นิราศรักสองนครา บทที่ 8 : ความเป็นไปของชีวิต
โดย : ปรียนันทนา
นิราศรักสองนครา โดย ปรียนันทนา เรื่องราวของโชติ หญิงสาวชาวสยาม กับทางเลือกสองทาง ความรักของชายหญิงกับความรักหวงแหนแผ่นดินเกิด เธอจะเลือกทางใด และหากไม่สามารถเลือกได้ จะมีหนทางใดที่ใจสองดวงจะมาบรรจบพบกัน ณ จุดที่ลงตัวได้หรือไม่ นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านพร้อมกันที่นี่ anowl.co
“ประเดี๋ยวพี่บัวบอกให้บ่าวมาช่วยขนจานชามพวกนี้ขึ้นบ้านด้วยนะจ๊ะ ฉันจะไปพบคุณป้าก่อน” โชติหันมาบอกบัวที่เพิ่งขึ้นจากท่ามาพร้อมกัน บ่าวชายผู้มีหน้าที่พายเรือรับส่งกำลังลำเลียงของจากร้านขึ้นมาวางบนศาลาริมน้ำ
“เจ้าค่ะคุณโชติ” บัวรับคำแล้วมองตามหลานสาวเจ้าของบ้านอย่างสงสัย หญิงสาวดูเคร่งขรึมกว่าปกติผิดจากตอนออกจากบ้านที่ดูสดใสร่าเริง ตอนแรกบัวคิดว่าเป็นเพราะเรื่องชุลมุนหน้าร้าน แต่เมื่อกลับเข้าร้านแล้วได้ลงมือเลือกจานชามสวยงามโชติก็ดูเหมือนจะอารมณ์ดีดังเดิม จนกระทั่งชายฝรั่งรูปงามผู้นั้นเข้าร่วมวงสนทนาที่บัวฟังไม่เข้าใจ โชติก็กลับดูเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด บัวไม่กล้าถามหากแต่คิดว่าคงเป็นเรื่องสำคัญมากพอที่จะทำให้หญิงสาวผู้สดใสร่าเริงที่บัวเห็นมาแต่เล็กแต่น้อยมีท่าทีเปลี่ยนไปเช่นนี้
โชติเร่งฝีเท้าไปยังส่วนพักผ่อนปีกซ้ายของตึกอันเป็นที่ส่วนตัวของคุณป้า เวลากลางวันคุณหญิงมักรายล้อมไปด้วยบริวารหญิงสาว แต่ละคนล้วนมีงานทำไม่หยุดมือ เช่นวันนี้คุณป้าของหล่อนกำลังควบคุมให้บ่าวจัดเตรียมเครื่องเทศสำหรับทำข้าวบริยานี่ในวันพรุ่ง
“แม่โชติเองหรือ เหตุใดกลับมาเร็วนักเล่า ป้าคิดว่าจะไปจนเย็นย่ำ”
“หมดธุระแล้วหลานก็กลับสิคะ เดิมทีคิดว่าจะเดินเล่นอีกสักนิด หากแต่เกิดเรื่องจนมิอยากทำอันใดแล้วค่ะ” โชติมองบ่าวหน้าตาหมดจดที่ง่วนกับงานตรงหน้าอย่างสนใจ หากแต่อารมณ์ที่ถูกกวนจนขุ่นมัวก็พาลทำให้ไม่ใคร่เสวนาเล่นหัวเช่นที่เคยเป็น
“มีเรื่องกระไรฤๅ”
“คุณป้าทราบหรือไม่คะว่าบัดนี้มีคนสยามเปลี่ยนสังกัดไปเข้ากับฝรั่งเศสเพื่อหนีความผิดแล้ว” น้ำเสียงร้อนรนสมกันกับแววตาตระหนกจนผู้อาวุโสกว่าต้องเอ่ยเตือนช้าๆ
“ไหน แม่โชติพูดช้าๆ อีกทีเถิด ป้ามิใคร่เข้าใจ” มือที่กำลังง่วนกับงานหยุดเคลื่อนไหวทันที
“หลานไปร้านคุณเจมส์แล้วเห็นคนหนีคดีเจ้าค่ะ เขาบอกว่าเปลี่ยนเป็นคนในร่มธงฝรั่งเศสเสียแล้ว สยามมิอาจเอาผิดเขาได้ โปลิศโกรธจนหน้าแดงทีเดียวเจ้าค่ะ” หญิงสาวสาธยายจนหมดถ้อยกระทงความแล้วภาพเหตุการณ์เมื่อเช้าก็กลับเข้ามาในมโนความคิดอีกครั้ง
“โปลิศกองคอนสเตเบิลของกัปตันเอมส์ใช่หรือไม่” คุณหญิงเอ่ยถามเยี่ยงผู้ที่ติดตามความเป็นไปของงานบ้านเมืองจากสามี
