แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 23 : ฤดูแห่งการประทุษร้าย

แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 23 : ฤดูแห่งการประทุษร้าย

โดย : ดาราวดี

Loading

แสนฟ้าพันธุ์คำ โดย ดาราวดี ผลงานจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 4 เรื่องราวของสาวชาวเหนือที่เกิดในครอบครัวชนบทที่ยากจน ทำให้เธอต้องตกอยู่ภายใต้สังคมปิตาธิปไตยและการตกเขียวมนุษย์ หากแต่เธอกลับยืนหยัดถึงสิทธิในการมีชีวิตของตนเอง “แสนฟ้าพันธุ์คำ” นวนิยายที่เขียนจากเค้าโครงชีวิตจริงอีกหนึ่งเรื่องที่อ่านได้ใน anowl.co

หลังจากได้รับมอบรางวัลชนะเลิศจากการแข่งขันกระโดดไกลเป็นไม้คทาและเหรียญทอง จันทร์หล้าก็ขึ้นแท่นขวัญใจคนใหม่แห่งหอหลวงไปโดยปริยาย ตอนนี้ไม่มีใครที่จะไม่รู้จักนาง พร้อมกับตั้งฉายานามให้ว่า ‘เจ้าหญิงนกกระเรียน’ ซึ่งได้มาจากวีรกรรมกระโดดไกลรอบสุดท้ายที่เท้าแตะระยะเกือบหกเมตร

เมื่อโน้มตัวลงไปรับเหรียญทองจากสภานายกแห่งสมาคมชาวอังกฤษ เสียงปรบมือแสดงความยินดีก็ดังเกรียวกราวไปทั่วบริเวณ หญิงสาวโบกมือไปรอบๆ พร้อมกับส่งยิ้มให้ชาวตำหนักที่มายืนรอให้กำลังใจ ครั้นพอลงจากแท่นมอบรางวัลมาได้ ม่อนหอมก็ยุให้นางลองกัดเหรียญรางวัลดู เพราะอยากรู้ว่ามันเป็นคุกกี้ชุบไข่หรือเป็นเหรียญทองจริงๆ กันแน่

แม้จะฟังดูทะแม่งๆ แต่แชมป์กระโดดไกลก็ยอมทำตามที่เพื่อนรักร้องขอ และท้ายที่สุดก็รู้ว่ามันเป็นเหรียญรางวัลที่ทำมาจากโลหะจริงๆ

การแข่งขันกีฬาช่วงบ่ายยังมีอีกหนึ่งรายการที่คึกคักมากเป็นพิเศษ เป็นการแข่งขันปีนเสาน้ำมันที่มีเงินรางวัลเป็นเงินปอนด์สเตอร์ลิง ม่อนหอมบอกว่า ที่ผู้คนสนใจกันขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะเงินรางวัลแต่เป็นเพราะจะได้เห็นผู้ชายแก้ผ้า จันทร์หล้าตกใจคำพูดที่ก๋ากั่นของเพื่อน จึงตีแขนหล่อนไปหนึ่งฉาด หญิงหน้าแป้นจึงเอะอะแล้วชี้ให้นางดูเหล่าผู้เข้าแข่งขันชายแต่ละนาย ที่นุ่งเสื้อผ้าน้อยชิ้นเดินไปเดินมากันเสียให้ควั่ก

ตั้งแต่ที่เสียงระฆังดังขึ้น ชายหนุ่มพวกนั้นต่างงัดกลยุทธ์ออกมาร้อยแปด เพื่อหวังจะพิชิตยอดเสาน้ำมันต้นนี้ให้ได้ กติกามีอยู่ว่า การปีนหนึ่งครั้งจะต้องใช้จำนวนคนเพียงสามคน ในการต่อตัวและปีนขึ้นไปพิชิตบนยอดเสาที่ชโลมชุ่มไปด้วยน้ำมันหล่อลื่น หากการปีนรอบไหนเกิดพลาดท่าไหลร่วงลงมาเสียก่อน ก็จะต้องรอปีนอีกครั้งในรอบถัดๆ ไป หากผู้ใดสามารถนำธงสีแดงบนยอดเสาน้ำมันลงมาได้ ก็จะถือเป็นผู้ชนะ

เวลาผ่านไปนาน ทว่ายังไม่มีทีท่าว่าจะมีใครเอาชนะเสาต้นนี้ได้เสียที ตอนนั้นเอง ก็มีชายกล้าเดินห้าวหาญปรากฏกายเข้ามา เรียกเสียงฮือฮาจากผู้ชมที่ยืนอยู่ข้างๆ สนาม เจ้าของร่างสูงถอดเสื้อผ้าจนเหลือแต่ผ้าเตี่ยวรั้งสูงผืนเดียว เดินตรงเข้ามาในลานประลองอย่างแสนองอาจ เนื้อกายและมัดกล้ามเนื้อของเขาเรียกสายตาของทุกคนให้มองตาม

