ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 12 : เขนน้อย (2)

ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 12 : เขนน้อย (2)

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

ผมชื่อรัญชน์

พูดออกไปแล้วก็ใจหาย ความหวังริบหรี่ว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงฝันพลันดับมอดลง มิหนำซ้ำตอนนี้เขายังต้องอธิบายให้ชายแปลกหน้าทั้งสองคนฟังว่าตนเองเป็นใคร…มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

แล้ว ‘รัญชน์’ ที่เขาจะเล่าให้ ใครนะ…เจ้าชายกัษษกรกับฤๅษีไม่ทราบชื่อนี้จะเป็นคนแบบไหนกัน

แล้วพูดไปสองคนนี้จะเข้าใจหรือเปล่า

“อายุสามสิบแปด…” ไม่แน่ใจว่าข้อมูลนี้จำเป็นหรือไม่ “อย่างที่บอกไป เกิดลำพูน แต่ทำงานกรุงเทพมาสิบกว่าปีแล้ว ไม่รู้สมัยนี้กรุงเทพเป็นอาณาจักรอะไร อยู่ๆ ไปอาจจะได้คำตอบก็ได้”

“สามสิบแปด! แต่ยังดูราวมีพระชันษาเท่าฝ่าบาท” ชายที่อ้างตนเป็นฤๅษีอุทาน “แล้วลูกเมียเล่า”

รัญชน์สะอึก

“ไม่มี”

“ได้อย่างไรกัน อายุปูนนี้ รูปงามเพียงนี้ อย่ามาปดเสียให้ยาก”

“ผมคงไม่มีดวงเรื่องความรัก” ชายหนุ่มแค่นเสียง “ถึงได้ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

“อย่ามัวอมพะนำ เล่ามาเสียให้สิ้นความ” บุรุษที่อ้างตนเป็นเจ้าชายตรัสเสียงขึ้นจมูก ท่าทางไว้ตัว

“ผมเจอผู้หญิงเท…เอ้อ…ทิ้งบ่อยจนไม่อยากมีความรักอีก พอวันหนึ่งเปิดใจ คบกันมีความสุขมาก ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีจนจะแต่งงานกันอยู่แล้ว อยู่ดีๆ แยมก็ขอเลิกกับผมเฉยเลย”

ชายแปลกหน้าทั้งสองหันไปมองหน้ากัน สีหน้าเหมือนหารือกันโดยไม่เปิดปาก

“ขอเลิก…ก็เหมือนถอนหมั้นน่ะ ล้มเลิกการแต่งงาน”

“เหลวไหล สตรีจักเป็นฝ่ายทอดทิ้งบุรุษให้ตนเองอับอายขายหน้าได้อย่างไร ทำราวกับเป็นนางพญาเมืองผู้มีอำนาจสิทธิ์ขาดกระนั้น แม้นางกษัตรีย์ยังมิอาจหาญทำเช่นนั้นเลย” ผู้มีนามกัษษกรแย้ง

“ในโลกที่ผมจากมา…ถ้าเข้าใจไม่ผิด น่าจะพันปีข้างหน้านี้ ผู้หญิงผู้ชายมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน” ชายหนุ่มชั่งใจว่าจะอธิบายเรื่องทั้งหมดให้คนโลกยุคโบราณเข้าใจโดยไม่ถูกหาว่าเป็นคนวิปลาสได้อย่างไร

“ผมเบื่อชีวิตวุ่นวายในเมืองหลวง ตั้งใจจะย้ายกลับไปอยู่ลำพูน มีอะไรให้ทำเยอะแยะเลย คิดว่าคงไม่เงียบเหงาแน่ๆ พาแยมไปหลายครั้งก็ไม่เห็นเค้าว่าอะไร ก็เลยคิดว่าคงไม่มีปัญหาถ้าจะมาใช้ชีวิตด้วยกันที่นั่น”

