แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 16 : การกลับมาพบกันอีกครั้ง

แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 16 : การกลับมาพบกันอีกครั้ง

โดย : ดาราวดี

Loading

แสนฟ้าพันธุ์คำ โดย ดาราวดี ผลงานจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 4 เรื่องราวของสาวชาวเหนือที่เกิดในครอบครัวชนบทที่ยากจน ทำให้เธอต้องตกอยู่ภายใต้สังคมปิตาธิปไตยและการตกเขียวมนุษย์ หากแต่เธอกลับยืนหยัดถึงสิทธิในการมีชีวิตของตนเอง “แสนฟ้าพันธุ์คำ” นวนิยายที่เขียนจากเค้าโครงชีวิตจริงอีกหนึ่งเรื่องที่อ่านได้ใน anowl.co

เสียงดีดพิณที่มีลักษณะคล้ายเรือบรรเลงท่วงทำนองสนุกสนานขึ้นมาอีกหน หลังจากที่รำอวยพรต้อนรับและฟ้อนผางประทีปได้จบลงไปได้สักพักใหญ่ๆ บรรดาแขกเหรื่อที่กำลังจับกลุ่มสนทนาได้ยินเสียงดนตรีก็กลับมานั่งรอรับชมการแสดงสุดท้ายของงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้

ตอนนั้น แสงโคมไฟห้อยระย้ากลางท้องพระโรงทั้งสองดวงก็ค่อยๆ หรี่แสงลงจนสลัวราง พร้อมด้วยเสียงดนตรีที่เริ่มลากทำนองให้เนิบนาบช้าลงไป เงาร่างสะโอดสะองทรงนาฬิกาทรายของใครคนหนึ่งค่อยๆ ก้าวออกจากหลังม่านอย่างลึกลับ เรียกสายตาทุกคู่ให้หันไปจับจ้องที่เงาปริศนาเป็นตาเดียว เสียงคนร้องฮือดังขึ้น

บนเวที นางรำสาวนั่งพับเพียบลงตรงกลางเวทีหน้าวงมโหรีวงใหญ่ ส่วนผู้ชมด้านล่างก็รอคอยว่าเมื่อไหร่แสงไฟบนเวทีจะสว่างขึ้นเสียที กลิ่นดอกไม้สดที่จัดเป็นช่อพุ่มอยู่ในแจกันยังคงส่งกลิ่นหอมกรุ่น เครื่องทำความอุ่นยังคงทำงานเป็นอย่างดี เพื่อให้คนในท้องพระโรงอบอุ่นในราตรีอันแสนเหน็บหนาว

ดนตรีโหมโรงเพียงครู่เท่านั้น เสียงปี่ก็เป่านำเข้าสู่ต้นทำนองเพลงรำตะบินได และแล้วแสงไฟที่ทุกคนรอคอยก็ค่อยๆ สว่างโชติช่วงขึ้นทีละน้อยๆ

เสียงปรบมือดังกึกก้องเมื่อผู้ชมเห็นรายละเอียดแห่งอาภรณ์และเครื่องประดับอันวาววับของนางรำ เสียงปี่แนอันทรงพลังดังผสานรับกับเสียงเปิงมางคอกและระนาด เป็นแนวดนตรีดั้งเดิมแบบราชสำนักม่านบุรีโบราณ และเมื่อนั้นเอง เจ้าหญิงตะบินไดผู้งามก็ปรากฏกายต่อหน้าผู้ชมในท้องพระโรง

ดวงตากลมโตที่อยู่ตรงกลางเวทีช้อนมองขึ้น ส่งรอยยิ้มเขินอายน้อยๆ มายังประธานในงาน ฟันเรียงขาวเป็นไข่มุกและรอยยิ้มแก้มบุ๋มที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์น่ารัก เป็นกลอุบายที่ทำเอาใครต่อใครไม่กล้ากะพริบตา รอยยิ้มนั้นเรียกเสียงฮือฮาจากท่านผู้ชมที่กำลังนั่งตาค้างตกตะลึงตามคาดการณ์

