เวียงวนาลัย บทที่ ๓ สู่อุษาคเนย์ “ความลับของเบ็ตตี้”

เวียงวนาลัย บทที่ ๓ สู่อุษาคเนย์ “ความลับของเบ็ตตี้”

โดย : เนียรปาตี

Loading

เวียงวนาลัย เรื่องราวของวิลเลียม หนุ่มอังกฤษที่เดินทางมาทำงานในบริษัทสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือของสยาม เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าต้องเผชิญกับอะไรมากมายในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ทั้งมิตรแท้ สงครามและความรัก มาเอาใจช่วยหนุ่มอังกฤษคนนี้กับชีวิตอันแสนจะโลดโผนในเวียงวนาลัย นวนิยายออนไลน์ โดย เนียรปาตี ที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

เสียงเคาะประตูรัวถี่สร้างความรำคาญให้หญิงสาวในตอนนี้

เบ็ตตี้ยังคิดไม่ตกว่าหล่อนควรทำอย่างไร การกลับอังกฤษเป็นทางเลือกสุดท้ายที่จะนึกถึง พรุ่งนี้แล้วที่วิลเลียมและลีรอยจะเดินทางไปเบอร์มากับมิสเตอร์โรเจอร์และต่อไปยังเมืองเหนือของสยาม เพราะยังหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้สักที เบ็ตตี้จึงรู้สึกเหมือนจะป่วย หล่อนเซื่องซึมมาตั้งแต่เย็นวานจนกระทั่งวันนี้…วันสุดท้ายในอินเดีย ก็ดูเหมือนอาการจะยิ่งแย่ลงไป

น้าอีวานพาวิลเลียมและลีรอยไปหาซื้อข้าวของจำเป็นเผื่อไว้ ด้วยไม่แน่ใจว่าหนทางข้างหน้าจะสะดวกดายหรือมีอุปสรรคแค่ไหน เบ็ตตี้อยากติดตามไปด้วย แต่ร่างกายหล่อนอ่อนเพลียเหลือเกิน จึงปล่อยหนุ่มๆ ให้ไปซื้อของกันตามใจ หล่อนอาสาเฝ้าบ้านและหวังให้ช่วงเวลาที่อยู่คนเดียวนี้หาทางออกเจอเสียที

อากาศร้อนในตอนบ่ายทำให้เพลียง่ายประกอบกับจิตใจอ่อนแอ เอนหลังชั่วไม่กี่นาทีก็เคลิ้มไป พลันสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเคาะประตู เบ็ตตี้ยังฉงนในตอนแรกว่าอาจละเมอเพราะเสียงเงียบไป กำลังจะหลับลงอีกครั้งก็สะดุ้งตกใจแทบตกจากเก้าอี้โยก เพราะเสียงเคาะรัวถี่และดังยิ่งกว่าเดิม มีริ้วของความเกรี้ยวกราดอยู่ในที

หรือว่าทั้งสามคนจะกลับมาแล้ว แต่เข้าบ้านไม่ได้เพราะลืมกุญแจ

หญิงสาวคิดในทางที่ดีจึงยันตัวลุก ปัดผมที่ระอยู่บนหน้า ซับเหงื่อให้เรียบร้อย พยายามยิ้มอ่อนหวานเมื่อสาวเท้าไปที่ประตู

“มัลลิกา!”

เบ็ตตี้แปลกใจที่หญิงชาวอินเดียอยู่ตรงนั้น แต่ยังไม่ทันซักถามสิ่งใด ฝ่ายนั้นก็เอ่ยขึ้นมาก่อน

“มีคนอยากพบเธอ”

คิ้วเรียวย่นขมวดแทนคำถามว่า…ใคร แต่ไม่ต้องรอเฉลย เพราะคำตอบเลื่อนตัวมายืนประจันหน้า เบ็ตตี้หน้าซีดเผือดราวกระดาษ ริมฝีปากบางสั่นระริกทั้งหวาดกลัวทั้งหาคำพูดไม่เจอ หล่อนคิดว่าเอ่ยอะไรออกไปมากมาย หากคำที่พ้นริมฝีปากหล่อนมีเพียง

“คุณน้า…”

“นังปีศาจ! นังแม่มด! นังคนเนรคุณ”

คำแรกที่เปล่งออกไปเหมือนถอดสลักระเบิด พร้อมกับถ้อยคำผรุสวาทต่อมา มือผอมแกร็นทว่าแข็งแรงราวคีมเหล็กก็พุ่งเข้ารวบคอระหงเนียนผ่องของเบ็ตตี้ บีบแน่นกดเค้นราวมุ่งหมายจะปลิดชีวิตหล่อนเสียโดยไว

มัลลิกาตกใจไม่แพ้กัน รีบปรี่เข้าไปช่วยเหลือเบ็ตตี้ พยายามแกะมือผู้ที่หญิงชาวอังกฤษเรียกเขาว่าน้าชายให้คลายออก

