มหรสพเวรา บทที่ 10 : คนไม่กลัวผี

มหรสพเวรา บทที่ 10 : คนไม่กลัวผี

โดย : คีตาญชลี แสงสังข์

Loading

มหรสพเวรา โดย คีตาญชลี แสงสังข์ นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น 4 กับเรื่องราวที่จะพาคุณล่องลอยถอยสู่บรรยากาศบ้านเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ย้อนกลับไปเห็นตั้งแต่ของเล็กอย่างแก้วโอเลี้ยงไปจนถึงสิ่งยิ่งใหญ่อย่างโรงมหรสพสมัยใหม่ที่เรียกว่าโรงภาพยนตร์ ขอเชิญท่านพิศเพลินพร้อมกันทั้งประเทศ ณ บัดนี้

กลิ่นปรากฏกายขึ้นในห้องนั่งเล่นชะเง้อชะแง้มองออกไปยังทางเดินหน้าบ้าน แดดบ่ายต้องกลีบดอกแก้วขาวสะอ้านจนแสบนัยน์ตา เมื่อลมพัด กลีบสีขาวขุ่นบนพื้นก็ม้วนไปตามแรงลม

ทำไมวันนี้ถึงรู้สึกร้อนรนเสียจริง กลิ่นถามตัวเอง นึกกังวลถึงทัพเที่ยงและเรื่องเมื่อคืน เขาคงจะไม่ได้กลัวจนบอกคืนเรือนหลังนี้กับคุณหญิงไปแล้วนะ

หญิงสาวคว้าปลายสไบขยี้ นึกย้อนกลับไปเมื่อคืน ผิวนวลเนียนก็ปลั่งขึ้นด้วยเลือดฝาด

ดูสิ…รู้ทั้งรู้ว่าเธอเป็นผี เขายังไม่เว้น…

ผู้ชายก็เหมือนกันหมด…ไม่ว่าชาติภพไหน เวลาจะนานเท่าใดผู้ชายก็เหมือนกันหมด…

กลิ่นไม่รู้ว่าควรจะคิดจะรู้สึกกับเรื่องนี้อย่างไรดี โลกใบที่เธอเคยอาศัยอยู่นับว่าเป็นโลกของผู้ชายโดยแท้ ถ้าไม่มีผู้ชายให้ ‘ฝากผีฝากไข้’ เสียแล้ว ผู้หญิงจะอยู่ได้อย่างไรกัน

เมื่อคิดถึงตรงนี้กลิ่นก็ถอนหายใจ เธอเป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง ถึงในหลวงจะเลิกทาสไปแล้ว แต่ในความเป็นจริงผู้หญิงถ้าไม่เป็นของของพ่อก็ต้องเป็นของของผัว ชีวิตที่ผ่านมาถ้าไม่ได้หลวงเลิศเมตตาดูแล เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะไปหาชีวิตที่สุขสบายเช่นนั้นมาจากที่ไหน แม้ตอนนี้กลิ่นจะไม่ได้ต้องการอาหาร เครื่องแต่งกายสวยๆ บ่าวไพล่คอยรับใช้เหมือนเก่า แต่กลิ่นก็ยังต้องการความเมตตาจากทัพเที่ยง ชายร่างใหญ่โตเหมือนยักษ์วัดแจ้งผู้นั้นอยู่ดี

เธอจะทำอย่างไรได้ถ้าเขาจะเป็นสุภาพบุรุษกับผู้อื่นแต่เป็นโจรกักขฬะเอากับเธอ หรือเพราะตัวเธอเองนั่นแหละที่ไม่มีคุณสมบัติมากพอจะให้คนอื่นเขามาให้เกียรติ

กลิ่นคิดด้วยความน้อยใจ แต่ไม่ทันจะได้คำตอบ เสียงฝีเท้าและสำเนียงคุ้นหูก็ดังแว่วมาตามทางเดิน กลิ่นชะเง้อมองก็เห็นทัพเที่ยงเดินเคียงกันมากับจักร วันนี้ผมของจักรสั้นขึ้นจากการตัดมาใหม่หมาดและหวีเสียเรียบกริบ