ท่ามกลางแสงไฟแชนเดอเลียร์สว่างมลังเมลือง ยังมีคนผู้หนึ่งซึ่งนั่งซุ่มอยู่ในมุมที่ไฟส่องไม่ถึง เขาเพียงแต่ยกมุมปากแสยะยิ้ม แต่นั้นก็ทำให้นางรำประหม่า จันทร์หล้ามือสั่น มีอาการกลืนน้ำลายลำบาก มั่นใจว่าตนเองกำลังถูกเขาจับจ้อง เขาจ้องมองเหมือนเสือมองเหยื่อ จันทร์หล้าจดจำเขาได้ ใช่เขาจริงๆ…

แม้หนวดเคราและผมเผ้าที่เคยรุงรังถูกจัดแต่งใหม่จนดูสะอาดสะอ้าน แต่ทว่า ดวงตามาดร้ายดวงนั้นก็ยังคงเป็นดวงตาดวงเดิม…เขาจดจ้อง ไม่วางตา ประหนึ่งว่าเขาเองก็จดจำนางได้เช่นเดียวกัน

ครั้นเมื่อจังหวะหนึ่งที่สองตาเผอิญมองสบปะทะกัน ทั้งสองก็จำต้องมองตาต่อตากันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากเป็นคนบนเวทีที่สะดุ้งเฮือกจนเผลอหุบยิ้มลงไป เมื่อนัยน์ตาคมกร้าวพยายามวางอำนาจและจ้องมองนางอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ

นี่น่ะหรือ เจ้าแสงหาญ…เจ้าอุปราชแกมเมืองรัชทายาทแห่งแสนฟ้าที่ทุกคนต่างสรรเสริญ

ไม่ใช่…

ชายผู้นี้คือคนเลวทรามที่นายเคยเจอ ที่โรงพนันในเมืองหางนั่นต่างหาก…

หายใจไม่ทั่วท้องแล้วทีนี้ ความรู้สึกที่ว่าทั้ง ‘เกลียดและกลัว’ ในคราวเดียวกันประเดประดังเข้ามาในหัวใจจนสะท้าน จันทร์หล้าเกลียดเขาและก็กลัวเขาเสียเต็มประดา ภาพที่เขาเคยกระทำและกล่าววาจากักขฬะในอดีตวนกลับเข้ามาอีกหน

นางเคยถึงขั้นชักมีดจะปลิดชีวิตเขา…นางเคยทำร้ายเขาหนหนึ่ง

หญิงสาวคิดสับสนถึงภาพวันเก่าวันใหม่สลับกันไปมา สีหน้าส่อเค้าความวิตกกังวลจนลืมสิ้นทุกอย่างไปชั่วขณะ ลืมแม้กระทั่งท่วงท่าฟ้อนรำที่เคยคิดว่าจะตั้งสมาธิอยู่กับมัน ในขณะที่ดนตรีบรรเลงไปไกลแล้วนั้น หญิงสาวกลับรู้สึกราวกับถูกสายตาเขาตรึงรั้งไว้ ไม่ให้ขยับเคลื่อนไหวไปไหน

เจ้าสามเมืองซึ่งอยู่ในกลุ่มผู้ชมเห็นเหตุการณ์ผิดปกติ จึงหันไปสบพระเนตรกับเจ้าแม่ของท่านแขกเหรื่อคนอื่นๆ ต่างก็งุนงงเช่นเดียวกัน หันรีหันขวางมองหน้ากันไปมาเป็นเชิงสงสัย พวกเขาไม่รู้ว่านางรำสาวเจ้าจะไปต่ออย่างไร ทำนองดนตรีเริ่มแล้ว แต่นางรำกลับทำหน้าเหมือนเห็นผี

“มันลืมท่ารำ”

ใครคนหนึ่งรีบคลานเข้ามาหามหาเทวีที่กำลังประหวั่นต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเวที

“หรือโรควิปลาสมันจะกำเริบ”