รูปร่างกำยำเปลือยเปล่าเผยให้เห็นแผงอกแข็งแกร่งที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ แผ่นหลังหนากว้างบึกบึนสมชายชาตรี ตามร่างกายมีรอยแผลเก่าเช่นเดียวกับรอยสักยันต์และอักขระโบราณเป็นลายหมึกดำพรึ่ด แขนขาและหน้าท้องเต็มแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อทุกสัดส่วน

สาวน้อย สาวใหญ่ รวมไปถึงสาวแก่แม่หม้ายต่างเสียจริตกันยกใหญ่เมื่อเขาผ่าน พวกหล่อนเอาแต่จดจ้องอยู่แต่ใบหน้าหล่อเหลาคมคายแบบลูกครึ่งฝรั่งราวกับกำลังถูกเขาร่ายมนตร์ปลุกเสก ผิวสีน้ำผึ้งครึ่งขาวไม่สม่ำเสมอกันบ่งบอกถึงการนิยมตรากตรำกรำแดดมากกว่าซ่อนตัวอยู่ในที่ร่ม พวกสาวๆ หน้าแดงซ่านเพราะนั่นคือสัญลักษณ์ของชายอกสามศอกอย่างแท้จริง

เขารูปร่างงามกว่าที่เห็นนัก จันทร์หล้าได้เห็นเนื้อกายของเจ้าแกมเมืองเต็มๆ ตาอย่างนั้น ก็รู้สึกทั้งเขินทั้งอายตามประสาจนใบหน้าร้อนผ่าว ยามสำนึกถึงว่าตนเคยเข้าไปประชิดเนื้อตัวเขาหลายครั้งหลายครา ก็ยิ่งรู้สึกละอายไปกันใหญ่ พยายามเก็บกดความรู้สึกแล้วและทนวางหน้าเฉยเมยเอาไว้ เขินอายหนักเข้าๆ ก็จำต้องแสร้งทำทีเสมองไปทางอื่น…แล้วก็หันกลับมามองอีกที

เจ้าสุนันต่าที่นั่งอยู่ข้างๆ สนามตะโกนส่งเสียงให้กำลังใจดังลั่น ส่วนม่อนหอมนั้นนิ่งเงียบจนผิดสังเกต เพราะกำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนตาปรือไปปรือมา น่าอดสู

คนร่างใหญ่ไม่รีรอ มาถึงลานแล้วก็รีบกระโดดขึ้นเกาะเสาน้ำมันแล้วปีนขึ้นไปเดี่ยวๆ ในรอบที่หนึ่ง ขึ้นไปได้ไม่เท่าไรก็ต้องร่วงลงมาอย่างน่าเสียดาย ก่อนรอบต่อไปเขาจะเปลี่ยนแผนให้มหาดเล็กคนสนิทที่ชื่อว่ามินตูมายืนเป็นฐานให้ แต่ก็ยังไม่เป็นผลเพราะมันเตี้ยเกินไป หนำซ้ำเจ้าหน้าที่ยังเอาน้ำมันมาราดเพิ่มให้เสาลื่นไถลเข้าไปอีก

เจ้าฟ้าและคนอื่นๆ ในศาลาเห็นการแข่งขันเริ่มสนุกสนานขึ้นเรื่อยๆ ก็จึงเสด็จลงมาทอดพระเนตรดูใกล้ๆ คอลลินสหายของคาลเตอร์รีบคว้าสมุดและปากกาในกระเป๋าถือ รวมถึงกล้องถ่ายรูปแล้วรีบวิ่งไปยังลานประลองด้วยเช่นกัน

สักพัก อนุชาของเจ้าฟ้าผู้ชื่อว่าเจ้าขุนอิ่นคำ พร้อมพลพรรค ก็ตามลงสนามประลองมาขับเคี่ยวกับฝ่ายของเจ้าแกมเมืองอยู่นาน ทว่าแม้ต่างจะปืนขึ้นไปเท่าไรแต่ก็ยังไม่สามารถพิชิตยอดเสาได้ รอบที่สาม เจ้าชายหนุ่มจึงประกาศหาชายร่างสันทัดมาร่วมปีนด้วย มีชายหนุ่มหลายคนยกมือเสนอตัวขอมาช่วย หนึ่งในนั้นคือผู้ตรวจการรัฐคนใหม่ แอลัน คาลเตอร์…

คาลเตอร์ไม่สนใจว่าตนจะถูกรับเลือกไหม แต่เขาก็รีบจัดแจงถอดชุดเครื่องแบบของตัวเองออก จนเหลือแต่กางเกงขายาวเพียงตัวเดียว ว่าแล้วก็รีบวิ่งลงสู่สนาม

“นิโคลัสผมจะช่วยคุณเอง ให้ผมเป็นฐานด้านล่างสุด แล้วให้มินตูกับคุณเหยียบผมขึ้นไป”

“มินตูหนักเกือบสองร้อยห้าสิบปอนด์ กับผมที่หนักราวหนึ่งร้อยเจ็ดสิบปอนด์ รวมกันก็เกือบจะห้าร้อยปอนด์อยู่แล้ว คุณได้หลังหักก่อนจะเข้ารับตำแหน่งแน่คุณคาลเตอร์”

แกมเมืองหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ ระหว่างรอขึ้นปีนรอบถัดจากชายสามคนที่กำลังปีนอยู่

“งั้นก็ให้มินตูอยู่ล่างสุด เขาแบกผม ผมแบกคุณ คุณเหยียบไหล่ผมขึ้นไปหยิบธงบนยอดเสาคุณเป็นเจ้าชาย คุณต้องเป็นคนขึ้นไปเอาธงนั่น”

คนหน้าคมกริบกำลังคิดประเมิน เขาไม่อยากไว้ใจไอ้คนเจ้าเล่ห์อย่างคาลเตอร์อีก รอยช้ำเดิมจากการถูกมันหักหลังครั้งก่อน เขายังไม่ทันคิดบัญชีสะสาง

“คุณทำแบบนี้ทำไม คาลเตอร์”

“ผมไม่ได้เป็นคนทำลายคุณ” นาวาเรือเอกเอ่ยออกมาในที่สุด “ทางรัฐบาลกลางรู้เรื่องธุรกิจของคุณกับมิสเตอร์เลสมาได้สักพักใหญ่ๆ ตอนนั้นผมที่เพิ่งย้ายมาจากฐานทัพในมะนิลา ขึ้นมาประจำอยู่ที่กัลกัตตา
ก็ถูกดึงตัวเข้ามาเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งเท่านั้น”

“แต่หมากตัวนี้ก็ติดตามผมไปทั่วไทคำหลวง ยังจะมีหน้ามาแก้ตัวอีกหรือ”

“เปล่าเลยนิคโก้ ตอนนั้นที่ผมท่องไปกับคุณเพราะผมอยากเห็นไทคำหลวงกับตาตัวเองจริงๆ เรื่องราวต่างๆ และภาพถ่ายของไทคำหลวงจะไม่สูญเปล่า ทุกอย่างผมมอบให้คอลลินไปหมดแล้ว และเขาคือนักเขียนตัวจริง”

คาลเตอร์พเยิดหน้าไปทางชายชาวอังกฤษที่ดูจะอายุเท่าๆ กันกับเขา ชายคนนั้นกำลังจดบันทึกทุกสิ่งที่เห็นลงไปในสมุดหน้าแล้วหน้าเล่า

คาลเตอร์โน้มตัวลงมากระซิบ “ผมเห็นนะนิคโก้ เด็กสาวคนนั้น…คนที่คุณช่วยมาจากโรงพนัน เธออยู่ที่นี่ด้วย หน้าตาสะสวยราวกับตุ๊กตามีชีวิต ผมไม่เชื่อหรอกว่าคุณจะหมางเมินเธอ ผมเห็นพวกหนุ่มๆ จ้องเธอตาเขม็ง หากคุณไม่รีบแสดงความเป็นเจ้าของเสียก่อน ผมพนันได้เลย คุณทำเธอหลุดมือแน่ๆ”

เจ้าแกมเมืองหัวเราะในลำคอดัง หึๆ แม้จะทำทีเป็นไม่ยี่หระ แต่เขาก็อดที่จะหันกลับไปมองหญิงสาวหน้าเด่นที่นั่งรวมอยู่กับคนอื่นๆ อย่างเสียไม่ได้

จริงอย่างคาลเตอร์ว่า ไอ้พวกเด็กหนุ่มจากโรงเรียนคอนแวนต์พวกนั้นพากันจ้องนางตาไม่กะพริบ และพวกที่กำลังนั่งรายล้อมอยู่นั่นก็พยายามจะหาโอกาสตีสนิทนาง พวงแก้มแดงๆ ระเรื่ออ่อนเปล่งปลั่งด้วยเลือดฝาด อีกริมฝีปากสีชมพูอิ่มเล็กน่ารักๆ นั่น คงจะเรียกสายตาไอ้พวกหนุ่มๆ ได้ดีทีเดียว แถมยามยกยิ้มทีไร ลักยิ้มคู่งามก็ช่างสว่างวาบ…ถึงว่า เจ้าอาถึงกับต้องยอมมาปีนเสาน้ำมันแข่งกับเขา เจ้าอาอยากได้นาง

แต่นางเป็นผู้หญิงของเขา…

แม้จะด้วยเพราะค่าเงินไถ่ตัว…แต่ก็ต้องเป็นของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น

เจ้าแกมเมืองพยายามสะกดอารมณ์ขุ่นเคืองลง หรืออีกนัยหนึ่งคือความหวงก้าง

แสดงความเป็นเจ้าของรึ หึ ช่างน่าขัน…คนอย่างเขาน่ะหรือจะทำ

“โอเค คาลเตอร์! ผมตกลงตามนี้…”

