แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 19 : ชิดใกล้

แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 19 : ชิดใกล้

โดย : ดาราวดี

Loading

แสนฟ้าพันธุ์คำ โดย ดาราวดี ผลงานจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 4 เรื่องราวของสาวชาวเหนือที่เกิดในครอบครัวชนบทที่ยากจน ทำให้เธอต้องตกอยู่ภายใต้สังคมปิตาธิปไตยและการตกเขียวมนุษย์ หากแต่เธอกลับยืนหยัดถึงสิทธิในการมีชีวิตของตนเอง “แสนฟ้าพันธุ์คำ” นวนิยายที่เขียนจากเค้าโครงชีวิตจริงอีกหนึ่งเรื่องที่อ่านได้ใน anowl.co

จันทร์หล้าทิ้งตัวลงแนบบาทเจ้าชายาทันทีที่กลับมาถึงตำหนัก อ้อนวอนกับเจ้านางท่าน ว่าขออย่าส่งนางไปสำรวจหมู่บ้านชาวเขาอะไรนั่นกับเจ้าแกมเมืองเลย นางยังไม่อยากตาย

“ข้าบ่อยากเดินทางไปกับเจ้าแกมเมืองบาทเจ้า เจ้านางอย่าส่งข้าไปกับเจ้าแกมเมืองเลย”

“ฮ่าย ข้าจะได้อย่างนั้นได้อย่างไรล่ะ ท่านเอ่ยปากขนาดนั้น ข้าหรือจะปฏิเสธ”

“แต่ แต่เขาจะฆ่าข้า”

“เหลวไหลจันทร์หล้า ท่านเป็นคนช่วยชีวิตสูไว้นะ พวกสูมาจากชายแดนด้วยกัน วันนี้จะมากล่าวหาว่าท่านเป็นผู้ร้ายได้อย่างไร ไหนก่อนหน้านี้ สูบอกว่าอยากเจอท่านหนักหนา”

“ก็ตอนนั้นอยากเจอ ตอนนี้บ่อยากเจอแล้วบาทเจ้า”

“สูบ่ดีเปลี่ยนใจเปลี่ยนมา ทำตัวบ่อยู่กับร่องกับรอย ผู้คนจะครหาความเจ็บไข้ได้ป่วยของสู ครั้งที่คืนงานเลี้ยงนั่นก็คราหนึ่ง มหาเทวีบ่พอใจจนถึงวันนี้” น้ำเสียงเรียบๆ ของเจ้าสะอาดองค์มีแววตำหนิ

“ข้าขออภัยเจ้านาง”

แม้จะไม่เข้าใจที่หญิงสาวกล่าวแบบนั้น แต่เจ้าสอาดองค์ก็ทรงไม่ถือสา ตรงกันข้าม ท่านกลับหัวเราะสรวลให้กับจันทร์หล้าที่คอยเอาแต่ทำหน้าเหยเก นับตั้งแต่ตอนที่กลับมาจากหอหน้า หรือแม้แต่ตอนที่เจ้าแกมเมืองเอ่ยปากว่าจะพานางท่องเที่ยวไปสำรวจกับท่าน

“คนเรามีบุญคุณต่อกันยิ่งต้องทดแทน อีกอย่างเจ้าแกมเมืองไปเยี่ยมชาวดอยหนนี้ก็ไปด้วยราชการจากเจ้าฟ้า มีขบวนทหารคุ้มกันติดตามไปอยู่มากหลาย สูไปกับท่านก็เสมือนว่าได้ไปทำงานให้กับเจ้าฟ้า เผลอๆ อีกหน่อยเจ้าชายท่านจะพาสูไปทำงานด้วย หากว่าท่านเอ็นดู”

เขาบ่เอ็นดู…

“ข้ามักงานในหอมากกว่างานหลวงแบบนั้น งานหลวงงานราษฎร์ ข้าทำบ่เป็น” จันทร์หล้าเสียงสั่น

“แต่สูมีความรู้ เจ้าเสือบอกว่าสูรู้ภาษาสยาม คนมีความรู้อย่างสูควรจะได้ทำงานมากกว่าเป็นเพียงข้ารับใช้”

จันทร์หล้าครวญคร่ำ ทรุดตัวลงไปนั่งสับสน เจ้าแกมเมืองผูกใจเจ็บนาง เขากลั่นแกล้งร้องขอต่อเจ้าชายาว่าอยากจะพานางเดินทางไปกับเขาเพื่อท่องเที่ยวเล่น แต่จุดประสงค์ที่ซ่อนเร้น คือเขาอยากจะสังหารนางเหลือทน

