แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 13 : เข้าพบมหาเทวี

แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 13 : เข้าพบมหาเทวี

โดย : ดาราวดี

Loading

แสนฟ้าพันธุ์คำ โดย ดาราวดี ผลงานจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 4 เรื่องราวของสาวชาวเหนือที่เกิดในครอบครัวชนบทที่ยากจน ทำให้เธอต้องตกอยู่ภายใต้สังคมปิตาธิปไตยและการตกเขียวมนุษย์ หากแต่เธอกลับยืนหยัดถึงสิทธิในการมีชีวิตของตนเอง “แสนฟ้าพันธุ์คำ” นวนิยายที่เขียนจากเค้าโครงชีวิตจริงอีกหนึ่งเรื่องที่อ่านได้ใน anowl.co

แสงอาทิตย์ยามบ่ายโน้มเอนลาดเอียงทำองศากับมุมหน้าต่าง สาดแสงอุ่นอ่อนลอดผ่านซี่ลูกกรงและผ้าม่านลูกไม้ผืนบางเข้ามาตกกระทบกับใบหน้าคนกำลังนอนหลับใหล บทสนทนาที่ฟังไม่ได้ใจความตามโถงทางเดินปลุกเรียกหญิงสาวให้ตื่นขึ้น

จันทร์หล้าหลับไปนานด้วยฤทธิ์ยา หลับลึก หลับสนิทราวกับคนเพิ่งได้นอนเต็มตื่นเป็นครั้งแรกในรอบปี งัวเงียลุกขึ้นมาอีกที นาฬิกาก็บอกเวลาว่าใกล้จะบ่ายสาม…

หญิงสาวกระเด้งตัวผุดลุกขึ้นทันใด หุนหันพลันแล่นโดดลงจากเตียงคนไข้ไปอย่างไม่รอช้า วิ่งพรวดออกไปด้วยสำนึกได้ว่ามีภาระหน้าที่อันใหญ่หลวงต้องรีบไปทำ จนหมอกุปป้าที่กำลังตรวจรักษาคนไข้อยู่ในห้องอีกฝั่ง ต้องรีบตะโกนเรียกตามหลัง เพื่อบอกให้นางแวะไปรับหยูกยาที่นางพยาบาลก่อนกลับ และอย่าลืมแจ้งนัดที่ท่านฝากฝังให้ไปแจ้งกับเจ้าชายาให้ทรงทราบ

คนรีบเร่งตอบรับพยักหน้า ก่อนจะรีบมารับยากับนางพยาบาลคนเดิมที่โต๊ะระเบียนคนไข้นางพยาบาลสาวในเครื่องแบบผ้าถุงสีแดงจัดแจงยาสองกระปุกใส่ลงในถุงกระดาษแล้วส่งยื่นให้ จันทร์หล้าขอบใจหล่อน ก่อนจะวิ่งตาลีตาเหลือกออกไปจากโรงพยาบาล

ช่วงบ่าย ถนนด้านหน้าโรงพยาบาลตลอดทั้งสายได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของตลาดเย็นไปแล้ว ตอนนี้พวกพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่ต่างมาตั้งหาบและวางแผงลอยขายของกันเต็มถนนทั้งสองฝาก ผู้คนถือกระบุงกระจาดเดินไปมาขวักไขว่ พ่อค้าชาวแขกปาทานขายน้ำแข็งไสบนรถพ่วง มีพวกเด็กๆ ล้อมหน้าล้อมหลัง ส่วนพ่อค้าชาวเนปาลีที่ถนัดขายของทอดประเภทขนมหวานทานเล่น ก็กำลังนั่งเคี้ยวหมากคอยลูกค้าหน้าเจื่อนๆ พ่อค้าชาวอินเดียมักขายถั่ว ทั้งถั่วดิน ถั่วเหลือง แปหล่อและเครื่องเทศที่มีกลิ่นฉุน

จันทร์หล้าเร่งฝีเท้าก้าวยาวๆ ไปตามตรอกซอกเดิมที่เคยลัดเลาะมาเมื่อตอนเช้า กระทั่งทะลุออกไปตรงสุสานด้านหลังโบสถ์ในระยะเวลาอันรวดเร็ว พ่อบ้านคนขับรถประจำตำหนักมาจอดรอท่ารับแล้ว รถยนต์ของคนอื่นๆ ก็กำลังเลี้ยวตามกันเข้ามา โชคยังดีที่ระฆังยังไม่ทันตีบอกเวลาเลิกเรียน หญิงสาววิ่งจนเหนื่อย เหนื่อยจนจุก ทิ้งตัวลงตรงม้านั่งอย่างหมดสภาพ

ยังไม่ทันหายเหนื่อย ท้องก็ร้องจ๊อกๆ เป็นสัญญาณบอกว่ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เช้า ตอนนี้เลยทั้งเหนื่อย ทั้งหิวและทั้งหนาว โมโหหนักเลยต้องขอเขกหัวตัวเองไปหนึ่งที นี่สินะที่ท่านเรียกว่าหลับเป็นตาย แต่หากตื่นไม่ทันมารับเจ้าสุนันต่าหลังเลิกเรียนนี่สิ จันทร์หล้าได้ตายจริงแท้ มีหวังถูกเจ้าหญิงและเจ้าชายาเอ็ดขนานใหญ่ที่มัวแต่เถลไถล

ว่าแล้วนางก็รีบหิ้วท้องขึ้นไปทำทีขอหลบลมหนาวที่ห้องสมุดบนชั้นสองของตัวอาคาร ด้านหน้าห้องสมุดแห่งนั้นมีกจะมีโต๊ะวางโหลใส่พวกก้อนน้ำตาลและขนมก้อนเล็กๆ วางไว้เพื่อให้คนที่มาอ่านหนังสือหยิบกินเล่นๆ ระหว่างอ่านหนังสือ