“แกมันเป็นคนเนรคุณ เป็นคนสารเลวที่สุดในโลกเท่าที่ฉันเคยพบเจอ”

มัลลิกาแยกทั้งสองออกจากกันได้ในที่สุด เบ็ตตี้ไอค่อกแค่ก พยายามสูดอากาศเข้าปอด ขณะที่ความคิดแล่นปราดคาดเดาได้ว่านี่อาจเป็นแผนการของมัลลิกา…นังตัวร้าย ตวัดสายตาและน้ำเสียงไม่พอใจไปยังคนจุ้นจ้านไม่เข้าเรื่อง

“ทั้งหมดนี้เป็นแผนของเธอใช่ไหม ฉันคิดว่าฉันจะเปิดใจเป็นเพื่อนกับเธอได้ แต่เธอก็เผยธาตุแท้ออกมาให้เห็น”

“แกอย่าโทษคุณหนูเธอ” น้าชายตะคอกใส่หน้าเบ็ตตี้ ปกป้องมัลลิกา

“คุณหนูเหรอ…คุณน้ายกย่องให้ผู้หญิงคนนี้เป็นคุณหนู ทั้งๆ ที่เราเป็นชาวบริติชราชเนี่ยนะ”

“ฉันจะยกย่องใคร เรียกเขาว่าอะไร เป็นสิทธิ์ของฉัน เหมือนที่ฉันพอใจจะเรียกแกว่าอีนังสารเลว”

“คำก็สารเลว สองคำก็สารเลว คุณน้าคงโกรธแค้นแทนคุณพ่อใช่ไหม ที่ฉันแอบหนีมาอินเดียกับวิลเลียม พบคุณน้าก็ดีแล้ว ฉันจะได้บอกตรงนี้เสียเลยว่า ฉันจะยังไม่กลับอังกฤษเด็ดขาด ตราบใดที่ฉันยังไม่ลงเอยกับวิลเลียม”

ฝ่ายน้าชายแค่นหัวเราะอย่างเวทนา ระเบิดออกมาเต็มเสียงอย่างบ้าคลั่งจนหน้าแดงราวคนร่ำสุรามาอย่างหนัก ถ้าได้กลิ่นเหล้าระเหยออกมา หล่อนคิดว่าน้าคงเมาและเป็นบ้าไปเสียแล้ว เขาควักอะไรบางอย่างจากกระเป๋า สัญชาตญาณบอกให้ระวังตัว กลัวเขาจะทำอะไรร้ายแรงยิ่งกว่าบีบคอเมื่อครู่

เขากำสิ่งนั้นแน่นจนมือสั่นเส้นเลือดขึ้นปูดโปน แล้วขว้างมาที่หน้าของหล่อน

ใช่…เขาเล็งตรงหน้าแต่เบ็ตตี้หลบทัน มันจึงแค่เฉียดแก้มนวลไปกระทบผนังร่วงลง ฝาเปิดอ้า

มันเป็นตลับเงินที่ด้านในมีรูปชายหญิงคนละด้าน พ่อและแม่ของหล่อน

“แกไม่ต้องกลัวว่าฉันจะมาเพื่อลากคอแกกลับบ้าน แกไม่มีบ้านอยู่อีกแล้ว พวกเราที่เหลืออยู่…ไม่มีใครต้อนรับแก แกจะไปตายที่ไหนก็ไป แต่ที่อังกฤษ…ที่บ้านของเรา ไม่มีใครต้อนรับแกอีกแล้ว อีเบ็ตตี้ อีสารเลว”

น้ำเสียงในตอนท้ายของน้าชายสะอื้นดุจมีเรื่องสะเทือนใจแสนสาหัส เบ็ตตี้วาบขึ้นมาในวินาทีนั้นว่าต้องเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นแล้วแน่ๆ และเรื่องที่จะทำให้น้าชายเป็นบ้าแทบเสียสติได้ขนาดนี้คือเรื่องพ่อของหล่อน เบ็ตตี้ทำใจแข็งเข้าไปหาน้าชายทั้งที่ใจยังประหวั่น

“มีอะไรเกิดขึ้นกับคุณพ่อหรือคะ”

ดวงตาแดงดุจถ่านร้อนตวัดมองมา น้ำตาร่วงสู่สองแก้มเมื่อเขาเค้นไรฟันบอก

“พี่ชายฉันตายแล้ว เขาตายแล้ว…เขาตรอมใจตาย หลังจากกลับบ้านมาพบว่าคนที่เขารักสุดดวงใจทำอุบายหลอกเขา แล้วก็แอบหนีไป”