ช่วงเช้ามืด ทุกหนแห่งยังมืดสนิท เสียงไก่ขันระงม เสียงนกร้องจ้อกแจ้กจอแจ หากมนุษย์ล้วนแล้วแต่ยังหลับใหลในนิทรา จันทร์หล้าสะพายย่ามออกจากคุ้มนอน จำใจยอมร่วมเดินทางไปกับขบวนของเจ้าแกมเมืองอย่างเสียไม่ได้ ยิ่งเจ้าสุนันต่าฝากฝังนางไว้ก่อนมา ว่าขอให้นางช่วยดูแลช่วยเหลือเจ้าแกมเมืองอย่างดี…ทุกคนต่างตื่นเต้นยินดี แต่จันทร์หล้ากลับรู้สึกเหมือนเดินสู่หลักประหาร นางไม่วายสั่งเสียม่อนหอมเอาไว้

หากข้าบ่กลับมาครานี้ ให้รู้ไว้ว่าเจ้าแกมเมืองหมายชีวิตข้า

เมื่อมายังจุดนัดหมาย หญิงสาวก็เห็นว่ามีเพียงแสงจากตะเกียงเจ้าพายุส่องสว่างใต้ต้นมะกอกและมีม้าผูกยืนใต้ต้นไม้เพียงหกตัวเท่านั้น

เพียงไม่นานกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งก็ปรากฏตัวยังจุดนัดหมาย เจ้าแกมเมืองทรงเสด็จมากับพวกเขา ก่อนจะทรงเดินไปไตร่ถามข้าเลี้ยงม้าและเดินมาที่หญิงสาว เขาสวมเสื้อผ้าฝ้ายเก่าๆ และกางเกงสะดอครึ่งน่องสีมอซอ หากแต่ยังไม่ลืมที่จะเคียนหัวตามธรรมเนียมชาวไท ทั้งตัวเขามีเพียงย่ามใบหนึ่งเท่านั้น

“แกมันเป็นคนใจกล้าน่านับถือเสียจริง ฉันรู้ว่ายังไงแกจะต้องมา”

จันทร์หล้าเชิดหน้าขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง น้ำเสียงสะบัด “ทุกอย่างเป็นความประสงค์ของเจ้าอาม ข้าแค่เพียงบ่อยากขัดความตั้งใจของเจ้านางท่าน และอีกอย่าง…ข้าก็อยากจะรู้ว่าท่านจะมาไม้ไหน”

“ได้รู้สมใจอยากแน่ เตรียมตัวเตรียมใจแกไว้ดีแล้วกัน นางแมวป่า”

“หากท่านทำอะไรข้า เจ้าอามจะทรงทราบแน่” ดวงหน้ากลมมนมู่ทู่ ขู่เขา

หากเจ้ารัชทายาทหนุ่มยังคงสูบบุหรี่อย่างสบายอารมณ์ เขาเดินไปทางคอกวัวครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมาพร้อมเสื้อผ้าหนึ่งชุด

“เอาไปเปลี่ยนซะ” เขาโยนกองเสื้อผ้าให้ “จะเข้าป่า ทำไมแกถึงนุ่งผ้าซิ่นมา”

“ก็ข้ามีชุดแบบนี้เพียงอย่างเดียว”

ครั้นเปลี่ยนชุดเสร็จ นางแมวป่าก็เดินออกมาด้วยชุดทะมัดทะแมงพร้อมเดินทาง ด้วยเสื้อผ่าหน้าติดกระดุมและนุ่งกางเกงสะดอผ้าฝ้าย จำแลงแปลงกายเป็นหนุ่มน้อยชาวไทพื้นเมือง แต่กระนั้นก็ยังดูอ้อนแอ้นไหล่บาง แต่ก็ยังพอได้อำพรางส่วนนูนและโค้งเว้าอันล่อสายตาผู้ชาย กลิ่นเจ้าของเสื้อยังติดอยู่ที่เสื้อผ้า เป็นกลิ่นของบุรุษเพศและยาเส้น

“ชุดเก่าของฉันเอง เผื่อสงสัย”

“ถึงว่า มันหลวมโพรกอย่างกะอะไรดี”

“ฉันว่ามันพอดีกับตัวแกแล้วต่างหาก แกจะใส่รัดเนื้อหนังไปทำไม ดูไปรอบๆ สิ…” ว่าแล้วเจ้าแกมเมืองก็ดึงจันทร์หล้าให้ลงมานั่งบนพื้น ต่ำกว่าที่เขานั่งอยู่ ก่อนก็จับให้นางกวาดตาไปมองตามที่เขาบอก “มีแต่ผู้ชาย สามคนนั้นคือทหารม้า อีกคนเป็นพรานป่า ส่วนคนนี้ อ่องมินตู เป็นนักฆ่า…แกอยากเลือกคนไหน แกบอกฉัน”

