ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 16 : สาส์นจากวาสุเทพฤาษี (2)

ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 16 : สาส์นจากวาสุเทพฤาษี (2)

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

 

ทั้งสองพระองค์ที่ทรงเป็นตัวแปรสำคัญของสงครามอำนาจในละโว้สดับถ้อยความด้วยอาการสงบเช่นผู้ที่เตรียมใจต่อความเปลี่ยนแปลงมาแล้ว หากกระนั้นก็ยังสะท้านสะเทือนพระทัยและพยายามตั้งสติต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้

“อันว่าพระอาจารย์ส่งสาส์นมาได้ทันการเยี่ยงนี้ ย่อมหมายถึงท่านคงเล็งเห็นเค้าลางความยุ่งยากทั้งปวงได้ก่อนหน้านี้แล้วเป็นแน่ และคงทราบดีว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาที่ใหญ่โตเกินกว่าที่น้องและเจ้าพี่จักรับมือได้” เจ้าหญิงชวาลาซุกวรกายลงในอ้อมอุระสวามี “คงมีเพียงวิธีนี้ที่จะรักษาชีวิตน้องเอาไว้”

“ท่านวาสุเทพนำส่งสาส์นผ่านพระอาจารย์สุกกทันตะให้ขึ้นทูลถวาย และได้กำหนดให้ท่านสุกกทันตะหรือตัวแทนเป็นผู้นำขบวนเสด็จของวาน้อยกลับไปแดนเหนือด้วยหากตอบตกลงไปครองเมือง ก็คงเพราะต้องการรับประกันความปลอดภัยของวาน้อย มิให้ฝ่ายใดเล่นตุกติกทำอันใดกับเจ้าไปเสียก่อน เพราะหากว่าไปแล้ว ราชสำนักในทวารวดียังนับถือเกรงใจเหล่าพราหมณ์ฤๅษีอยู่มาก พี่ก็เพิ่งเห็นข้อดีของบทบาทอันมากเกินไปของนักบวชก็ครานี้”

“อีกเพียงเจ็ดทิวาเท่านั้นเองหรือเพคะ” พระนางรำพึง “น้องแค่… เสียดายเหลือเกินที่มีโอกาสปรนนิบัติเจ้าพี่ได้เพียงเท่านี้…เวลาของเราช่างแสนสั้นนักและกำลังนับถอยหลังลงทุกที แม้น้องเคยทำใจต่อการจากลาแล้ว แต่ถึงเวลาจริงกลับยากเหลือเกิน”

“หากจากเป็นก็ยังดีกว่าจากตายมิใช่หรือ” กัษษกรพยายามกลั้นอัสสุชลขณะกระชับอ้อมพาหา ซึมซับไออุ่นจากพระชายา “อย่างน้อยพี่ก็จักวางใจระลึกได้ว่าวาน้อยยังอยู่ ณ แห่งหนหนึ่งบนโลกนี้ วาน้อยของพี่คงกำลังปกครองบ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุข กระทำหน้าที่กษัตรีย์ผู้ยิ่งใหญ่สมพระเกียรติของน้อง ส่วนพี่ก็คงเป็น… หุ่นเชิดให้ลวปุระต่อไป”

“โธ่…เจ้าพี่เขน” พระนางร้อง “น้องเคยคิดว่าหากตนเองตายไป ชีวิตเจ้าพี่จักดำเนินไปเช่นไรท่ามกลางคนบ้าเลือดกระหายอำนาจเหล่านั้น แต่เพลานี้กลับเป็นน้องเองต่างหาก ที่นึกไม่ออกเลยว่า…เมื่อไม่มีเจ้าพี่อยู่กับน้องแล้ว น้องจะมีชีวิตต่อไปได้อย่างไรโดยมิตรอมใจตายไปเสียก่อน”

“วาน้อยต้องอยู่ให้ได้” ทรงเชยพระหนุของชายาขึ้นมา มองลึกไปในนัยเนตรกลมหวานคู่นั้น “แลอยู่ให้เป็นสุข มิเช่นนั้นพี่คงเป็นทุกข์ไปตลอดชีวิตหากรู้ว่าวาน้อยกำลังทรมานใจ”