จันทร์หล้ามองซ้ายมองขวา เห็นไม่มีใครจึงรีบเปิดฝาขวดโหล หยิบเอาก้อนน้ำตาลสองก้อนใส่ปากอย่างว่องไวเพื่อประทังความหิว แล้วจึงทำทีเป็นเข้ามานั่งอ่านหนังสือในห้องสมุด

ห้องสมุดของโรงเรียนหอมอวลไปด้วยกลิ่นกระดาษและกลิ่นดอกไม้ป่าที่เป็นรสนิยมของคนตะวันตก เสียงสนั่นสั่นครืนของเครื่องทำความอุ่นขนาดใหญ่ที่กำลังทำงานอยู่ ทำให้ห้องสมุดไม่ได้เงียบตามที่ควรจะเป็น

จันทร์หล้าเดินซอกแซกไปตามชั้นวางที่เต็มไปด้วยหนังสือที่จัดวางไว้เป็นหมวดหมู่ หนังสือที่ว่ามีทั้งเล่มบางเล่มหนา เล่มเก่าและใหม่ปะปนกัน ทั้งเล่มที่มีภาพประกอบสวยงามและเล่มที่มีแต่ตัวหนังสือเท่านั้น หนังสือบางเล่มเป็นภาพสี บางเล่มก็เป็นภาพขาวดำ มีหลากหลายภาษาให้เลือกอ่าน แต่อนิจจา หญิงสาวอ่านหนังสือไม่ออกเลยสักเล่ม

ว่าแล้วก็จึงทำทีเป็นหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากชั้น เมื่อรู้สึกว่ามีใครสักคนในห้องสมุดมองตนอยู่ จันทร์หล้าไม่แน่ใจในธรรมเนียมด้วยซ้ำ ว่าปกติท่านอนุญาตให้คนรับใช้เข้ามาอ่านหนังสือในห้องสมุดได้หรือไม่ แถมยิ่งมีคนจ้องมอง จันทร์หล้าก็ยิ่งต้องแสร้งหยิบหนังสือออกมาหลายๆ เล่มประหนึ่งว่าตนเองก็เป็นหนอนหนังสือ ก่อนจะมานั่งลงตรงโต๊ะที่นั่งในมุมที่มิดชิดที่สุด ที่ที่คิดว่าจะไม่ถูกคนอื่นพบเห็นโดยง่าย เฝ้ารอเวลาระฆังตีบอกเลิกโรงเรียนอย่างใจจดใจจ่อ

เปิดหน้าหนังสือหน้าแล้วหน้าเล่าไปเพียงผ่านๆ ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน แถมทำท่าว่าจะดังใกล้เข้ามาๆ เรื่อยๆ จันทร์หล้าที่แอบเข้าห้องสมุดโดยพลการจึงรีบทำทีเป็นก้มตาก้มตาอ่านหนังสือ เพื่อไม่ให้ดูแปลกแยกจากคนอื่นๆ ที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในมุมของตนเอง เพียงไม่กี่อึดใจ สตรีวัยกลางร่างท้วมก็ปรากฏกายพร้อมกับคณะของแม่ชีอธิการอยู่ตรงเบื้องหน้า

ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ คนลอบเข้าห้องสมุดเหลือบตาขึ้นมองจากหนังสือหลายแวบ และเห็นว่าคนกลุ่มนั้นได้เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าตน ห่างออกไปเพียงไม่กี่มุมโต๊ะ

จันทร์หล้ามองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าสตรีที่มากับแม่ชีอธิการผู้นั้นเป็นเจ้านาย พินิจจากผ้านุ่งที่เป็นซิ่นแพรไหม อีกสร้อยคอไข่มุกและเครื่องประดับเต็มตัว ท่านมาพร้อมกับข้ารับใช้ที่ติดสอยห้อยตามมาอีก สามสี่คน ใบหน้าของท่านที่มองมายังตนแลดูอวบอิ่มมีแววน่าเกรงขาม

ว่าแล้วสตรีท่านนั้นก็เหลียวไปมองรอบๆ ห้องสมุด ส่วนคนที่ถูกท่านมองก็กำลังละล้าละลังด้วยใจเต้นโครมคราม ทั้งกลัวถูกลงโทษ หรือกลัวว่าจะถูกถาม ตอนนั้นในห้องสมุดยังคงเงียบงันและไม่มีใครขยับตัว

เมื่อหญิงสาวรู้ตัวแล้วว่าตนคงจะอยู่ผิดที่ผิดทาง นางก็จึงทำได้เพียงส่งแต่ยิ้มเขินอายๆ และก้มหัวให้กลุ่มคนเหล่านั้น ว่าแล้วก็จึงค่อยๆ ลุกออกจากเก้าอี้ที่นั่งเพื่อเอาหนังสือไปเก็บไว้ที่ชั้น ก่อนจะทำตัวเล็กตัวลีบมาหยิบเอาร่มและพวกถุงกระดาษอีนุงตุงนัง แล้วเดินย่องออกจากห้องสมุดไปอย่างเบาเสียงที่สุด

“บ๊ะ อี่คนนี้มันโง่หรือมันบ้า เห็นมหาเทวีแล้วบ่ยอมยกมือขึ้นไหว้” หญิงหุ่นอ้วนตุ๊ต๊ะนางหนึ่งขยับออกมาโวยวายตามหลังคนที่เพิ่งเดินออกจากห้องสมุดไปอย่างไม่พอใจ