“ใช่ค่ะ โปลิศมาด้วยกันสองคนเป็นคนอินเดีย หลานคิดว่าท่าทางน่าเกรงขามแลจริงจังดี เสียแต่ชาวบ้านมิใคร่เชื่อถือต่างจากพวกตำรวจหวายที่ชาวบ้านดูเกรงกลัวกว่า”
“เกรงเพราะกลัวหวายน่ะสิ แต่หาได้ระงับเหตุร้ายได้จริง กัปตันเอมส์เข้ามาจัดการงานตำรวจให้เป็นระบบคงจะดีมาก แต่คงต้องใช้เวลานะแม่โชติ”
คุณหญิงอ่วมกล่าวถึงกัปตันเอมส์ผู้มีชื่อเต็มว่า เอส. เจ. เบิร์ด. เอมส์ ชาวอังกฤษผู้ได้รับสนองพระบรมราชโองการจากในหลวงให้มาเป็นผู้บังคับกองโปลิศคอนสเตเบิลหรือกองตำรวจรักษาความสงบเรียบร้อยในพระนคร โดยทำหน้าที่แทนข้าหลวงกองจับและกองตระเวนซ้ายขวา
“เจ้าค่ะคุณป้า หลานคิดว่าน่าจะใช้เวลาอีกสักระยะกว่าที่ชาวบ้านจะยอมรับ แต่ตอนนี้เรื่องที่หลานเกรงจะเป็นเรื่องใหญ่คือการที่คนทำผิดเหล่านี้จะใช้เรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตมาเป็นข้ออ้างในการหลีกหนีความผิด”
“ข้อนี้ก็ป้าเห็นเช่นนั้น แต่เราจะทำการใดได้เล่าแม่โชติ” คุณหญิงอ่วมรำพึงอย่างเข้าใจสถานการณ์แล้วหันไปสนใจกับการตรงหน้าต่อไป
“ต่อไปบ้านเมืองจะเป็นเช่นไรเจ้าคะ หลานกลัว” โชติเอ่ยเบาๆ บ่งบอกความรู้สึกกริ่งเกรงในจิตใจอย่างชัดเจน
งานโกนจุกของพ่อชายในเดือนหน้าเป็นสิ่งที่ทำให้คุณป้าของหล่อนจดจ่อกับเรื่องอื่นที่มิใช่เรื่องบ้านเมืองได้เป็นอย่างดี โชติได้แต่หวังว่าหลังจากเวลานั้นผ่านไปทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นกับสยาม
ทั้งที่หญิงสาวก็รู้ดีว่าเป็นเพียงแค่ความหวังเท่านั้น
“หลานว่าอย่างไรนะมิเชล” บุรุษวัยหนุ่มใหญ่ผู้มีท่วงท่าองอาจมองหน้าผู้อ่อนอาวุโสกว่าจริงจัง
“วันนี้หลานไปติดต่อหาบ้านเช่าขอรับ ได้บ้านแล้วเป็นตึกตรงถนนเจริญกรุงนี่เอง”
“เรื่องนั้นอามิได้สงสัย แต่มีอีกเรื่องที่หลานพูดเมื่อครู่”
“ดูท่าว่าคุณอาจะมิได้ตั้งใจฟังนะขอรับ”
มิเชลเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่ปกติดูใสซื่อปราศจากร่องรอยเคืองขุ่นใครบัดนี้มิเป็นเช่นเดิมด้วยมีรอยกังวลสงสัยพาดผ่านชัดเจน
“กระผมบอกว่าวันนี้มีคนหนีคดีฆ่าคน เขาแจ้งแก่โปลิศว่าเขาเป็นคนในบังคับฝรั่งเศส” มิเชลลอบมองอากัปกิริยาของอีกฝ่ายอันมีทีท่าเป็นปกติดี “เท่ากับว่าเขามิต้องถูกตัดสินความผิด”
“ก็เป็นไปตามสนธิสัญญาที่สยามลงนามกับเรา แลชาติอื่นที่เข้ามาติดต่อกับสยามก่อนหน้าก็มีสัญญาข้อนี้” กงสุลมองหน้าชายหนุ่มตรงไปตรงมา “หลานมีปัญหาเรื่องใดฤๅ”