ทัพเที่ยงมีอาการชะงักเมื่อเปิดประตูนำจักรเข้าบ้าน กลิ่นยืนตัวแข็ง แต่เมื่อเห็นแววตาที่บอกว่าไม่สามารถเห็นเธอแน่แล้ว กลิ่นก็ถอนหายใจและยืนจ้องชายหนุ่มทั้งสองอยู่ที่เดิม

“เดี๋ยวกันไปเอาน้ำมาให้ นั่งในห้องหรือที่เฉลียงหน้าบ้านดี”

“ที่เฉลียงดีกว่า ลมกำลังฉิวเลย”

ทัพเที่ยงพยักหน้ารับคำ กลิ่นเห็นสีหน้าเขาระมัดระวังขึ้น

ร่างใหญ่ของทัพเที่ยงตรงเข้าครัว ซึ่งเป็นห้องในส่วนหลังของตัวบ้าน แดดเฉียงสะท้อนฝาปิดโอ่งน้ำเห็นเป็นแสงเงาประหลาดฉายอยู่บนเพดาน ทัพเที่ยงมองแสงที่เต้นเป็นตัวแปลกๆ ระหว่างนั้นก็งึมงำบางอย่างด้วยเสียงต่ำพร่าฟังไม่เป็นคำ

กลิ่นย่องกริบตามเข้าไป และอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ทัพเที่ยงก็หันขวับ ประกายตาสว่างวาบแล้วรวบเอวกลิ่นเอาไว้กันหนี

กลิ่นดิ้นรน พักหนึ่งเมื่อรู้ว่าหนีไม่พ้นแน่แล้วเธอจึงหยุด เปลี่ยนเป็นพยายามใช้มือแกะลำแขนของเขาให้พ้นตัว ใจหญิงสาวเต้นไม่เป็นจังหวะ ไม่รู้ว่าตัวเองโกรธ กลัว หรือรู้สึกอย่างไรแน่

“เอาละแม่กลิ่น ฉันจะปล่อยเธอละนะ แต่สัญญาก่อนว่าจะไม่หนี” เขาว่าเสียงต่ำ หญิงสาวพยักหน้า แก้มสีน้ำผึ้งปลั่งขึ้นด้วยเลือดแห่งความอาย

“มองหน้าฉันสิ” เขาสั่ง ยิ้มอย่างพอใจเมื่อกวาดมองหญิงสาวไปทั้งเรือนร่าง กลิ่นไม่ชอบวิธีมองของเขา ออกจะนึกเกลียด แต่เมื่อทัพเที่ยงถามออกมาว่า “เมื่อเช้ารู้สึกดีขึ้นบ้างไหม ฉันว่าเธอดูไม่เทาเหมือนเมื่อคืนแล้วนะ” กลิ่นก็รู้ทันทีว่า บุญที่ได้รับเมื่อเช้านั้นเป็นเขาที่ส่งมาให้

เธอถามเขาว่าคุณทำบุญให้หรือคะ ทัพเที่ยงไม่ได้ยินแต่เขาก็พยักหน้า

“ฉันตักบาตรให้เธอไง ผีอย่างเธอไม่รู้หรือว่าใครทำให้”

เสียงเหมือนล้อนั้นทำกลิ่นละอาย มัวแต่นึกขุ่นใจมองเขาในแง่ร้ายเลยไม่ทันรู้ว่าความเย็นสบายเมื่อเช้านั้นได้มาเพราะตัวเขา

“เอาละพูดกันได้ซะทีนะ” เขาจ้องนัยน์ตาเธอ ตอนนี้เองที่กลิ่นเพิ่งรู้ตัวว่าใบหน้าของเขาอยู่ใกล้แค่นิดเดียว

“แล้วกัน จะหลบตาทำไม ถ้าไม่มองหน้ากัน เราจะคุยกันได้ยังไงละนี่” ทัพเที่ยงว่า กลิ่นเห็นจริงตามนั้น เลยแข็งใจจ้องตอบก็พบดวงตาเข้มมองเขม็งราวกับอยากทะลุมาอ่านจิตใจของเธอให้ได้