มหาเทวีจ่ามคำทรงหันไปถามแม่ชีอธิการที่มากับท่านอย่างแปลกพระทัย

“มีนักเรียนใหม่มาหรืออย่างไร ซิสเตอร์”

“ไม่มีแม่เจ้า เด็กสาวคนเมื่อกี้เธอเป็นแนนนี่ของซูซานน่า”

“แนนนี่ของซูซานน่า?” ผู้เป็นเจ้าแม่เมืองและยังเป็นผู้อุปถัมป์โรงเรียนทวนคำเสียงสูงเป็นเชิงสงสัย “เจ้าสุนันต่าน่ะรึ”

“บาทเจ้า เธอมารับส่งซูซานน่าที่โรงเรียนทุกวัน ขยันขันแข็งแต่พูดน้อย เธอเป็นเด็กดีนะแม่เจ้า”

“แต่เท่าที่ข้ารู้ นางพี่เลี้ยงของเจ้าสุนันต่าคือนางอ่อนเงินบ่ใช่หรือ…หรือข้าพลาดอันใดไป”

หญิงข้าหลวงอีกนางที่ยืนอยู่ด้านหลังขยับออกทูลมหาเทวี

“คนนี้เป็นคนใหม่แม่เจ้า เห็นว่าเจ้าชายาเพิ่งรับมันเข้ามาทำงานได้บ่ถึงปี แต่ได้ยินคนเขาบอกว่ามันเป็นคนจิตใจบ่อยู่กับเนื้อกับตัว เหมือนคนจิตฟั่นเฟือน น่าจะสติบ่ค่อยดีเท่าไหร่”

“ถึงว่า มันถึงบ่ไหว้มหาเทวี…” ใครสักคนกล่าวสรุปเป็นเหตุเป็นผล

มหาเทวีทรงนิ่งเพื่อไตร่ตรองบางอย่าง ก่อนจะตัดสินใจเสด็จออกมายืนอยู่ตรงระเบียงด้านนอก พลางทอดพระเนตรลงไปด้านล่างที่หน้าตึกเรียนเมื่อเสียงระฆังดังขึ้น…หญิงสาวคนนั้นกำลังกางร่มให้ธิดาเจ้าสอาดองค์ระหว่างพากันเดินไปขึ้นรถ

ด้วยเครื่องหน้าจิ้มลิ้มที่ถูกจัดวางอยู่ภายใต้ดวงหน้าหวานละมุนของนาง อีกรอยยิ้มที่นับว่ามีเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร มหาเทวีจ่ามคำปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพที่เห็นเมื่อกี้นี้ งดงามดั่งฉากฉากหนึ่งที่หลุดออกมาจากนวนิยายที่ท่านกำลังทรง ซึ่งหากไม่ใช่เรื่องชีวิตรักของนางสาวเจน แอร์ ก็อาจจะเป็นเรื่องดอกไม้ทรนงกับชายชาติผยอง หรือ Pride and Prejudice

 

ลำน้ำแม่ลาไหลเอื่อยลงมาจากเทือกเขาทางด้านทิศเหนือตอนบนของเมือง อันเป็นเขตที่อยู่ทำกินของชนชาติพันธุ์ลาหู่และอิ้วเมี่ยน ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มชนชาติพันธุ์ชาวดอยอีกกลุ่มหลักของแสนฟ้า

ตั้งแต่อดีตนานมา ผู้นำชาวเขาทั้งสองเผ่ามักจะนำผู้คนลงดอยมาขอเข้าร่วมพิธีกั่นตอ ซึ่งเป็นพิธีแสดงความเคารพและขอขมาต่อเจ้าฟ้าหลวง ยามพวกเขาลงดอยมาก็จะมาพร้อมกับของถวายที่เป็นของป่าหายาก เช่นดอกเอื้องฟ้ามุ่ย เสือไฟ หรือบางทีก็ไก่ฟ้าพญาลอ

ต่อมา เจ้าฟ้าหลวงจึงสั่งสร้างสะพานแขวนข้ามลำน้ำแม่ลา เพื่อใช้เป็นทางข้ามไปมาหาสู่กันระหว่างชาวไทพื้นเมืองและชาวเขา ชาวลาหู่นั้นมักรับจ้างปลูกไร่ฝิ่นให้ทางการ ฝิ่นที่เก็บได้จำนวนมากทำให้เจ้าฟ้าสมัยก่อนๆ ร่ำรวยมหาศาลจากการค้าฝิ่น ทำรายได้เข้าพระคลังเป็นกอบเป็นกำ

หากแต่ภายหลังการตกเป็นเมืองขึ้น การค้าฝิ่นของเจ้าฟ้าก็ถูกระงับโดยรัฐบาลอังกฤษที่ตอนแรกเข้ามาแบ่งแย่งสัดส่วนการค้า ก่อนภายหลังจะออกกฎหมายที่ต้องการเป็นผู้ค้าเพียงเจ้าเดียวในภูมิภาคบริติชอินเดีย ผ่านบริษัทอินเดียตะวันออกที่ตระเวนซื้อขายผูกขาดสินค้าในพื้นที่อีกหลายๆ ประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  เจ้าฟ้าจึงให้ชาวเขาปลูกดอกไม้เมืองหนาวทดแทนเพื่อทำรายได้เข้าเมือง ครั้นพอปลูกมากๆ เข้า ก็เลยกลายเป็นอุทยานสวนดอกไม้ขนาดใหญ่