จังหวะดนตรีบรรเลงไปเรื่อยๆ จนถึงตอนที่นางรำต้องลงไปนั่งคุกเข่าก้มกราบ ยามนั้น จันทร์หล้ารีบดึงสติกลับมา ก่อนจะแก้ไขเหตุการณ์เป็นฉีกยิ้มหวาน แล้วจึงค่อยๆ จัดแจงท่าทางมาเป็นนั่งคุกเข่าแล้วจึงวาดมือยกพนมขึ้นไหว้

ข้าหลวงใหญ่ชาวอังกฤษที่นั่งตรงหน้าเวทีเห็นนางรำเริ่มขยับท่วงท่าร่ายรำอีกครั้งก็จึงปรบมือส่งกำลังใจ ก่อนเจ้าฟ้าและบรรดาแขกคนอื่นๆ จะแห่ปรบมือตาม

เจ้าสามเมืองหันไปสบพระเนตรกับเจ้าแม่ของท่านอีกครั้ง ทั้งสองทรงถอนหายใจโล่งพร้อมกัน แต่ก็ไม่วายนั่งตัวเกร็งชมการแสดงต่อไปจนจบ และก็โชคดีเหลือเกินที่ไม่มีสิ่งใดผิดพลาดมากไปกว่านั้นอีกเจ้าหญิงตะบินไดร่ายรำได้ชดช้อยและน่าประทับใจ จนกระทั่งทำนองของดนตรีวรรคสุดท้ายได้จบลง เสียงปรบมือดังกระหึ่มกึกก้องไปทั่วท้องพระโรง

เหล่าบรรดาผู้ชมกล่าวขวัญถึงการฟ้อนรำสุดท้ายที่จบลงไป ส่วนใหญ่จะพูดถึงตัวเจ้าหญิงตะบินไดเสียมากกว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันเมื่อตอนเริ่มการแสดง บรรดาแขกเหรื่อต่างเข้ามากล่าวชื่นชมเจ้าฟ้าไม่ขาดปากถึงการจัดงานเลี้ยงรับรองและการแสดงร่ายรำต่างๆ ซึ่งเจ้าฟ้าท่านก็ยกผลประโยชน์ให้มหาเทวีมาทั้งหมด

ด้านจันทร์หล้ารีบฉวยโอกาสอาศัยช่วงแขกกำลังชุลมุนรีบออกมาจากงาน นางรีบลงมาผลัดภูษาผ้าทรงออก เปลี่ยนเป็นผ้านุ่งธรรมดาและเตรียมจะหนีกลับตำหนัก หญิงสาวหันไปคว้าตะเกียงไฟอย่างลุกลี้ลุกลน รีบลงมาด้านล่าง กึ่งเดินกึ่งวิ่งพลางถือตะเกียงลัดเลาะมาตามเส้นทางที่ตัดลัดเข้ามาในสวน

นางยังตกใจไม่หาย ไม่อยากเชื่อว่าโชคชะตาจะเล่นตลกกับนางอย่างนี้ นึกไม่ถึงว่าคนที่ไม่อยากเจอมากที่สุดในชีวิต ในวันนี้กลับต้องหวนกลับมาพบกันอีกครั้ง แล้วนางจะอยู่อย่างไรต่อจากนี้…

ชายผู้นั้น…ชายเถื่อนถ่อยในโรงการพนันที่เคยพบเจอกันด้วยบุญกรรมแต่ชาติบางไหนก็ไม่รู้ หากในวันนี้เขากลับปรากฏตัวอีกครั้งในฐานะเจ้าอุปราชแกมเมือง เป็นเจ้ารัชทายาทสืบบัลลังก์ของแสนฟ้า ผู้มีนามชื่อว่า ‘เจ้าแสงหาญ’ ราชบุตรองค์โตของเจ้าฟ้าหลวง มิสเตอร์โรเชสเตอร์ในนวนิยายเรื่องเจน แอร์ ของเจ้าสุนันต่า เป็นเจ้าของคฤหาสน์หอหน้า เป็นชายผู้สูงศักดิ์ที่ผู้คนยกย่องนับถือไปเสียอย่างนั้น