และแล้วก็ถึงรอบปีนของเจ้าแกมเมืองอีกหน ครานี้เขามีผู้ช่วยเพิ่มมาอีกคน ซึ่งนั่นก็คือผู้ตรวจการรัฐคนใหม่ที่เพิ่งมาวันนี้ และเมื่อเขายกเจ้าชายหนุ่มขึ้นใส่บ่า เสียงปรบมือก็ดังเกรียวกราว ยิ่งพอตอนมินตูเข้ามายกคนทั้งสองขึ้นบ่าอีกภายหลัง ผู้คนก็ได้ประจักษ์ถึงพละกำลังที่แท้จริงของมหาดเล็กคนนี้

ท้ายที่สุด เจ้าแกมเมืองก็สามารถปีนขึ้นไปนำธงสีแดงที่อยู่บนยอดเสาลงมาได้สำเร็จเป็นคนแรก ท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังล้นหลามและโห่แห่ยินดี

จันทร์หล้าเองรีบลุกขึ้นปรบมือแสดงความยินดีพร้อมกับคนอื่นๆ หวังเพียงน้อยนิดว่าเจ้าชายหนุ่มคงจะมองเห็นนาง และถ้าหากเขาจะเพียงเหลือบแลหางตามามองทางนี้สักนิด หญิงสาวเองก็คงจะมีโอกาสชูเหรียญทองและไม้คทาที่เป็นชัยชนะจากการแข่งขันของนางให้เขาเห็นด้วยเช่นกัน

จนเมื่อร่างสูงใหญ่ก้าวลงมาถึงพื้นด้านล่างพร้อมด้วยธงแดงแห่งชัยชนะ เขาก็เดินตรงดิ่งกลับมาทางกลุ่มผู้ชมที่ยืนปรบมือให้ เจ้าแกมเมืองโยนธงแดงไปให้กับใครคนหนึ่งอย่างหน้าตาเฉย ก่อนจะปลดเอาเหรียญทองที่ห้อยคอนางออกไปแทน เขาหันไปปรบมือพร้อมกับยกเหรียญทองชูให้กับทุกๆ คน เพื่อชื่นชมความตั้งใจของผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ

เขาไม่ทันพูดชื่นชมชัยชนะของหญิงสาวด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ได้พูดอวดอ้างชัยชนะของตนที่ได้มา สิ่งที่เขาทำ ก็แค่เก็บเหรียญทองนั้นไว้กับตัวเอง แล้วก็เดินตัวโล่งไปล้างตัวในอาคาร

“จันทร์หล้า!”

ทั้งเจ้าสุนันต่าและม่อมหอมต่างพร้อมใจกันหันมามองเขม่นจันทร์หล้าด้วยความสงสัย เมื่อนางเผลอโดดเด่นหลังจากที่เจ้าแกมเมืองเอาเหรียญทองของนางไป ก่อนคนทั้งหมดจะรุมแกล้งจั๊กจี้นางอย่างเมามันด้วยความอิจฉาทีเล่นทีจริง ส่วนนางเองก็พยายามวิ่งหนีเพื่อไม่ให้ใครมาแย่งธงแดงไปจากนางได้

จันทร์หล้ารีบเก็บรักษาธงแดงนั้นไว้กับตัวอย่างดีราวกับเป็นของสำคัญ เหรียญทองกับธงแดงเสาน้ำมันมีคุณค่าทางใจเสมอกัน หญิงสาวคิด

         

การแสดงเดี่ยวไวโอลินในห้องโถงใหญ่ใกล้จะจบลง อาชาตัวเขื่องทั้งแปดก็ถูกเจ้าหน้าที่นำตัวออกมาจากคอกเลี้ยงมุ่งสู่สนามแข่งขันในทันใด

การแข่งขันขี่ม้าตีโปโลในเย็นวันนี้ จะเป็นการแข่งขันระหว่างฝ่ายสโมสรโปโลกับฝ่ายราชสำนักแสนฟ้า ผู้ชมให้ความสนใจมารอดูอย่างล้นหลาม เพียงไม่นานปะรำพิธีที่จัดไว้กลางแจ้งหลายสิบหลังก็เต็มไปด้วยเหล่าสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีผู้ดีมีสกุล

โฆษกชายชาวอังกฤษไม่รอช้า กล่าวต้อนรับผู้ชมและแนะนำผู้เข้าแข่งขันในแต่ละฝ่าย เจ้าชายหนุ่มทั้งสี่ของเจ้าฟ้าลงแข่งขันในนามของฝ่ายราชสำนัก อันประกอบไปด้วย เจ้าแกมเมือง เจ้าหน่อคำ เจ้าเสาคำ และเจ้าสามเมือง ส่วนฝ่ายสโมสรโปโลมีนักกีฬาโปโลมืออาชีพและผู้ตรวจการรัฐคนใหม่

นักกีฬาทั้งหมดแต่งกายทะมัดทะแมงด้วยเสื้อเชิ้ตโปโลและกางเกงขายาวสีขาว สวมรองเท้าบูตตามธรรมเนียมการแต่งกายขี่ม้า ส่วนผู้ชมในสนามแต่งกายด้วยชุดสูทสากลร่วมสมัย ในขณะที่สุภาพสตรีส่วนใหญ่ แต่งกายด้วยเสื้อผ้าชุดกระโปรงสวยงาม สวมหมวกปีกกว้างแบบสไตล์อังกฤษที่มีขนนกหรือดอกไม้ประดับ