บริเวณพื้นที่ตรงใต้สะพานแขวนไม่มีที่ไหนเลยที่จะไม่ใช่แปลงดอกไม้ ยิ่งเข้าหน้าหนาว อากาศเริ่มเย็นหมอกตกทีไร ดอกไม้หลายสายพันธุ์ก็เริ่มเบ่งบานสะพรั่งราวสาวน้อยวัยแรกแย้มเต็มสองฝั่งแม่น้ำทั้งดอกคัตเตอร์ มาการ์เร็ต ดอกหงอนไก่ ดอกดาวเรือง ดอกดาวกระจายหรือมอสคอสสีชมพู ต่างล้วนชูช่อออกท้าไอเย็นแห่งฤดูหนาว ช่วงเย็นๆ ชาวเมืองมักจะมาเยี่ยมชมสวนดอกไม้ยามว่างเว้นจากการทำงาน ด้านบนสะพานมักจะมีหนุ่มสาวคู่รักมานั่งพลอดรักกันเป็นคู่ๆ

“ช่วงปลายปี บ้านเมืองทางนี้จะมีแต่งานเทศกาลรื่นเริง” สาวหน้าแป้นหันมาบอก ก่อนจะปูเสื่อนั่งลงบนพื้นสนามหญ้าริมฝั่งแม่น้ำ “…ที่แน่ๆ จะมีงานแห่ต้อนรับคณะนักเรียนทุนของรัฐบาล สูรู้ไหมว่าทางการจะจัดงานปอยแปดวันแปดคืน ปิดถนนตั้งแต่ประตูเมืองไปจนถึงย่านกลางเมืองเชียวนา ผู้คนจะแห่มาที่แสนฟ้ากันมากหลาย ปีที่แล้วนับคนได้เป็นแสน”

“สูก็พูดเกินจริง คนเป็นแสนก็คนล้นเมืองน่ะสิ”

“อ้าว จริงๆ นะ” ม่อนหอมแย้งคนไม่เชื่อ “จะไปทางใดก็มีแต่คนเสียทั่วเมือง เดินทีก็เดินชนหัวไหล่กันไปมาๆ เวทีแสดงจ๊าดทั้งไททั้งม่านมีอยู่เป็นสิบเวทียาวเหยียดเต็มถนน คณะละครขึ้นลงทำการแสดงเป็นว่าเล่น เสียงดนตรีดังสนั่นหวั่นไหวตลอดทั้งกลางวันกลางคืน”

“ฟังแล้ว ดูจะเป็นงานใหญ่โตชัดนัก” จันทร์หล้าจินตนาการตาม

“ใหญ่มากนะสู ใหญ่กว่างานปอยเดือนสิบเอ็ดที่เมืองหมอกใหม่เสียอีก แสงไฟสว่างโจ่งแจ้งหยั่งกะเทศกาลประกวดโคมไฟบินที่เมืองหลวง”

“หากเป็นที่บ้านเมืองของข้า ช่วงนี้ทางเฮาจะมีงานยี่เป็ง ตอนเช้าตรู่พวกข้าจะแขวนโคมไฟ และถางประทีปไว้ที่หน้าเรือนและจะออกไปทำบุญกันที่วัด ตอนกลางวันก็จะกลับมาทำกระทงจากต้นกล้วยและใบตองเพื่อเอาไปลอยที่แม่น้ำ ส่วนตอนเย็น ก็จะพากันเล่นจุดบอกไฟและตามไฟเย็นกัน ชาวบ้านมักจะปล่อยโคมไฟลอยขึ้นฟ้าเป็นเส้นเป็นสายตอนช่วงค่ำ ทางเฮาเชื่อว่าลอยโคมไฟเพื่อที่จะไปบูชาพระเกตุแก้วจุฬามณีบนเมืองฟ้าชั้นดาวดึงส์”

“ทางไทคำหลวงเฮาก็มีความเชื่อนั้นแบบนั้นเหมือนกันนะ”

“จริงหรือ”

“แม่น แต่ทางนี้เฮาเรียกว่างานตาซองไดง์ แปลได้ว่าเทศกาลแห่งแสง วันเพ็ญเดือนยี่ของสูก็อาจจะเป็นเดือนตาซองมอนของหมู่ข้า ทางนี้ก็จะพากันเข้าวัดตอนเช้าแล้วก็ปล่อยโคมลอยเหมือนกัน แต่ที่เมืองหลวงชาวฝรั่งท่านจะจัดเป็นการแข่งโคมไฟบินอย่างยิ่งใหญ่ แต่ข้ายังบ่เคยไปเห็นงานนั้นดอกหนาคนที่เคยไปมาท่านบอกสนุกเหลือเกิน อากาศก็หนาวเย็นชื่นใจ”

ทั้งสองสาวเงยหน้าขึ้นไปมองบนสะพานแขวน เมื่อได้ยินเสียงพลอดรักของคู่หนุ่มสาวลอยมา

“ข้าได้ยินเจ้าปลาพูดถึงเรื่องงานกีฬาสักอย่างตอนช่วงปลายปี สูเคยเห็นงานนี้มาก่อนไหม”

ม่อนหอมรีบยืดอกมั่นใจ ดวงตาประกายเป็นวาว “ไยจะบ่เคยล่ะ งานกีฬาประจำปีที่สโมสรโปโล เป็นงานแข่งขันกีฬาของคนในหอหลวง ข้านี่แหละ ตัวแทนนักทุ่มน้ำหนักของหอตะวันตก”

“ทุ่มน้ำหนัก?” จันทร์หล้าน้ำเสียงงวยงง “จับคนทุ่มหรือ หรือจับอันใดทุ่ม”

