เวียงวนาลัย บทที่ ๓ สู่อุษาคเนย์ “ตามรอยพ่อและตา”

เวียงวนาลัย บทที่ ๓ สู่อุษาคเนย์ “ตามรอยพ่อและตา”

โดย : เนียรปาตี

Loading

เวียงวนาลัย เรื่องราวของวิลเลียม หนุ่มอังกฤษที่เดินทางมาทำงานในบริษัทสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือของสยาม เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าต้องเผชิญกับอะไรมากมายในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ทั้งมิตรแท้ สงครามและความรัก มาเอาใจช่วยหนุ่มอังกฤษคนนี้กับชีวิตอันแสนจะโลดโผนในเวียงวนาลัย นวนิยายออนไลน์ โดย เนียรปาตี ที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

ครั้นถึงปลายทางที่เมืองมัทราส รัฐทมิฬนาฑู ผู้รอรับหญิงสาวจากเบงกอลมาคอยอยู่แล้วที่สถานีรถไฟ มัลลิกาปล่อยให้การขนสัมภาระลงเกวียนเทียมวัวเป็นหน้าที่ของเขา ส่วนตัวหล่อนยังคงชักชวนเพื่อนใหม่ให้เดินทางไปที่พักพร้อมกัน

ปัญหาก็คือเกวียนเทียมวัวเล่มเดียวนั้นไม่พอสำหรับบรรทุกคนทั้งหมดและสัมภาระได้

หากมัลลิกาไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่…สนุกไปเสียอีกเมื่อแนะนำเพื่อนใหม่ชาวอังกฤษแก่ผู้มารอรับ ซึ่งเป็นผู้จัดการโรงแรมที่น้าชายของหล่อนเป็นเจ้าของ ซ้ำยังสั่งการไปในคราวเดียว ชายวัยกลางคนผู้แต่งกายเรียบร้อยอย่างหัวหน้าพนักงานโรงแรมก็โค้งคำนับชาวตะวันตกทั้งสามคน บอกให้สบายใจว่า

“ไม่มีปัญหาเลย ปักกา ซาอิบ”

วิลเลียมทำหน้าฉงนต่อคำที่ฝ่ายนั้นเรียกตน ทบทวนอย่างไรก็ไม่พบว่ามีตอนใดที่เขาเอ่ยชื่อนั้นออกมา หรือว่าหูของคนทางใต้จะเฝื่อนไป ได้ยินชื่อวิลเลียม บรูค เป็น ปักกา ซาอิบ

มัลลิกาเป็นผู้ให้ความกระจ่าง

“ปักกา ซาอิบ – Pakka Sahib – เป็นการเรียกชาวตะวันตกอย่างให้เกียรติค่ะ คล้ายๆ กับที่เรียกว่า มาสเตอร์ หรือเจนทัลแมน”

อา…วิลเลียมครึมครางเข้าใจความหมาย พยักหน้าพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตรส่งไปยังผู้จัดการโรงแรม

ลำเลียงสัมภาระของทุกคนขึ้นบนเกวียนเรียบร้อยแล้ว ผู้ช่วยอีกคนที่วิลเลียมเพิ่งสังเกตเห็นก็นำชายร่างผอมแกร็นสี่คนเข้ามายืนเรียงหน้ากระดานด้วยอาการพินอบพิเทารอรับคำสั่ง

“ให้เขาขนกระเป๋าเราไปที่โรงแรมก่อน ส่วนพวกเรานั่งเสลี่ยงไปกัน จากสถานีรถไฟไปถึงโรงแรมไม่ไกลค่ะ จริงไหม” มัลลิกาถามผู้จัดการเพื่อความแน่ใจ แต่หล่อนไม่รอคำตอบ “จะได้ถือโอกาสชมเมืองไปด้วยเลย”

“ไหนล่ะคะ เสลี่ยงที่คุณว่า” เบ็ตตี้ถามออกไป นึกภาพตอนที่มัลลิกามาถึงสถานีรถไฟด้วยลักษณะคล้ายขบวนแห่ แต่รอบกายหล่อนตอนนี้ไม่มีเสลี่ยงแม้แต่คันเดียว มีแต่ชายผอมแกร็นเหมือนไม้ผุกับเก้าอี้เก่าๆ คนละตัว

“นี่ยังไงล่ะคะ” มัลลิกายิ้มกว้าง ผายมือไปยังชายสี่คนที่ยืนรอรับคำสั่ง พวกเขาเหล่านั้นเป็นลูกหาบแรงดี