นักกีฬาขี่ม้าตีโปโลทั้งแปดรวมกรรมการอีกสองคนกระโดดขึ้นไปประจำบนหลังอาชา ก่อนจะควบทะยานลงไปสู่สนาม แต่ละคนถือไม้โปโลที่ใช้สำหรับเป็นอุปกรณ์ตีลูกบอล การแข่งขันกำลังจะเริ่มต้นขึ้น

ระหว่างยืนประจำที่ในแต่ละฝ่ายเพื่อรอระฆังตีให้สัญญาณ เจ้าหน่อคำราชบุตรของมหาเทวีก็ควบม้าเข้ามาใกล้ๆ เพื่อตรัสบางอย่างกับเจ้าแกมเมืองผู้เป็นพระเชษฐาต่างมารดาที่มีอายุต่างกันเกือบสิบกว่าปี

“เมื่อกี้ได้ยินเหมือนว่าเจ้าแกมเมืองจะรับอาสาพ่อเจ้าไปพัฒนาไร่ส้มที่เมืองปางขอน จะผิดไหมหากข้าจะรู้สึกว่าเหมือนกำลังได้ยินคล้ายละครน้ำเน่าเรื่องหนึ่ง”

“ใจของเจ้าจึงต้องใสสะอาดเหมือนน้ำเสียก่อนยังไงเล่า เจ้าถึงจะหัดรู้สึกยินดีไปกับคนอื่นเขาบ้าง”

“เจ้าแกมเมืองบ่เหมาะกับงานราชการ และแทบจะบ่รู้จักแสนฟ้าเลยด้วยซ้ำไป หลายปีมานี้ ท่านเองใช้แสนฟ้าเป็นเพียงแค่บ้านพักตากอากาศและทางผ่านไปนั่นมานี่เท่านั้น บ่เคยเข้ามาสนใจไยดีบ้านเมืองจริงๆ จังๆ ยังบ่รู้ด้วยกระมัง ว่ามีปัญหาอันใดกำลังซุกซ่อนอยู่ใต้บัลลังก์ที่ท่านกำลังจะขึ้นนั่ง”

“งานราชการจะไปยากอะไร ก็คงคล้ายๆ กับการค้าขายนั่นแหละน่า ก็แค่ต้องหมั่นออกไปพบปะกับผู้คน รับฟัง และสนองความต้องการของพวกเขา”

เจ้าหน่อคำยิ้มเย้ยหยัน “คิดไว้บ่มีผิด ข้าบ่แปลกใจเลยที่ผู้คนจะครหา หากบ่ใช่เพราะท่านเป็นบุตรของสิรี เมียรักของเจ้าพ่อ ท่านก็คงจะบ่ได้มาอยู่ตรงนี้ เพราะหากจะนับตามฐานันดรแล้วละก็ ท่านก็จัดว่าอยู่ในลำดับเกือบท้ายๆ ในการขึ้นครองบัลลังก์”

“นามของมารดาข้า มิใช่นามที่ใครหน้าไหนจะจาบจ้วงหรือโหนลงมาให้ต่ำ ยามที่ต้องเอ่ยถึงท่านเจ้าหน่อคำควรจะให้เกียรติโดยการเรียกท่านว่า ‘อะชีน’ บ่ใช่ สิรี”

“ที่ผ่านมาข้าเองให้เกียรติทุกคน และมีมารยาทมากพอกับคนที่ข้าอยากมีมารยาทด้วย แต่เสียดายที่ฝ่ายทางท่านมันเป็นพวกคนเห็นแก่ตัว เป็นพวกโจรที่ปล้นเอาสมบัติพัสถานของคนอื่นไปกกกอดไว้อย่างสบายใจนานแรมปี”

ดวงตาคล้ายนกเหยี่ยวมองมาด้วยความไม่พอใจ หากแต่ผู้เป็นบุตรชายของมหาเทวีไม่สะท้านต่อสายตาของเขา

“เจ้าพูดกับพี่ชายของตัวเองอย่างนี้หรือ” เจ้าแกมเมืองถามกลับ “เจ้ามีมารยาทหรือไม่”

“ท่านบ่ควรกลับมาที่แสนฟ้านี้อีกด้วยซ้ำ ในเมื่อได้ตัดสินใจที่จะทำอันใดเพื่อเป็นประโยชน์แก่ตัวเองเพียงผู้เดียวแล้ว ก็จงมุ่งมั่นทำมันต่อไป ตั้งแต่ไหนแต่ไร ข้าก็บ่เคยเห็นท่านทำอะไรเพื่อคนอื่นเลยสักครั้ง”

“เรื่องราวของข้า ไฉนถึงรู้ดีราวกับเป็นเงาตามตัว”

“ก็คงมีแต่ท่านเท่านั้นที่หลอกตัวเอง ว่าไม่มีผู้ใดรู้เรื่องฉาวโฉ่ที่ท่านทำไว้ที่เมืองหลวง สินค้าเต็มโกดังเหล่านั้น คงจะสร้างรายได้ให้ท่านอย่างมหาศาล”