หญิงนักทุ่มน้ำหนักได้ยินคำถามก็ถึงกับหัวเราะก๊าก “…ชื่อว่าทุ่มน้ำหนักก็ต้องทุ่มลูกน้ำหนักสิอี่นายเฮย ใครเขาจะจับคนทุ่มกันล่ะ การแข่งขันกีฬาช่วงปลายปีเป็นอะไรที่สนุกสนานสำหรับคนในหอหลวงยิ่งนัก พวกข้ารับใช้จะได้รับอนุญาตให้ไปแข่งขันกีฬากับเจ้านายท่านด้วยนา แถมยังได้เข้าไปในสโมสรชาวฝรั่งด้วย หากบ่มีเวียกมีงาน ก็อย่าหวังว่าจะได้เข้าไปที่นั่นได้”

“ข้าเองก็อยากเห็นสโมสรโปโล…ขอข้าอยากจะแข่งกีฬาให้ฝ่ายหอตะวันตกบ้างได้ไหม ข้าได้ยินเจ้าปลาท่านว่า หอตะวันตกเฮาบ่ค่อยมีนักกีฬา แข่งกีฬากี่ครั้งก็แพ้ทุกครั้ง”

“ก็ฝ่ายเฮามีแต่คนเจ็บคนป่วยนี่นา สูก็ดูแต่ละคนสิ เจ้าปลาเอย เจ้าสิงห์เอย พี่หม่วยงี้ นางคำส่างี้ ผอมแห้งยั่งกะคนเป็นพยาธิ อีกคนผอมเหลืองเหมือนคนเป็นซาง ฝ่ายอื่นท่านมีแต่คนตัวใหญ่หนาเนื้อแน่น…ว่าแต่ สูเล่นกีฬาอันใดเป็นบ้างล่ะ”

“ก็นี่แหละ ข้าเองก็จนปัญญา ข้าบ่เคยรู้จักกีฬาด้วยซ้ำ เลยบ่รู้ว่าข้าเล่นอันใดเป็นบ้าง แต่ข้าเล่นวิ่งไล่จับเก่งหนา ข้าวิ่งไวนะสู อ้อ…แล้วก็ยังขึ้นต้นไม้เก่งอีกด้วย”

“โอ๊ย แข่งขันขึ้นต้นไม้ก็เป็นลิงเป็นวอกน่ะสิ” สาวเจ้าเนื้อหัวเราะไม่หยุด จนอีกคนมุ่ยหน้ามองค้อน

“สูก็ลองเอ่ยออกมาสักชื่อซี ข้าจะได้เอาไปอ้างกับเจ้านายท่านได้”

ม่อนหอมทำท่ามองเพื่อนอย่างเคร่งครัด พิจารณา “แข้งขาสูยาว หุ่นสูเพรียวลม แข่งกระโดดไกลแล้วกัน”

“กระโดดไกลหรือ…หมายถึง ต้องกระโดดให้ไกลที่สุดเท่าที่จะกระโดดได้ใช่บ่ใช่ แบบนี้หรือเปล่า”

ว่าแล้ว จันทร์หล้าก็ลุกขึ้นทำท่ากระโดดไกลในความคิดของนาง หากม่อนหอมกลับลงไปนอนหัวเราะจนตัวม้วน พร้อมบอกว่า กระโดดแบบนั้นมันกระโดดแบบผีอี่ค้อย ผีกองกอยไม่มีสะบ้าหัวเข่า

ทั้งสองสาวนั่งเล่นกันไปเพลินๆ สักพักก็จวนจะได้เวลากลับตำหนัก เวลาพักมีน้อยนิดและจำกัด เมื่อถึงเวลาแล้วก็ต้องไม่เถลไถลจนเกินควร นางในตำหนักเป็นบ่าวมีเจ้านายคุ้มหัว เดินเที่ยวเตร็ดเตร่ไม่ยอมทำงานเฝ้าตำหนัก คนเขาจะครหานินทาเสียหายถึงเจ้านายเอาได้

ว่าแล้วทั้งสองนางก็จึงรีบพากันปั่นจักรยานออกมาตามเส้นทางกลับเข้าเมือง ที่เป็นแต่ถนนดินแดงโรยกรวดที่ยังไม่ทันได้ลาดยาง ครั้นพอปั่นจวนใกล้จะถึงสามแยกตรงประตูเมือง ทันใดนั้นเอง ก็มีรถยนต์สีฟ้าคันหนึ่งขับผ่านหน้าไปอย่างรวดเร็ว

ความเร็วของรถแล่นทำฝุ่นขี้ดินแดงฟุ้งกระจายจนโขมงเต็มถนน ศีรษะของสาววัยรุ่นทั้งสองแดงก่ำไปด้วยฝุ่นขี้ดิน ทั้งไอทั้งจาม ทั้งสำลักควัน อดไม่ได้จนต้องตะโกนด่าตามหลังไปหนึ่งคำผรุสวาท

“ดูเหมือนชาวบ้านแถวนี้จะไม่ค่อยพอใจกับการขับรถของคุณสักเท่าไหร่นะ”

ชายชาวต่างชาติผมสีดอกเลาในชุดสูทนั่งอยู่ที่เบาะหน้าข้างคนขับเอ่ยขึ้น หลังจากหันไปมองกระจกข้างรถก่อนจะหันกลับมาด้วยท่าทางขบขัน