“ข้าบ่ได้เป็นแม่ญิงแบบนั้นนะ” หญิงสาวหันกลับมาแว้งใส่

เจ้าชายหนุ่มเหยียดริมฝีปากใส่ ก่อนจะถือวิสาสะแกะมุ่นมวยผมที่เกล้าไว้ตรงท้ายทอย กลิ่นหอมของมะกรูดลอยปะทะจมูกเข้ามาพร้อมกับไอเย็น จันทร์หล้าสะดุ้งโหยงเมื่อเขารวบผมนางขึ้นสูงแล้วใช้เศษผ้ามัดเป็นจุกมวยแบบผู้ชายชาวไท

“นี่ท่านจะทำอันใด” นางพูดด้วยสำเนียงไม่พอใจ ก่อนจะยุกยิกไปมาเพราะไม่ชอบการกระทำดังกล่าว แต่เมื่อรู้สึกได้ว่าเขาเพียงแต่นำผ้าฝ้ายมาเคียนรอบๆ หัวให้ นางก็จึงยอมนั่งนิ่งๆ เป็นเด็กน้อยที่กำลังให้ผู้ใหญ่แต่งตัว

“แล้วไหนกัน ขบวนทหารองครักษ์ที่จะร่วมเดินทางไปกับเฮา ข้าเห็นมีแค่ม้าหกตัวกับคนอีกบ่กี่คน”

เสียงถอนหายใจออกก่อนจะลุกขึ้นยืน เจ้าแกมเมืองหันมาบอก น้ำเสียงเหนื่อยหน่าย

“คำถามแกมีมากมายเหมือนผีเจาะปากแกพูด…ก็นี่แหละ ขบวนเดินทางของเจ้าแกมเมือง”

ตลอดทั้งวันที่เริ่มเดินทางออกจากตัวเมือง กองคาราวานของเจ้าแกมเมืองก็ขี่ม้ามุ่งหน้าขึ้นไปทางเหนือของแม่น้ำลา ลัดเลาะเข้าไปในดงเทือกเขาที่เขียวชอุ่มและหนาทึบ แม่น้ำสายใหญ่ กำเนิดจากน้ำห้วยไหลโค้ง วกไปวนมาตามหุบเขาไม่รู้กี่สิบทบ กว่าจะได้เป็นสายน้ำ ต้นธารจริงแท้อยู่บนภูดอยสูงใกล้กับดินแดนเขตเหล่าของเขาเผ่าลึกลับ

คณะเดินทางที่มาด้วยกันมีทั้งหมดเจ็ดคนรวมถึงจันทร์หล้าที่เป็นหญิงเดียวภายในกลุ่ม ทุกคนควบนั่งม้าตัวเขื่องคนละตัว ส่วนเจ้าแกมเมืองกับจันทร์หล้านั่งม้าด้วยกัน

“เหตุใดเจ้าท่านถึงต้องให้ข้ามานั่งม้ากับท่านด้วย” คนนั่งข้างหน้าบ่นกระปอดกระแปด

“แล้วแกขี่ม้าเป็นหรือไง”

“ขี่บ่เป็น แต่ข้าใคร่นั่งผู้เดียว ข้าบ่อยากนั่งกับท่าน”

คนนั่งซ้อนข้างหลังนึกขำ “ขี่ไม่เป็นแล้วแกจะนั่งม้ายังไง จะเดินไปโทงๆ แล้วโดดขึ้นหลังม้าเลยหรือ”

“แต่ข้าร้อน นั่งกับท่าน ข้าบ่สบายตัว”

“กลัวตายละสิไม่ว่า”

“ข้าจะบอกท่านไว้อย่าง เผื่อว่าท่านจะเก็บไปฉุกคิดก่อนจะทำอันใด…” นางแมวป่าแข็งคอตั้งตรง “ในย่ามของข้ามีมีดซุย พอจวนตัวแล้วข้าจะจ้วงแทงสิ่งใดก็ได้ทั้งนั้น ท่านคงจำรสชาติบาดแผลนั้นได้”