“หลานอยากรู้ว่าเยี่ยงนี้คุณอาจะนำตัวคนผิดมาลงโทษหรือไม่ขอรับ” เขาถามตรงไปตรงมา หากทางการสยามมิอาจลงโทษฆาตกรได้ทางเดียวที่จะทำให้ผู้ตายได้รับความเป็นธรรมคงต้องให้ฝรั่งเศสจัดการ แม้เขารู้ว่าการที่ชายผู้นั้นเลี่ยงมาขึ้นสังกัดกับฝรั่งเศสเพราะจะได้ไม่ต้องรับโทษก็ตาม
“เรื่องนี้ซับซ้อนนัก เราคงต้องใช้เวลาเพื่อสืบหาความจริงนะมิเชล” เขามองหน้ากงสุลโอบาเรต์ผู้ที่รู้จักสนิทนับถือมานาน แต่นี่อาจเป็นครั้งแรกที่มิเชลคิดว่าที่ผ่านมานั้นเขาคิดผิด บางทีความถูกต้องในใจของเขาอาจเป็นคนละเรื่องกับที่อีกฝ่ายคิดก็เป็นได้
“เยี่ยงนั้นหลานขอให้คุณอาอย่าลืมก็แล้วกันขอรับ เรามิได้เดือดร้อนกับเรื่องนี้ด้วยไกลเกินตัว หากแต่ญาติพี่น้องของผู้ตายคงมิอาจวางใจได้หากฆาตกรยังลอยนวล” มิเชลกล่าวจบก็หันหลังกลับไปทางห้องส่วนตัวเพื่อเก็บข้าวของอันมีไม่มากนัก เดิมทีเขาตั้งใจว่าจะซื้อข้าวของเครื่องใช้ไว้ที่ห้องเช่าใหม่เสียก่อนแล้วจะย้ายออกไป แต่เหตุการณ์วันนี้เป็นตัวเร่งให้เขาย้ายออกให้เร็วที่สุด เขารู้ดีว่ากงสุลคงไม่ใส่ใจเรื่องที่เขาพยายามเจรจาด้วย เพราะหน้าที่หลักของท่านโอบาเรต์ในการมาสยามครั้งนี้เพื่อให้คิงมงกุฎทรงยินยอมในข้อตกลงที่ฝรั่งเศสเสนอมา หากมีการอันใดที่เกี่ยวเนื่องด้วยเหตุจากสนธิสัญญาที่เคยลงนามกันไว้แล้วนั้น ท่านกงสุลย่อมถือเป็นเรื่องที่สยามมิอาจบิดพลิ้วด้วยการลงนามเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจนแล้ว
หากแต่เขามิใช่กงสุล มิเชลยังมีความรู้สึกอ่อนไหวและรับรู้ในความเป็นไปทั้งด้านดีด้านร้ายของเพื่อนร่วมโลกเสมอ เขามิอาจปฏิเสธได้ว่าตนเองนั้นรู้สึกถึงความได้เปรียบในความเป็นชนชาติผู้เหนือกว่าในด้านวิทยาการความรู้ต่างๆ แต่การเดินทางจากบ้านเกิดเพื่อเรียนรู้วิถีแห่งโลกตะวันออกได้ทำให้เขาเห็นแง่งดงามในความเป็นผู้ตั้งรับที่รู้ว่าเสียเปรียบหากก็ยืนหยัดในการแสดงออกอย่างมีไมตรีและพยายามรอมชอมเพื่อหนทางรอดพ้นจากการถูกรุกรานดินแดนของตนให้มากที่สุด
แม้ผู้ถูกรุกรานย่อมรู้ดีว่าผู้มาเยี่ยมเยือนเช่นประเทศเขามิได้มีเจตนาตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด หากแต่ย่อมหวังผลมากกว่าในวันข้างหน้า
เป็นเยี่ยงนี้ไปในทุกชนชาติและชนชั้นที่ทำตนเหนือกว่า
หญิงสาวผิวขาวเหลืองเนียนละเอียดหน้าตาจิ้มลิ้มชวนมองนั่งบนตั่งกลางเรือน ดวงหน้ามีร่องรอยอ่อนเพลียทว่าแววตาที่เธอมองเด็กหญิงวัยกำลังหัดเดินแจ่มกระจ่างอย่างมีความสุข ผู้เป็นบุตรสาวกำลังเริ่มหัดเดินโดยมีพี่เลี้ยงหนึ่งคนช่วยประคอง เมื่อมีทีท่าว่ากำลังจะล้มแม่หนูกลับหัวเราะออกมาโดยไร้อาการหวาดกลัว ไรผมดกดำเริ่มมีเหงื่อซึมเล็กน้อยหากแต่เด็กหญิงไม่มีทีท่าอ่อนแรงสักนิด ตรงกันข้ามกลับจะยิ่งดูสำราญใจกว่าเดิมจนส่งเสียงร้องตื่นเต้นเมื่อเห็นหญิงสาวหน้าตาคมคายกำลังเดินขึ้นเรือนมา