“เอาละ” เขาว่า “เมื่อคืนเราคุยกันถึงไหนนะ เธอต้องการอะไรจากฉัน ถึงวนเวียนมาหาอย่างนี้”

กลิ่นอยากบอกเขาเหลือเกิน แต่มันทำไม่ได้

“ฉันรู้ว่ามันยาก ฉันจะเดาเอาก็แล้วกัน ส่วนเธอพยักหน้าถ้ามันใช่ ส่ายหน้าถ้ามันไม่ใช่ ตกลงนะ”

“เจ้าค่ะ” กลิ่นตอบ รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่ได้ยิน

“เธออยากให้ฉันทำบุญไปให้ใช่ไหม” กลิ่นส่ายหน้า นึกในใจ โถ…คุณพี่

“อ้าว…ถ้าอย่างนั้นเธอต้องการอะไร ต้องการให้ฉันย้ายออกไปอย่างนั้นหรือเปล่า”

“ไม่นะเจ้าคะ ไม่ย้ายนะเจ้าคะ” กลิ่นส่ายหัวเร่า ตอนนี้เขาปล่อยเธอจากวงแขนแล้ว แต่เป็นกลิ่นที่คว้าแขนเขายึดเอาไว้เสียเอง

“อยากให้ฉันอยู่ที่นี่หรือ”

“เจ้าค่ะ” กลิ่นพยักหน้าส่งสายตาอ้อนวอน “อยู่ที่นี่กับน้องนะคะคุณพี่ อย่าจากน้องไปไหน อโหสิกรรมให้น้อง อโหสิกรรมให้น้อง”

ทัพเที่ยงจ้อง มือใหญ่ของเขารวบบ่าบางของกลิ่นเอาไว้ ตามองริมฝีปากอย่างจะอ่านให้ออก กลิ่นพยายามอีกครั้ง แต่ยิ่งพูด ใบหน้าของทัพเที่ยงก็ยิ่งงุนงงสงสัยมากขึ้นเท่านั้น

“ทัพเที่ยง…” เสียงหนึ่งดังขึ้น ทั้งกลิ่นและทัพเที่ยงหันขวับไปตามเสียง จักร ปิ่นพิมุกข์ก้าวเข้ามาด้วยอาการระมัดระวัง ตาของเขาส่ายไปทั่วครัว

ทัพเที่ยงปล่อยบ่าหญิงสาวตั้งแต่ได้ยินเสียงจักรแล้ว แต่กลิ่นยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

“กันได้ยินเสียงคุย…เอ่อ” จักรบอกด้วยสีหน้าบอกไม่ถูก ก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อสายตามองเลยไปยังหน้าต่างด้านข้าง

“อ๋อ…เจ้าแมวนี่เอง” ชายหนุ่มผิวสะอาดว่า แมวจรที่มักเข้ามาขอข้าวทัพเที่ยงจ้องตาแป๋วมาจากขอบหน้าต่างครัว

“เหมียว” มันร้องรับ

“ท่าทางมันฉลาด นายคุยกับมันนี่เอง”

“อ่อ…ใช่…ใช่…กันชอบคุยกับมัน” ทัพเที่ยงรับสมอ้างไปตามที่จักรเข้าใจ พูดเสร็จเขาก็หันไปเตรียมเหยือกน้ำดื่ม ขณะก้าวตามจักรออกไปทัพเที่ยงก็หันมากระซิบ

“ค่อยคุยกันคืนนี้”

แม้ทัพเที่ยงจะสั่งเอาไว้เช่นนั้น แต่กลิ่นอดใจที่จะตามเขาออกไปข้างนอกไม่ได้ หญิงสาวหายวับไปโผล่ฟังจักรและทัพเที่ยงคุยกันอยู่หลังม่านหน้าต่าง จากจุดที่ยืนอยู่ทัพเที่ยงอาจจะมองไม่เห็น แต่จักรซึ่งหันหน้าทางกลิ่นสามารถมองเห็นเธอได้ถนัด เพียงแต่ตาของเขาไม่สามารถจะเห็นเธอได้ก็เท่านั้น