เจ้าชายหนุ่มหัวเราะรวน ไม่ได้รู้สึกอะไร

“ฉันว่าฉันชอบความหยิ่งผยองของแกเข้าแล้วละสิ” เขาแทงลมออกจมูก “ถ้าอย่างนั้นฉันก็มีอะไรจะบอกแกด้วย ว่าฉันเองก็มีทางเลือกให้แก หากแกไม่อยากนั่งม้ากับฉัน แกก็เลือกที่จะไปนั่งม้ากับใครก็ได้ หรือหากแกไม่อยากนั่งม้า ฉันก็จะให้แกลงไปเดิน แต่บอกไว้เลยนะว่าป่าไม้ทางไทคำหลวงเรามีเสือชุกชุม พ้นทางเทือกนี้ไปแล้ว พวกเราจะเข้าสู่ป่าที่ว่านั้นอย่างสมบูรณ์ ว่าไงล่ะ…แกจะเอายังไง”

จันทร์หล้ากลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ หันไปมองพรรคพวกในขบวนที่ตามมาด้านหลัง หน้าตาพวกมันไม่น่าไว้ใจสักกะคนเดียว ครั้นแล้ว หญิงสาวจึงจำต้องยอมนั่งนิ่งๆ บนหลังม้าระหว่างที่ม้าวิ่งเหยาะๆ ไต่ตามเขาที่สูงชัน

ม้ายังคงเดินเกาะกลุ่มกันไปเรื่อยๆ สักพักเจ้าแกมเมืองก็เรียกอ่องมินตูให้ตีม้าเข้ามาขนาบข้าง จันทร์หล้าเห็นองครักษ์ผู้นี้แล้วพลันนึกได้ ม่อนหอมเคยบอกว่าองครักษ์ของเจ้าชายเป็นนักฆ่า ชายคนนี้ฆ่าคนมาเป็นสิบ ว่าแล้วก็สะพรึงกลัว

“ข้างหน้าเป็นเขตดอยหัวโท มีพวกโจรป่าเถื่อนคอยดักซุ่มปล้นฆ่า พวกมันบ่รู้จักเจ้าจักนาย บ่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง บอกให้ทุกคนระวังตัว”

“ขอรับ นายท่าน”

เจ้าแกมเมืองออกคำสั่ง ก่อนข้ารับใช้ประจำตัวจะตีม้าจากไป

“อีกไกลไหม กว่าจะถึงหมู่บ้านชาวเขาที่ว่า”

“ก็ถ้าไม่ถูกดักฆ่าเสียก่อน วันสองวันก็ถึง”

“ดักฆ่า!”

จันทร์หล้าเสียวสันหลังวาบ พานหยุดบทสนทนาเอาดื้อๆ ใจเต้นระส่ำระส่ายไม่เป็นจังหวะ

ครั้นผ่านลำน้ำห้วยมาได้ อากาศในตอนแรกที่ค่อนข้างเย็นสบาย ก็กลับกลายเป็นร้อนอบอ้าวไปเสียอย่างนั้น เส้นทางที่ว่าง่ายจึงเริ่มกันดาร ถนนหนทางขรุขระและลาดชัน พอยิ่งสูงก็ยิ่งร้อนแม้อากาศจะเย็น แสงแดดแผดเผากลางกะหม่อมทุกทีๆ เดินทางไปได้อีกสักชั่วยามเดียวเท่านั้น ทั้งคนทั้งม้าต่างก็เริ่มเดินช้าลงๆ กระทั่งต้องพักสูบยามวนกันครู่ใหญ่

เมื่อออกเดินทางกันต่อ เส้นทางที่เคยเป็นแต่ทางลาดชันก็เริ่มมีทุ่งหญ้าโล่งกว้าง ต้นไม้ใบหญ้าละแวกนี้ขึ้นเขียวขจี บางช่วงสูงจนถึงระดับท้องม้า บางช่วงต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ถึงเป็นทุ่งหญ้าโล่งๆ หากหญิงสาวกลับได้กลิ่นชื้นและเสียงธารน้ำดังฮึ่มๆ มาจากไกลๆ

“น้ำตกหรือ”

“แม่น้ำเต็ง” เจ้าชายหนุ่มบอก “…ข้างหน้าเป็นแม่น้ำเต็ง ไม่ใช่น้ำตกแต่เป็นเขื่อนขนาดใหญ่ที่เจ้าฟ้าสร้างเพื่อกักเก็บน้ำให้ชาวเมืองไว้ใช้ยามเข้าสู่หน้าแล้ง แสนฟ้าเรานี้ดีอย่างเสียอย่าง ยามหนาวก็หนาวจัด ยามแล้งก็แล้งจัด ยามหน้าฝน น้ำก็ไหลท่วมไร่นาเสียหาย ถ้าไม่สร้างเขื่อนเก็บกักน้ำไว้ ก็คงจะเสียหายมากกว่านี้หลายเท่า”

“ท่านก็ดูเป็นเจ้าชายที่รู้จักบ้านเมืองของตัวเองดีนี่…เหตุใดถึงได้ไปคบค้ากับพวกคนค้าฝิ่นที่ชายแดนนั้นได้”