เบ็ตตี้มองอย่างไม่เชื่อสายตาว่านี่คือเสลี่ยง ทว่าขณะเดียวกันนั้น ชายผู้หนึ่งก็ย่อตัวลงนั่ง คล้องเก้าอี้สะพายไว้กับหลังของตน รอคนเป็นผู้โดยสารขึ้น

“ให้นั่งบนนี้น่ะหรือ เก้าอี้นี่นะ” หญิงสาวชาวอังกฤษร้องออกมา

“ใช่ค่ะ เชิญ” มัลลิกาผายมือแล้วนั่งให้ดูเป็นตัวอย่าง ไม่ต่างจากการนั่งเก้าอี้ทั่วไป เพียงแค่มันผูกติดไว้กับหลังคนเท่านั้น ครั้นผู้นั่งให้สัญญาณว่ามั่นคงดีแล้ว ร่างผอมดำก็ค่อยๆ หยัดกายยืน ซึ่งทำให้ปลายเท้าของผู้นั่งลอยเหนือพื้นเพียงนิดเดียว หากนั่นก็ถือว่าพร้อมแล้วสำหรับการเดินทาง มัลลิกาเชื้อเชิญให้ทุกคนรีบไปนั่งที่เก้าอี้ของตัว

“ลองดูสักครั้งจะเป็นไรเล่า ลีรอย เบ็ตตี้” วิลเลียมสรุปแล้วรุนหลังเบ็ตตี้ไปที่เก้าอี้ตัวที่ผู้กับชายคนหนึ่งท่าทางแข็งแรงที่สุดในบรรดา จับมือประคองและช่วยจัดกระโปรงของหล่อนให้เข้าที่จนกระทั่งผู้แบกยืดตัวยืน เรียบร้อยดีแล้วจึงไปนั่งตัวที่เหลือ

การนั่งบนเสลี่ยงคนแบบนี้ใช่จะสบาย ดีแค่ไม่เหนื่อยออกแรงเดินเท่านั้น แต่กลับเมื่อยเพราะเกร็งไปทั้งร่าง ต้องช่วยทรงตัวเพื่อรักษาสมดุลทั้งคนนั่งและคนแบก หาไม่ก็ร่วงลงมาหรือล้มเค้เก้กันไปทั้งสองคน

ครั้นพอปรับตัวกับจังหวะโยกโยนตามการก้าวเดินได้แล้ว วิลเลียมก็ชวนคุยถึงสภาพบ้านเรือนและเมืองที่ผิดตาไป

“ที่ถนนไคลฟ์ในกัลกัตตา ดูเป็นอังกฤษกว่าที่นี่”

“ก็ที่นั่นเป็นเมืองหลวงของบริติชราชนี่คะ” มัลลิกาว่า “อาคารบ้านเรือนเป็นตึกแบบอังกฤษ บนถนนก็เต็มไปด้วยรถม้า”

“ถ้าไม่มีคนแต่งชุดแปลกๆ เดินปะปน ฉันก็คงคิดว่าอยู่อังกฤษ” เบ็ตตี้พยายามข่มน้ำเสียงประชดประชันให้เป็นการสนทนาเรียบๆ อย่างคุยเรื่องสัพเพเหระ หากมัลลิกาจับเจตนาในน้ำเสียงของหล่อนได้อยู่ดี จึงย้อนกลับไป

“ทำอย่างไรได้ล่ะคะ ก็ที่นี่เป็นบ้านของเรา ถ้าไม่ให้เราออกมาเดินบนถนน จะให้เราไปขุดรูอยู่ที่ไหน ถ้าคุณเบ็ตตี้เห็นแล้วไม่ชอบใจ ก็เห็นทีจะต้องกลับไปอยู่แต่ที่อังกฤษแล้วละค่ะ”

เบ็ตตี้คิดว่าหล่อนไม่ควรหาเรื่องมัลลิกาอีก เพราะฝ่ายนั้นหาทางงัดหล่อนได้ตลอดเวลา จึงเพียงสะบัดหน้าน้อยๆ ข่มอารมณ์ไว้ภายใน หันมาใส่ใจกับการทรงตัวบนเก้าอี้ และประคองร่มลูกไม้สีขาวก้านยาวที่ช่วยพรางแสงแดดจ้า ไม่ให้หน้าหล่อนเป็นฝ้าหรือร้อนจนเป็นลมขึ้นมาเสียก่อน อุปาทานทำให้เบ็ตตี้รู้สึกว่าการเดินทางช่างเชื่องช้า และสายตาของชาวบ้านที่มองมาไม่ผิดกับหล่อนเป็นตัวประหลาดมากกว่าจะชื่นชมว่าเป็นพวกบริติชราช ทำให้หญิงสาวยิ่งอึดอัดอยากให้ถึงปลายทางโดยไว

