มหรสพเวรา บทที่ 27 : ร่างกายและวิญญาณ

มหรสพเวรา บทที่ 27 : ร่างกายและวิญญาณ

โดย : คีตาญชลี แสงสังข์

Loading

มหรสพเวรา โดย คีตาญชลี แสงสังข์ นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น 4 กับเรื่องราวที่จะพาคุณล่องลอยถอยสู่บรรยากาศบ้านเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ย้อนกลับไปเห็นตั้งแต่ของเล็กอย่างแก้วโอเลี้ยงไปจนถึงสิ่งยิ่งใหญ่อย่างโรงมหรสพสมัยใหม่ที่เรียกว่าโรงภาพยนตร์ ขอเชิญท่านพิศเพลินพร้อมกันทั้งประเทศ ณ บัดนี้

 

“ฟื้นแล้วครับหลวงลุง” จักรกระโดดจากเก้าอี้ลงมาเมื่อเฟื่องฟ้าค่อยๆ ขยับตัว ตอนนั้นยังไม่สว่างแต่อรุณรุ่งกำลังจะมาเยือนในอีกไม่ช้า

หลวงลุงลืมตาขึ้นมอง นาทีเดียวกันนั้นกลิ่นก็ปรากฏกายขึ้นข้างหน้าชายสูงวัย หล่อนก้มลงกราบเขาด้วยความซาบซึ้ง

หลวงลุงพยักหน้าให้ พูดมาคำหนึ่งว่า “ดีแล้ว”

จักรซึ่งทำอย่างไรก็ไม่ชินกับผี มองกลิ่นไปเขย่าตัวเฟื่องฟ้าไป แล้วเขาก็แทบจะหงายหลังเมื่อเฟื่องฟ้าเด้งตัวขึ้นนั่ง ก่อนจะผวาไปหากลิ่น เฟื่องฟ้ารวบมือของผีสาว พูดด้วยความอาลัยรัก

“แม่กลิ่นของพี่”

“คุณพี่จำทุกอย่างได้แล้วใช่ไหมเจ้าคะ”

“จำได้ พี่จำได้” เฟื่องฟ้ากำมือกลิ่นแน่น ตอนนี้นี่เองกลิ่นก็เบิกตากว้างและตระหนักว่าเธอสามารถพูดกับคนอื่นได้แล้ว

หญิงสาวหันมาทางหลวงลุง ชายชุดขาวพยักหน้าให้ด้วยความเมตตา ปากก็บอกว่า

“สัญญาเก่าท่านมี ท่านเลยจำตัวเองได้ ส่วนนั่น…” เขาบุ้ยใบ้ไปที่ทัพเที่ยง “ใจมันบอด มีแต่มิจฉาทิฐิ พวกเอ็งก็สงเคราะห์มันหน่อย” พูดแล้วหลวงลุงก็มองออกไปนอกประตู หมอกลอยตัวต่ำเห็นเป็นฝ้าขาว อากาศเย็นที่พัดเข้ามายะเยือกจนขนลุก

“ใกล้เช้าแล้ว คุยกันซะให้หายคิดถึง เมื่อแดดแรงแยงตา ทุกอย่างก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม”

กลิ่นพนมมือถาม “หมายถึงพวกคุณพี่จะกลับไปจำอะไรได้หรือเจ้าคะ”

“จำได้ซีวะ แต่ชีวิตนี้ก็เป็นของชาติภพนี้ เอ็งจะให้มันจำอย่างเอ็งคงไม่ได้ ข้าบอกได้เพียงเท่านี้ เอาคุณ…ปลุกไอ้ทัพให้นังหนูนี่ที”

ประโยคหลังหลวงลุงหันไปหาจักร ชายหนุ่มคลานเข้าไปหาทัพเที่ยง เขย่าปลุกเขาตามคำสั่งชายสูงวัย เพียงไม่นานทัพเที่ยงก็ขยับตัว เขาตื่นขึ้นมาด้วยอาการมึนงงอยู่ชั่วครู่ เมื่อตาแลเห็นทุกคนในห้องโดยเฉพาะกลิ่นและเฟื่องฟ้า ดวงตาของทัพเที่ยงก็ฉายแววว่าเขาจำเรื่องทุกอย่างได้หมดสิ้น

