ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 13 : ผู้ชนะศึกกลับบ้าน (3)

ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 13 : ผู้ชนะศึกกลับบ้าน (3)

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

ขบวนผ่านเข้าประตูราชธานีมาอย่างยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ ขณะนั้นเอง ด้วยความหูตาว่องไวเป็นนิจ จากหางพระเนตร ทรงเห็นพระภัสดารับแผ่นบางๆ คล้ายเยื่อไม้แห้งจากชายผู้หนึ่งที่แทบจะเอาซุกไว้ในพระหัตถ์อย่างแนบเนียนแล้วก็รีบผลุบไปหลังแถว ทรงนึกสะดุดพระเนตรปานสีน้ำตาลครึ่งหน้า คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นอัศวบาลชาวรามนครในเจ้าอุปราช…แต่เหตุใดคนเลี้ยงม้าจึงกล้าเข้าประชิดพระองค์เพื่อแอบส่งสารได้ อ่านจากริมพระโอษฐ์ขมุบขมิบของพระสวามี ได้ความเพียงว่า

‘ได้ความแล้วว่านางนักโทษรับใช้ผู้ใด’

ทว่ายังมิทันคิดอ่านประการใด พระดำริก็ถูกกลบด้วยเสียงแซ่ซ้องถวายพระพรดังอึงมี่เสียก่อน

จวบกระทั่งล่วงผ่านบานทวารท้องพระโรงโอฬารเข้าไปนั้นแล ทันทีที่บานไม้มหึมาทั้งสองปิดเข้าหากัน ทุกสรรพสำเนียงพลันเงียบสงบ ประหนึ่งถูกตัดทุกเสียงแห่งความรับรู้จากโลกภายนอกไปในทันที

พระทัยชวาลาเต้นแรง พระโลมาลุกชันตลอดร่าง สังหรณ์บางเรื่องกำลังพยายามร้องเตือนพระนาง

พระราชบิดาของพระนางประทับเป็นสง่าบนราชบัลลังก์ ทว่าพระพักตร์กลับเคร่งเครียด พระราชอาสน์ในพระอัครเทวีผู้ควรประทับเยื้องต่ำลงมาเล็กน้อยแต่กลับสูงขึ้นกว่าปกติแม้เสี้ยวองศาก็มิรอดพ้นสายเนตรชวาลา บรรดาราชนิกุลทุกสายวงศ์ประทับเรียงรายกันพร้อมหน้า…ยกเว้นฝ่ายรักตมปุระ

พระนางทูลกระซิบพระสวามีโดยมิเปิดพระโอษฐ์ “นี่มิใช่เหตุปกติเสียแล้วเพคะ”

พระเนตรยังจับจ้องเบื้องหน้าอย่างระแวดระวัง

“ยินดียิ่งแล้วต่อชัยชนะของลูกทั้งสองที่ได้ปกป้องเกียรติยศแห่งลวปุระอย่างกล้าหาญสมเกียรติ” สุรเสียงพระเจ้าจักวัติกังวานก้องหากก็สั่นเครือ “พวกเจ้าคงเหน็ดเหนื่อยจากกิจสงครามมามาก”

“หามิได้เพคะ หากกล่าวว่ามิเหน็ดเหนื่อยก็คงนับว่าเอ่ยเท็จ ถึงกระนั้นพวกเราก็ได้พักผ่อนแลบำรุงขวัญทวยหาญ ทวยราษฎร์จนสิ้นความเหนื่อยล้าแล้ว แลพร้อมกลับมาทำงานรับใช้บ้านเมืองเพคะ” รับสั่งพลางจับสังเกตทุกรายละเอียดในท้องพระโรงโดยเฉพาะตัวบุคคล

นอกจากพระราชาและพระราชเทวีแล้ว เหล่าพระราชวงศ์มองตรงระดับสายตาหากมิสบเนตรเจ้าหญิงชวาลาและอุปราชรามราชตรงๆ สักพระองค์ ข้างฝ่ายข้าราชบริพาร ขุนนางน้อยใหญ่ต่างก้มหน้างุด รังสีความตึงเครียดแผ่กระจายทั่วท้องพระโรง และประการสำคัญ ทรงสังเกตเห็นทหารซ้อนแถวมากเกินจำเป็นกว่าทหารอารักขาปกติอีกเกือบเท่าตัว