แต่เหตุการณ์ไม่เป็นไปดังใจนึก เมื่อผู้หาบหรือคนแบกเสลี่ยงเก้าอี้ทั้งสี่หยุดยอบตัวให้ลง คำถามอย่างฉุนเฉียวในใจเบ็ตตี้เป็นคำเดียวกับที่วิลเลียมถามออกไปอย่างฉงน

“หยุดทำไมหรือครับ”

“มีขบวนแห่ค่ะ เราต้องหยุดให้ขบวนผ่านไปก่อน” มัลลิกาบอกพลางชี้ไปยังปลายถนนที่ฝุ่นคลุ้งกระจาย สีสันหลากหลายแห่งอาภรณ์เคลื่อนเข้ามาใกล้พร้อมกับเสียงบรรเลงดนตรีอย่างครื้นเครง “พวกคุณโชคดีจังนะคะ ได้เห็นขบวนแห่ที่ใหญ่และงดงามเช่นนี้”

เสียงอึกทึกจากวงดนตรีดังขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับขบวนที่ใกล้เข้ามาจนเห็นรายละเอียดว่าผู้คนทั้งหลายประโคมแต่งกายกันอย่างเต็มที่ ทั้งเสื้อผ้าและเครื่องประดับ ลามเลยไปถึงม้า อูฐ และช้างที่ร่วมขบวนก็มีผ้าคลุมปักลวดลายแปลกตาดูราคาแพงด้วยดิ้นเงินและเลื่อมที่ส่งประกายต้องแดดมากระทบสายตา

“นี่เป็นขบวนแห่ของเจ้าบ่าว เพื่อไปรับเจ้าสาวที่บ้านค่ะ เห็นแค่นี้ก็รู้ได้ว่าเป็นครอบครัวที่มีฐานะ ในขบวนนี้จะมีแต่ญาติฝั่งเจ้าบ่าว ส่วนฝั่งเจ้าสาวก็เตรียมต้อนรับอยู่ที่บ้าน”

มัลลิกาอธิบายขณะที่ขบวนเคลื่อนใกล้เข้ามาช้าๆ กว่าจะผ่านไปได้ระยะสักยี่สิบก้าวก็กินเวลาไปหลายนาทีเพราะไม่มีใครเร่งรีบ หยุดระบำรำฟ้อนอย่างสนุกสนานอวดความโอ่อ่ามากกว่าเร่งรุดให้ถึงจุดหมายโดยไว

“คนไหนคือเจ้าบ่าวครับ คนที่นั่งบนหลังช้างนั่นหรือเปล่า” วิลเลียมชี้ไปยังจุดหนึ่งไกลๆ

มัลลิกาพยักหน้าตอบ

“ใช่ค่ะ คนนั่งบนหลังช้างนั่นแหละ เจ้าบ่าว ปกติแล้วคนมีฐานะก็จะให้เจ้าบ่าวนั่งบนหลังม้า อูฐ หรือช้าง แต่นี่ขนมาเข้าขบวนทั้งสามอย่าง ถ้าไม่อยากอวดว่าร่ำรวยก็คงอยากประชดใครมังคะ” น้ำเสียงที่เล่าติดสนุกไม่คิดอะไรจนกระทั่งช้างตัวใหญ่หยุดใกล้หล่อน แหงนมองเพื่อดูหน้าเจ้าบ่าวให้ชัดแล้วมัลลิกาก็แข็งขึงไปราวถูกสาปให้เป็นหิน

เบ็ตตี้มองตามไปยังคนบนหลังช้าง แม้หล่อนมิได้ชื่นชมรูปลักษณ์ของคนในถิ่นนี้ แต่หล่อนก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าชายหนุ่มบนหลังช้างเป็นคนหน้าตาคมคายชวนมอง โดดเด่นเหนือคนอื่นในแวดล้อม

ดูเหมือนคนบนหลังช้างจะชะงักไปเมื่อได้เห็นดวงหน้าของหญิงสาว คล้ายว่าเขาจะลงมาแต่ถูกเหนี่ยวรั้งไว้จนกระทั่งขบวนเคลื่อนผ่านไป มัลลิกาจึงได้สติคลายจากมนตร์สะกดเพราะวิลเลียมเรียกหล่อนหลายหนจนต้องสะกิด