“แม่เพ็ญ” โชติส่งเสียงยินดีเมื่อได้เห็นหน้าเด็กหญิงตัวเล็กที่เธอเอ็นดู
“พี่ พี่โช่ะ” เสียงแม่หนูเอ่ยออกมาไม่ชัดเจน หากแววตาเป็นประกายระยิบยามจ้องมองก็เป็นเครื่องยืนยันความรู้จักสนิทสนมได้เป็นอย่างดี
“ฉันไหว้ค่ะคุณน้าจัน” หญิงสาวไหว้ผู้เป็นมารดาของเด็กหญิงอย่างกระฉับกระเฉง พลางหันไปทักทายเด็กหญิงอย่างตื่นเต้น “แม่เพ็ญเรียกชื่อพี่หรือจ๊ะ แหม ดีใจเสียจริง”
“แม่โชติ น้าคิดถึงอยู่หลายวัน แม่เพ็ญก็คงมิต่างกัน พอเห็นแม่โชติก้าวขึ้นเรือนมาถึงกับส่งเสียงดังเชียว จำคุณพี่ได้ฤๅ”
ภรรยาหลวงภูบดินทร์พิทักษ์เอ่ยพลางยิ้มยินดี หญิงสาวมีวัยมากกว่าโชติไม่มากหากแต่การแต่งงานกับคุณหลวงภูบดินทร์พิทักษ์ทำให้โชติเรียกจันว่าน้าตามฝ่ายชาย จันเป็นบุตรสาวผู้นำชุมชนบ้านญวนที่บรรพบุรุษอพยพมาอยู่กรุงเทพฯ ตั้งแต่เมื่อแผ่นดินที่แล้ว หญิงสาวมีหน้าตาจิ้มลิ้ม ผิวขาวเหลืองละออชวนมอง โชติรู้สึกว่าคุณน้าผู้หญิงของเธอนั้นช่างเป็นหญิงสาวชวนมองและมีอัธยาศัยน่าสนิทชิดเชื้อด้วยเป็นอย่างมาก เธอเป็นคนไม่มากพิธีรีตอง ด้วยวัยที่ไล่เลี่ยกันทำให้โชตินึกอยากชวนจันไปเที่ยวเล่นเสมอหากแต่หน้าที่หลักตอนนี้ของหญิงสาวคือการดูแลบุตรสาวที่ยังเล็ก หนำซ้ำช่วงหลังจันยังบ่นให้โชติฟังเรื่องร่างกายที่อ่อนแรงลงหลังจากคลอดบุตร โชติจึงทำได้เพียงหมั่นมาเยี่ยมอย่างสม่ำเสมอเพื่อพูดคุยให้อีกฝ่ายได้เพลิดเพลินเพราะภารกิจของคุณหลวงผู้เป็นสามีทำให้เรือนนี้ขาดผู้นำหากแต่จันก็ปกครองบ่าวไพร่ได้เป็นอย่างดีตลอดระยะเวลาสามปีที่อยู่กินกับคุณหลวง
“วันนี้พี่มีของมาให้ด้วยนะแม่เพ็ญ” โชติกุลีกุจอนำห่อผ้าที่ถือมาส่งให้แม่หนูน้อย เสียงกำไลข้อเท้าดังเป็นจังหวะเมื่อเด็กหญิงค่อย ๆ ก้าวเดินมาหาโชติอย่างตื่นเต้น
“ธุคุณพี่หรือยัง แม่เพ็ญ” มารดาของเด็กหญิงเตือนให้บุตรสาวไหว้ผู้อาวุโสกว่า เด็กหญิงทำตามอย่างไม่ค่อยถนัดต้องให้พี่เลี้ยงช่วยจับมือป้อมน้อยๆ สองข้างให้จรดเข้ากันตรงกลางอกได้สนิท
“พี่ช่วยแกะนะจ๊ะ” โชติรับไหว้แล้วช่วยเด็กหญิงค่อยๆ แกะห่อผ้า ภายในคือบ้านตุ๊กตามาที่เธอเลือกซื้อมาฝากเด็กหญิงเพ็ญด้วยความตั้งใจ
เสียงปรบมืออย่างถูกใจดังขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊าก มือน้อยๆ พยายามเอื้อมไปแตะตุ๊กตาเด็กผู้หญิงตัวจ้อยในบ้านชั้นสอง สายตาเด็กหญิงเสมือนว่าได้พบเพื่อนเล่นเข้าแล้ว
“ท่าทางแม่เพ็ญคงถูกใจมากทีเดียว ขอบใจมากนะแม่โชติ” จันขยับตัวลงมานั่งกับบุตรสาวพลางสำรวจบ้านตุ๊กตาอย่างสนใจไม่แพ้กัน “ไปได้มาจากที่ใดกันเล่า”
