

หมอกุปป้าปล่อยให้จันทร์หล้านอนร้องไห้อยู่อย่างนั้น ท่านหายใจออกหนัก ปะติดปะต่อเรื่องราวที่ขาดๆ หายๆ นึกไม่ถึงเลยว่าเด็กสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะผ่านเรื่องราวสุดชอกช้ำระกำใจ ‘ความโหดร้ายของสังคมนิยม ความยากจนที่ทำให้คนถึงขั้นขายศักดิ์ศรี ค่านิยมความเห็นแก่ตัว การถูกครอบครัวทอดทิ้ง ความเหลื่อมล้ำในสิทธิ ความล้าหลังของจริยธรรมและอำนาจปิตาธิปไตย’ สิ่งเหล่านี้ได้ทำร้ายหัวใจดวงเล็กๆ ดวงหนึ่งให้ย่อยยับพังสลายอย่างไม่มีชิ้นดี

ดวงใจอันบริสุทธิ์แหลกสลายครั้งแล้วครั้งเล่าโดยที่เด็กสาวไม่ได้ทำอะไรผิด หากแต่ต้องกลายมาเป็นผู้รับผลกรรมเองทั้งหมด ทั้งถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจ ซ้ำร้ายยังถูกฝังกลบทั้งเป็นในหลุมลึกที่จารึกรอยแผลเป็นด้วยไอเศร้าที่กัดเซาะกินหัวใจจนเปราะบาง จนกลายเป็นความบกพร่องเว้าแหว่ง

เนิ่นนานกินเวลาเกือบชั่วโมง กว่าเสียงสะอื้นไห้ของคนบนเตียงจะค่อยๆ เงียบหาย หลงเหลือแต่เสียงลมหายใจหนักเบาในภายหลัง

“ตอนที่พวกนั้นพานางไปที่บ่อนการพนัน นางเจอกับใครที่นั่นอีกไหม”

หญิงสาวปาดน้ำตา สำนึกถึงความเข้มแข็งที่หลงเหลือ “ข้าเจอกับชายที่ซื้อตัวข้า เขามาที่นั่น เขาอยู่กับพวกมัน ดวงตาเขามาดร้าย…เหมือนดวงตาเสือ”

“จดจำอะไรเกี่ยวกับชายคนนั้นได้อีกไหม หมอกำลังปะติดปะต่อชิ้นส่วนสุดท้ายของเรื่องนี้”

จันทร์หล้านิ่งคิดอยู่เพียงครู่ หันมาตอบ น้ำเสียงอู้อี้ “เขาพูดภาษาสยามได้”

“แค่นั้นเองหรือ”

“เขา…เขาสูบบุหรี่…แกล้มกับผลไม้”

ทันใดนั้นเอง หมอกุปป้าก็เผลอหัวเราะออกมาราวกับได้เจอชิ้นส่วนสำคัญที่กำลังตามหาเสียที คิ้วบางของอีกคนจึงขมวดเข้าหากันเป็นเชิงสงสัย

“อืม เปล่า บ่มีอันใด หมอแค่คิดว่าคนที่ชอบกินผลไม้แกล้มบุหรี่น่าจะเป็นคนที่แปลก”

“แปลกสิท่านหมอ พิลึกมากทีเดียว”

ท้ายที่สุดหมอกุปป้าจึงสรุป หลังจากได้ฟังเรื่องราวมาตั้งแต่ต้นจนจบ กระทั่งจับต้นชนปลายและได้รู้แล้วว่าเหตุใดสาวน้อยผู้นี้ถึงได้มีชะตาชีวิตพลัดถิ่นมาอยู่ที่แสนฟ้าได้

“เอาละ จันทร์หล้า…นางรู้ไหม ว่าการที่นางผ่านเรื่องราวทั้งหมดจนได้มาคุยกับหมออยู่ตอนนี้ได้นางเข้มแข็งเหลือเกิน เข้มแข็งทั้งกายและจิตใจ ในเมื่อวันนี้ นางกล้าที่จะกลับไปนึกถึงเรื่องราวพวกนั้น แล้วตอบคำถามหมอได้หมดทุกข้อ อีกหน่อยวันหน้า หากภาพพวกนั้นผุดกลับมาในความฝันอีก หมอเชื่อเหลือเกินว่านางจะรู้สึกเข้มแข็งกับมัน และฝันร้ายก็จะกลายเป็นเพียงฝันธรรมดา ที่บ่สามารถทำอันใดนางได้อีก…สำคัญคือจิตใจต้องแข็งแรง”

“แล้วทำอย่างไร จิตใจข้าถึงจะแข็งแรงหนอท่านหมอ”

“เรื่องนี้ มีคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยนางได้”

“ใครหรือ”

“คนผู้นั้นก็คือตัวนางเอง…”

สิ้นคำหมอ จันทร์หล้ารู้สึกสบายที่ใจอย่างแปลกประหลาด คิดทบไปทบมา หรือจริงๆ นางเองก็ไม่ได้ต้องการลืมเรื่องพวกนั้น นางแค่ต้องการที่จะจดจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นและอยู่กับมันให้ได้ต่างหาก

ใจที่แข็งแรงหรือ

หลับตาลงอีกครั้ง ครั้งนี้เนิ่นนานและไม่มีฝันร้ายแผ้วพาน รับรู้แต่เพียงลมหายใจที่ปลายจมูก

นั่น…เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้นางยังคงมีชีวิตอยู่

 



Don`t copy text!