“เป็นอะไรหรือเปล่า ผมเห็นคุณมองเจ้าบ่าวแล้วชะงักไป คุณรู้จักเขาหรือ”

“รู้จัก…ใช่…ฉันรู้จักเขา เขาเป็นคนรักของฉัน”

มัลลิกาครึมครางเหมือนคนสติยังไม่ครบถ้วนดี หากแล้วหล่อนก็ย้ำน้ำเสียงหนักแน่นในตอนท้าย

“เคยเป็น”

“บังเอิญจริงที่หลานมาถึงวันนี้”

น้าชายของมัลลิกาเอ่ยทักหลานสาวเมื่อถึงโรงแรมพร้อมกับเพื่อนชาวอังกฤษ แม้รถไฟอินเดียหรือพญานาคเหล็กที่กินถ่านหินเพื่อให้วิ่งได้บนรางจะทำให้การเดินทางสะดวกและรวดเร็วขึ้น แต่บ่อยครั้งที่การเดินทางไม่เป็นไปตามเวลา น้าชายของมัลลิกาจึงให้คนไปคอยที่สถานีรถไฟทุกวัน เพื่อว่าวันใดที่รถไฟมาถึง หลานสาวจะได้เดินทางต่อมายังโรงแรมทันที

“วันนี้เป็นวันแต่งงานของมาจิด” เขาเอ่ยต่อไป ชื่อนั้นเป็นชื่ออดีตคนรักของหลานสาว เขายั้งคำพูดล้อไว้ทันว่าที่หล่อนมาถึงวันนี้เป็นเรื่องจงใจหรือบังเอิญจริงๆ

“หลานพบเขาแล้วค่ะ ในขบวนแห่เจ้าบ่าว”

มัลลิกาข่มความรู้สึกลึกๆ ภายใน คงแสดงออกว่าพูดถึงเรื่องนี้อย่างปกติ ไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกับหล่อน ความล่าช้าที่เกิดขึ้นเหมือนมีขบวนวัวมาขวางถนนเท่านั้น “ที่มาถึงช้า ก็เพราะติดขบวนเจ้าบ่าวนี่ละค่ะ”

“เอาเถอะ หลานและเพื่อนคงเหนื่อยมากแล้ว ไปพักเสียก่อน”

น้าชายของมัลลิการู้แล้วว่าหลานสาวได้เพื่อนใหม่ชาวอังกฤษ รู้จักกันบนรถไฟ และเพื่อนกลุ่มนี้เองก็เป็นผู้ที่สำรองห้องพักไว้ล่วงหน้า เขาจึงเชื้อเชิญแขกทั้งสาม

“ห้องพักที่จองไว้ ผมจัดไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ห้องเดี่ยวสำหรับคุณผู้หญิง และห้องสองเตียงสำหรับคุณผู้ชาย พักผ่อนตามสบายนะครับ ส่วนเรื่องค่าห้องพักนั้นไม่ต้องกังวล”

เงาหนึ่งแวบไหวทางหางตา น้าชายของมัลลิกาจึงรีบตัดบทแล้วปรี่ไปรับรองฝ่ายนั้น

ผู้ที่ก้าวลงมาจากบันไดเป็นชาวอังกฤษวัยสี่สิบต้น รูปร่างห่างไกลจากความสะโอดสะองแต่ก็ไม่ท้วมเทอะทะ ทว่าแน่นแกร่งอย่างผู้ออกกำลังกายหรืออยู่กลางแจ้งสม่ำเสมอ ชุดสีทรายที่เขาสวมทำให้นึกถึงนักสำรวจไพรมากกว่านายทหารหรือตำรวจชาวอังกฤษที่มีอยู่มากมายในอินเดีย

สัญชาตญาณของคนเชื้อชาติเดียวกันทำให้ต่างฝ่ายต่างหันมอง รู้สึกอุ่นใจเหมือนพบคนในครอบครัวแม้จะอยู่ต่างแดน เขาก้าวเข้ามาทักทายหนุ่มสาวด้วยอัธยาศัยอันดี

“มิสเตอร์โรเจอร์” น้าชายของมัลลิกาเป็นฝ่ายแนะนำให้รู้จัก

“เพิ่งมาถึงกันหรือ เสียดาย…ฉันพักที่นี่หลายวันแล้ว กำลังจะกลับเดี๋ยวนี้”

