ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 13 : ผู้ชนะศึกกลับบ้าน (1)

ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 13 : ผู้ชนะศึกกลับบ้าน (1)

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

ฟ้ายังมิสางดี ขบวนเกียรติยศของเจ้าอุปราชรามราชหรือที่เขารู้จักในนามกัษษกร กับเจ้าหญิงชวาลาก็เริ่มมุ่งหน้าสู่นครละโว้…นครที่รัญชน์มั่นใจว่าคือเมืองลพบุรีในกาลข้างหน้า เขาพยายามสังเกต ปะติดปะต่อยุคสมัยอยู่พักใหญ่ ครั้นพอเอ่ยชื่ออาณาจักรสุโขทัยหรืออยุธยาไปก็ไม่มีใครรู้จัก จึงค่อนข้างแน่ใจว่าถ้าไม่หลงไปยังมิติคู่ขนาน ก็คงต้องย้อนเวลากลับมาในยุคเก่าแก่กว่าสุโขทัยมาก

และแม้จะยังไม่เชื่อใจเขาสักเท่าไร หากเจ้าชายกับฤๅษีก็ตัดสินใจพาเขาร่วมขบวนกลับไปด้วย ยังคงคลางแคลงว่าเขาคือเขนน้อยผู้วิปลาสฟั่นเฟือนไปจริงๆ หรือเสแสร้งแกล้งทำเพื่อตบตาเท่านั้น

ดูทีรัตตกรหรือเขนน้อยคงแผลงฤทธิ์ก่อเรื่องก่อราวไว้หนักหนาสาหัสทีเดียว

“เจ้าจักอำพรางใบหน้าด้วยวิธีคลุมผ้าดังเดิมมิได้อีกแล้ว คงต้องใช้ยางไม้เคี่ยวทาไว้ครึ่งหน้าให้เหมือนเป็นปานตั้งแต่กำเนิด หนวดเคราก็มิต้องโกน ปล่อยให้รกครึ้มเช่นนี้แล เท่านี้ก็ไม่มีผู้ใดมองว่าเหมือนข้าแล้ว”

“อ๋อ…เป็นปานก็ดี แต่คงมีทั้งคนกลัวและรังเกียจไม่อยากเข้าใกล้ หรือไม่ก็ยิ่งเป็นจุดสนใจ” เขาลองวิเคราะห์แล้วก็บ่นพึมพำกับตัวเอง “นึกถึงเปาบุ้นจิ้นเลย จริงๆ ท่านไม่ได้หน้าดำทั้งหน้าตามเรื่องเล่า แต่เป็นปานดำครึ่งหน้าแบบนี้ละ เอ ยุคนี้น่าจะเก่าแก่ร่วมสมัยท่านเปาได้ไหมนะ”

“เจ้าจงสงวนถ้อยคำไว้ให้มาก อย่าเอ่ยพล่ามเรื่องเพี้ยนพิสดารพวกนี้ออกมาพร่ำเพรื่อ อย่าสักว่ามีแต่ปากเอาไว้พูดอย่างเดียว หากต้องการพูด จงคิดพูดให้ข้ากับพระอาจารย์เข้าใจจักดีกว่า หาไม่แล้วปากเจ้านั้นแลที่จักพาจน ถึงเพลานั้นข้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้”

รัญชน์สะอึก…คนโบราณเขาด่าได้เจ็บแสบเสียจริง

“เราต้องอ้างว่าชายผู้นี้เป็นข้ารับใช้จากเมืองราม ขอติดตามกลับละโว้มาด้วย” เจ้าชายหันไปตรัสกับพระฤๅษีผู้ที่ยามนี้รัญชน์ท่องชื่ออันยากเย็นยาวเหยียดได้แล้วว่าสุกกทันตะ

“เหตุที่ไม่คลุมปิดหน้าเจ้าเพราะเหตุใดรู้หรือไม่” ฤๅษีชราถามเขาอย่างปรานี แล้วก็ตอบเอง “เพราะเจ้าชายรัตตกรเคยอำพรางตนด้วยวิธีนั้น ทำให้กลายเป็นใครต่อใครก็ได้ตามใจชอบ รวมถึงรัตติฤๅษีที่อยู่เบื้องหลังการก่อกบฏ ชักศึกเข้าบ้าน เจ้ามีหน้าตาเหมือนชายผู้นั้น หากยังใช้วิธีเดิม ทันทีที่เหยียบแผ่นดินละโว้ก็คงรักษาชีวิตไว้มิได้”