เจ้าของใบหน้าเฉยเมยมองผ่านกระจกมองหลังเหมือนกัน หากแต่ก็เห็นเพียงฝุ่นฟุ้งโขมง ก่อนจะเบนสายตาไปเหลือบมองชายอีกคนหนึ่งที่นั่งครองอาวุธอยู่ที่เบาะหลัง เขามีร่างกายใหญ่หนาผิวดำกร้านและอยู่ในชุดเครื่องแบบองครักษ์มหาดเล็ก ใบหน้านิ่งสุขุมราวกับเป็นคนที่รอรับคำสั่งผู้เป็นนายอยู่เป็นอาจิณ ชายผู้นั้นนั่งแต่เพียงนิ่งๆ และไม่ได้มีส่วนร่วมในบทสนทนา

“เป็นไปได้อย่างไร…ที่เมืองนี้ มีใครหน้าไหนกล้าไม่พอใจรัชทายาทอย่างฉันด้วยหรือ”

ชายคนขับตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษ ก่อนจะฉีกยิ้มเพียงมุมปากอันเป็นเอกลักษณ์มักทำ เขาเอื้อมไปปลดกระดุมเสื้อแขนยาวตัวนอกสีน้ำเงิน ที่สวมทับเสื้อผ่าหน้าติดกระดุมสีขาวตัวใน เขาสวมกางเกงก้นต่ำหรือเต่วโย่งอันเป็นชุดพื้นเมืองที่เป็นธรรมเนียมการแต่งกาย ทรงผมที่เคยยาวกระเซอะกระเซิงและหนวดเคราเขียวครึ้ม บัดนี้ถูกตัดแต่งและโกนออกใหม่จนเกลี้ยงแล้ว กลายมาเป็นทรงผมเรียบร้อยถูกกาลเทศะแบบชายชาวตะวันตก

ทว่า ดวงตาคมดุยังคงเป็นตาดวงเดิม และไม่เคยสิ้นแววเจ้าเล่ห์…

 

เมื่อม่อนหอมและจันทร์หล้ากลับมาถึงตำหนักในสภาพมอมแมม ก็จึงรีบพากันไปสาวน้ำจากน้ำบ่อขึ้นมาชำระล้างร่างกายให้พอสะอาด ไม่ทันไรก็เห็นว่ามีพวกทหารหลวงจากหอคำมาที่ตำหนัก สองสาวจึงมองหน้ากันอย่างสงสัย ด้วยปกติเวลานี้ เหล่าเจ้านายของหอนี้ท่านมักจะไปตีเทนนิสกันที่สโมสรโปโล

ความสงสัยยังไม่ทันสิ้น หญิงรับใช้รุ่นพี่ก็เดินมาตามจันทร์หล้าให้ขึ้นไปบนตำหนัก

“อี่หล้า รีบล้างมือล้างเท้าแล้วขึ้นมาที่เรือนรับรอง ข้าหลวงของมหาเทวีท่านมาขอพบ”

“ข้าหลวงของมหาเทวี?…มาพบข้าหรือพี่หม่วย”

“อือ บอกว่ามหาเทวีต้องการพบสูที่หอคำ พวกข้าหลวงเลยจะพาสูไปที่นั่น เดี๋ยวนี้”

“แต่ข้าบ่รู้จักมหาเทวี” ยังไม่ทันรู้จักด้วยซ้ำว่ามหาเทวีคือคนไหน จันทร์หล้าคิดในใจ แต่ไม่ได้พูดต่อ

“ก็เออ สูก็รีบขึ้นไปคุยกับท่านเอง มาเร็วๆ บ่ดีให้ข้าหลวงท่านรอนาน”

ท้ายที่สุดก็เป็นดังคำนางหม่วยว่า จันทร์หล้าถูกข้าหลวงและทหารนำตัวมายังหอคำ

จันทร์หล้าเคยเห็นหอคำก็แต่ภายนอกเท่านั้น ครั้นเมื่อมาถึง หญิงสาวก็ต้องตกตะลึงในความใหญ่โตและความงดงามของสถานที่จนขนลุก หอคำเป็นอาคารปูนสไตล์ตะวันตกสีแดงลิ้นจี่ ที่ปีกซ้ายขวาของตัวอาคารเป็นโดมหอคอยสูงสามชั้น หลังคาทรงปราสาทลดหลั่นกันเป็นชั้นๆ ด้านหลังหอคำมีสนามหญ้าขนาดใหญ่แถมยังมีอุทยานดอกไม้และโรงจอดรถขนาดมหึมาตั้งอยู่

ยิ่งพอเข้ามาด้านในตัวอาคารก็ยิ่งเห็นถึงความโอ่อ่าและโอ่โถง พื้นที่ด้านในกว้างขวางแบ่งพื้นที่ออกเป็นหลายๆ ส่วน ทั้งห้องสมุด ห้องเสวยอาหารและห้องรับแขก ส่วนชั้นสองปีกที่เป็นโดมคอหอย แท้จริงแล้วเป็นท้องพระโรงขนาดใหญ่สีทองอร่าม ผนังโดยรอบประดับด้วยสิ่งตกแต่งที่เป็นทองคำและลายไม้ที่แกะสลักอย่างวิจิตรลงรักปิดทอง กลางท้องพระโรงมีราชบัลลังก์ที่น่าเกรงขามตั้งอยู่ และมี ‘ทีคำ’ หรือฉัตรทองและ ‘ทีเผือก’ หรือเศวตฉัตรกางขนาบประดับยศเจ้าฟ้า

จันทร์หล้าถูกนำตัวมาที่ห้องรับรองฝั่งปีกซ้ายของตึก ในห้องนั้นเต็มไปด้วยนางข้าบริวารที่กำลังนั่งทำงานใบตองและพานพุ่มดอกไม้อยู่ตรงพื้นห้อง บนโซฟาตัวยาวมีนายหญิงสองคนนั่งอยู่ หนึ่งในนั้นหญิงสาวจำท่านได้ ท่านก็คือสตรีที่นางเจอในห้องสมุดของโรงเรียนเมื่อตอนช่วงบ่าย ส่วนอีกท่านเป็นสตรีผิวขาว ร่างเล็ก วัยสามสิบปลายๆ มีรูปหน้าละม้ายคล้ายกัน เดาว่าน่าจะเป็นบุตรสาว