“คุณอยู่ที่อินเดียนี้หรือครับ” วิลเลียมถามออกไป

“ใช่…ฉันอยู่ที่บอมเบย์ แต่อีกไม่นานฉันจะย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว เธอรู้จักเบอร์มาไหม ที่ตรงนั้นอุดมไปด้วยป่าไม้นานาพันธุ์ โดยเฉพาะไม้สัก ฉันกำลังจะไปที่นั่นละ”

วิลเลียมเคยได้ยินผ่านๆ เพราะเบอร์มาก็เป็นส่วนหนึ่งของบริติชราช แต่ไม่รู้มากกว่านี้ ยังไม่ทันได้ตอบก็ต้องนิ่งก่อน เพราะผู้จัดการโรงแรมเข้ามาบอกอะไรสักอย่างแก่มิสเตอร์โรเจอร์ แล้วชายอังกฤษก็พ่นลมหายใจพรืดอย่างระอา

“รถไฟไปบอมเบย์จะออกช้ากว่ากำหนด เอาละหนุ่มๆ ถ้าพวกเธอไม่เหนื่อยเกินไปนัก เล่นไพ่บริดจ์เป็นเพื่อนฉัน หรือจิบชาคุยกันสักหน่อยไหมล่ะ” เขาล้วงนาฬิกาพกสีเงินจากกระเป๋าเสื้อเปิดฝาออกดูแล้วว่า “ฉันมีเวลาราวห้าชั่วโมง ที่จะเล่าเรื่องป่าไม้ในเบอร์มาให้พวกเธอฟัง”

วิลเลียมและลีรอยตอบรับด้วยความดีใจ จะมีอะไรน่าตื่นเต้นไปกว่าการฟังเรื่องผจญภัยในดินแดนลี้ลับแห่งหนึ่งของโลก ในขณะที่เบ็ตตี้เบิกบานเพราะได้ร่วมวงสนทนากับคนที่พูดภาษาเดียวกัน จะไม่สำราญอยู่บ้างก็ตรงที่มัลลิกามาร่วมวงด้วย ลมอ่อนจากพัดชักบนเพดานรำเพยกลิ่นกำยานและไม้หอมเผาไฟให้โชยชายไปในอากาศกลายเป็นกลิ่นที่น่ารำคาญสำหรับหญิงชาวอังกฤษ

เพียงน้ำชาพร่องลงไปครึ่งถ้วย หนุ่มสาวก็ได้รู้ว่ามิสเตอร์โรเจอร์เป็นผู้จัดการของบริษัทบอมเบย์เบอร์มา ตามมาด้วยชื่อเมืองแปลกๆ อีกหลายแห่งจากปากของเขา

“บริษัทของเราได้สัมปทานป่าไม้ที่เบอร์มา ทั้งที่ย่างกุ้งและมัณฑะเลย์ รวมไปถึงล้านนา…ทางเหนือของสยาม เรามีออฟฟิศหลายที่ กำลังหาคนไปดูแลที่แพร่และละกอน”

แม้จะไม่รู้ว่าเมืองเหล่านั้นมีหมุดหมายอยู่ที่ใดบนผืนโลก แต่หนุ่มอังกฤษทั้งคู่ก็ฟังด้วยแววตาลุกวาวกระตือรือร้น ผิดกับเบ็ตตี้ หล่อนภาวนาอย่าให้มิสเตอร์โรเจอร์เอ่ยถ้อยคำที่น่าสะพรึงกลัว แต่ดูเหมือนพระผู้เป็นเจ้าจะไม่เข้าข้างหล่อน

“ถ้าเธอสนใจไปทำงานที่นั่น ฉันมีใบสมัครติดมาด้วย”

แทบไม่ต้องเสียเวลาคิด มัลลิกาเรียกเด็กรับใช้ให้นำปากกาขนนกและกระปุกหมึกมาทันที วิลเลียมและลีรอยกรอกใบสมัครอย่างมั่นใจ มิสเตอร์โรเจอร์ตรวจทานดูว่าครบถ้วนเรียบร้อยดีแล้วก็เก็บใส่กระเป๋าเอกสาร แล้วเริ่มเล่าเรื่องผจญภัยต่อไปอันล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในกิจการค้าไม้ของชาวอังกฤษ