“อย่ามาสู่รู้เรื่องของคนอื่น”

“อีกอย่าง เหตุใดท่านถึงเอาแต่กล่าวกับข้าด้วยภาษาสยาม แต่กับคนอื่นท่านออกสำเนียงภาษาไททุกคำ ท่านบ่ต้องพูดสยามกับข้าก็ได้ ข้าบ่ใช่ที่นั่น ท่านก็รู้ว่าข้ามาจากที่ไหน”

เจ้าแกมเมืองไม่ใส่ใจในคำถามเหล่านั้น เขาไม่ต้องการจะตอบ ก่อนจะหันไปเรียกทุกคนให้มารวมกัน เขามองทุกคนแล้วกล่าวขึ้น

“วันนี้ป่าปิด คืนนี้เฮาจะพักกันที่ขุนสามลอ”

“ขุนสามลอ…”

เพียงแค่กล่าวว่าขุนสามลอ จันทร์หล้าก็จับสังเกตได้ว่า พวกคนที่ติดตามมาต่างหันไปมองหน้ากันเลิ่กลั่ก บางคนถึงกับกลืนน้ำลายลงคอแทบไม่ทัน นางอยู่ในกลุ่มนั้น ฟังเขาคุยกันอย่างเงียบๆ

“แต่เจ้าท่าน ที่นั่นมีแต่โขมดดง แถมพรายน้ำก็ดุร้ายนัก บ่อย่างนั้นขุนสามลอบ่มาทิ้งชีวิตไว้ที่นี่”

“พวกมึงก็อยู่รวมกันไว้ซีวะ…มีตาเฒ่ามาด้วยทั้งคน พวกมึงจะกลัวอะไร” ชายผู้หนึ่งขยับออกกล่าวถึงชายชราอาวุโสคนหนึ่งที่ติดตามากับคณะ

ฟังเขาแย้งกันไปมา จันทร์หล้าก็สรุปใจความได้ว่า ขุนสามลอนี้เป็นป่าดิบอาถรรพ์ ที่นักเดินทางมักจะหลีกเลี่ยงไม่พักแรมด้วยเพราะกลัวผีสาง ที่ว่ามีทั้งเสือสมิง ผีงูถ้ำหรือพรายน้ำ หรือแม้แต่โขมดดงที่คนนอนแรมเดินป่าต่างหวั่นกลัวกันนักหนา

พอผ่านทุ่งหน้าคาอันกว้างขวางมาได้ ทุกคนก็ลงเดินจูงลากม้า เมื่อด้านหน้าเป็นป่ารกชัฎ ต้นไม้ล้วนแต่มีสัดส่วนสูงใหญ่หนาทึมทึบ จันทร์หล้าเริ่มรู้ซึ้งถึงภยันอันตรายของขุนสามลอก็เวลานี้ เสียงน้ำตกยังคงได้ยินฮึมๆ อยู่ไกลๆ แต่เสียงเสือคำรามกลับได้ยินทะลุป่าออกมา จนกระทั่งทั้งคนทั้งม้าล้วนชะงักกึก

“เกาะกลุ่มกันไว้” เจ้าแกมเมืองหันไปบอกพรรคพวก ก่อนจะหันมาดูใบหน้าขาวซีดที่อยู่ภายใต้ผ้าเคียนหัว “ได้ยินเสียงเสือไหม”

จันทร์หล้าหันมามองเขาด้วยแววตาลุกลี้ลุกลน เต็มไปด้วยความหวาดกลัว หญิงสาวกวาดตามองไปรอบๆ บริเวณที่เริ่มค่ำมืดลงทุกทีๆ ทุกอย่างดูดำพรืดไปหมด กดขี่ให้กลุ่มคาราวานกลุ่มนี้เล็กลงไปขนัดตา

“หากแกยังถามคำถามไม่เข้าเรื่องแบบวันนี้อยู่ละก็ ฉันจะทิ้งแกไว้ให้เสือกิน”

“ท่านล้อข้าเล่นใช่ไหม ท่านบ่ทำอย่างนั้นแน่ๆ” จันทร์หล้าไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะทำแบบนั้น แต่นี่คือเจ้าแกมเมือง เขาจะทำอะไรก็ได้

ครู่หนึ่งสล่าเฒ่าก็ขยับออกมาบริกรรมคาถา เขาเสกคาถาใส่อุ้งมือแล้วปัดป่ายขึ้นไปบนฟ้า พร้อมกับเปลี่ยนตำแหน่งมาเดินนำหน้าขบวน รอยสักยันต์ดำพรึ่ดเต็มสองแขนเป็นเครื่องยืนยันว่า เขามีคาถาอาคมแกร่งกล้านัก