จันทร์หล้าลูบขนแขนที่ลุกชูชัน นึกไม่ออกว่านางจะใช้ชีวิตในเมืองนี้อย่างไรต่อไป ก่อนจะรีบสาวเท้าไปให้ทันคนอื่นๆ ที่กำลังเดินจับกลุ่มอยู่ด้านหน้า ด้วยระหว่างทางเดินจากหอคำไปยังตำหนักต้องเดินผ่านอุทยานที่ค่อนข้างมืดและเปลี่ยว นางเดินคนเดียวอาจจะไม่ปลอดภัยแม้จะเป็นเขตทหารแน่นหนาก็ตาม

ในตอนนั้นเอง เงาตะคุ่มๆ ของใครบางคนก็ปรากฏตัวขึ้นอยู่ตรงหางตา จันทร์หล้าตกใจราวกับเห็นผีจนเผลอออกสำเนียงอุทาน กระทั่งเจ้าของร่างกำยำก้าวออกมาจากเงาไม้มืดๆ นางก็ถึงได้รู้ว่าเป็นใคร

“ไม่น่าเชื่อว่าแกจะรอดตายมาได้ แกนี่มันดวงแข็งจริงๆ”

“เจ้าแกมเมือง…”

เขาโยนก้นบุหรี่ลงพื้นก่อนจะใช้เท้าขยี้จนไฟดับ ยืนมือซุกกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ตหนังสีดำที่ดูไม่ค่อยเข้ากันกับชุดพื้นเมืองที่กำลังสวมใส่ และยิ่งเมื่อปลดผ้าเคียนศีรษะออกไป แววตามาดร้ายคู่นั้นก็ยิ่งทอประกายแววร้ายมากขึ้นไปอีก

“คงจะนึกไม่ถึงสินะที่มาเจอฉันที่นี่ ทำไมล่ะ แกไม่นึกแปลกใจบ้างเลยหรือยังไง ว่าที่แกรอดชีวิตมาได้และอยู่เสวยสุขมาจนถึงทุกวันนี้…ใครเป็นคนช่วยแกไว้”

“นี่อย่าบอกนะ ว่าท่านคือคนที่ช่วยข้าไว้…ผู้มีพระคุณหรือ”

“อาฮ้า แกก็ไม่ได้โง่นี่” เขาหัวเราะเยาะ ผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แพรวพราว

“เป็นไปบ่ได้ อย่างท่านน่ะหรือที่คิดจะช่วยชีวิตข้า คนอย่างท่าน…”

“คนอย่างฉันมันทำไม หือ”

เสียงห้าวขุ่นขึ้น คนยืนกอดอกขยับออกมายืนจังก้า หน้าตาเอาเรื่อง

“วาจาของแกนี่ มันยังสามหาวไม่เคยเปลี่ยนจริงๆ ทั้งจองหองและอวดดี…ทำไมล่ะ ฉันไม่ดีตรงไหน หรือแกอยากจะกลับไปตายอยู่ในซ่องของพวกค้าฝิ่นนั่นอีก ฉันพาแกกลับไปได้นะ หากแกต้องการ”

“ข้าบ่ไป!” จันทร์หล้าเสียงแข็งบ้าง “เป็นตายยังไง ข้าก็จะบ่มีวันกลับไปที่นั่นอีก”

“งั้นแกก็หยุดกระด้างกระเดื่องเสียที อย่าอวดดีจองหองเผยอเชิดหน้า” เจ้าชายหนุ่มสำทับถ้อยคำร้อนร้ายอย่างไม่โอนอ่อน “…แกอย่าคิดนะ ว่าที่ฉันช่วยแกมา ฉันจะช่วยด้วยใจพิศวาส เหตุผลเดียวที่ฉันพาแกมาด้วย เป็นเพราะแกยังไม่ได้สนองค่าตัวที่ฉันจ่ายไปในคืนนั้นต่างหาก รู้ไหมว่าค่าตัวของแกมันแพงเอาเรื่องอยู่มากโข”