ชายหนุ่มเริ่มเก็บมาคิดแทนการโพล่งถามไปตามอารมณ์ดังเคย…พวกเขาเล่าแต่เพียงประวัติเบื้องต้นเท่าที่จำเป็น เป็นต้นว่านครละโว้ปกครองด้วยราชันจักวัติวิราช ส่วนพระองค์เป็นราชบุตรที่ได้ครองตำแหน่งอุปราชรามราช ไปครองรามนคร และจะได้สืบบัลลังก์เป็นกษัตริย์ละโว้ต่อไปภายหน้า ทรงมีพระชายาผู้เลอโฉมและเก่งกาจ เป็นเอกธิดาของพระเจ้าจักวัติ มีพระนามว่าเจ้าหญิงชวาลา บัดนี้พวกเขาเพิ่งเสร็จการศึกกับพวกไตมาว นครรัฐขนาดใหญ่ทางตะวันตกเฉียงเหนือที่ฟังแล้วชวนให้นึกถึงพวกไทใหญ่ แต่ความรู้ประวัติศาสตร์ที่มีก็ไม่แข็งแรงพอจะฟันธงได้

และประการสำคัญก็คือ…เจ้าหญิงพระชายาผู้นี้เองที่นำทัพต่อสู้กับรี้พลมหาศาลอย่างกล้าหาญ

พวกเขามิได้ขยายความว่าเขนน้อยผู้มีหน้าตาเหมือนเจ้าชายอุปราชนี้เป็นใคร เหตุใดจึงมิได้เป็นเจ้าชายเหมือนกัน และเป็นมาอย่างไรจึงต้องปิดบังหน้าตาแล้วดำรงชีวิตในฐานะรัตติฤๅษี ที่ให้ฟังอย่างไรก็เป็นที่ปรึกษาให้กบฏ นับเป็นบุคคลอันตราย

พวกเขาก็คงยังไม่ไว้ใจรัญชน์นั่นเอง…

“ข้าต้องเอาเจ้าไว้รับใช้ให้อยู่ในสายตา แต่จะให้ใกล้ชิดเกินไปก็มิได้ องค์หญิงชวาลาจักสงสัยเอาได้ ชายาแห่งข้าเป็นสตรีฉลาดเฉลียว หากได้เห็นเจ้าบ่อยครั้งเข้าย่อมมิอาจซ่อนพิรุธไว้ได้เป็นแน่” ยังคงทอดพระเนตรมองเขาเขม็งอย่างไม่วางใจ “แต่ถึงอย่างไรก็ต้องเตรียมเจ้าให้พร้อมเสียก่อน จัได้มิแสดงพิรุธเป็นเป้าให้คนสงสัย…เจ้าจงพูดให้น้อยเข้าไว้ แลหัดพูดจาให้กลมกลืนกับชาวเราเสียเถิด วาจาของเจ้าฟังพิสดารยิ่งนัก คล้ายจะฟังเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ”

“ผม…ข้าก็เห็นประหลาดเช่นกันที่ตนเองฟังพวกท่านพูดเข้าใจได้เป็นอย่างดี ทั้งที่จริงแล้วข้าไม่ควรฟังออกเลย อาจจะเพราะ… ” รัญชน์เริ่มตรึกตรองตาม แล้วก็ส่ายหน้าอย่างไม่มั่นใจนัก

“ก่อนที่ข้าจะฟื้นขึ้นมาในโลกยุคนี้ ข้ารู้สึกเหมือนกำลังฝันไป รู้สึกเหมือนเดินอยู่ในดินแดนแห่งปุยเมฆขาว แล้วก็ได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่งร้องเรียก แต่ข้ามองเห็นเขาไม่ถนัด มีควันขาวๆ เงินๆ คลุมล้อมเขาไว้เหมือนกรง เขาพูดอะไรกับข้าตั้งมากมาย แต่พอตื่นมาก็กลับจำไม่ได้” ชายหนุ่มพยายามเรียบเรียงด้วยภาษาที่กลมกลืนกับคนตรงหน้ามากที่สุด “จากนั้นทุกคืนที่เข้านอน ก็จะฝันแบบนี้ซ้ำๆ ชายผู้นั้นพยายามเล่า พยายามสอนอะไรหลายๆ อย่าง แต่ตื่นมาข้าก็แค่คลับคล้ายคลับคลาแต่ก็จำไม่ได้ เป็นเช่นนี้เรื่อยมา…ถึงอย่างนั้นข้าก็สังเกตว่า ตัวเองสามารถพูดและฟังภาษาคนที่นี่เข้าใจได้ บางที…เขาอาจจะสอนข้าในฝันงั้นหรือ และเป็นไปได้หรือไม่ว่าชายผู้นี้ คือเขนน้อยของพวกท่าน”