เบ็ตตี้เย็นเฉียบไปทั้งร่างดุจกลายเป็นน้ำแข็ง ตาเบิกค้างอย่างไม่เชื่อว่าสิ่งที่ได้ยินเป็นเรื่องจริง แต่เมื่อหันไปสบดวงหน้าและแววตาของน้าชายก็ไม่พบเพทุบายอยู่ในนั้น พลันน้ำตาของหล่อนก็ร่วงลงมาอย่างสุดกลั้น คว้าล็อกเก็ตเงินที่มีรูปบิดาของหล่อนมากอดไว้แนบอก ร้องเพียง…คุณพ่อ

“แกไม่ต้องกลับไปกับฉัน บ้านที่อบอุ่นไม่เหมาะสำหรับคนอย่างแก ที่ที่แกควรอยู่คือข้างถนน” น้ำเสียงของเขาเจ็บแค้นขึ้นมาอีกครั้ง “นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้พบกัน ฉันหวังว่าจะไม่พบเจอแกอีก ไม่ว่าจะในสภาพมีชีวิตหรือไร้ลมหายใจ แต่ก่อนไป ฉันอยากบอกบางอย่างให้แกรู้สักเรื่องหนึ่ง แกอาจคิดว่าเป็นนิทาน หรือเป็นเรื่องเหลวไหล แต่สำหรับฉัน…พวกฉัน มันคือเรื่องจริง”

“เรื่องอะไรกันคะ” เบ็ตตี้ชักรำคาญที่น้าชายร่ายยาวเกินไป

“เรื่องที่แกไม่ใช่ลูกของพี่ชายฉัน ทั้งๆ ที่พี่ชายของฉันมีลูกสาวที่น่ารักอยู่แล้ว แต่วันหนึ่งเขาไปเจอทารกในตะกร้าถูกทิ้งไว้ข้างทาง ใกล้กันนั้นมีอะไรรู้ไหม ลูกหมาเกิดใหม่อีกครอกหนึ่ง ฉันเสียดายที่พี่ชายฉันเลือกอุ้มเด็กทารกแทนที่จะเอาหมาพวกนั้นมาเลี้ยง กว่าพี่ชายฉันจะรู้ตัวว่าเลือกให้ความเมตตาผิดที่ เขาต้องรอถึงยี่สิบกว่าปี กว่าจะรู้ว่าในวันนั้น เขาควรเลือกเลี้ยงหมา มากกว่าเลี้ยงแก นังปีศาจ”

“หยุด! หยุดเดี๋ยวนี้” เบ็ตตี้กรีดร้องยกมือปิดหู มัลลิกาเข้ามาประคองร่างที่กำลังอ่อนเปียก

“แกรู้ดีว่าญาติๆ เขาเกลียดแก แต่แกคงไม่รู้สาเหตุว่าทำไมพวกเราถึงเกลียด…เฮอะ…รังเกียจแกมากกว่า” เขาว่าอย่างสะใจ “เพราะพวกเรารู้น่ะสิ ว่าแท้จริงแล้วแม่แกก็เป็นพวกสาวสวยนักขี่ม้า เป็นของเล่นของท่านลอร์ดคนหนึ่ง แล้วบังเอิญตกกระป๋องตอนที่คลอดแกพอดี นังแม่เลยเอาแกมาทิ้งก่อนกระโดดแม่น้ำเทมส์ตายยังไงเล่า…ทีนี้รู้หรือยัง ว่าทำไมพี่ชายถึงกลัวนักว่าแกจะไปเป็นพวกหญิงสาวนักขี่ม้า เพราะลึกๆ เขาหวั่นว่ากำพืดสันดานชั่วของแม่แกมันจะกำเริบขึ้นมาสักวันน่ะสิ”

“ออกไป๊! ออกไปเดี๋ยวนี้” เบ็ตตี้กรีดร้อง “มัลลิกา เธอพาไอ้คนบ้านี่ออกไปเดี๋ยวนี้”

ประตูเปิดออกพร้อมเสียงของวิลเลียมดังพร้อมกัน

“เกิดอะไรขึ้น!”

ชายหนุ่มกวาดสายตาสำรวจโดยเร็วเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี ไม่มีเวลาถามว่ามัลลิกามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ยังชายแปลกหน้าท่าทางเสียสติที่นั่งอยู่บนพื้นนั่นอีก

เบ็ตตี้พลันบังเกิดความคิดขึ้นมาแวบหนึ่ง สว่างดุจสายฟ้า หล่อนก็ปล่อยน้ำตาร่วงพรูไหลอาบแก้ม ร้องไห้คร่ำครวญ

“คุณพ่อ…คุณพ่อท่านเสียแล้ว น้าชายมาบอกเรื่องนี้กับฉัน” หญิงสาวโผไปหาน้าชาย “บอกหนูสิคะ กรุณาบอกหนูว่ามันไม่จริง คุณพ่อยังไม่ได้เสียชีวิตใช่ไหมคะ”

มัลลิกามองภาพตรงหน้าด้วยสายตาที่แปรไป ไม่คิดว่าเบ็ตตี้จะพลิกสถานการณ์ได้เร็วเช่นนี้