เวลาเกือบห้าชั่วโมงผ่านไปเหมือนห้านาทีในความรู้สึกเมื่อได้ฟังเรื่องเล่าโลดโผนในดินแดนที่อุดมไปด้วยป่าไม้และสัตว์ร้ายนานาชนิด มิสเตอร์โรเจอร์ดูเวลาอีกครั้ง…ยังมีเวลา ก็ให้พ่อบ้านยกกระเป๋าใบหนึ่งออกมารื้อของภายใน เป็นกล้องถ่ายรูปขนาดใหญ่ที่ดูมีกลไกซับซ้อน หากมิสเตอร์โรเจอร์ประกอบทั้งหมดเพื่อใช้งานได้อย่างคล่องแคล่ว

“การเป็นนักสำรวจจะขาดกล้องถ่ายรูปไม่ได้เลย แต่มันออกจะใหญ่โตเทอะทะไปหน่อย” หนุ่มใหญ่ชาวอังกฤษบ่นไปอย่างนั้นเอง “หวังว่าสักวันจะมีคนย่อส่วนให้มันเล็กลงได้”

มิสเตอร์โรเจอร์มาพักที่โรงแรมนี้หลายวันแล้ว เห็นมุมสวยงามที่แดดยามบ่ายส่องถึงก็สั่งให้พ่อบ้านยกเก้าอี้ตัวหนึ่งไปตั้งไว้ แล้วต้อนหนุ่มสาวทั้งสี่คนให้ไปรวมกันที่นั่น

“ถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกกันเสียหน่อย เราคงไม่ได้มาที่ติรุเนลเวลลีกันบ่อยๆ หรอก จริงไหม” หางเสียงถามไปอย่างนั้นเอง แต่จัดแจงกลุ่มคนทั้งสี่ให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมกับเก้าอี้ตัวเดียว มัลลิกาไม่ยอมเด็ดขาดที่จะนั่งราบกับพื้นเหมือนนางทาสี ในขณะที่ชาวอังกฤษอีกสามคนจะนั่นบนเก้าอี้หรือยืนค้ำหัวหล่อน

มิสเตอร์โรเจอร์จัดการไปจนได้ ก่อนมุดหัวเข้าไปในโปงผ้า ยังพูดติดตลกว่า

“เหมือนคู่รักสองคู่นะ คู่หนึ่งเป็นชาวอังกฤษ อีกคู่หนึ่งเป็นอังกฤษกับสาวบอมเบย์”

เบ็ตตี้ขัดใจน้อยๆ เพราะตำแหน่งที่มิสเตอร์โรเจอร์จัดให้นั้นเสมือนว่าตนคู่กับลีรอย

กดชัตเตอร์แล้วพ่อบ้านก็เข้ามารายงาน

“รถไฟจะออกก่อนเวลาที่กำหนดขอรับ ซาอิบ”

“เฮ้อ” มิสเตอร์โรเจอร์พ่นลมหายใจพรืดอีกครั้ง เพราะทีแรกก็เลื่อนเวลาออกไป หากตอนนี้กลับจะเร่งเวลาออกให้เร็วขึ้น แต่ก็ชินแล้วกับเรื่องทำนองนี้จนปลง “รถไฟอินเดียก็อย่างนี้แหละ”

มิสเตอร์โรเจอร์เก็บกล้องถ่ายรูปลงกระเป๋าอย่างคล่องแคล่วเช่นเดียวกับตอนรื้อออก ไม่กี่นาทีต่อมาเขาก็เดินทางไปสถานีรถไฟ ทิ้งท้ายด้วยคำพูดทำนองว่า

“แล้วพบกันที่บอมเบย์ หรือมัณฑะเลย์ดีนะ”

ลีรอยถามวิลเลียมเรื่องไปทำงานที่ปางไม้เมื่อคล้อยหลังมิสเตอร์โรเจอร์

“นายจะไม่รอสอบตำรวจอีกหนหรือ”

“สอบสิ ฉันอยากเป็นตำรวจเหมือนน้าอีวาน มากกว่าจะไปอยู่ในป่าเขาอย่างมิสเตอร์โรเจอร์” วิลเลียมลูบคางไปมานิดหนึ่งอย่างครุ่นคิด “เราแค่กรอกใบสมัครเท่านั้น มิได้หมายความว่าเขารับเราเข้าทำงานแล้วสักหน่อย”