“ข้าจะยังมิเชื่อว่าเจ้ามิใช่เขนน้อย จนกว่าจะพิสูจน์ให้เห็นกับตาเสียก่อน” เจ้าชายกัษษกรเชิดนาสิกขึ้นอย่างถือองค์ “แลหากเจ้าต้องการพิสูจน์ตัวว่ามิใช่เขนน้อยลวงเล่ห์เพทุบาย ก็จำเป็นต้องช่วยพวกเราตามหาความจริงให้ได้เสียก่อนเป็นประการแรก”

“ข้าต้องทำอย่างไร”

“จงเปิดปากนักโทษหญิงผู้หนึ่งให้ได้ ให้รู้ความว่านางทำงานให้ฝ่ายใดในราชสำนัก”

“ข้าน่ะหรือจะเปิดปากนักโทษได้ ข้ารู้เรื่องรู้ราวเสียที่ไหนกัน ประเดี๋ยวความก็แตกพอดี”

ชายหนุ่มได้รับข้อมูลเพิ่มเติมว่านักโทษหญิงผู้นี้ปลอมตัวเป็นนางกำนัลห้องสรงของพระนางชวาลาในค่ายประทับ โดยมีเป้าหมายที่สร้อยพระศอเครื่องรางของพระนาง เนื่องด้วยมีหลายฝ่ายในราชสำนักที่คิดกำจัดพระชายาของพระองค์ โทษฐานที่เป็น ‘คนนอก’ ที่ฉายแสงโดดเด่น มีอำนาจบารมีมากเกินไป

“คงมิยากนัก หากนางผู้นั้นเข้าใจว่าเจ้าเป็นพวกเดียวกัน” เจ้าชายกัษษกรทรงทิ้งท้ายไว้เช่นนั้น ก่อนจะกำชับ “เอาละ ใกล้เข้าเขตละโว้เต็มที เข้าวังเมื่อไรข้าจึงค่อยคิดว่าจักทำเช่นไรกับเจ้าต่อ บัดนี้เจ้าจงสำรวมแลระมัดระวังตนให้ดี อ้อ…แล้วอย่าหาเรื่องเข้าใกล้ชวาลาเป็นอันขาด”

หวงเมียเสียจริง…ชายหนุ่มนึกขำขันในใจ…หรือว่ากลัวเมียกันนะ ลองเมียเป็นจอมทัพนำสงครามเองได้แล้วก็คงน่าเกรงขามอยู่มิน้อย

รัญชน์ที่พอขี่ม้าเป็นอยู่บ้างจึงร่วมเดินทางในฐานะผู้ดูแลม้าชาวรามนคร เป็นจุดสนใจของคนในขบวนอยู่พักใหญ่ด้วยมีปานสีน้ำตาลแก่กว่าครึ่งหน้า หากเขาก็อาศัยความพูดน้อยสำรวมแต่เป็นมิตร ทำให้ไม่มีผู้ใดเพ่งเล็งสงสัยมากนัก

ฟ้าเริ่มครึ้มลงขณะที่ขบวนเกียรติยศกำลังจะข้ามภูเขาอุรคา ก่อนพระพิรุณจะโปรยปรายลงมา ตามด้วยเสียงลมหวีดหวิวกระโชกแรงและพายุฝนกระหน่ำลงมาโดยมิทันได้ตั้งตัว ทั้งขบวนจึงจำต้องพักหลบฝนเสียก่อน คมิกให้รัญชน์หลบอยู่ในเพิงม้ากับเหล่าอัศวบาลเพื่อคอยซักซ้อมบทบาทใหม่ให้แม่นยำ ทั้งในฐานะหนุ่มเลี้ยงม้าจากเมืองราม และนักโทษจำแลงผู้จะเข้าไปล้วงความลับประหนึ่งจารชน

ทว่า ชายหนุ่มกลับอยู่ไม่สุขเสียเอง



Don`t copy text!