เมื่อถึงโคนต้นไม้ใหญ่ริมลำธาร สล่าเฒ่าก็ขมุบขมิบปากบริกรรมคาถาอีกหน ก่อนจะล้วงมีดหมอในย่ามออกมาปักลงดินสามที ปักมีดครั้งหนึ่งครั้งสองไม่มีอะไร แต่พอปักมีดลงดินครั้งที่สามเท่านั้น เสียงร้องกรีดแหลมแผดดังขึ้นก้องไพร ก่อนเสียงไพรก็เงียบหายไป ก็มีเสียงก้องคำรามของสัตว์ชนิดหนึ่งก็ดังขึ้นคับป่า ฝูงม้าสะดุ้งตื่นตกใจ จนข้าติดตามทุกนายต้องดึงคอยกำชับเชือกบังเหียนให้มั่น

จันทร์หล้าใจสั่นระริกขึ้นมาทันที นางกลัวทุกสิ่งที่มีในป่า ว่าแล้วก็ขยับเข้าไปใกล้เจ้าชายหนุ่มโดยละวางทิฐิที่เคยมีลงเสียอย่างสิ้นเชิง

“เสือเย็น” สล่าเฒ่าจอมขมังเวทหมายถึงเสือสมิง ก่อนจะใช้มีดอาคมปักลงดินแล้วกรีดเส้นแบ่งไว้ทั้งสี่มุม พร้อมกับกำชับทุกคนว่า คืนนี้ห้ามผู้ใดออกนอกเขตเส้นอาคมนี้เป็นอันขาด ก่อนที่ตัวเขาเองและข้าชายหนุ่มร่างกำยำอีกคนจะอาสาเข้าไปหาของกินในป่า

หญิงสาวผู้เคยมีประสบการณ์การผ่านป่าครั้งนั้นหวาดหวั่นกับสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ซ้ำยิ่งดึกค่ำ ป่าก็ยิ่งมืดดำ ยิ่งทวีความน่าสะพรึงกลัวเข้าไปใหญ่ ในย่ามนางมีมีดซุยอยู่เล่มหนึ่ง นางคอยกระชับสะพายย่ามไว้ไม่ห่างตัว สายตาก็เฝ้ามองเจ้าชายหนุ่มอยู่ทุกฝีก้าว

ท่าทางของเขาเองก็ดูแตกต่างจากตอนอยู่ในเมืองมาก ในป่าไพรอย่างนี้ เขากลับดูองอาจ หาญกล้า แม้จะปากร้ายไปบ้าง แต่นางกลับรู้สึกอุ่นใจลึกๆ ว่าแล้วก็จึงเดินไปนั่งลงข้างๆ คนกำลังนั่งก่อกองไฟ

“ทำไม กลัวหรือไง”

เมื่อเห็นว่านางแมวป่าเงียบซึมลงไป เจ้าแกมเมืองจึงหันไปส่งยิ้มให้ ถึงจะเป็นครั้งแรกที่เขายิ้มอย่างจริงใจ แต่จันทร์หล้าก็ยังเห็นว่านั่นเป็นรอยยิ้มเยาะเย้ยอยู่ดี ไม่ได้ชื้นใจขึ้นเลยสักนิด นางจึงทำได้แต่นั่งกอดเข่าอยู่นิ่งๆ นั่งคอตกอยู่ผู้เดียวเงียบๆ

ไม่นานนัก สล่าเฒ่าและข้าชายที่ออกไปหาของกินด้วยกันก็กลับมาพร้อมพวงปลาที่ห้อยร้อยมาเป็นพวง กับหัวเผือกและมันเทศจำนวนหนึ่ง

“ป่าสมบูรณ์ก็จริง แต่หากินบ่ได้เลย ของอันใดก็มีเจ้าของไปเสียหมด”

เขาบ่นพร้อมกับโยนกองเผือกเข้าไปในกองไฟ เปลวไฟพวยพุ่ง ขจัดความหนาวเหน็บที่เข้ามาทักทายผิวเนื้อ ยุงป่ากัดข้างแก้ม ชายชราเกาแกรกๆ หันไปเหลาเรียวไม้ไผ่ซางเป็นท่อนๆ เพื่อย่างปลา

หม่นเหลืองตะวันลับ ฟ้ามึดลึกลับ นกป่าบินเข้ารัง แมลงไพรกรีดร้องก้องสนั่นหู เสียงน้ำธารน้ำไสไหลรินอยู่ไม่ไกล