“ฉันคิดว่า น้าอีวานน่าจะหาตั๋วกลับอังกฤษให้เธอได้ไม่ยาก” วิลเลียมให้ความหวัง แต่เบ็ตตี้กลับส่ายหน้า

“ฉันกลับไปไม่ได้ วิลเลียม ฉันรักคุณพ่อมาก แต่ฉันไม่อาจกลับไปเห็นบ้านที่ไม่มีคุณพ่อได้อีก ชีวิตของฉัน…สิ้นคุณพ่อไปเสียคน ฉันก็ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว” หญิงสาวกุมมือน้าชายบีบแน่น “หนูขอร้องคุณน้า ช่วยบอกญาติๆ ด้วยว่าหนูเสียใจ แต่หนูจะกลับไปอยู่บ้านได้อย่างไรเมื่อไม่มีแม้แต่เงาของคุณพ่ออีกแล้ว”

วิลเลียมเข้ามาประคองเบ็ตตี้ลุกพาไปนั่งที่เก้าอี้ หล่อนก็ยอมตามไปแต่โดยดี มือเรียวประคองล็อกเก็ตเงินแนบอกไว้ราวของรักสุดดวงใจ

“แล้วเธอจะทำอย่างไรต่อไป พรุ่งนี้พวกเราก็จะเดินทางไปเบอร์มาแล้ว” ลีรอยถามขึ้นมา

“บางที…ฉันอาจจะอยู่ที่นี่สักพัก พอให้ทำใจเรื่องคุณพ่อ ฉันคงพอหาทางออกให้ตัวเองได้ คงไม่มีที่ไหนในอินเดียที่พวกเราจะลำบากหรอก”

“ฉันจะกลับละ” น้าชายของเบ็ตตี้ขยับลุกขึ้น “ขอให้…” เขาละไว้แค่นั้น หญิงสาวจึงไม่อาจทราบได้ว่าเขาจะอวยพรหรือสาปส่ง

“ฉันคงต้องขอตัวเช่นกัน” มัลลิกาว่า แปลกใจที่เบ็ตตี้รวบมือของหล่อนไว้ดุจขอร้องว่าอย่าพูดเรื่องที่รู้เห็นกับใคร หากคำพูดที่พ้นจากริมฝีปากของเบ็ตตี้คือ

“ขอบใจเธอมากนะ ที่พาน้าชายมาพบฉัน”

“ฉันจะไปส่งที่ท่าเรือเอง” ลีรอยเสนอตัว เบ็ตตี้อยากทัดทานเพราะกลัวว่าไม่ใครก็ใครสักคนหนึ่งจะพูดให้ลีรอยฟัง แต่เมื่อมิอาจค้านได้ หล่อนจึงได้แต่เก็บความไม่สบายใจไว้กับตัว พลางคร่ำครวญถึงเรื่องที่หล่อนได้รับข่าวร้าย

จนกระทั่งลีรอยกลับมา เบ็ตตี้หายสะอื้นแล้ว หล่อนลอบสังเกตว่าลีรอยจะมีพิรุธหรือไม่ก็ไม่พบ จึงพอหายใจได้โล่งบ้าง

 

คืนนั้น…เบ็ตตี้เก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าเดินทางทั้งที่ยังไม่รู้ว่าจะหิ้วมันไปที่ไหน อาการป่วยก็รุกเร้ารุนแรงขึ้นจนแทบทรงตัวไม่ไหวจริงๆ ทิ้งตัวลงบนเตียงกำลังจะนอน วิลเลียมก็เคาะประตูเรียก บอกว่ามีแขกมาเยี่ยมหล่อนในยามวิกาล

แขก…เบ็ตตี้ขนลุกเกรียวเมื่อได้ยินคำนี้

มัลลิกาเยี่ยมหน้ามาที่กรอบประตู ส่งยิ้มนำมาก่อนแล้วหันไปบอกวิลเลียม

“ขอสุภาพสตรีคุยกันตามลำพังสักครู่เถอะ”

เหลือกันเพียงสองคน มัลลิกาก็ไม่อ้อมค้อม

“ก่อนจากกัน โดยไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกหรือไม่ ฉันขอบอกเธอไว้เรื่องหนึ่ง ฉันไม่เคยรู้จักน้าชายของเธอ ฉันเห็นชายอังกฤษคนหนึ่งเตร็ดเตร่แถวท่าเรือ ถามหาผู้หญิงในภาพถ่าย ต่อให้เขาไม่เจอฉัน เขาก็อาจจะตามเธอพบอยู่ดี เพราะชาวอังกฤษในเมืองนี้หาตัวไม่ยากนัก”

“แต่เขาก็เจอเธอ เธอก็เลยเสนอตัวพามาพบฉัน” น้ำเสียงเบ็ตตี้สะบัด

“เธอจะใช้คำว่าสาระแนก็ได้” มัลลิกาย้อนเช่นเคย “แต่ฉันขอบอกด้วยความสัตย์จริง ว่าฉันไม่รู้เลยว่าเขาตามหาเธอเพราะอะไร เรื่องที่เธอรู้…ฉันก็รู้พร้อมเธอ…ทั้งหมด”