“ลูกทั้งสองได้กระทำคุณอนันต์ต่อบ้านเมืองยิ่งนัก ได้สำแดงให้เห็นแล้วว่ามีความปรีชาสามารถ แกล้วกล้ากล้าหาญ ปกป้องบ้านเมืองโดยมิห่วงชีวิต มีจิตคิดถึงแต่ประโยชน์ของบ้านเมืองเป็นที่ตั้ง จึงเป็นที่รักของพสกนิกรทั่วหล้า เหมาะสมอย่างยิ่งที่จักขึ้นครองบัลลังก์ลวปุระในเพลานี้ อันตัวข้า ราชันจักวัติวิราชเองก็เห็นชอบด้วย จึงให้มีโองการประกาศการขึ้นเถลิงราชย์ของเจ้าชายรามราชขึ้น…แต่กระนั้น”

รับสั่งได้เท่านี้ก็มีเสียงกระแอมขัดขึ้น พระเจ้าจักวัติจึงแค่นสุรเสียงเยาะในพระศอ ปรายเนตรเย็นชาไปทางเบื้องขวา ก่อนตรัสต่อด้วยสุรเสียงเยียบเย็น

“ก็ได้มีผู้ที่ไร้คุณสมบัติเช่นว่า สมคบคิดกันปล้นความชอบธรรมทั้งปวงนั้นไป”

ทวีติยาถือวิสาสะขัดขึ้น “ฝ่าบาทรับสั่งเข้าประเด็นเถิด”

“เฮอะ…อันเรื่องจัญไรไร้เกียรติเยี่ยงทรชนนี้กลับมิกล้าเอื้อนเอ่ยด้วยตนเอง ต้องยืมมือข้าเพื่อหาความชอบธรรมงั้นฤๅ ข้าจักจำมิลืมทีเดียวว่าอู่ทอง…จันเสน และศรีเทพเป็นเช่นไร” ดำรัสแล้วก็ทอดพระเนตรเอกธิดาและราชบุตรเขยแน่วนิ่ง “ลูกทั้งสองคงเดาได้แล้วกระมัง…ว่าคนพวกนี้สมคบคิดกันทรยศเจ้า ทันทีที่ข้ามีดำริจักยกบัลลังก์ให้รามราช พวกเขาก็ตัดสินใจลงมือมิต่างจากกบฏ”

“พวกเรามิได้ทรยศเจ้าพี่รามราชนะเพคะ” เจ้าหญิงบุณฑราโพล่งท้วงอย่างลืมตัว “พวกเราสนับสนุนเจ้าพี่เสมอ เจ้าพี่จักยังเป็นอุปราชหรือกษัตริย์ละโว้ต่อไปเพคะ หากจักเรียกว่าผิดด้วยทรยศ ก็ขอให้เป็นเพราะทรยศเจ้าหญิงชวาลาแต่ผู้เดียวเถิด แต่ก็สมควรแล้วมิใช่หรือ นางสั่งสมอำนาจจนแทบจะมากกว่ากษัตริย์อย่างเจ้าพ่ออยู่แล้ว หากมิสกัดไว้แต่เพลานี้ มิแคล้วราชบัลลังก์ก็คงมิเหลือ”

ผู้ถูกพาดพิงเย็นเยียบไปทั้งวรกาย ทั้งที่ทรงพอทราบอยู่แล้วว่าเจ้านายหลายฝ่ายในวงศ์เวหะเกลียดชังถึงขั้นอยากกำจัดพระนางจนถึงกับทำเรื่องอุกฉกรรจ์ต่อบ้านเมือง หากก็มิทรงคาดคิดมาก่อนว่าแม้พระนางจักนำชัยชนะมาสู้ละโว้ได้สำเร็จ ก็มิอาจหยุดยั้งความคิดชั่วร้ายนั้นได้ สถานการณ์ที่ฝ่ายพระนางควรได้เปรียบและคนพวกนั้นต้องเกรงกลัวอาญา กลับตาลปัตรไปถึงเพียงนี้

กลุ่มทหาร ‘ส่วนเกิน’ ที่พระนางทรงสังเกตแต่แรกขยับกระชับวงล้อมเข้ามา แม้มิได้ชักอาวุธขึ้นข่มขู่เอาชีวิต หากก็เป็นการส่งสัญญาณว่าพระนางตกอยู่ใต้การควบคุมของกองกำลังของผู้มีอำนาจมากกว่า

ชวาลาทรงพินิจอากัปกิริยาเจ้านายแต่ละฝ่ายและทรงประเมินอย่างรวดเร็ว ทั้งอู่ทอง จันเสน ศรีเทพคงสะสมฐานอำนาจเอาไว้ในมือมากพอตัว หากก็คงมิมากพอเทียบเท่าฝ่ายรักตมปุระในละโว้เป็นแน่ แลถึงแม้ทั้งสามฝ่ายจักร่วมมือรวมกำลังกันและอาจเพิ่มด้วยฝ่ายเล็กฝ่ายน้อยยิบย่อยก็ตาม ก็ยังมิน่าเพียงพอต่อกรกับฝ่ายรักตมปุระและฐานอำนาจกองกำลังส่วนราชันได้ เป็นไปได้ประการเดียวว่าปีกที่โอบอุ้มพวกเขาไว้ได้คงเป็นปีกพญาปักษาที่มีอำนาจใหญ่โตคับฟ้าคับแผ่นดิน