“ท่านจะทำอะไรข้า! อย่าเชียวนะ…” อดีตนางแมวป่าขู่ฟ่อๆ “หากท่านกล้าแตะต้องตัวข้าแม้แต่นิด
ข้าจะป่าวประกาศให้ทุกคนรู้ ว่าท่านมันเป็นพวกเดียวกับพวกโจรถ่อยที่ชายแดนนั่น”

“อุบ๊ะ” แกมเมืองหนุ่มเค้นเสียงหัวเราะอย่างดูแคลน ดวงหน้าเข้มส่ายหน้าโคลงเคลงอย่างระอาใจ เขาหลับตาลงพลางทำเสียงจิ๊อย่างยียวน “…นี่แกกล้ายกเรื่องนี้มาขู่ฉันอย่างนั้นหรือ คิดว่าฉันกลัวหรือไง”

“ถ้าอย่างนั้นมาพนันกัน ว่าหากผู้คนรู้ความจริงว่าเจ้าอุปราชที่ตนสรรเสริญนักหนา แท้จริงแล้วเป็นเพียงแค่พ่อค้าฝิ่นและนิยมใช้เงินซื้อผู้หญิงมาร่วมหลับนอน พวกเขายังจะสรรเสริญเยินยอท่านด้วยคำไหน”

“แกชักจะใจร้ายกับฉันมากเกินไปแล้วนะ ฉันรึอุตส่าห์ช่วยแกมาจากขุมนรก แต่แทนที่แกจะทดแทนบุญคุณ ไหงกลับมาขู่ฟ่อๆ หมายจะทำลายฉันเสียอย่างนั้นได้ แกนี่มัน…เป็นพวกเลี้ยงไม่เชื่องจริงๆ ฉันน่าจะฆ่าแกให้ตายในคืนนั้น ไม่น่าช่วยแกให้รอดมาเลย”

คนอ่อนแอกว่าพยายามแสร้งทำเป็นคอแข็งตั้งตรงอย่างถือตัว ก่อนจะส่งสายตาเกลียดชังกลับคืนไปอย่างท้าทาย

“มันสายไปแล้ว คืนนี้ข้าเป็นถึงเจ้าหญิงตะบินได ท่านฆ่าข้าบ่ได้ง่ายๆ หรอก หากเกิดอะไรกับข้าเพียงนิด เรื่องราวของท่าน…เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหาง รู้ถึงหูเจ้าชายาแน่”

เจ้าแกมเมืองกัดฟันกรอดเมื่อถูกท้าทาย เขาปรี่เข้าไปหาคนตรงหน้าอย่างไม่ทันให้นางได้ตั้งตัว มือใหญ่คว้าหมับเข้าตรงข้อมือแล้วฉุดกระชากลากนางเข้าไปในพุ่มไม้ที่มืดลับตาคน และเหวี่ยงนางออกไปอย่างไม่ไยดี พลางถลึงตาชี้หน้า กล่าววาจาข่มขู่ด้วยโทสะ

“หากแกคิดจะอยู่ที่นี่อย่างปลอดภัยและสงบสุข ก็อย่าได้หาเอ่ยเรื่องที่เมืองหางขึ้นมาอีกเป็นอันขาด หากแกไม่เชื่อ หรือแกอยากจะลองดีกับฉัน แกก็อย่าหวังว่าจะมีชีวิตรอดเป็นครั้งที่สอง”

“ถ้าคิดว่าฆ่าได้ง่ายๆ ก็ฆ่าเสียตอนนี้เลยสิ ตอนนี้ท่านเองก็มีอำนาจอยู่เต็มกำมือ”

“อย่ามาท้า!” เขาคำราม “อย่าทำให้ฉันต้องหงุดหงิดไปมากกว่านี้ บอกไว้เลยนะ ว่าฉันไม่ใช่คนที่จะมีความอดทนกับการต่อปากต่อคำมากนัก”

“งั้นจะรออันใดอยู่เล่า…หรือว่ากลัว”

“แกคิดว่าฉันกลัวแก คิดว่าฉันไม่กล้าฆ่าแกจริงๆ อย่างนั้นหรือ…”