“เธออย่าเชื่อที่น้าชายพูดมากเลย บางทีเขาก็ออกจะเพ้อเจ้อ”

“เธอรู้ไหม คนเราเป็นบ้า สาเหตุเกิดจากอะไร” มัลลิกาไม่รอคำตอบแต่พูดต่อไป “ไม่ใช่เพราะเมาจนขาดสติหรอก แต่คนเราเป็นบ้าได้เพราะผิดหวังจากสิ่งที่รักมาก ยิ่งรักมาก ยิ่งบ้ามาก…เธอคงไม่ว่าอะไร ถ้าฉันจะบอกว่า ฉันไม่คิดว่าน้าชายของเธอโกหก ฉันเชื่อทุกอย่างที่เขาพูด”

“แน่ละ เพราะเธอเกลียดฉันนี่ พรุ่งนี้…หนทางคงสะดวกหรอก เพราะฉันไม่ได้ร่วมทางไปด้วย แต่ฉันจะบอกให้เธอรู้ไว้สักข้อหนึ่ง วิลเลียมไม่มีทางเห็นใครดีกว่าคนอังกฤษเหมือนกัน”

มัลลิกาหัวเราะน้อยๆ

“เธอยังคิดว่าฉันพยายามจะทอดสะพานให้วิลเลียมอยู่เหรอ เธอบอกว่าเขาไม่มีทางเลือกหญิงอื่นที่ไม่ใช่ชาวอังกฤษ แต่เธอไม่คิดบ้างหรือว่า ฉันไม่เคยแลตาอยากจับเขามาเป็นสามีแม้แต่นิด แล้วการที่ฉันเดินทางไปเบอร์มาครั้งนี้ก็มิใช่เพราะเสน่หาในตัววิลเลียมหรือลีรอย ฉันแค่อยากไปเที่ยวเล่นตามใจฉันสักพักหนึ่งเพื่อให้ลืมเรื่องมาจิดต่างหาก” ดวงตาคมจ้องมองมายังดวงตารั้นสีฟ้าอมเขียวของเบ็ตตี้

“ถ้าเราเป็นคนรักของใคร เราไม่ต้องวิ่งตามประกบเขาไปเหมือนเงา เพราะถ้าเขารักเรา เขาจะเป็นฝ่ายวิ่งมาหาเอง”

“หมดธุระหรือยัง ฉันอยากพักผ่อน” เบ็ตตี้ตัดบท

มัลลิกากวาดสายตาทั่วห้องรวดเร็ว ถามไปอีกเรื่อง

“เธอเก็บของเรียบร้อยแล้วเหรอ คงคิดได้แล้วสินะ ว่าจะไปที่ไหน”

“ยังไม่รู้หรอก แต่พรุ่งนี้ก็คงรู้” น้ำเสียงนั้นปลอบตัวเองอยู่ในที “ถ้าพรุ่งนี้ฉันไม่ได้ไปส่งที่ท่าเรือ ฉันขอให้เธอเดินทางโดยสวัสดิภาพ ขออวยพรและลาเธอตรงนี้”

“ขอบใจสำหรับคำอวยพร และฉันเชื่อว่า พรุ่งนี้ฉันต้องได้พบเธอที่ท่าเรือ”

“เธอเพิ่งพูดไปเองนะ ว่าถ้าใครสักคนหนึ่งรักเรา เขาจะมาหาเราเอง”

มัลลิกายืดตัวลุกขึ้น ควานหาสิ่งหนึ่งในส่าหรี แล้ววางลงบนโต๊ะที่แสงเทียนส่องวับแวม

“ของขวัญจากฉัน จากเพื่อนของเธอ หวังว่าเธอจะเปิดดูก่อนสายเกินไป”

มัลลิกากระชับส่าหรีแล้วโผเข้ากอดเบ็ตตี้ที่ยังทำตัวแข็งขึงในตอนแรกแล้วค่อยคลายตัวผ่อนลง ประตูห้องปิด เสียงคุยกันแว่วๆ ดังขึ้นและห่างออกไป เบ็ตตี้มองผ่านหน้าต่างก็เห็นมัลลิกานั่งรถม้าออกไปแล้วจึงหมุนตัวกลับมานั่งนิ่ง มองซองสีน้ำตาลบนโต๊ะอย่างสงสัยว่า ‘ของขวัญ’ ชิ้นนั้นคือสิ่งใดกันแน่ มันอาจจะเป็นเงินจำนวนหนึ่งที่สำหรับมัลลิกาเป็นเพียงเศษเงิน ทว่ามันก็คงพอให้หล่อนผ่านช่วงเวลาทุกข์เข็ญนี้ไปได้