เบ็ตตี้พยักหน้าเห็นด้วย ที่อินเดียนี้ แม้จะอัตคัดอย่างไรก็ยังเป็นดินแดนบริติชราช เบอร์มาที่มิสเตอร์โรเจอร์เล่าให้ฟังคงไม่ต่างกันเท่าไรเพราะเป็นหนึ่งในอาณานิคม…หล่อนเชื่อมั่นว่าที่ใดที่จักรวรรดิของบริติชราชแผ่ขยายไป ที่นั่นจะมีความศิวิไลซ์ที่หล่อนยอมรับได้…แต่เมืองชื่อแปลกทางตอนเหนือของสยามนั่นสิ จะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ จินตนาการของหญิงสาวไม่อาจนำไปในทางที่ดีได้ หล่อนเห็นแต่ความเลวร้ายนานาแย่ยิ่งกว่าสิ่งแวดล้อมที่หล่อนเผชิญอยู่ในขณะนี้ เบ็ตตี้จึงภาวนาว่าอย่าให้วิลเลียมตัดสินใจไปที่นั่นเลย

เรื่องงานในปางไม้กลายเป็นประเด็นสนทนาตลอดค่ำเลยไปถึงบนโต๊ะอาหาร แม้จะเฉไฉไปเรื่องอื่นบ้างแต่แล้วก็วกกลับมาที่เดิมทุกที จนเหมือนวิลเลียมและลีรอยช่วยกันวางแผนอนาคตข้างหน้าว่าควรมุ่งสู่เส้นทางใด จะสอบตำรวจให้ได้ หรือจะไปเป็นผู้จัดการปางไม้ที่สยาม

จวนจะเข้านอนก็ยังมิได้ข้อสรุป วิลเลียมจึงเอ่ยไปว่า

“สุดแท้แต่พระบัญชาของพระผู้เป็นเจ้าก็แล้วกัน”

มัลลิกาให้พ่อบ้านของโรงแรมจัดหาม้าสี่ตัวสำหรับขี่ท่องเที่ยวในหมู่บ้านใกล้ๆ เมื่อไม่มีใครเกี่ยงงอน ทั้งหมดก็ควบม้ามุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านปาลายัมกอตเตท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าวแทบจะหาร่มเงาไม้ไม่พบ ด้วยว่ารัฐทมิฬนาฑูอยู่ทางใต้ของอินเดียซึ่งโดยปกติก็แห้งแล้งอยู่แล้ว ยามร้อนจึงยิ่งร้อนขึ้นทวีคูณ ควบม้าไปได้ไม่ทันไรก็รู้สึกว่าเหงื่อไหลเป็นน้ำจนชุ่มไปทั้งตัว

ถนนดินปนทรายที่ปรากฏต่อหน้าวิลเลียมทำให้เขาหวนนึกถึงบันทึกของพ่อและตา ว่าติรุเนลเวลีนี้เป็นเมืองที่อัตคัดไปทุกตารางนิ้ว สิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของคนที่นี่คือวิหารเก่าทรุดโทรมเต็มไปด้วยรูปปั้นน่ากลัวมากกว่าน่าเลื่อมใส หากก็เป็นเทพเจ้าของคนถิ่นนี้ แต่แม่ของเขากลับเรียกว่าวิหารของเทพเจ้าปีศาจ ทุกครั้งที่แม่เล่าน้ำเสียงจะระคนกันระหว่างหวาดกลัวและเหยียดแสยงอยู่ในที

วิหารที่ว่านั้นอยู่ห่างจากจุดที่วิลเลียมยืนม้าขณะนี้ราวสองร้อยเมตร

ชาวบ้านผิวคล้ำผอมแกร็นในเสื้อผ้ามอซอส่วนใหญ่เป็นชายเบียดออกันอยู่หน้าวิหาร เสียงสวดงึมงำดังออกมาได้ยินชัดขึ้นเมื่อชักม้าเข้าไปใกล้ แม้ไม่เข้าใจความหมายก็พอจะเดาออกว่าเป็นบทสวด ฟังขรึมขลังราวกำลังอยู่ในพิธีสำคัญ

“พวกเขาทำอะไรกัน หรือบูชาเทพเจ้าตามปกติ” วิลเลียมถามมัลลิกาผู้ยืนม้าเคียงกัน

“มิได้สวดธรรมดาหรอก” หญิงสาวตอบแค่นั้นแล้วหยุดคิดว่าจะอรรถาธิบายให้เข้าใจดีหรือไม่ ว่าภายในนั้นกำลังจะทำพิธีบูชายัญ ครั้นแล้วจึงเอ่ยถาม “คุณอยากเข้าไปดูไหม”

“แน่นอนสิ มีโอกาสดีเช่นนี้แล้ว จะพลาดได้ยังไง” น้ำเสียงวิลเลียมลิงโลดเหมือนผู้กำลังจะได้พบกับประสบการณ์ใหม่ หันไปพยักหน้ากับลีรอยแทนคำพูดว่า…จริงไหมเพื่อน