กลิ่นเท้าคางนั่งฟังจักรและทัพเที่ยงคุยกัน เธอขันออกมาเมื่อคิดว่า ตอนมีชีวิตอยู่นั้นหากทำเยี่ยงนี้คุณป้าแย้มกับแม่จวงคงตำหนิ แต่ตอนนี้ดูจะเป็นเรื่องปกติของกลิ่นไปเสียแล้ว

คงจะจริงอย่างที่โบราณว่า ทำอะไรให้อายผีสางเทวดาบ้าง ถึงคนไม่เห็นผีสางก็เห็น เมื่อต้องมาเป็นผีเสียเอง กลิ่นก็รู้แจ้งเห็นจริงในข้อนี้เสียจนเวทนาตัวเอง ก็ถ้าเรื่องมันไม่เลยเถิดและคุณพี่เฟื่องเหมือนหญิงทั่วๆ ไป กลิ่นก็คงได้ไปผุดไปเกิด ไม่ต้องเป็นผีคอยนั่งฟังมนุษย์คุยกันดอก

“นางเอกถ้าได้วิไลวรรณมาละก็หนังเราจะต้องขายได้แน่” จักรคาดหวัง ทัพเที่ยงขยับตัวไปมาอย่างครุ่นคิด

“กันก็ชอบการแสดงของเจ้าหล่อน แต่เขาว่าคิวเธอยาว เราเป็นเจ้าใหม่เธอจะว่างมาเล่นให้เราหรือ”

“เอาน่า เรื่องนั้นกันจัดการเอง ของอย่างนี้ไม่ลองไม่รู้” จักรมีสีหน้ามั่นใจ ทัพเที่ยงพยักหน้ารับอย่างรู้ศักยภาพ ‘เงิน’ ของผู้พูดดี

“แล้วพระเอกนายอยากได้ใคร”

“ไม่รู้สินะ ฮือ…กันก็ต้องเห็นเรื่องของนายว่าจะเขียนให้เป็นพระเอกแบบไหน แต่กันอยากได้พระเอกใหม่นะ เอานางเอกดังประกบพระเอกใหม่ เขาว่ากันว่าถ้ามีพระเอกในสังกัดของตัวเองมันก็น่าจะดีไม่ต้องไปแย่งกับใคร”

“งั้นนายเป็นพระเอกเองเลยดีไหม” ทัพเที่ยงเสนอ สีหน้านั้นไม่ได้ล้อเล่น

“เซี้ยวน่า…นายเขียนเองก็เล่นเองสิ ตัวสูงใหญ่อย่างนายเหมาะเป็นพระเอกกว่ากันอีก เผื่อจะดังแบบคุณส.ไง”

“คุณส.น่ะพระเอกละครเวทีเชียวนะ ถ้านายไม่อยากเปลืองฟิล์มกันจะเล่นให้ก็ได้เอ้า”

“ไม่เอาๆ เงินเก็บกันคงไม่พอ” ทั้งคู่หัวเราะให้กันอย่างขบขัน กลิ่นยืนฟังเข้าใจครึ่งไม่เข้าใจครึ่ง แต่ก็พลอยรู้สึกสนุกไปกับบทสนทนานั้นด้วย เธอฟังชายหนุ่มทั้งสองคุยวนไปวนมาจนกระทั่งฟ้าเริ่มมืด เด็กจุกจากเรือนใหญ่จึงเข้ามาเชิญทั้งคู่ไปร่วมรับประทานอาหารเย็นกับคุณหญิงลำเจียก

“คุณฟ้าอยู่รับประทานด้วยใช่ไหม”

“เปล่าเจ้าค่ะ เห็นว่าคุณหมอโอฬารจะไปสิงคโปร์ เมื่อกี้คุณหมอเลยส่งคนรถมารับคุณฟ้าไปแล้ว แต่คุณฟ้าบอกว่าพอคุณหมอกับคุณศจีไปแล้วจะขออนุญาตมาค้างกับคุณหญิงเจ้าค่ะ”