แม้เจ้าชายกับฤๅษีจะดูงุนงงมากกว่าสงสัย แต่รัญชน์กลับรู้สึกดีขึ้นอย่างประหลาด เพราะการได้พูดระบายเรื่องส่วนตัวให้คนไม่รู้จักฟังก็ช่วยบรรเทาความอัดอั้นในใจได้ดี

“ลำพูนเป็นเมืองเล็กๆ ครับ” รัญชน์คิดว่าตนควรอธิบายเพิ่ม “เทียบกับเมืองหลวงแล้วคนละเรื่อง แต่ผมคิดว่าถ้าต่อไปมีลูก อยู่ลำพูนก็สะดวกกว่า ผมไม่อยากให้ลูกโตมาในบรรยากาศแก่งแย่งแข่งขันสูง”

เจ้าชายที่หน้าเหมือนเขาจ้องมองมาสายตาคมกริบ

“พ่อแม่ก็อยากให้ผมกลับมาอยู่บ้าน บ้านผมทำสวนลำไยกับทำโฮมสเตย์…หมายถึงโรงพักแรมน่ะครับ เพราะเดี๋ยวนี้ชุมชนเราเจริญขึ้นมากตั้งแต่ขุดเจอเครื่องปั้นดินเผาโบราณ กลายเป็นแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม นักท่องเที่ยวก็หลั่งไหลเข้ามาเยอะ พ่อกับแม่ก็เลยทำโฮมสเตย์ขึ้นมารองรับ” ยิ่งพูด ชายแปลกหน้าที่เหมือนหลุดมาจากหนังจักรๆ วงศ์ๆ ก็ยิ่งขมวดคิ้วยุ่งขึ้นเรื่อยๆ ทว่ารัญชน์เลิกสนใจเสียแล้ว ยังสาธยายเรื่องราวและให้ข้อมูลในสิ่งที่ทำให้ดูเหมือนคนเสียสติมากขึ้น แต่กลับทำให้เขารู้สึกได้ปลดปล่อยตัวเองจากความอัดอั้นที่ไม่ได้พูดกับใครมานับสิบวัน

วูบนั้นชายหนุ่มนึกถึงคำพูดของคนรัก

‘พี่รัญชน์ไม่เคยฟังใครเลย พูดแต่เรื่องของตัวเอง เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง’

หัวใจพลันเจ็บแปลบ…เหตุใดหล่อนไม่เคยพูด ไม่เคยท้วงเลย เขาจะได้ปรับปรุงตัว มิต้องรอให้หล่อนเก็บสะสมจนมาระเบิดในวันที่คิดจะร่วมชีวิตกัน

“เป็นอันใดไปฤๅ จู่ๆ ก็หยุดเล่า” เจ้าชายท้วง ดวงเนตรยังจ้องเขม็ง

“ท่านอยากรู้เรื่องอะไรอีกล่ะครับ”

“ทุกเรื่อง โดยเฉพาะเหตุใดจึงปรากฏตัวที่แห่งนี้ เจ้าว่าอย่างไรนะ ข้ามเวลากลับอดีตมาเช่นนั้นฤๅ ช่างพิสดารนัก”

“จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่อยากเชื่อ” รัญชน์ว่า “จะเริ่มยังไงดี คือ บรรพบุรุษครอบครัวผมสืบเชื้อสายเจ้านครลำพูน ถึงจะเป็นเจ้าปลายแถวก็เถอะ คุณเทียดเองเคยเป็นมหาดเล็กรับใช้เจ้าหลวงองค์สุดท้ายด้วยครับ เรามีของเก่าเก็บรักษาไว้มากมาย”

“ลำพูน…เขาพูดนามเมืองนี้หลายหนนัก” เจ้าชายกัษษกรหันไปพึมพำกับฤๅษี “ชะรอยดวงจิตเขนน้อยคงไปท่องในแดนมายามาแน่แท้เจ้าข้า มิเช่นนั้นจักเป็นตุเป็นตะเช่นนี้ได้อย่างไร”