“กราบมหาเทวีสิ นั่งบื้อเป็นท่อนไม้อยู่ได้”

เสียงใครสักคนพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ได้ยินดังนั้นจันทร์หล้าเลยรีบลนลานก้มลงไปกราบด้วยความเกรงกลัว

“กราบมหาเทวีแล้วก็กราบเจ้าประกายคำด้วยซี อี่นาย ต้องให้บอกมารยาททุกขั้นตอนเลยหรือยังไง คนทางหอนู้นท่านบ่อบรมขี้ข้ากันบ้างหรือ”

หญิงสาวเผลอทำหน้าเหลอหลาเมื่อถูกตำหนิเป็นครั้งที่สอง ก่อนจะก้มลงกราบธิดาองค์โตของมหาเทวีที่กำลังทรงอุ้มทารกวัยแรกเกิดไว้ในห่อผ้าขนหนู

มหาเทวีจ่ามคำพิศหญิงหน้าอ่อนที่ทำตัวเด๋อๆ ด๋าๆ เหมือนคนแปลกถิ่นแปลกสถานที่ ยังไม่รู้จักธรรมเนียมคนในหอหลวง ก่อนจะทรงหันไปสั่งหญิงรับใช้นางหนึ่ง ที่กำลังนั่งทำบุหรี่มวนโตด้วยเปลือกข้าวโพดแห้งอยู่ใกล้ๆ

“สูไปตามสะหย่ามะที่เรือนละครมาพบข้าที”

“บาทเจ้า แม่เจ้า”

หญิงรับใช้รับคำสั่งด้วยน้ำเสียงสุภาพ ก่อนจะค่อยๆ ลุกออกจากห้องไป

“นางนี้น่ะหรือแม่เจ้า ที่ว่าเป็นนางพี่เลี้ยงคนใหม่ของเจ้าปลา” เจ้าประกายคำทรงเอ่ยถามพระมารดา พลางมองหญิงสาวแปลกหน้าอย่างสงสัย “ข้าเก่า ข้าใหม่ สลับสับเปลี่ยนเข้าๆ ออกๆ จนจำแทบบ่หมด”

“สูจำข้าได้ไหม” มหาเทวีทรงหันมาตรัสถามคนนั่งล่าง

“จำได้บาทเจ้า”

“ตอนนี้พอรู้หรือยังว่าข้าเป็นใคร”

สาวหน้ามนรีบงุดหน้าลงด้วยกลัวต้องโทษ “ทะ ท่านเป็นมหาเทวีบาทเจ้า”

ดวงพักตร์เอิบอิ่มยกยิ้มอย่างพอใจ พินิจดวงหน้าของเด็กสาวที่ทรงคาดคะเนว่าน่าจะอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปด สีผิว เครื่องหน้าและเรือนกาย บ่งบอกชัดเจนว่านางไม่ใช่ชาวไทพื้นเมืองอย่างแน่นอน

“สำเนียงหน้าตาสูบ่ใช่คนถิ่นนี่ สูชื่อใด มาจากเมืองไหน”

“ชื่อจันทร์หล้าบาทเจ้า ตัวข้ามาจาก เอ่อ…มาจากเมืองเชียงใหม่”

“คิดเอาไว้บ่ผิด สูบ่ใช่ชาวไทเฮา สูเป็นคนทางนู้น ข้ามมาทางนี้ได้อย่างไร”

“ข้า…เอ่อ” หญิงสาวตะกุกตะกัก “…ข้าข้ามชายแดนตามครอบครัวมาค้าขายถิ่นแถบนี้บาทเจ้า”

“ข้ามชายแดนมางั้นหรือ แต่ที่แสนฟ้านี้บ่ใช่ชายแดน สูมาไกลเกินไปแล้ว สูรู้ตัวไหม”

“รู้บาทเจ้า”

จันทร์หล้าละคำตอบเอาไว้เพียงเท่านั้น เพราะไม่รู้จะปะติดปะต่อเรื่องราวหรือยกส่วนไหนมาเล่า พวกเขาถึงจะไม่ตกใจ แถมอีกอย่าง นางไม่อยากเที่ยวโกหกคนเกี่ยวกับที่ไปที่มาของตน

“รู้ไหม ไยข้าถึงตามตัวสูมาที่นี่ ตอนนี้”

“บ่รู้บาทเจ้า แม่เจ้า”

“สูฟ้อนรำเป็นไหม” ในที่สุดมหาเทวีก็ทรงถามเข้าประเด็น

หญิงสาวแปลกใจในคำถามจึงเผลอเงยหน้าขึ้นมองเจ้านาย ก่อนจะรีบก้มหน้าลงดังเดิม

“ฟ้อนเป็นก็แต่ฟ้อนเล็บของเมืองทางนู้นบาทเจ้า เคยเป็นช่างฟ้อนในขบวนแห่อยู่ครั้งสองครั้ง”

“ฟ้อนม่าน ฟ้อนไททางนี้ล่ะ สูฟ้อนเป็นไหม”

หญิงสาวรีบส่ายหน้า “บ่เป็นบาทเจ้า”