“มาค้าง…ฮือก็ดีเหมือนกันฉันจะได้มาที่เดียว ได้เจอทั้งคุณทัพได้เจอทั้งคุณฟ้า” จักรเปรยกับจุกแล้วชวนทัพเที่ยงลุกขึ้นเดินนำเด็กสาวไปรับประทานอาหารเย็นกับคุณหญิงป้าของเขา

ระหว่างทางจักรเล่าให้ทัพเที่ยงฟังว่า พ่อของเฟื่องฟ้านั้นเป็นลูกชายคนโตของคุณหญิงลำเจียก ท่านมารับราชการช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากที่ใครๆ ก็ว่าลูกชายคนโตของคุณหญิงลำเจียกนั้นจะต้องก้าวหน้าไม่แพ้ผู้เป็นบิดา ทำนองว่าจะได้เป็นพระยานาหมื่น แต่เมื่อยศตำแหน่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปไม่มีในวงราชการแล้ว กระนั้นคุณหมอโอฬารก็ยังจัดว่าเป็นอภิชาตบุตรอยู่นั่นเอง

“จากท่านเจ้าคุณที่ใครก็ว่าท่านจะต้องได้เป็น คุณพี่หมอก็เลยติดตำแหน่งท่านเศรษฐีแทน ท่านมีปางไม้อยู่ทางเหนือ นี่จะไปสิงคโปร์คงจะไปดูลู่ทาง เห็นว่าคุณพี่โอฬารคิดจะเปิดห้าง เอาของนอกมาขาย อายุคุณพี่ก็รุ่นราวคราวเดียวกับคุณแม่กันนี่แหละ แต่คล่องแคล่วไม่ยอมแก่”  จักรบรรยายสรรพคุณลูกพี่ลูกน้องผู้เป็นบิดาของเฟื่องฟ้าให้ทัพเที่ยงฟัง น้ำเสียงนั้นบ่งบอกว่าเขานับถือคุณหมอโอฬารผู้นี้อยู่มากทีเดียว

 

กลิ่นเดินตามมาส่งคนทั้งสามถึงหน้าเรือน เมื่อเห็นทั้งหมดลับหายไปบนทางเดินโรยกรวดเธอก็หมุนตัวลอยกลับเข้าบ้าน

นายแพทย์โอฬาร…แม้เจอเขาเพียงครั้งเดียวเธอก็จำเขาได้ดี ส่วนลูกสาวของเขานั้น เป็นเด็กผู้หญิงที่กลิ่นจะไม่มีวันลืม แน่ละ ต่อให้อยากลืมก็คงลืมไม่ได้อยู่นั่นเอง

จักรและทัพเที่ยงหายไปไม่นานก็กลับเข้ามานั่งที่โต๊ะตัวเดิมอีก คืนนี้พวกเขาคงสนทนาดึกดื่นอีกตามเคย กลิ่นเห็นจักรหัวเราะอารมณ์ดีหลายหน ส่วนทัพเที่ยงนั้นได้แต่ยิ้มน้อยๆ ตามเพื่อน อาการที่เขาผ่อนคลายที่สุดคือการยกขาขึ้นไขว่ห้างใช้นิ้วโป้งเขี่ยริมฝีปากบนยามใช้ความคิด ก่อนจะพูดบางอย่างที่ทำให้กลิ่นต้องตั้งใจฟัง

“ดูนายจะสนใจเรื่องลึกลับมากเลยนะ” ทัพเที่ยงตั้งข้อสังเกต

“ไม่รู้สิ อาจเพราะกันเป็นคนชอบตำนานก็เป็นได้ ก็คุณป้ากับแม่เย็นเลี้ยงมา” เขาพูดอย่างขบขัน “อย่างเรื่องพันท้ายนรสิงห์ของเสด็จพระองค์ชายใหญ่ กันดูก่อนไปเมืองนอกหลายรอบ ยังติดใจจนถึงเดี๋ยวนี้” จักรเคาะบุหรี่คาเมลออกจากซอง เขาส่งให้ทัพเที่ยงตัวหนึ่งแต่ชายหนุ่มปฏิเสธ