เขาลุกพรวด กระโดดไปหากลิ่น

“ฉันเห็นแล้วแม่กลิ่น ฉันรู้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น” พูดเสร็จทัพเที่ยงก็เอื้อมมือไปเขย่ามือเฟื่องฟ้า

“คุณเฟื่องฟ้าก็เห็นใช่ไหม คุณรู้ใช่ไหมครับว่าใครคือใครในเรื่องที่เราไปเห็น”

เฟื่องฟ้าพยักหน้า มองคิ้วที่ขมวดมุ่นมองทัพเที่ยงด้วยสายตาเวทนา

“พวกเราต่างมีกรรมร่วมกันมา ก่อนหน้านี้เวลาแม่กลิ่นจะเล่าเรื่องคืนนั้น” ทัพเที่ยงหมายถึงคืนไฟไหม้ “ตัวจะร้อนเป็นไฟ เพราะคำสาปแช่ง อ่า…ของคุณ” คำหลังเขาลดเสียงอย่างเกรงใจ “..คุณไม่อยากให้ตัวเองจำได้ ไม่อยากให้ใครจำได้ แต่ตอนนี้พวกเราทุกคนต่างก็จำเรื่องราวได้หมดแล้ว ทางที่จะช่วยกลิ่นได้คุณจะต้องเป็นคนจบเรื่องนั้นหมดด้วยตัวคุณเอง” น้ำเสียงทัพเที่ยงจริงจัง เฟื่องฟ้าส่ายหน้า น้ำตาของเธอไหลเป็นสาย หญิงสาวสะอื้นไม่หยุด

“ฉัน…ฉันทำไม่ได้”

“คุณทำได้”

“ฉันทำไม่ได้ คุณต่างหาก คุณทัพ คุณคือคนที่จะต้องจบเรื่องนี้ไม่ใช่ฉัน”

“ผมหรือ…” ทัพเที่ยงถาม สีหน้าคลางแคลงใจ ทั้งกลิ่นและเฟื่องฟ้าพยักหน้าตอบเขาเป็นทางเดียวกัน

“คุณได้ยินคำอธิษฐานสุดท้ายของแม่กลิ่นใช่ไหม –ขอให้ทุกคนได้กลับมาเข้าใจกันและกันอีกครั้ง” เฟื่องฟ้าบีบมือทัพเที่ยงแน่น ทัพเที่ยงนิ่งฟัง เขาเริ่มรู้สึกกลัว

“คุณทัพ…ฟังฉันนะ” เฟื่องฟ้ากลืนน้ำลาย “คุณไม่ใช่หลวงเลิศสลักกิจ แต่คือคุณเฟื่องกลับชาติมาเกิด”

“ฮะ…”

“แม่กลิ่นอยากจะให้ทุกคนกลับมาเข้าใจกัน ชาตินี้เราเลยเกิดมาสลับกัน เพื่อที่เราทุกคนจะได้รู้ได้เห็นในมุมของคนอื่นที่เราไม่เคยรู้ ทีนี้…คุณเข้าใจหัวใจของแม่กลิ่น เข้าใจหัวใจของหลวงเลิศหรือยัง”

“ม…ไม่ ไม่ใช่” ทัพเที่ยงส่ายหน้า เขาหันไปหาหลวงลุงหวังเป็นที่พึ่งสุดท้าย แล้วหลวงลุงก็ทำในสิ่งที่ทัพเที่ยงกลัว คือการพยักหน้ายืนยันในสิ่งที่เฟื่องฟ้าพูด

ทัพเที่ยงก็รู้สึกเหมือนโดยสารเรือมากลางลำน้ำ เรือเอียงวูบ เขาพยายามจะรักษาสมดุลของลำเรือเอาไว้ เรือโคลงเคลงอีกหลายระลอก แล้วในที่สุดเขาก็ทำไม่สำเร็จ ทัพเที่ยงร่วงลงไปในน้ำเชี่ยว เขาจมดิ่ง ดิ้นรนและรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะขาดใจตาย

 

ทัพเที่ยงตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าเขาวิ่งหนีออกจากบ้านในเช้าวันนั้นไปทำไม รู้แต่เพียงว่าตัวเองกลัว

ภาพในห้องไฟไหม้ห้องนั้น ความรู้สึกที่เขามีต่อคุณเฟื่อง แม่กลิ่น รวมทั้งหลวงเลิศและตัวเฟื่องฟ้ามันสับสนตีรวนกันในหัวใจของเขา บางทีเขาอาจกำลังจะเป็นบ้า และเพื่อหนีให้พ้นสภาพนั้นทัพเที่ยงก็เดินออกจากเรือนก้านมะลิมาเสียเฉยๆ เมื่อรู้ตัวอีกครั้งคลองเจดีย์บูชาก็มาอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว

ทัพเที่ยงลงเรือ เท้าของเขาปวดตุบเพราะการเดินไม่หยุด คอของเขาแห้งเหมือนผงเพราะไม่ได้แตะต้องน้ำ ส่วนกระเพาะของเขานั้นเหมือนหยุดทำงานแม้ไม่มีอาหารตกลงไปสักชิ้นเดียว

เขาไม่หิว และไม่รู้ตัวว่านั่งเหม่อไปจนเรือจอดยังท่าน้ำหน้าวัดที่เขาคุ้นเคย

อีกไม่นานก็จะค่ำ ตอนนี้พระกำลังทำวัตรเย็น ส่วนหลวงลุงนั้น ถ้ากลับมาแล้วก็คงจะทำกิจเดียวกับสงฆ์หากแต่จะอยู่ในห้องพระบนเรือนท้ายวัดของตัวเอง ไม่ไปปะปนกับผู้ใด

ทัพเที่ยงนั่งลงที่ศาลาท่าน้ำ ปล่อยอารมณ์ไหลเรื่อยไปกับกอสวะที่ลอยผ่าน เขาเห็นเรือแจวพายเอื่อย เป็นเงาดำเหนือเกล็ดระยิบระยับของลำแสงอยู่กลางลำคลอง จากนั้นดวงอาทิตย์ก็ลับโลก เหลือเพียงเศษแสงสีทองอาบทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่นอกเงาไม้ เพียงครู่หนึ่งแสงสีทองนั้นก็เลือนหายเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มของฟากฟ้าราตรี

เฟื่องฟ้าเล่าว่าหลังเหตุการณ์คืนนั้น หลวงเลิศออกบวชและตายลงในร่มกาสาวพัสตร์ แรกทีเดียวหลวงเลิศตั้งใจจะบวชเพียงหนึ่งพรรษา แต่แม่แย้มมารดาของเขาขอไว้อีกหนึ่งพรรษาทำนองว่าพรรษาแรกอุทิศบุญให้แม่เฟื่องพรรษาที่สองอุทิศบุญให้แม่กลิ่น แต่พอผ่านพรรษาที่สองก็เลยผ่านไปอีกหลายพรรษา จนกระทั่งอายุครบ 40 หลวงเลิศก็จากไปเพราะไข้ป่าหลังการออกธุดงค์ขึ้นไปถึงเมืองพิจิตร

หลวงเลิศมีโอกาสได้รู้สาเหตุแห่งทุกข์ และเรียนรู้ที่จะดับทุกข์ เฟื่องฟ้าในชาตินี้จึงเกิดมาด้วยจิตผ่องใส เมื่อได้กลับไปชาติภพเดิม เฟื่องฟ้าจึงจำตัวเองได้ในทันที