ทุกคนนั่งสุมไฟกินปลาย่างอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนจันทร์หล้านั่งหลบมุมอยู่เดี่ยวๆ ไม่เข้าไปรวมกลุ่มกับพวกเขา นางนั่งสั่นหนาว แก้มัดผ้าเคียนหัวออกมาคลุมไหล่พอได้อุ่น

“เอ้า กินเสีย” เจ้าแกมเมืองยื่นส่งไม้เสียบปลาย่างให้ตัวหนึ่ง ส่วนเขาหันไปคว้าหัวมันมากินแทน

“ของท่านล่ะ”

“ฉันยังไม่ค่อยหิว สูบมูลีไปตั้งหลายเฮือก ฉันอิ่มท้องพอแล้ว”

จันทร์หล้ามองเขาแทะกินหัวมันเผาอย่างเอร็ดอร่อย ซึ่งสวนทางกับคำพูด ก็จึงรู้ว่าเขาปด เพราะวันทั้งวัน นางเห็นเขากินข้าวไม่ค่อยอิ่มเท่าไร ที่นางรู้เพราะว่าอยู่กับเขาตลอดเวลา

หญิงสาวเอื้อมมือไปแตะลำแขนอันเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ แต่กลับงุดหน้าลง ไม่ยอมมองหน้าเขา

“กินด้วยกันเถิดบาทเจ้า ข้าเป็นขี้ข้า จะกินของดีกว่าเจ้านายได้อย่างไร”

เมื่อหญิงสาวยืนกรานอย่างนั้น เจ้าแกมเมืองเลยบิดเนื้อปลากินไปหน่อยหนึ่งก่อนจะส่งคืนให้ จันทร์หล้าพนมมือขึ้นไหว้รับมา พร้อมกับส่งรอยยิ้มคืน

ยิ้มพราวพิมพ์ใจนั้นเป็นรอยยิ้มจริง จนคนมองไม่อาจละสายตา เจ้าแกมเมืองกึ่งขมวดคิ้วกึ่งยิ้มไม่เข้าใจตนเอง ก่อนจะลอบมองใบหน้างามนั้นอย่างตั้งใจอีกหน หญิงสาวยังคงตั้งหน้าตั้งตากิน จึงไม่ทันได้สังเกตว่าโดนแอบมอง

ในตอนนั้นเอง ที่โขดหินริมแม่น้ำก้อนนั้น ดวงตาคู่แดงก่ำกำลังถลึงมองมาจากซอกหลืบหิน จ่อจ้องมองค้างมาทางนี้ตาไม่กะพริบ ทันทีที่จันทร์หล้าหันไปเห็นก็ขนหัวลุกตั้ง ชาวาบตั้งแต่หัวลงปลายเท้า ไร้เรี่ยวแรงบังคับกาย หรือแม้แต่แรงจะบอกให้ตนเองหันกลับมา

ดวงตาคู่นั้นยังจ้องมองมาย่างคุกคาม หญิงสาวเริ่มหายใจสะเปะสะปะ ก่อนจะรีบได้สติ นางหายใจเข้าออกยาวๆ เม็ดเหงื่อเท่าลูกมะนาวผุดออกเต็มใบหน้า ดวงตาเบิกโพลงค้าง นางกำไม้เสียบปลาไว้แน่น

เจ้าแกมเมืองเห็นกิริยาหญิงสาวผิดแปลกไป ก็จึงหันไปมองทางนั้นบ้าง พลันเห็นเป็นร่างผู้หญิงซ่อนตัวอยู่ในซอกโขดหินริมน้ำนั้น หากแต่ร่างกายมันอ่อนนิ่มคล้ายไม่มีกระดูก ดวงตามันถลนถลึงออกจากเบ้า เป็นสีแดงวาวเท่าไข่เป็ด และทันทีที่มันได้สบตากร้าวดวงนี้เท่านั้น ร่างร้ายจำแลงแปลงมาก็รีบอันตธานหายแวบดับแสงตาไป เมื่อร่างนั้นหายไปแล้ว เจ้าแกมเมืองจึงหันมาหาคนเหงื่อแตกอีกหน

“จันทร์หล้า…”

“เจ้าท่าน ตรงนั้น…”

จันทร์หล้ากล่าวอย่างผวา เนื้อตัวเกร็งสั่นเทิ้ม

“ข้ากลัว”

“อย่ากลัวมัน มันไปแล้ว”

ถึงกระนั้นจันทร์หล้ายังคงหลับตาปี๋และไม่ยอมอยู่ห่างจากรัชทายาทหนุ่มอีกเลย ใจนางหล่นหายเหลือเท่านิ้วก้อย เหมือนผีมันมาลักจกไส้จกพุงกินไปเสียแล้ว