พระนางตั้งสติแล้วจึงรับสั่งถาม “เช่นนั้นต้องการสิ่งใดเล่า”

ทว่ากลับมิมีผู้ใดกล้าตอบ ท้องพระโรงตกอยู่ในความเงียบงันอีกครั้ง

“ข้าแต่พระชนกของลูก…เจ้าพ่อทรงทราบแล้วหรือไม่ ว่าเพียงต้องการกำจัดหม่อมฉัน พวกเขาถึงกับชักศึกเข้าบ้านโดยมีลวปุระเป็นเดิมพัน ยุยงเชิญชวนให้เจ้าฟ้าแห่งไตมาวหาเหตุทำสงครามโดยยกหม่อมฉันเป็นข้ออ้าง…ถูกแล้วเพคะ พวกเขาเสนอประโยชน์ที่ไตมาวจักได้จากลวปุระ แลกกับที่ต้องกำจัดหม่อมฉันไปทางใดทางหนึ่ง สงครามย่อมเป็นข้ออ้างที่แยบคายที่สุดด้วยมิคิดว่าหม่อมฉันจักมีทางเอาชนะศึกได้ มิว่าเป็นหรือตาย หม่อมฉันย่อมถูกเขี่ยทิ้งให้พ้นจากละโว้อยู่ดี พวกเขานั้นแล ที่เป็นต้นเหตุให้ต้องเอาชีวิตไพร่พลเราไปล้มตายเป็นผักปลาอย่างน่าอนาถ”

พระพักตร์กษัตริย์ละโว้แดงก่ำก่อนเปลี่ยนเป็นขาวซีด ดวงเนตรฉายแววปวดร้าว

“ยามนี้เข้าตาจนแล้วคิดจักสังหารหม่อมฉันกระมัง” ทรงหันไปสบเนตรเจ้านายทุกฝ่ายเป็นเชิงถาม

“แต่แน่ใจแล้วฤๅ หากหม่อมฉันเป็นอันใดไป กองทัพเรือยิ่งใหญ่ของชาวทะเลใต้จักเข้ามาขยี้บีฑาลวปุระทันใด แล้วเชื่อหม่อมฉันเถิด แสนยานุภาพแลรี้พลของรักตมปุระนั้นน่ากลัวกว่าทัพไตมาวมากนัก”

“สมเป็นธิดาของมฤติกายิ่งนัก เพลานี้ยังอวดเก่งพูดปาวๆ ภาคภูมิใจในความเป็นจามของตนนัก เช่นนั้นจักเรียกตัวเป็นละโว้ได้อย่างไร” พระชายาพันธิสาตรัสเสียดสี “แต่ก็ถูกของเจ้าแล กองทัพชาวทะเลใต้น่าเกรงขามเพียงใดละโว้ย่อมทราบดี จึงไม่มีผู้ใดกล้าทำให้เจ้ากับพรรคพวกถึงเลือดตกยางออกนักแล แต่จักทำอันใดกับเจ้านั้นก็ต้องคิดดูก่อน หากอย่างน้อยก็แน่ใจได้ว่าเจ้าจักมิมีวันได้ฉายแสงในฐานะชายาอุปราชหรือกระทั่งอัครเทวีลวปุระอีกแล้ว”

ทว่า หลังจากที่ทรงนิ่งเงียบมาตลอด จู่ๆ พระสวามีของชวาลาก็ตรัสขึ้น “เหตุใดจึงต้องให้ผู้อื่นออกหน้ารับความผิดเรื่องนี้ด้วยเล่า…ไยจึงทรงขี้ขลาดต่อการกระทำของตนได้เพียงนี้” ทรงเว้นวรรคไปอึดใจ

“ว่าอย่างไรเล่า…เจ้าแม่”

สิ้นเสียงอุปราชรามราช ทั่วท้องพระโรงก็ตกอยู่ในความเงียบงันอีกครั้ง

เงียบ…ชนิดที่เสียงหายใจแผ่วเบายังดังเกินพอดี

ทุกสายตาหันไปมองผู้ที่ประทับบนราชอาสน์ข้างบัลลังก์ที่ดวงพักตร์ยังประดับรอยแย้มสรวลแฉล้มหวานไว้มิเปลี่ยนแปลง



Don`t copy text!