“ได้มาจากร้านคุณเจมส์ตรงถนนเจริญกรุงค่ะ ฉันเห็นแล้วนึกถึงแม่เพ็ญทันที” โชติมองเด็กหญิงที่กำลังเพลิดเพลินของตรงหน้าแล้วยิ้มอย่างมีความสุข หลายวันที่ผ่านมาเธอรู้ดีว่าตนเองเก็บเรื่องที่หน้าร้านในวันนั้นมาคิดไม่เว้นวาย เห็นจะมีแต่วันนี้ที่หญิงสาวรู้สึกแช่มชื่นขึ้นมาบ้าง คงเพราะได้มาอยู่กับเด็กหญิงเพ็ญผู้ซึ่งตอนนี้กลายเป็นขวัญใจของคนในบ้านโชติไปแล้ว
“เขาช่างทำได้น่าเอ็นดูเหลือเกิน” จันเอื้อมไปหยิบเครื่องเรือนในบ้านตุ๊กตามาพิศดูอย่างละเอียด
“คุณน้าเป็นเยี่ยงไรบ้างคะ คราวก่อนฉันมิได้สนทนาด้วยนานเพราะมัวแต่ไปเดินซื้อของตรงท่าน้ำกับเจ้าแดง แต่แม่บอกว่ายังอาการคุณน้ามิใคร่ดีนัก”
“น้ารู้สึกเหนื่อยแลเพลียมากตอนที่แม่เพ็ญเริ่มหัดเดิน อาจเพราะร่างกายยังมิแข็งแรงน่ะจ้ะ คุณพี่ให้หมอมาตรวจดูแล้ว เขาบอกว่าเลือดลมไม่ค่อยดี ให้ยามาต้มกินก็ดีขึ้นบ้างนิดหน่อย”
“หมอฝรั่งหรือคะ”
“หมอยาไทยนี่แหละจ้ะ แต่ว่าคราวหน้าคุณพี่ออกจากวังมาก็ว่าจะพาไปหาหมอฝรั่ง”
“ดีค่ะ ไปหาหมอบลัดเลย์หรือหมอเฮาส์ ให้ฉันพาไปก็ได้นะคะ” โชติอาสาอย่างมีน้ำใจ
“มิเป็นไรดอกแม่โชติ วันมะรืนพ่อของแม่เพ็ญก็จะกลับมาแล้ว”
คำว่า ‘พ่อ’ ทำเอาเสียงหญิงซึ่งง่วนอยู่กับของเล่นตรงหน้าชะงักไปแล้วส่งเสียงเรียกพลางมองหาผู้ที่มารดาเอ่ยถึงอย่างดีใจ แม่หนูเพ็ญชี้นิ้วไปยังโต๊ะข้างตั่งซึ่งมีรูปของบุคคลผู้ซึ่งกำลังได้รับการกล่าวถึงทันที เด็กหญิงส่งเสียงร้องอย่างมีความสุขราวกับว่าบิดามานั่งอยู่ตรงหน้า
“แหม แม่เพ็ญ แม่พูดถึงพ่อนิดเดียวหนูจำได้เลยใช่ไหมจ๊ะ ดูสิแม่โชติ ลูกสาวน้าสนใจแต่พ่อทั้งๆ ที่แม่ก็อยู่ตรงนี้เอง” จันยิ้มอย่างสุขใจที่บุตรสาวรักและผูกพันกับบิดาแม้อีกฝ่ายไม่ได้กลับเรือนบ่อยนัก
“ดีแล้วค่ะคุณน้า คุณหลวงกลับมาจะได้ดีใจที่แม่เพ็ญจำได้”
โชติยิ้มอย่างยินดีที่เห็นครอบครัวเล็กๆ นี้มีความสุข เธอรู้จักกับคุณหลวงภูบดินทร์พิทักษ์หรือคุณพร้อมมาตั้งแต่เยาว์วัย แม้ช่วงสองสามปีหลังมานี้เธอมิได้พบเขาแต่ความเคารพนับถืออันมีมาแต่เดิมมิได้
ลดน้อยลงเลย กระทั่งเขาแต่งงานกับคุณน้าจัน โชติก็เผื่อแผ่ความรักนับถือนี้มาสู่ผู้เป็นภรรยาของเขารวมทั้งบุตรสาวผู้กำลังเจริญวัยของเขาคนนี้ด้วย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 33 : โมงยามแห่งความทรงจำ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 32 : ความในใจของบุรุษทั้งสอง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 31 : หลานสาวภริยาท่านทูต
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 30 : หญิงสาวสองคนในเมืองใหญ่