“ดูพูดเข้า ทำตัวเป็นเด็กขี้อิจฉาไปได้”

“ข้าเป็นถึงบุตรชายของมหาเทวี ผู้สืบเชื้อสายสันตติวงศ์มาแต่ฝั่งราชสำนักม่านบุรีโบราณ และข้าบ่เคยอิจฉาคนที่ฐานันดรต่ำกว่าข้าเลยสักครั้ง”

“ข้าเกือบลืมไป ว่าทางฝั่งของพวกเจ้า เป็นพวกยึดติดกับคำฐานันดรและยศศักดิ์ สิ่งสิ่งนั้นมันทำให้พ่อเจ้าบ่ยอมยกบ้านเมืองให้พวกเจ้า เพราะมันรังแต่จะฉิบหาย พอได้ยินเจ้ากล่าวอย่างนี้แล้ว ข้าก็ยิ่งอยากจะเสวยสุขในตำแหน่งอุปราชไปนานๆ เจ้าเองก็ทำตัวดีๆ กับข้าเสียด้วยล่ะ ในภายภาคหน้า หากข้าได้ขึ้นเป็นเจ้าฟ้า ข้าอาจจะเอ็นดูเจ้า และอาจจะตั้งเจ้าเป็นอุปราชแกมเมืองคนต่อไปก็ได้”

“ท่านควรคืนตำแหน่งเจ้าอุปราชแกมเมืองให้ข้าตามสิทธิ์”

“ไปจุดธูปบอกผีเอาแล้วกัน”

“ระวังตัวให้ดีเถิด เจ้าอ้ายรู้จักข้าน้อยเกินไป”

“ข้ารู้จักสันดานของพวกเจ้ามาตั้งแต่แต่ไรแล้วด้วยซ้ำ…ข้าถึงได้รอดชีวิตกลับมาจากดอยหัวโทครานั้นยังไงล่ะ”

“อะ อะไรนะ”

“ลอบกัด จ้างวาน คิดจะสังหารข้าหรือ มันบ่ง่ายขนาดนั้นหรอกนะ”

เหลือบไปเห็นกรรมการกำลังลงสนาม เจ้าแกมเมืองก็ขยับไม้โปโลเข้ากับมือจนมั่น ก่อนจะซ้อมหวดลูกอย่างไปพลางๆ อย่างสบายใจ เขาหันมากล่าว

“ไปหัดฉลาดมาใหม่หากจะมาพูดอะไรทำนองนี้กับข้าอีก อย่าได้กล่าวความรู้สึกของตัวเองออกมาโต้งๆ แบบนี้ มันเหมือนคนโง่ เป็นไอ้งั่งขี้อิจฉา และมันทำให้ข้าสมเพช…”

และแล้วการแข่งขันก็เริ่มขึ้นหลังจากสิ้นเสียงระฆัง อาชาทั้งแปดแล่นเข้ารุมสู้กัน นักกีฬาที่ควบอยู่บนหลังม้าต่างใช้ไม้โปโลหวดลูกบอลอย่างแม่นยำและสกัดฝ่ายตรงข้าม ต่างฝ่ายต่างผลัดกันรุกและพยายามแย่งพาลูกบอลไปยิงเข้าประตูอีกฝ่ายเพื่อหวังจะทำแต้ม และในแต่ละครั้งที่ทั้งสองฝ่ายได้แต้ม ผู้คนข้างสนามก็ร้องเฮเสียงดังลั่น

จบครึ่งแรกคะแนนของทั้งสองฝ่ายยังไม่ห่างกันมาก นักกีฬาทั้งสองฝ่ายต่างเข้ามาพักที่ข้างปะรำระหว่างนั้นโฆษกก็กล่าวเชิญทุกคนลงไปในสนามด้วยเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ เพื่อช่วยกันกลบหน้าดินและเกลี่ยรอยเท้าม้า คอลลินนักเขียนหนุ่มเดินตามไปบันทึกภาพบรรยากาศอย่างไม่พลาดสักช่วงเวลา

“คุณแรงเยอะหยั่งกับม้าศึก” คาลเตอร์เข้ามาคุยกับแกมเมืองหนุ่มระหว่างพักดื่มน้ำ

เจ้าชายเหลือบมองเขาด้วยหางตาเท่านั้น ก่อนจะบ่ายหน้าหนีไปทางอื่น คาลเตอร์รู้ดีว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น

“ไม่เอาน่า นิคโก้ คุณน่าจะดีใจที่ได้เจอสหายอย่างผมเก่าสิ”

“รู้อะไรไหมคาลเตอร์…ไปตายซะ”

นาวาเอกแห่งกองราชนาวีอังกฤษยังไม่หยุดความพยายามในการเซ้าซี้

“เฮ้ ผมรู้ว่าคุณอาจจะเศร้า ที่คุณเลสถูกส่งตัวกลับบริเตนใหญ่ แต่ถึงไม่มีเขา คุณก็ยังมาทำงานเป็นเลขาให้กับผมได้นี่”