เมื่อนั้น สาวใช้ที่รับคำสั่งไปก่อนหน้าก็กลับเข้ามาพร้อมกับหญิงวัยกลางร่างผอมสูงคนหนึ่ง หล่อนไว้ผมเกล้ามวยใหญ่กลางกระหม่อม เสียบมวยผมด้วยหวีสับ ดอกจำปีและสวมกำไลทองคำ คล้องคอด้วยผ้าแพรสีสดสีเข้ากันกับผ้าซิ่นที่สวมใส่ ซึ่งมหาเทวีเรียกหล่อนว่า ‘สะหย่ามะ’ อันมีความหมายว่า ‘แม่ครู’

“สะหย่ามะดูให้ข้าทีเถิด อี่นายผู้นี้พอจะเป็นเจ้าหญิงตะบินไดได้หรือไม่”

คนที่เพิ่งถูกตามตัวให้มาเข้าเฝ้าเจ้านายถึงกับขมวดคิ้ว พลางว่า “จะรำตะบินไดต้องใช้ทักษะการรำขั้นสูงบาทเจ้า แม่เจ้า อี่นายผู้นี้เคยฝึกฟ้อนรำมาก่อนหรือไม่”

“เคยแต่ฟ้อนรำอย่างอื่น”

“ถ้าอย่างนั้นก็…เอ่อ” แม่ครูกระอึกกระอัก ไม่กล้าขัดหรือปฏิเสธ “รำตะบินไดเป็นรำเดี่ยวก็จริง แต่เป็นรำใหญ่เพราะลายท่ายาก หลายขั้นตอนและซับซ้อนยิ่งนัก หากบ่เคยถูกดัดแขน ดัดตัวและฝึกยืดตัวมาก่อน ก็จะรำได้ยากนักบาทเจ้า ถึงรำได้ แต่ก็จะบ่งาม แม้แต่นางรำในโรงละครหลวงที่ฝึกรำมาตั้งหลายปีก็ยังว่ายากมาก ใช่จะรำได้ทุกคน”

“ฮ่าย ระดับอย่างสู มีอันใดบ้างที่จะทำบ่ได้ หือ สะหย่ามะ” มหาเทวีทรงลงน้ำเสียงกล่าวตัดรอน

“แต่ว่าแม่เจ้า…”

“เอาอย่างนี้แล้วกัน ตอบข้ามาแค่คำเดียว ว่ารูปร่างหน้าตาของอี่นายนางนี้ มันสมจะเป็นเจ้าหญิงตะบินไดหรือไม่ ถึงตอนวันงานก็เอาแค่ที่ได้ แต่ข้าจะเอาใบหน้านี้รับแขกบ้านแขกเมือง สูว่าควรไหม ดูช่วยข้าที”

สะหย่ามะไม่เข้าใจเลย บรรดาสตรีแรกรุ่นในราชสำนักรุ่นราวคราวเดียวกัน หรือแม้แต่นางรำในสำนักละครหลวงของท่านที่รำเก่งๆ ก็มีอยู่มากมายล้นหลาม แต่ทว่ามหาเทวีกลับจะอยากได้หญิงรับใช้หน้าตามอมแมมผู้นี้มาเป็นนางรำในการแสดงหลักของงานเลี้ยงต้อนรับแขกคนสำคัญเสียได้ หากแต่เมื่อได้พิจารณาหญิงนางนั้นดูใกล้ๆ สะหย่ามะก็จึงเข้าใจแล้วว่า เหตุใดมหาเทวีถึงต้องการหญิงสาวผู้นี้หนักหนา

ใบหน้าสมบูรณ์สมส่วน ที่เพียงมองแวบแรกก็รู้ว่างาม แต่ทว่าพอมองอีกหลายๆ ทีก็ยิ่งงามพิศผุดผาด ประกายจากแววตานางช่างงดงามแพรวพรายราวอัญมณีสีนิล ดวงหน้าอ่อนหวานงดงามเปล่งปลั่ง ผิวพรรณนวลเนียนเสมอกันทั่วทั้งร่าง ที่ไม่เหมือนใคร คือรอยลักยิ้มข้างแก้มที่เป็นเสน่ห์แปลกตา

ท้ายที่สุด สะหย่ามะก็จึงยอมรับ หล่อนพยักหน้าลงอย่างพอใจ หันมาทูลต่อผู้เป็นเจ้าแม่เมืองเจ้านายของตน

“เป็นได้บาทเจ้า แม่เจ้า…ผิวพรรณงามดี เรือนร่างงดงาม ทุกอย่างบนใบหน้ารับช่วงเว้นกันดี ทรวดทรงองค์เอวพอดี หุ่นร่างบ่ผอมบ่หนาเกินไป อ้อนแอ้นใช้ได้ ช่วงแขนกลมกลึง นิ้วมือเรียวเทียนใช้ได้ ฟันเรียงขาวสีมุกสะอาดดี จับแต่งองค์ทรงเครื่องเพียงนิด ก็เป็นเจ้าหญิงตะบินไดที่สมบูรณ์ดีทีเดียวบาทเจ้า”

“จะเป็นได้บ่ได้ ไหวบ่ไหว ข้ายกให้เป็นเรื่องของสูนับแต่นี้ แต่สูบ่ดีทำให้ข้าผิดหวัง”

“บาทเจ้า แม่เจ้า”

แม่ครูนางรำรับเสาวนีย์จากมหาเทวีท่าน ก่อนจะหันมาเมียงมองใบหน้าของว่าที่ลูกศิษย์คนใหม่ ยิ่งมองก็ยิ่งมั่นใจแน่นหนัก ว่างานเลี้ยงรับรองที่สำคัญและเป็นหน้าเป็นตาในครั้งนี้ มหาเทวีท่านจะไม่เสียหน้าเป็นแน่

 



Don`t copy text!