เบ็ตตี้หน้าตึง เม้มปากน้อยๆ ความรู้สึกก้ำกึ่งระหว่างอยากรู้อยากเห็นว่าข้างในจะมีอะไรกับหันหลังกลับอย่างไม่แยแส ด้วยว่ามันก็เป็นแค่พิธีกรรมงมงายของคนถิ่นนี้ แต่แล้วหล่อนก็ต้องเกาะแขนวิลเลียมตามเข้าไปในวิหารที่มัลลิกาเป็นผู้นำแหวกฝูงชนให้

หญิงชาวอังกฤษขนลุกเกรียวเมื่อสายตาปะทะกับภาพภายในที่ต้องเพ่งมอง แสงจากภายนอกส่องลอดเข้ามาไม่มากนัก ภาพที่เห็นจึงสลัวรางทึบทึมชวนอึดอัดผสานด้วยกลิ่นสารพัดอย่างที่ห่างไกลจากคำว่าปลอดโปร่ง…เหม็นเอียนจนแทบกลั้นอาเจียนไม่ไหว

ตรงจุดกึ่งกลางวิหารเป็นแท่นหิน ผู้นั่งเป็นประธานคือหญิงชราสูงอายุร่างผอมแกร็นเก้งก้าง เห็นชัดว่าถ้านางยืดตัวลุกยืนก็เป็นคนสูงทีเดียว หากกระนั้นท่านั่งของนางก็วางโตโอ่อ่าอย่างผู้ทรงอำนาจที่กำลังโกรธเกรี้ยว กายโยกโอนเอนไปมาดุจบ้าคลั่งและเมามาย ทั่วใบหน้าและผิวกายถูกป้ายเปรอะไปด้วยผงขี้เถ้าและน้ำผสมขมิ้น ขณะที่ผมยาวบางส่วนเป็นหงอกขาวกระเซอะกระเซิงคล้ายฟางแห้ง

วิลเลียมมองสตรีตรงหน้าอย่างเข้าใจว่านางเป็นเจ้าพิธี พยายามหาเหตุผลว่านางมีอำนาจเหนือบุรุษทั้งหลายที่รายล้อมอยู่อย่างไร เบ็ตตี้เกาะแขนเขาแน่นขึ้น ฝ่ามือหล่อนชื้นไปด้วยเหงื่อที่วิลเลียมรู้ว่าหล่อนหวาดกลัวเป็นกำลัง

ฝูงชนที่รายล้อมแน่นในวิหารขยับตัวเบียดกันเป็นสองฟาก แหวกช่องตรงกลางเป็นทางเดิน

ทันใดนั้น ชายสองคนก็หิ้วแกะที่ยังมีชีวิตอยู่เข้ามาวางลงตรงแท่นหน้าหญิงชรา นางลุกขึ้นตบมือร่ากระทืบเท้ารัวถี่อย่างถูกใจ เช่นเดียวกับเสียงดนตรีและเสียงสวดที่รัวเร็วตามจังหวะย่ำเท้าของนาง อาการเคลื่อนไหวดูก้าวร้าวรุนแรงขึ้นอย่างคนปราศจากสติแล้วโดยสิ้นเชิง เสียงร้องที่พ้นจากลำคอของหญิงชราขาดห้วงไม่ต่อเนื่อง แหบพร่า ทว่าห้าวหาญดุจมิใช่เสียงของนาง

แต่ผู้คนในที่นั้นเงี่ยหูฟังจับทุกคำอย่างตั้งใจ

“นั่นคือคำพยากรณ์ พวกเขาตั้งใจฟังเพื่อจะนำไปตีความว่าหมายความว่าอย่างไร”

มัลลิกากระซิบเบาๆ เกรงว่าเสียงของหล่อนจะรบกวนคนที่กำลังตั้งใจฟังคำพยากรณ์จากผู้ที่กำลังประทับทรงเทพเจ้าองค์หนึ่งอยู่

ฉับพลัน คมมีดขาววับก็ตวัดลงมาที่คอแกะเกือบขาด เลือดสาดกระเด็นพุ่งกระจายไปทั่วบริเวณ

“กรี๊ด!”

เบ็ตตี้ร้องออกมา ตัวชาเย็นวาบราวถูกสาปให้เป็นหิน ตาเบิกโพลงเมื่อเห็นภาพต่อไป



Don`t copy text!