“ท่านไม่รู้จักลำพูน” รัญชน์ถอนหายใจ “งั้นผมยิ่งเดาไม่ถูกว่านี่คือยุคไหน”

เขากำลังจะเล่าต่อ ก็พลันนึกถึงคนรักขึ้นมาอีก เมื่อครั้งที่พาหล่อนมาชมเรือนคุณเทียด

‘เรือนของคุณเทียดยังมีข้าวของเครื่องใช้สมัยนั้นอยู่ค่อนข้างครบสมบูรณ์ พวกเราก็เลยทำเป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์ย่อมๆ ให้คนมาเยี่ยมชมได้’ เขาอธิบายให้แฟนสาวฟังด้วยความภาคภูมิใจ ‘รู้ไหมพี่ได้แรงบันดาลใจจากไหน’

‘เรือนพระยารัษฎานุประดิษฐ์ ที่ตรังใช่ไหมล่ะคะ เราเคยไปด้วยกันไงคะ’ ญาดาตอบเนือยๆ แต่เขาไม่ทันสังเกต ‘ท่านเป็นเจ้าเมืองที่เก่งมากทีเดียว ลูกหลานเลยเก็บรักษาเรือนท่านไว้เป็นอนุสรณ์และให้คนมาเยี่ยมชม…พี่รัญชน์พูดเป็นร้อยรอบแล้ว’

ชายหนุ่มส่ายหน้า พยายามไล่ความทรงจำเกี่ยวกับหล่อนออกไป เล่าให้บุรุษต่างมิติฟังต่อว่า

“แต่ก็มีของบางอย่างที่เราเอามาแสดงให้คนชมไม่ได้ อย่างเช่น…เครื่องดินเผาบางชิ้น” เขาก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าเหตุใดจึงต้องเปิดเผยเรื่องที่น่าจะเป็นความลับของวงศ์ตระกูลออกไป

“อย่างที่ผมบอกไปตอนต้นว่าชุมชนบ้านเกิดของผมขุดค้นเจอเครื่องดินเผาโบราณจนกลายเป็นพื้นที่อนุรักษ์ไป แต่ที่จริงแล้ว ในบริเวณบ้านเราเองก็ขุดเจออีกหลายชิ้นที่น่าจะเก่าแก่พอๆ กันหรือยิ่งกว่าเสียอีก… สีสัน รูปร่างก็สวยงามแตกต่างจากชิ้นอื่นๆ ที่พวกเขาขุดพบกัน”

คงเพราะรู้ดีว่าเผยความลับต่อคนแปลกหน้าในมิติอื่นนั้นปลอดภัย

“พวกเราตัดสินใจแอบเก็บไว้เอง เพราะยังไงก็อยู่ในที่พวกเรา เอาละ พวกท่านคงสงสัยว่าแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่ผมมาอยู่ตรงนี้ได้…” รัญชน์เม้มปาก ครุ่นคิดอยู่อึดใจ “เอาเป็นว่าวันนั้นผมพาแยมมาเยี่ยมบ้านที่ลำพูนตามปกติ แต่ตั้งใจทำให้เธอประหลาดใจ แต่ผมเป็นฝ่ายต้องประหลาดใจเอง เพราะพอแยมรู้ว่าผมลาออกจากงานที่กรุงเทพแล้วและยื่นลาออกให้เธอด้วย เธอก็โกรธมาก หาว่าผมล้ำเส้น เราแค่ตกลงแต่งงานแต่ยังไม่ได้แต่งงานกันสักหน่อย ผมไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจแทนเธอโดยพลการแบบนั้น แล้วแยมก็บอกเลิกผมกลางโต๊ะอาหารดื้อๆ”

เจ้าชายกับฤๅษียังมีสีหน้าหนักใจและครุ่นคิด… ระคนสิ้นหวังหน่อยๆ แววตาที่มองสบกัน สื่อความออกมาได้ว่า…ไม่เข้าใจที่รัญชน์พูดสักนิด