“ข้ารู้ว่าท่านกลัว สายตาท่านบ่งบอกว่าท่านกลัว กลัวข้าจะเปิดเผยเรื่องของท่านให้ใครต่อใครรับรู้”

“เหอะ แกคิดจะลองดีกับฉันจริงๆ”

เขากล่าวน้ำเสียงเยือกเย็นราวกับเป็นการเตือนครั้งสุดท้าย ดวงตาเย็นเฉียบหรี่มองหญิงสาวตรงหน้าอย่างเหลืออดเหลือทน ก่อนจะหลับตาลง

โดยไม่คาดคิด เจ้าแกมเมืองตรงปรี่เข้าไปคว้าจันทร์หล้ามากอดรัดจนแน่น ก่อนจะโน้มลงไปหอมฮุบลงตรงแก้มเนียนทั้งสองข้างเสียฟอดใหญ่

“คนชั่วช้าเลวทราม…”

“ก็บอกแล้วยังไง ฉันไม่ค่อยมีความอดทนกับใครสักเท่าไหร่นัก”

รัชทายาทหนุ่มกระซิบลงข้างหู เหยียดรอยยิ้มร้ายๆ ออกอย่างเป็นต่อ ก่อนจะผลักร่างบางให้ล้มจ้ำเบ้าลงกับพื้น แล้วรูดเอากำไลเพชรน้ำงามออกมาจากข้อมือของนาง

เมื่องานเลี้ยงถึงเวลาเลิกรา แขกเหรื่อก็เริ่มทยอยลงจากหอคำเพื่อเตรียมกลับที่พำนัก สภาพอากาศที่ยิ่งดึกยิ่งหนาวเย็นนั้น ช่างเป็นอุปสรรคต่องานมหรสพรื่นเริงกลางแจ้ง งานปอยฤดูหนาวในเมืองเงียบเสียงไปนานแล้ว นับตั้งแต่ที่หมดเวลาใช้เครื่องปั่นไฟ

เจ้าฟ้าหลวงและคณะรัฐมนตรีของสภารัฐไทคำหลวง เสด็จออกมาส่งคณะของข้าหลวงใหญ่ที่ลานจอดรถ ท่ามกลางละอองหมอกที่ตกหล่นลงมาเป็นเส้นเป็นสาย ก่อนทั้งหมดจะโค้งคำนับถวายความเคารพส่งจอมพลทหารเรือยศใหญ่กลับขึ้นรถยนต์พระที่นั่งกลับที่พำนักชั่วคราวที่สโมสรโปโล

จอมทัพแห่งกองราชนาวีอังกฤษอันเกรียงไกรผู้นี้มีนามว่า ‘จอมพลเคนต์’ หรือพระนามเต็ม ‘จอมพลเรือ คริสโตเฟอร์ ลูอีส วิคเตอร์ เคนต์’ หรือพระนามเดิม ‘เจ้าชายคริสโตเฟอร์แห่งเคนต์’ ผู้ที่นอกจากจะดำรงตำแหน่งเป็นอุปราชแห่งบริติชอินเดียแล้ว ก็ยังเป็นถึงข้าหลวงต่างพระองค์ของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่หก มหากษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักรและเครือจักรภพอีกด้วย

หลังจากรับเสื้อโคตตัวยาวมาจากทหารผู้ติดตาม จอมพลเคนต์ก็หันมากล่าวกับเจ้าฟ้าหลวงที่ตามมาส่งท่านถึงประตูรถ

“วันนี้ผมได้รับการต้อนรับที่น่าประทับใจจากบรรดาเจ้าฟ้าไทคำหลวง ช่างเป็นค่ำคืนที่แสนวิเศษและมหัศจรรย์สำหรับผมมากทีเดียว โดยเฉพาะการได้สนทนาปราศรัยกับท่าน”

“กระผมและชาวไทคำหลวงทุกคนรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับพระองค์ หวังว่ารัฐของเราทั้งสองจะดำเนินความสัมพันธ์อันดีต่อกันสืบไป ไทคำหลวงเองก็หวังว่าจะได้รับการสนับสนุนจากอังกฤษในภายภาคหน้า”