เบ็ตตี้คว้าซองมาเปิดดู แล้วตะลึงกับกระดาษแผ่นเดียวใบนั้น มันมีค่ายิ่งกว่าเงินจำนวนใดทั้งหมดที่หล่อนคาดคะเน

ตั๋วเรือเดินทางไปเบอร์มาเที่ยววันพรุ่งนี้

มัลลิกาขีดฆ่าชื่อของหล่อน และลงนามกำกับไว้ว่ามอบให้แก่ผู้ถือ

เป็นครั้งแรกที่เบ็ตตี้รู้สึกขอบคุณมัลลิกาอย่างไม่มีอคติเคลือบแฝงในจิตใจ

หนุ่มอังกฤษสองคนมองกันพลางส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจว่า ผู้หญิงคิดอะไรของพวกหล่อน นับตั้งแต่มัลลิกามาหายามวิกาล ทั้งที่เพิ่งแยกจากกันเมื่อบ่ายและพรุ่งนี้ก็จะได้พบกันอีกที่ท่าเรือแล้วเดินทางไปดินแดนใหม่ด้วยกัน แต่หล่อนก็ย้อนกลับมา ซ้ำยังบอกว่าธุระของหล่อนเกี่ยวกับเบ็ตตี้

ใช่ว่าวิลเลียมจะไม่รู้ว่าสองคนนี้ไม่กินเส้นกันอยู่

พอพาไปพบที่ห้อง หล่อนก็ขอคุยกันเองตามประสาผู้หญิงด้วยกัน…กันเขาออกไปนั่นแหละ วิลเลียมคิดว่าคงเป็นเรื่องน้าชายของเบ็ตตี้ เขายังไม่อยากซักไซ้เพราะคิดว่าช่วงเวลาที่อยู่บนเรือกลไฟ เขาจะค่อยๆ เลียบเคียงถามจากมัลลิกา

ระหว่างที่สตรีจากสองฟากโลกพบกันตามลำพัง คนรับใช้ของมัลลิกาก็ยกกำปั่นและกระเป๋าหนังใบใหญ่มากองไว้ ครั้นเสร็จธุระจากเบ็ตตี้ หล่อนก็ไม่เสียเวลาอ้อยอิ่ง ค้นหาของในกระเป๋าส่งให้ลีรอย

“สมุดวาดเขียน ดินสอถ่าน และผงสี ฉันตั้งใจจะให้ตอนเราจากกันที่เบอร์มา แต่…คงต้องให้เสียแต่ตอนนี้”

ลีรอยยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ทุกอย่างปรากฏบนดวงหน้าของเขา มัลลิกาจึงหัวเราะน้อยๆ พลางอธิบาย

“ตอนอยู่ติรุเนลเวลี ฉันสังเกตหลายครั้งว่าเมื่อมีเวลาส่วนตัว เธอมักจะปลีกไปวาดภาพดอกไม้ ขอสารภาพว่าฉันแอบถือวิสาสะเปิดดูผลงานของเธอ…มันน่าทึ่งมาก ฉันคิดว่าป่าที่เบอร์มาหรือสยามน่าจะมีดอกไม้งามๆ ให้เธอวาดอีกมาก ฉันจึงเตรียมของเหล่านี้ไว้ให้เธอเป็นของขวัญวันที่เราต้องจากกันจริงๆ”

ลีรอยรับมาอย่างพอเข้าใจที่มา แต่ก็ยังรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ อยู่ในคำพูดนั้น

มัลลิกาหันมาทางวิลเลียมและพยักไปยังกำปั่น

“ในนั้นมียาหลายชนิด ล้วนเป็นของอังกฤษ ฉันคัดมาเฉพาะที่ใช้กันมากในแถบตะวันออก ป่าทางนี้ไม่เหมือนป่าที่อังกฤษ ถ้าเกิดเจ็บไข้เล็กน้อยหรือมีแมลงกัดต่อย พวกมดแดง ตะขาบ แมลงป่อง ก็ใช้ยาสูตรคอลเคิล โคลโรไดน์ ถ้ามีบาดแผลไม่มากก็ใช้ขี้ผึ้งฮอลโลเวย์ แต่ถ้าเธอโชคร้ายเป็นกลากเกลื้อน เชื้อราถามหา เธอใช้ผงกัวโรยก็รักษาได้ อย่างอื่นก็เป็นยาทั่วไปที่จำเป็น เช่น ยาควินิน สารหนู แป้งโดเวอร์ ทิงเจอร์ฝิ่น หรือทิงเจอร์ยี่ห้อวอร์เบิร์ก…เธอคงรู้ว่ามันใช้ยังไงและยอดเยี่ยมแค่ไหน”

วิลเลียมพยายามหาจังหวะแทรกขณะที่มัลลิการ่ายยาวถึงสิ่งของในกำปั่น หล่อนรัวเร็วเหมือนสายน้ำไหลจนจับความไม่ทัน…มันให้ความรู้สึกคล้ายการสั่งเสียหรือร่ำลา