“โธ่ เจ้าพี่เพคะ…” พระนางยกหัตถ์เช็ดน้ำพระเนตร “น้องให้สัญญาว่าจักมีชีวิตต่อไปให้อยู่ดีมีสุข กระทำหน้าที่ของตนอย่างมิย่อท้อ ให้สมกับที่เจ้าพี่ทรงเสียสละอิสรภาพทั้งหมดเพื่อรักษาชีวิตน้องไว้”

“วาน้อย…”

“ที่เจ้าพี่จะทรงปลดน้องเพื่อเลือกมเหสีองค์ใหม่ หาใช่เพราะสิ้นรักหรือมุ่งรักษาอำนาจ แต่เพราะเจ้าพี่ต้องการต่อรองชีวิตน้องด้วยการประวิงเวลามิให้พวกมันถือโอกาสสังหารน้องได้ เพาะพวกมันย่อมหันไปทะเลาะกันเองก่อนชั่วคราว…เจ้าพี่รักน้องมากมายเพียงนี้ ไยน้องจักมิทราบ”

การที่ภัสดาของพระนางทรงทำได้เพียงนี้ ก็นับว่าทรงสามารถถ่วงเวลาจนกระทั่งมีทางออกให้พระชายาของพระองค์ได้ในที่สุด แม้ใครจักค่อนขอดว่าพระองค์มิทรงสามารถช่วยเหลืออันใดพระนางในสงครามไตมาวได้เลย แต่อุปราชแห่งละโว้ก็ทรงพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ด้วยพระปรีชาสามารถด้านอื่นที่พระองค์มีอยู่ และด้วยหฤทัยรักลึกซึ้งยิ่งใหญ่ พระองค์ก็สามารถปกป้องพระชายาไว้ได้จนถึงที่สุดแล้ว

“พี่ก็รู้ว่าวาน้อยรักพี่ ถึงได้ยอมตกลงทุกเงื่อนไขเช่นนี้” พระองค์จุมพิตเกศาพระชายาแผ่วเบา ไล่ลงมาถึงปรางนวลและพระโอษฐ์อย่างอ่อนโยนและลึกซึ้ง ทรงปรารถนาจักถ่ายทอดและซึมซับความรัก ความห่วงหาอาวรณ์ทั้งหมดที่มีให้แก่กันและกันให้เนิ่นนานที่สุด “แม้เราอาจได้พบหรือมิได้พบกันอีกชั่วชีวิต โปรดจำไว้เถิดว่าความรักของพี่จักอยู่กับวาน้อยเสมอ”

พระนางจุมพิตพระหัตถ์ภัสดาอย่างรักใคร่และอาวรณ์ “หัวใจรักของน้องก็จักเป็นของเจ้าพี่ตลอดไปเช่นกันเพคะ…”

ทรงอึกอักลังเลครู่หนึ่งจึงตัดสินพระทัยรับสั่ง “แต่ยังมีหทัยอีกดวงที่จะรักเจ้าพี่”

เจ้าหญิงชวาลาทรงลูบพระนาภีแผ่วเบา เจ้าชายกัษษกรตกตะลึง เสียงกลืนหายในพระศอ

“หมายความว่า…”

“น่าจะเกือบสามเดือนแล้วเพคะ” ชวาลาฝืนแย้มสรวล “น้องก็นึกว่าตนเองมิสามารถตั้งครรภ์ได้เสียแล้ว เพิ่งทราบได้มินานแต่มิกล้าทูลเจ้าพี่ กลัวแต่จะยิ่งทำให้บานปลายใหญ่โตจนเสียเรื่องทั้งหมด แต่ครั้นมานึกดูก็ใคร่ให้เจ้าพี่ผู้เป็นบิดาได้ทราบ…”

“โอ…วาน้อย”

“แต่เจ้าพี่อย่าได้ทรงวิตกไปเลย น้องจักดูแลตนเอง ดูแลลูกของเราอย่างดีที่สุด” ทรงสะเทือนหทัยจนแทบมิกล้าสบเนตรพระสวามี “น้องจะเล่าให้ลูกของเราฟังว่าพระบิดาของเขาทรงเป็นมหาบุรุษที่ยิ่งใหญ่เพียงใด” ทรงกุมพระหัตถ์สวามีวางไว้บนพระนาภี