“นายสูบไม่เป็นรึ กันไม่เคยเห็นนายสูบ”

“สูบได้ แต่ไม่ชอบ”

“ทำไม”

“กันว่ากลิ่นมันติดเสื้อผ้า กันชอบกลิ่นดอกไม้มากกว่า” ทัพเที่ยงตอบเรียบๆ จักรพยักหน้า เปิดฝาไฟแช็กดัง ‘ป๊อง’ เปลวไฟสีเขียวเลียกระดาษและใบยาสูบเมืองฝรั่งจนเป็นสีแดงส้ม จักรดูดบุหรี่ลึกยาวก่อนจะปล่อยควันสีขาวออกมาทางจมูก ทัพเที่ยงมองกลุ่มควัน มือที่กำแก้วเครื่องดื่มของเขาคลึงแก้วไปมาช้าๆ ตาเชื่อมมองเลยออกไปในความมืด เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยกิริยาสบาย กลิ่นรู้สึกหวาดหวั่นจนต้องยกมือกุมหน้าอกตัวเอง

เมื่ออาทิตย์ลาดวงไปแล้ว สีหน้ากระด้างอย่างผู้ชายของเขาค่อยๆ ผ่อนคลายขึ้น และยิ่งอ่อนเชื่อมขึ้นเมื่อเหล้าฝรั่งบนโต๊ะพร่องไปถึงครึ่งขวด

“ชูชัย พระขรรค์ชัยดังเหลือเกินจากเรื่องนี้” ทัพเที่ยงรำลึก น้ำเสียงของเขาเหมือนล่องลอยอยู่ไกลแสนไกล

“ใครจะคิดว่านักมวยจะเป็นพระเอกดังได้” จักรเสริมก่อนหัวเราะลงลูกคอ “หรือว่าเราไปควานหาพระเอกที่เวทีราชดำเนินกันสักรอบดีไหมวะทัพ”

คราวนี้ทัพเที่ยงถูกใจ “แล้วแต่นายเลย” เขาพูดกลั้วหัวเราะพลางเหลือบตามาทางกลิ่น “ส่วนนางเอกนายชอบแบบสวยหวาน ผมดำเหมือนขนกาน้ำ ริมฝีปากบาง ตากลมโต ขนตายาวแต่ไม่งอน มีผิวน้ำผึ้งจางๆ บ้างไหม” ตาของเขาจับอยู่ที่ใบหน้าของกลิ่นขณะถาม แต่เมื่อกลิ่นขยับออกไปจากจุดเดิมตาเขากลับไม่ได้มองตาม

“นายหมายถึงนางเอกคนไหนฮึ กันนึกไม่ออก”

“กันไม่ได้หมายถึงดาราที่จะมาแสดง กันหมายถึงนางเอกในเรื่องที่กันจะเขียน”

“อ้อ…” จักรร้องรับ “สำหรับกันได้หมด ขอให้เป็นเรื่องผีโรแมนติกเท่านั้นเป็นพอ แต่นายก็ต้องเขียนให้มันประหยัดๆ ตามที่อาจารย์ส.แนะนำมาด้วยนะ” จักรว่า สิ้นคำนั้นทัพเที่ยงก็เด้งตัวผึงจากที่นั่ง ตาก็กวาดมองเรือนก้านมะลิเหมือนคิดอะไรได้

“ให้ตายเถอะ” ทัพเที่ยงร้อง “ทำไมกันถึงใกล้เกลือกินด่างแบบนี้”

“นายหมายถึงอะไร” จักรชันตัวขึ้นตาม

หนุ่มร่างสูงหันขวับมาทางคู่สนทนา ตาของเขาเปล่งประกายวาว

“จักร…กันรู้แล้วว่าจะประหยัดต้นทุนฉากจะได้เอาเงินไปลงทุนกับอย่างอื่นได้ด้วยวิธีไหน” ทัพเที่ยงว่า จักรจ้องมองตาโตด้วยอาการตื่นเต้นไม่แพ้กัน



Don`t copy text!