“หยุดพล่ามเรื่องไร้สาระเสียทีคาลเตอร์”

“โธ่ ผมยังอยากเป็นสหายและท่องไปทั่วไทคำหลวงกับคุณเหมือนเดิมนะนิคโก้ มันเป็นประสบการณ์ที่ดีที่สุดในชีวิตคนอย่างผมเลยรู้ไหม ผมเข้ารับราชการตั้งแต่ยังหนุ่มและเพิ่งเคยมาฝั่งตะวันออกเป็นครั้งแรก มันเป็นอะไรที่น่าประทับใจ”

“ประทับใจกะผีน่ะสิ” ชายหนุ่มถลึงตาใส่ “ตอนนี้พวกเขาก็แต่งตั้งคุณเป็นผู้ตรวจการประจำรัฐไทคำหลวงแล้วนี่ ทีนี้คุณจะเดินทางเข้าออกเมืองไหนก็ได้ เชิญตามสบาย”

“แต่ผมชื่นชอบคนอย่างคุณมากนะนิคโก้ และผมก็อยากจะเป็นสหายของคุณตลอดไป คุณเป็นคนหนุ่มในอุดมคติที่ผมอยากจะเป็นในช่วงวัยหนึ่ง แต่ผมก็เป็นมันไม่ได้…ผมไม่ได้อยากเป็นศัตรูกับคุณนิคโก้” คาลเตอร์มองไปที่เรือนนาฬิกาที่ข้อมือ ก่อนจะเดินไปวางมือบนไหล่ของอีกฝ่าย

“หากวันหน้าคุณได้ขึ้นเป็นเจ้าฟ้า ผมจะสนับสนุนคุณในทุกๆ เรื่องที่จะเกี่ยวข้องกับจักรวรรดิอังกฤษ การศึกษาของบุตรหลานของคุณ บ้านเมืองของคุณ ผมจะทำ”

แอลัน คาลเตอร์กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและจริงจัง จนทำให้อุปราชหนุ่มได้ทบทวนนึกคิด

พักแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น เสียงระฆังช่วงที่สองของการแข่งขันขี่ม้าโปโลก็ดังขึ้น คาลเตอร์ออกมานั่งพักและสับเปลี่ยนให้เด็กหนุ่มอีกคนลงไปเล่นแทนเขา ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งนั้นก็มีการเปลี่ยนตัวผู้เล่นเช่นเดียวกัน ผู้เล่นหมายเลขสี่ซึ่งเป็นนักศึกษาแพทย์หนุ่มถูกเปลี่ยนออกไป ในช่วงที่สอง ทั้งสองฝ่ายก็ยังผลัดกันทำแต้มตามกันมาเรื่อยๆ

เหมือนจะเป็นการแข่งขันธรรมดาๆ แต่คาลเตอร์ที่นั่งดูอยู่ไกลๆ กลับรู้สึกได้ถึงสิ่งที่ผิดปกติไป

เขานึกตกใจกับบรรยากาศการแข่งขันที่รวดเร็วและรุนแรงขึ้น มีการยกไม้สูงขึ้นขณะตี และฝ่ายแสนฟ้าเองก็เหมือนจะไม่ได้ช่วยกันไล่ตีบอลเท่าไร แต่เหมือนกำลังรุมทำร้ายกันเองต่างหาก!

แอลัน คาลเตอร์ก้าวออกจากปะรำพิธีอย่างไม่รอช้า สายตาเขาจดจ้องอยู่กับผู้เล่นในสนาม เจ้าชายรัชทายาท สหายที่เขาคุ้นเคย

ฉับพลัน จังหวะหนึ่งในการแข่งขันเป็นการเข้าตะลุมบอนแย่งชิงลูกบอลกัน ผู้เล่นคนหนึ่งในฝ่ายแสนฟ้าจงใจทำให้เกิดอุบัติเหตุ เขาพยายามเขวี้ยงไม้โปโลไปหวดถูกขาม้าของเจ้าแกมเมือง จนม้าเสียหลัก ร่างใหญ่ไถลตกลงไปด้านหน้า และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่บุตรชายของมหาเทวีจะหวดไม้ต่อ

ไม้โปโลจึงหวดเข้าเต็มศีรษะคนเสียหลักอย่างแรง จนตกลงจากหลังม้าไปนอนแน่นิ่งอยู่ข้างล่าง ท่ามกลางเสียงกรีดร้องตกใจต่ออุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน

“หมอ…เรียกหมอที!”

คาลเตอร์ตะโกนเรียกหาหมอทันที หุนหันพลันแล่นวิ่งลงไปดูอาการคนที่นอนแน่นิ่งกลางสนามเป็นคนแรก เจ้าสามเมืองและหมอกุปป้ารีบถือกระเป๋าพยาบาลเข้ามาในที่เกิดเหตุทันควันด้วยจิตวิญญาณในวิชาชีพ พร้อมกับสำรวจอาการแตกหักของคนเจ็บ ก่อนจะช่วยกันปฐมพยาบาลเบื้องต้น

หมอกุปป้าถอดหมวกคนเจ็บออก เห็นบาดแผลแตกตรงกลางศีรษะมีเลือดไหลออกมามากขนาดต้องหาผ้ามาอุดซับแผลไว้ ด้านเจ้าสามเมืองพยายามร้องเรียกคนนอนไม่ได้สติ ทว่าไม่มีการตอบสนองกลับมา ก่อนจะพบว่าคนเจ็บหยุดหายใจไปชั่วขณะ!