“เจ้าฟ้าอย่าได้กังวล ในบรรดารัฐอาณัติทั้งแปดมณฑลของบริติชอินเดียและรัฐมหาราชา ไทคำหลวงคือสมบัติอันล้ำค่าที่จักรวรรดิอังกฤษรักและหวงแหนมากที่สุด”

เจ้าฟ้าทรงยกขยับแว่นตาให้กระชับขึ้น และพยักพระพักตร์เพียงนิดเพื่อน้อมรับคำเมตตา ท่านใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารได้อย่างฉะฉาน เพราะในอดีตท่านเป็นถึงนายกสโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งชาติ

“ดูเหมือนผมจะหลงรักที่นี่เสียแล้วละสิ อากาศอันหนาวเย็นและสถาปัตยกรรมที่นี่ทำให้ผมหวนนึกถึงเมืองเคนต์ที่อังกฤษ ฤดูหนาวของที่นั่นโหดร้ายพอๆ กับที่นี่”

“ด้วยอากาศที่เย็นสบายตลอดทั้งปี แสนฟ้าของเราจึงมีชาวอังกฤษเข้ามาอยู่อาศัยกันมากมาย ทุกๆ สิ้นปี พวกเราจะจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลองคืนก่อนคริสต์มาสด้วยกัน หรือบางวันก็มักจะนัดพบปะสังสรรค์กันที่สโมสรโปโลเพื่อเล่นเทนนิส แทงบิลเลียดและขี่ม้าตีโปโล บุตรชายของกระผมตีโปโลเก่งกันทุกคน”

“อ้อ ใช่สิ อีกเรื่องหนึ่งที่ผมประทับใจก็คือหนุ่มๆ ของเจ้าฟ้า โดยเฉพาะคนที่เป็นนายแพทย์และเจ้าชายรัชทายาท เขาทั้งสองมีเงาความสง่างามของท่านทับซ้อนอยู่กลายๆ แถมยังมีความเหมือนในความต่างด้วยกันทั้งคู่ คนหนึ่งเยือกเย็นสุขุมดั่งสายน้ำ อีกคนโชติช่วงชัชวาลดั่งเปลวไฟ นายแพทย์หนุ่มคนนั้นมีอนาคตไกล ส่วนเจ้าชายรัชทายาท…ผมได้ข่าวว่าเขาเป็นคนที่ทำงานเก่ง”

“ใช่ครับ เขาทำงานเก่ง…เขาเป็นบุตรชายคนแรก และจะเป็นคนที่ขึ้นครองนครรัฐต่อจากกระผม”

“แน่นอน มองปราดเดียวผมก็รู้ว่าเขาจะต้องได้เป็นเจ้าฟ้าคนต่อไป แถมสติปัญญาของเขาก็ยังเฉลียวฉลาดกว่าบรรดาพี่น้องทั้งหมด จริงๆ แล้ว ผมอยากจะชื่นชมเจ้าฟ้าที่มองการณ์ไกล หากเป็นผมผมก็คงจะมอบตำแหน่งใหญ่นี้ให้กับบุตรที่เก่งและมีความรู้อย่างเขา แม้ว่าจะไม่ได้เป็นบุตรที่กำเนิดแต่ภรรยาเอกก็ตาม เสียแต่ว่า…”

“แต่ว่าอะไรหรือครับ”

“เขาพัวพันเรื่องค้าฝิ่น”

ความชื่นบานของเจ้าฟ้าพลันอันตรธานหายไปในประโยคสุดท้าย ท่านทรงนิ่งเงียบ อึ้งไป

“ผมรู้ดีว่าเขาเป็นบุตรชายผู้เป็นที่รัก ที่เจ้าฟ้าจะฝากฝังบ้านเมืองไว้กับเขาได้ในภายภาคหน้า หากแต่นามของเขานั้นช่างเป็นอะไรที่แสลงหูรัฐบาลกลางเสียเหลือเกิน เพราะเขาค้าฝิ่นแข่งกับอังกฤษ และหากเขายังคงทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ โดยที่เจ้าฟ้าไม่ช่วยแก้ไขอะไร ในอนาคต ตัวผมเองก็คงไม่อาจรับประกันความสัมพันธ์ระหว่างเราสองในด้านของเศรษฐกิจและความมั่นคง”