“เธอจะรีบให้ทำไม ในเมื่อพรุ่งนี้เราก็เดินทางไปด้วยกัน”

“เราไม่ไปด้วยกัน” มัลลิกาส่ายหน้า “ฉันเปลี่ยนใจไม่เดินทางไปเบอร์มาแล้ว ฉันขอสารภาพกับเธอสองคนว่าที่ฉันจะไปกับพวกเธอเพราะฉันอยากหนีไปให้ไกลมาจิด แต่ลึกๆ แล้วฉันยังรอเขา ถ้าฉันไปถึงที่โน่นแล้วไม่มีโอกาสกลับมา มาจิดก็ไม่มีทางตามตัวฉันพบ”

“หมายความว่า…เธอจะกลับไปรอมาจิดที่โอริสสางั้นหรือ”

“ยังหรอก แต่อาจจะเป็นที่ไหนสักที่ในอินเดียที่เขาต้องการหมอ”

“เพราะอย่างน้อยๆ ถ้าแค่ในอินเดีย มาจิดก็ยังมีโอกาสตามหาเธอพบใช่ไหม” วิลเลียมเดาความคิดของหล่อน

มัลลิกายิ้ม…ยิ้มอย่างที่หมายความว่าหล่อนยอมรับว่าวิลเลียมคาดเดาถูกต้อง อวยพรก่อนจากกัน

“ฉันขอให้เธอปลอดภัยเมื่อไปถึงสยามและใช้ชีวิตที่นั่นได้ในแบบที่เธอต้องการ”

วิลเลียมและลีรอยส่งมัลลิกาขึ้นรถม้า มองจนลับไปในความมืด เงาแวบไหวจากห้องชั้นสองที่เบ็ตตี้พักทำให้สองหนุ่มรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป และก็เดาไม่ผิด…มัลลิกายกตั๋วเรือของหล่อนให้เบ็ตตี้ เช่นเดียวกับที่ยกของใช้จำเป็นให้แก่เขา

การเดินทางครั้งนี้คงจะราบรื่นและน่าตื่นเต้นกว่านี้อีกมาก หากเบ็ตตี้จะไม่ป่วยหนักไปเสียก่อน

หล่อนฝืนตัวเองให้เห็นว่ายังเป็นปกติอย่างสุดความสามารถ จนกระทั่งเรือถอนสมอออกจากท่าลอยอยู่กลางทะเล เบ็ตตี้ก็ทรุดหนักด้วยอาการไข้ ต้องนอนซมอยู่แต่ในห้องเคบิน ช่วงที่หล่อนกินยาและหลับสนิทแล้วนั่นแหละ วิลเลียมจึงชวนลีรอยไปคุยกันที่ดาดฟ้าเรือ ในบางเวลามิสเตอร์โรเจอร์ก็มาร่วมวงด้วย

“นายคิดจะลงเอยกับเบ็ตตี้อย่างไร” ลีรอยถามขึ้นมาในวันหนึ่งที่มิสเตอร์โรเจอร์บอกว่าใกล้ถึงปลายทาง

“ฉันรักเบ็ตตี้ แต่ฉันยังไม่คิดถึงว่าจะแต่งงานกัน นายก็รู้พอๆ กับฉันนะ ลีรอย ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ ฉันไม่อยากให้เบ็ตตี้ลำบากถ้าต้องอยู่กับฉัน” วิลเลียมบอกเพื่อนรัก

“แต่มาถึงขนาดนี้แล้ว คงไม่มีทางเป็นอย่างอื่นได้แล้วละ” ลีรอยว่ากึ่งล้อ ทว่าน้ำเสียงเขาซ่อนรอยเหงาลึก เช่นเดียวกับความรู้สึกหม่นที่ซ่อนไว้ในเงามืด

แสงอรุโณทัยค่อยๆ ฉายจับขอบฟ้า ยอดเจดีย์สีทองอร่ามตาส่องประกายเด่นอยู่ท่ามกลางแนวไม้ กระจายอยู่ทั่วไปตลอดคลองสายตาที่มองเห็น จนวิลเลียมอดปากไว้ไม่อยู่

“คนที่นี่คงร่ำรวยมาก บ้านเรือนล้วนสร้างด้วยทองไปทั้งหมด”

“ไม่ใช่บ้านหรอกพ่อหนุ่ม” มิสเตอร์โรเจอร์ก้าวเข้ามาสมทบ “ที่เธอเห็นนั่นเขาเรียกว่า เจดีย์…พาโกด้า…น่ะ เป็นส่วนประกอบหนึ่งในวัด คนที่นี่ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ การแสดงศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาก็คือการสร้างวัดและเจดีย์ เหมือนชาวคริสต์สร้างโบสถ์นั่นละ”