ส่วนเขา…ทัพเที่ยงกำมือแน่น ตายลงด้วยจิตอันเป็นอกุศล เขาทำครบทั้ง มโนกรรม กายกรรม วจีกรรม วิญญาณของเขามีแต่ความติดข้องหมองใจ จิตสุดท้ายก็ตั้งมั่นเอาไว้ว่าจะไม่มีทางให้อภัยใคร ดังนั้นไม่ว่ากลิ่นจะพยายามเท่าใด เขาจึงไม่อาจจะจดจำสิ่งใดได้เลย อย่างไรก็ตามสำหรับทัพเที่ยง เขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองคือคุณเฟื่อง ไม่ใช่แต่เพียงตอนนี้เขาเป็นผู้ชาย แม้แต่หลวงเลิศสลักกิจที่เขาเคยนึกว่าตัวเป็น เมื่อครั้งได้ไปเจอหลวงเลิศเขาก็รู้สึกไม่พอใจผู้ชายคนนั้น และไม่เคยรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับหลวงเลิศสลักกิจเลยสักครั้ง

แน่ละ…เพราะเขาไม่ใช่หลวงเลิศ แต่เป็นตัวคุณเฟื่อง เขากลับยิ่งรู้สึกไม่เป็นหนึ่งเดียวเสียยิ่งกว่า

ทัพเที่ยงรู้สึกว่างเปล่า แม้แต่ความมืดและยุงป่าปากหนักก็ไม่อาจจะทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งสะเทือนได้ อย่างไรก็ตามเขาลุกขึ้นอีกครั้ง เท้าก้าวไปบนพื้นอย่างคนเคยชินมากกว่าจะมาจากความตั้งใจ เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะเดินไปไหน แต่เมื่อเท้าหยุดก้าวก็พบว่าตัวเขามายืนอยู่หน้ากุฏิหลวงพ่อทอง พ่อแท้ๆ ของเขาเอง

“กลับมาที่นี่ก็ดีแล้ว” เสียงหลวงพ่อทักมาจากทางด้านหลัง ไม่มีอาการแปลกใจ เมื่อเข้าไปในกุฏิและกราบท่านแล้ว หลวงพ่อก็ขยับมานั่งใกล้เขา ผิวสีเข้มของท่านเหี่ยวไปตามวัย แต่ดวงตาของท่านไม่เคยเปลี่ยนไปจากที่เขาเห็นมาตั้งแต่เล็กเลย

ท่านยังไม่บรรลุ แม้จะยึดถือความดีในเพศบรรพชิต แต่หลวงพ่อทองก็ยังคงเป็นพ่อทองของเขาอยู่วันยังค่ำ

“อยู่ให้สบายใจสักสองสามวัน ทำใจได้แล้วค่อยกลับไปนะลูก”

“พ่อ” เขาพูดแค่นั้นหลวงพ่อก็พยักหน้า บอกว่าหลวงลุงเล่าเรื่องให้ฟังทั้งหมดแล้ว

“ผมไม่รู้จะทำยังไงดี จะคิดยังไงดี”

ทัพเที่ยงทอดตาเหม่อมองไปบนข้างฝา ซึ่งไม่มีอะไรนอกจากแผ่นกระดานตีเกล็ดซ้อนขึ้นไปอย่างธรรมดา เขาบอกหลวงพ่อว่า เขาไม่เข้าใจความคิดคุณเฟื่อง ไม่เข้าใจความโกรธ ความแปรปรวนที่หญิงผู้นั้นมี ถึงเขาจะนึกเห็นใจหล่อนอยู่บ้าง แต่เขาก็นึกไม่ออกว่าหล่อนแค้นชนิดไหนถึงทำร้ายคนอื่นและยอมตายด้วยวิธีนั้น

“ผมมองว่า เธอเป็นคนบ้าหนึ่งในแปดจำพวก มากไปด้วยวิหิงสา มากไปด้วยการเบียดเบียน” ทัพเที่ยงก้มลงมองนิ้วมือตัวเอง

“โกธุมฺมตฺตโก (1) ” หลวงพ่อขยายความความคิดทัพเที่ยงเป็นภาษาพระ

“ใช่ครับ เธอเป็นคนบ้าจำพวก ‘บ้าโกรธ’ พอเธอโกรธแล้วก็มุ่งหวังจะทำลายล้างคนอื่น อยากจะให้คนอื่นพินาศ อยากให้คนอื่นได้รับทุกข์ ผมนึกไม่ออกจริงๆ ว่าตัวเองจะคิดแบบนั้นไปได้ยังไง”