“แล้วกระผมจะพูดคุยกับเขาอีกครั้ง”

“เจ้าฟ้าต้องใช้ความรู้และความสามารถของเขาให้เป็นประโยชน์ ผมทราบมาว่าเขาเป็นถึงอดีตนักเรียนทุนของรัฐบาลมาก่อน แถมยังจบด้านวิศวกรรมศาสตร์มาจากมหาวิทยาลัยบริสตอล มีความรู้ความสามารถถึงขนาดไปศึกษาในมหาวิทยาลัยระดับนั้นได้ จะกลับบ้านเมืองมาเพื่อเป็นเพียงพ่อค้าฝิ่นมันก็ดูกระไรอยู่ ผมรู้ว่าเจ้าฟ้าคงเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อ”

“กระผมมั่นใจว่าการกระทำของเขาต้องมีผู้อยู่เบื้องหลัง เพราะหากไม่มีผู้ให้การสนับสนุน ไฉนเลยเขาจะกล้าทำในสิ่งที่ผมเองก็ไม่ทราบลึกตื้นหนาบาง”

“เจ้าฟ้าคาดการณ์ได้ถูกต้อง ฉะนั้นแล้ว การมาเยือนรัฐไทคำหลวงของผมในครั้งนี้ จึงไม่ได้มีเพียงแค่มาร่วมงานเลี้ยงนักเรียนทุน หรือเพียงเพื่อพบปะหารือกับบรรดาเจ้าฟ้าไทคำหลวงเท่านั้น หากแต่ผมมาที่นี่ เพื่อที่จะมาปลดผู้ตรวจการรัฐไทคำหลวงคนเก่าออกจากตำแหน่งด้วยตัวของผมเอง”

“มิสเตอร์เลสหรือครับ…กระผมแน่ใจว่าเขาไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน เพราะเมื่อกี้ในงาน กระผมยังเห็นเขาทำหน้าที่ผู้ตรวจการประจำรัฐเป็นอย่างดี”

“ผมเสียใจที่จะต้องแจ้งว่ามันเป็นอะไรที่ค่อนข้างกะทันหัน แต่ผมจำเป็นจะต้องทำให้มันเกิดขึ้น เพราะหากผมไม่ปลดคนของผม เจ้าฟ้าก็จำจะต้องปลดบุตรชายของท่านลงจากการเป็นรัชทายาท แต่เพราะผมเห็นแก่ชาวเมืองแสนฟ้า ด้วยเมืองนี้เป็นเมืองท่าเศรษฐกิจใหญ่แห่งไทคำหลวง หากผู้นำไม่มีความรู้ความสามารถก็อาจจะพาบ้านเมืองล่มจมเอาได้ง่ายๆ และเจ้าชายรัชทายาทของท่านคือผู้ที่เหมาะสมที่สุด”

“ขอบพระทัยพระองค์ที่ทรงเห็นแก่อนาคตของแสนฟ้า” เจ้าฟ้าตรัส บนพระพักตร์ฉายชัดเต็มไปด้วยเค้าความวิตกกังวล

“ดูท่าว่าผมคงจะอยู่ร่วมสังสรรค์คืนวันก่อนคริสต์มาสกับพวกท่านไม่ได้ แต่อย่างไรก็ดี ผมจะส่งผู้ตรวจการรัฐคนใหม่มาเป็นตัวแทน หวังว่าเขาจะเข้ากับทุกคนที่นี่ได้เป็นอย่างดี เพราะก่อนหน้านี้เขาก็เคยเดินทางในรัฐไทคำหลวงมาได้สักพัก และคุ้นเคยกับชาวไทพื้นเมืองเป็นอย่างดี”

 



Don`t copy text!