เจ้าแกมเมืองบังเกิดความเห็นใจ เขารู้ว่าตั้งแต่เข้าป่าหญิงสาวก็กลัวจนหัวหด เขาจึงพยายามไม่ห่างจากนางไปไหนมากนัก เพราะทุกครั้งที่ไม่ว่าเขาจะขยับโยกกายย้ายไปทางใด นางก็มักจะต้องมองหาเขาอยู่ทุกครั้ง

“ถ้าอย่างนั้นก็รีบเข้านอนกันเถอะ พรุ่งนี้พอป่าเปิด เราจะรีบออกเดินทางกันแต่เช้า เสือเย็นมันป่วนเปี้ยนอยากกินเนื้อคน จนจะทนไม่ไหวแล้ว”

“สะ เสือหรือ”

“อือ ฉันได้กลิ่นสาบของมัน มาป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้”

ยิ่งว่าอย่างนั้น หญิงสาวก็ยิ่งตาขาวเข้าไปใหญ่ จนกระทั่งตอนดึกเมื่อเห็นว่าคนอื่นเข้าสู่นิทรากันหมดแล้ว เหลือคนนั่งผิงกองไฟเฝ้ายามเพียงสองคน นางก็ยิ่งมองหาเส้นเขตอาคมที่สล่าเฒ่าปลุกเสกไว้

“จะนอนมุมไหน ฉันจะปูผ้าให้”

“ข้าจะนอนกับเจ้าท่าน”

เจ้าชายหลุดขำ หากใจเต้นตึกตักเพราะคำกล่าวราวกับเด็กน้อยไร้เดียงสา

“ลงนอนกับฉัน แก…เธอก็ต้องเป็นเมียฉัน”

จันทร์หล้าเบิกตา เมื่อรู้ว่าตนได้พูดคำอันตรายอันไม่สมควรออกไป ใบหน้าหงอยกลัวรีบหดคอกลับ น้ำเสียงอ่อยๆ

“งั้นข้าบ่ลงนอน จะนั่งหลับเอา ใกล้ๆ ท่านก็ได้…เจ้าท่านนำไปสิ”

เจ้าแกมเมืองได้มุมแล้วก็จึงปูผ้าล้มตัวลงนอน แต่ตายังจ้องมองคนร่างบางที่ตามมานั่งลงข้างๆ เขาเลือกนอนตรงที่มีหินโขดขึ้นมา พอให้จันทร์หล้าได้นอนพิงเอนซบได้ ถึงกระนั้นนางก็ยังไม่วาย นั่งหันหน้ามามองเขาตลอดเวลา นางคงกลัวจริงๆ

“เหตุใดท่านถึงต้องพาข้ามาลำบากอย่างนี้ด้วย…ทำไมต้องเป็นข้า”

“เพราะเธอเป็นต้นเหตุให้ฉันต้องกลับมาอยู่ที่แสนฟ้ายังไงล่ะ เธอจึงต้องรับผิดชอบ หากเจ้าฟ้ามีรับสั่งให้ฉันไปทางใด เธอก็จำต้องไปกับฉัน”

“ถ้าข้าตกลงไปกับเจ้าท่าน ท่านจะไว้ชีวิตข้าหรือไม่…ท่านจะปล่อยข้าไว้หรือไม่”

“ฉันไม่รู้ แต่จะลองกลับไปคิดดู…”

“ก็ยังดี” จันทร์หล้าตอบอย่างงัวเงีย กึ่งหลับกึ่งลืมตา เพราะความเหนื่อยล้าจากการเดินทางตลอดทั้งวัน “อันนี้นับเป็นการใช้หนี้บุญคุณด้วยใช่หรือไม่…”

เสียงถามแผ่วลงไปเรื่อยๆ จนหายไปในที่สุด เหลือไว้เพียงแต่เสียงลมหายใจที่ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ

เจ้าชายรัชทายาทลุกขึ้นนั่งมองคนหลับลึก ก่อเกิดความสับสนปรวนแปร จับเป็นกลุ่มก้อนขึ้นในจิตอาวรณ์ โดยเฉพาะริมฝีปากที่เต่งตึงอิ่มระเรื่อ ที่เขาเกือบเคยฉวยโอกาสลิ้มลองรสมาแล้วหนหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นสองแก้มนั้นแทน และก็เป็นเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่เขาจาบจ้วง ใจจริงก็อยากจะขอโทษนาง

เสียงกระแอมของอ่องมินตูดังขึ้น เพื่อปรามนิ้วมือที่กำลังจะยื่นไปเกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้านวลหญิงสาว

 



Don`t copy text!