หลวงพ่อลูบหัวเขา

“แล้วจะคิดให้ออกทำไมล่ะลูกเอ๋ย ทุกข์มันเกิดที่ไหนเอ็งก็แค่ดับที่นั่น เอ็งจะไปยึดไปถือว่าคนชาติที่แล้วเป็นเอ็งมันก็ไม่ถูก ชีวิตประกอบด้วยขันธ์ห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่เหลือมาถึงชาตินี้ของเอ็งคือวิบากกรรมที่ทำมา ส่วนอย่างอื่นมันดับมันสูญไปหมดแล้ว มันไม่ใช่ตัวเอ็งแล้ว”

“วิญญาณมันดับได้สูญได้จริงๆ หรือครับ” ทัพเที่ยงยังสงสัย หลวงพ่อถอนหายใจ

“วิญญาณในขันธ์ห้า มันไม่ใช่วิญญาณอย่างที่เอ็งเข้าใจดอก แต่พ่อก็ไม่รู้จะบอกให้เอ็งเข้าใจยังไงได้ เอ็งก็รู้ พ่อน่ะอาศัยผ้าเหลืองหาความสงบ ยังห่างไกลคำว่าบรรลุธรรมอีกมาก พ่อแค่จำใส่ใจว่าทำดีได้ดี ทำดีแล้วใจมันสบายดีก็ดำเนินชีวิตไปตามนั้น ส่วนเอ็ง ตอนนี้ต้องรู้ว่าทุกข์ของเอ็งอยู่ที่ไหน ก็แก้มันที่นั่น”

ทัพเที่ยงนิ่งคิด เขาเลื่อนดวงตาว่างเปล่าเหม่อมองหลวงพ่อ

“ผมยังไม่รู้เลยครับ” เสียงเขาเหมือนจะร้องไห้ “ผมไม่รู้ว่าควรจะคิดยังไงกับเรื่องนี้ด้วยซ้ำ ผมพยายามจะเข้าใจคุณเฟื่องแต่ก็ไม่เข้าใจ เวลาผมมองกลิ่นแล้วผม…ผม ไม่ ได้ เกลียด” ทัพเที่ยงพยายามทบทวนความรู้สึกตัวเอง

“ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่าผมใจดำกับคุณเฟื่องเกินไปหรือเปล่า ผู้หญิงคนนั้นยอมตาย เธอคงจะเจ็บปวดหัวใจมาก แต่ทำไมผมกลับมองเธอเป็นคนบ้าจำพวกหนึ่ง”

หลวงพ่อถอนหายใจยาว

“ทัพเอ๊ย…เป็นใครเจออย่างเอ็งก็คงจะเป็นแบบนี้ด้วยกันทั้งนั้น แต่ถึงยังไงพ่อก็ขอยืนยันกับเอ็งว่าบุญกรรมที่มันหนุนเนื่องกันเป็นวิบากมันมีอยู่จริง แล้วถ้าพ่อจะบอกเอ็งว่าตัวตนแต่ละภพชาติมันจบสิ้นไปไม่เกี่ยวข้องกันก็เป็นจริง เอ็งจะว่ายังไง”

ทัพเที่ยงนิ่งฟัง หลวงพ่อมองเขาอย่างเห็นใจ “เอ็งสับสนไม่เข้าใจก็ถือเป็นธรรมดา ตอนนี้เอ็งต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าเอ็งทุกข์เรื่องอะไร แล้วค่อยๆ แก้ไปทีละเปลาะนะลูก”

ทัพเที่ยงนิ่ง เขาถามตัวเองตามคำหลวงพ่ออีกครั้ง แล้วทัพเที่ยงก็หวาดหวั่นในหัวใจเมื่อคำตอบนั้นคือ การอโหสิกรรมให้กับแม่กลิ่น

 

เชิงอรรถ : 

(1) โกธุมฺมตฺตโก อ่านว่า โก-ทุม-มัด-ตะ-โก หรือ ความบ้าโกรธ



Don`t copy text!