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 29 : ต่างบ้านต่างเมือง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 28 : ก่อนถึงจุดหมาย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 27 : ห่างกันไปไกล
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 26 : เพียงชั่วเวลาพลิกฝ่ามือ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 25 : ในความคิดคำนึง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 24 : จังหวะของหัวใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 23 : การเดินทางสู่โลกกว้าง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 22 : เรื่องประหวั่นใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 21 : อุปสรรคและทางออก
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 20 : โรงเรียนเด็กหญิงในสยาม
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 19 : ฤาดวงใจที่ไหวหวั่นอาจลับหาย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 18 : ความไม่ลงตัวในจิตใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 17 : หวั่นใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 16 : มิอาจทำใจยอมรับ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 15 : สยามกับคนในร่มธงฝรั่งเศสและความสัมพันธ์ที่เริ่มเปลี่ยนไป
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 14 : เรื่องที่ไม่อาจเอ่ย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 13 : เรื่องดีและร้ายภายในหนึ่งวัน
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 12 : สัญญาณที่ดี
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 11 : อิสระทั้งกายใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 10 : โอกาสของเด็กหญิง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 9 : ท่าทีเริ่มดีขึ้น
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 8 : ความเป็นไปของชีวิต
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 7 : ผู้ก่อเหตุ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 6 : พบกันอีกครา
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 5 : ความกังวล
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 4 : บทสนทนา
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 3 : บ้านลานย่านบางขุนพรหม
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 2 : ทุ่งสามเสน
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 1 : สองฝั่งน้ำ
- READ นิราศรักสองนครา : บทนำ