วิลเลียมมองตามนิ้วของมิสเตอร์โรเจอร์ที่ชี้ไปยังแนวฝั่งแม่น้ำ

“จำนวนเจดีย์คงบอกเธอได้ว่า คนแถบนี้มีศรัทธาในพุทธศาสนาอย่างไร”

หญิงอินเดียซึ่งร่วมคณะมาด้วยในฐานะคนรับใช้ของมิสเตอร์โรเจอร์ซอยเท้าถี่เข้ามาแจ้งว่า อาการไข้ของเบ็ตตี้หนักขึ้น ตัวหล่อนร้อนราวกับไฟ ทั้งหมดจึงรีบกลับไปที่ห้องของหญิงสาว มิสเตอร์โรเจอร์ให้นางทาสีไปตามหมอมาโดยด่วน

“เคราะห์ดีที่วันนี้เราจะขึ้นฝั่งแล้ว” มิสเตอร์โรเจอร์พึมพำ

หากวิลเลียมตัวเย็นวาบไปทั้งร่าง ลีรอยขยับเข้ามากุมมือเพื่อให้กำลังใจก็พบว่าวิลเลียมมือสั่นเหงื่อไหลออกมาด้วยความกลัว…วิลเลียมยังประหวั่นอยู่ลึกๆ เหมือนที่เขาเคยบอกว่าเขากลัวยามเรือเทียบท่า เพราะแต่ละครั้งมักจะพรากคนที่เขารักจากไปเสมอ

“ไม่ต้องกังวลไปหรอกพ่อหนุ่ม หมอแจ้งแล้วว่าแค่เป็นไข้เท่านั้นเอง พอขึ้นฝั่งแล้วเราพักอีกสักหน่อย แม่หนูก็คงฟื้นตัวได้”

“แต่การเดินทางของเราก็ต้องล่าช้าออกไปสิครับ” วิลเลียมกังวล

สีหน้าของมิสเตอร์โรเจอร์แสดงอาการไม่ต่างกัน แต่เขาพยายามคลี่คลายสถานการณ์และความรู้สึกให้ผ่อนเบาลงด้วยการบอกว่า

“ฉันจะให้คนเดินสารไปแจ้งเรื่องกำหนดเดินทางล่าช้าล่วงหน้าไปก่อนตอนที่รอแม่หนูพักฟื้น ช้ากว่ากำหนดสักสองสามวันคงไม่กระไรนัก”

“ผมก็หวังอย่างนั้น” วิลเลียมรำพึงไม่เต็มเสียง “หวังว่าคนที่เขาคอยจะเข้าใจเหตุผลที่เราต้องล่าช้า”

มิสเตอร์โรเจอร์ตบบ่าปลอบโยน ว่าพลางหัวเราะ

“อย่าห่วงเลย ต่อให้ไม่พอใจก็ว่าอะไรไม่ได้หรอก คนที่นั่นกลัวเกรงพวกเราอย่างกับอะไรดี”

“กลัวเกรงแน่หรือครับ ไม่ใช่รังเกียจนะครับ” ลีรอยแย้งขึ้นมา

“ไม่หรอกน่า…ไว้ไปเจอก็จะรู้เอง ว่าพวกนั้นหงอแค่ไหน…อ้อ…นึกขึ้นได้ พวกเธอควรรู้ไว้คำหนึ่ง”

“คำว่าอะไรครับ” วิลเลียมถาม

“นายห้าง” มิสเตอร์โรเจอร์ตอบทันที “นายห้าง…ก็คือเจ้านาย หรือบอส เหมือนอย่างที่คนอินเดียเรียกเราว่า ปักกาซาอิบนั่นแหละ”

เรือเทียบท่า คนงานของบริษัทป่าไม้ที่มาคอยอยู่แล้วก็ช่วยกันลำเลียงสัมภาระนำไปยังที่พัก มิสเตอร์โรเจอร์จัดการทุกอย่างคล่องแคล่วโดยเฉพาะการสั่งการคนงานท้องถิ่นที่เขามักบอกเสมอว่าพวกนี้โง่เหมือนลา มีแต่กำลังวังชาแต่ไม่มีหัวคิด

สามวันต่อมา อาการป่วยของเบ็ตตี้ทุเลาลง แม้จะยังไม่หายสนิทแต่ก็ดีขึ้นมากจนเดินทางต่อได้ และวิลเลียมไม่อยากให้กำหนดที่ช้าอยู่แล้วเลื่อนออกไปอีก จึงตัดสินใจเดินทางเมื่อทุกคนรับปากว่าพร้อม มิสเตอร์โรเจอร์มาส่งที่กองคาราวานอันมีทั้งวัวเทียมเกวียนและช้างหลายเชือก อวยพรให้เพื่อนร่วมชาติโดยเฉพาะกับวิลเลียมและลีรอย

“ขอให้สนุกกับหน้าที่ใหม่ในเมืองละกอนนะ…นายห้าง”

 



Don`t copy text!