“แล้วสักแป๊บก็มีคนมารับแยม… เป็นเพื่อนผู้หญิง ผมเคยเจอมาก่อนด้วย ที่ร้ายที่สุดคืออะไรรู้ไหมครับ แยมบอกว่าแยมไม่ได้รักผมแล้ว ผมมันเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง ไม่เคยฟัง ไม่เคยสนใจว่าเธอรู้สึกหรือต้องการอะไร แล้วไอ้พี่ณัฐนรีคนนั้นนี่ละที่เติมเต็มสิ่งนั้นให้เธอได้…เธอเพิ่งเข้าใจว่าตัวเองชอบผู้หญิง สุดท้ายจนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าสรุปแล้วเป็นเพราะผมไม่ดีจนเธอไม่รัก หรือเพราะเธอชอบผู้หญิงกันแน่… แล้วพวกเขาก็พากันขึ้นรถออกจากบ้านผมไปง่ายๆ อย่างนั้นเอง”

น้ำเสียงเขายังขมขื่นเมื่อนึกถึง เพราะหล่อนยังพูดทิ้งท้ายอีกว่า

‘จะให้แยมมาอยู่บ้านนอกเฝ้าของเก่าก็ไม่เคยคิดจะถามแยมสักคำ เชิญพี่รัญชน์กอดของเก่าสับปะรังเคนั้นไปคนเดียวเถอะค่ะ ขอบอกให้รู้เลยว่าแยมไม่เคยสนใจหม้อไหคนโทอะไรที่พี่ภาคภูมิใจนั่นเลย’

น้ำเสียงเจ้าชายสิ้นหวัง

“เขนน้อย…เจ้าวิปลาสไปแล้วจริงๆ”

รัญชน์ส่ายหน้า ยังคงเล่าต่อเหมือนติดลม

“นั่นละ ผมก็เลยเสียใจมาก เหมือนถูกฟ้าผ่า ทุกอย่างซ้ำรอยเดิมกับที่เคยเกิดขึ้น ทุกครั้งที่ผมกำลังจะแต่งงานก็มักลงเอยแบบนี้…ตอนนั้น…คิดอะไรไม่ออกก็เลยดื่มประชดชีวิตเสียเลย”

ชายหนุ่มนิ่งไปเมื่อระลึกถึงเรื่องนี้ คืนนั้นเขาคงเมามาก ในหัวคิดแต่คำพูดสุดท้ายของแยมเรื่อง ‘ของเก่าสับปะรังเค’ และ ‘หม้อไหอะไรที่พี่ภาคภูมิใจ’

“ไหนๆ แยมก็เหยียดหยามกันมาถึงขั้นนี้แล้ว ผมก็เลยหยิบคนโทดินเผาที่บ้านผมแอบเก็บไว้ออกมาจากตู้ในห้องแล้วกรอกเหล้าลงไป ถ้าจำไม่ผิด ได้ยินว่าคืนนั้นมีพระจันทร์เต็มดวงสีเลือดแต่ก็ไม่ได้สนใจ นั่งดื่มเหล้าอยู่ชานบ้านคนเดียว พ่อแม่ น้องสาว คนงานไม่มีใครกล้ายุ่งด้วยเลย”

จากนั้นเขาก็คลับคล้ายคลับคลาว่าตนเองลุกเดินลงจากเรือนไปเพียงลำพัง มือยังถือคนโท กรอกเหล้าเข้าปากเป็นระยะ พร้อมกับกล่าวซ้ำไปซ้ำมาเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง ‘แยม…ทำไมทำกับพี่แบบนี้’

พร้อมกับความคิดสุดท้ายแวบหนึ่ง…

เจ็บปวดจนเกินจะทนไหว…เจ็บจนไม่อยากมีชีวิตอยู่

แล้วเขาก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย กระทั่งตื่นขึ้นมาอยู่กลางความเวิ้งว้างบนแผ่นดินปนทราย



Don`t copy text!