ไม่รอช้าหมอกุปป้ารีบจับร่างคนนอนแน่นิ่งให้นอนหงาย และเริ่มทำการปั๊มหัวใจ

“นิคโก้ นิคโก้!” แอลัน คาลเตอร์พยายามร้องเรียก

“ต้องรีบพาเขาไปโรงพยาบาล”

หมอกุปป้าบอก คาลเตอร์จึงตะโกนเรียกหาคนขับรถของเขาให้รีบเอารถเข้ามา

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าทำเอาจันทร์หล้ากระโดดเด้งลุกขึ้น หมายจะวิ่งเข้าไปในสนามด้วยสัญชาตญาณบางอย่าง ม่อนหอมรีบรั้งตัวนางเอาไว้ หญิงสาวถึงได้สติ จิตใจนางไหววูบห่วงใยคนเจ็บที่นอนอยู่กลางสนาม นางเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง เขาถูกทำร้ายต่อหน้าต่อตาอีกแล้ว เขาถูกทำร้ายซ้ำๆ…มือบางกำธงแดงเข้ากับใจตนจนแน่น

เมื่อรถมาถึง ทุกคนต่างช่วยกันหามคนเจ็บส่งโรงพยาบาลเพราะมีเครื่องไม้เครื่องมือแพทย์ที่ครบครันกว่า และตอนที่รถกระบะขับผ่านหน้าปะรำไป เจ้าสุนันต่าที่นั่งซุกอยู่ในอ้อมกอดของพระมารดาได้เห็นภาพบาดตาก็ซบพระพักตร์ลงร่ำไห้ รู้สึกสงสารเจ้าแกมเมืองจับใจ

ผู้คนแตกตื่นกันยกใหญ่เมื่อเหตุการณ์กลางสนามบานปลายกลายเป็นการบาดเจ็บครั้งใหญ่ เสียงเล่าลือว่าเจ้าแกมเมืองถูกไม้โปโลของเจ้าหน่อคำหวดเข้าไปที่ศีรษะอย่างจังจนหยุดหายใจไปชั่วขณะ

เจ้าฟ้าที่เห็นเหตุการณ์เต็มสองพระเนตรทรงรีบเสด็จเข้ามาดูเหตุการณ์ที่กลางสนาม พลางมองหน้าบุตรชายของท่านอีกสองคนที่กำลังลงจากหลังม้ามายืนทำหน้าสลด ทรงสะกดกลั้นอารมณ์อย่างสุดจะกลั้น ก่อนจะปรี่เข้าไปหวดฝ่ามือเข้าใส่ข้างแก้มบุตรของท่านเรียงรายบุคคล ท่ามกลางความตกใจของมหาเทวีที่โดดเข้ามาปกป้องบุตรทั้งสองของพระนาง เจ้าฟ้าชี้หน้าด่าทอเจ้าหน่อคำ ดวงพระเนตรแดงก่ำด้วยความโกรธ

“พ่อเจ้า…”

“หุบปาก!” เจ้าฟ้าตวาดว่าแล้วก็ทรงหันมาตรัสกับมหาเทวีด้วยพระสุรเสียงอย่างเหลืออด “อย่าบีบคั้นให้ข้าต้องหมดความอดทน พวกเจ้าพรากแม่ของเขาไปจากข้าแล้วครั้งหนึ่ง คราวนี้ยังคิดจะพรากเขาไปจากข้าอีกหนหรือไง”

“เจ้าฟ้าจะกล่าวเอาผิดกับข้ากลางที่รโหฐานอย่างนี้บ่ได้นะบาทเจ้า”

“สิ่งที่บุตรของเจ้าทำ จะต้องได้รับการลงโทษ”

“บุตรของข้าอย่างนั้นหรือ…เขาเป็นของข้าคนเดียวหรือไง” มหาเทวีทรงกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “หน่อคำบ่ใช่บุตรของท่านหรือ”

ข่าวอุบัติเหตุที่สโมสรโปโลของพวกฝรั่งแพร่กระจายออกไป ชาวเมืองต่างซุบซิบนินทาว่าร้ายกันไปต่างๆ นานา บ้างว่าเป็นแผนการของมหาเทวีและราชบุตรหมายจะปองร้ายเอาชีวิตเจ้าแกมเมือง

หรือฤดูแห่งการประทุษร้ายเจ้าอุปราชรัชทายาทกำลังจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่เคยเกิดเหตุการณ์ทำนองเดียวกันแบบนี้มาก่อนถึงสองครั้งในอดีตเมื่อสิบปีก่อน

 



Don`t copy text!