“เจ้าพี่ยังมีความรักของน้องและลูกอยู่กับเจ้าพี่เสมอเช่นกันเพคะ”

ทั้งสองพระองค์ได้แต่ทรงสะท้อนสะท้านใจต่อความท้าทายใหญ่หลวงที่โชคชะตามอบให้ หากก็เป็นไปด้วยความยอมรับจำนน…ว่าหนทางนี้คงเป็นทางออกที่ดีที่สุดที่โลกจักประทานให้ได้

 

“เจ้าอุปราชมีรับสั่งให้เอ็งไปเข้าเฝ้าที่เจดีย์แดงน่ะ”

คมิกแจ้งข่าวในบ่ายวันหนึ่งขณะที่เขาเพิ่งลงจากอาศรมสุกกทันตฤๅษี

“ให้ไปถึงเจดีย์แดงเชียวรึ” รัญชน์แปลกใจ เนื่องจากเจดีย์ดังกล่าวอยู่ไกลเกือบนอกเขตตำหนักชวัลรวีและค่อนข้างลับตาคน

“ตั้งแต่ทรงประกาศว่าจะเลือกอัครชายาใหม่ ก็หามีผู้ใดเคร่งครัดจำกัดอิสรภาพพระองค์อีกแล้ว นับว่าทรงพลิกสถานการณ์ได้ชาญฉลาดนักแล” คมิกว่า “ยิ่งทราบว่าจะกำจัดองค์หญิงชวาลาไปพ้นพระนครได้ พวกมันก็ตีปีกดีใจ ย่อหย่อนการควบคุมทุกประการ องค์อุปราชจักเสด็จไปที่ใดก็ค่อยสะดวกสบายขึ้นนั้นแล แต่เหตุที่เรียกเอ็งไปพบเสียไกลก็คงมีเรื่องสำคัญอันเป็นความลับจะแจ้งกระมัง”

ชายหนุ่มมองท่าทีของมหาดเล็กหนุ่มแล้วอดสงสัยไม่ได้ “แล้วพี่ไม่น้อยใจบ้างหรือ ที่องค์ชายมีความลับเรื่องข้าเต็มไปหมด”

“น้อยใจ? ภาษาเอ็งยังพิลึกเสมอนะ” คมิกโคลงศีรษะ “เอ็งหมายถึงเคืองใจกระมัง เปล่าเลย ข้ามิได้อยากทราบความลับอันใดมากกว่านี้อีกแล้ว เคยได้ยินหรือไม่ รู้น้อยเท่าไรก็ยิ่งปลอดภัยเท่านั้น”

“ก็ได้ยินจากองค์ชายนั่นแหละ” รัญชน์ยิ้มน้อยๆ “งั้นข้าไปก่อนละ”

เมื่อมาถึงเจดีย์แดง เขาก็พบว่าเจ้าชายกัษษกรได้ประทับรออยู่ก่อนแล้ว พระองค์ดูซูบผอมลง พระพักตร์อิดโรย หากยังทรงยืนอังสาเหยียดตรงสง่าผ่าเผย พระพักตร์ยังเชิดขึ้นเล็กน้อยอย่างไว้องค์เช่นเคย ทว่าแววเนตรที่มองเขากลับอ่อนลงมาก

“เจ้าคงทราบเรื่องสาส์นจากพระฤๅษีวาสุเทพแล้วกระมัง”

“เจ้าข้า”

ข่าวเรื่องราชสำนักตอบรับคำเชิญพระฤๅษีให้พระนางชวาลาไปครองนครหนขุนน้ำแพร่สะพัดไปทั่ว เขายังนึกเห็นใจทั้งสองพระองค์ที่ถูกเกมการเมืองเล่นตลกกับชีวิตจนพลิกผันได้ขนาดนี้ ทว่าสุกกทันตฤๅษีกลับกล่าวอย่างปลงตกว่าท่านและสหายวาสุเทพช่วยได้ดีที่สุดเท่านี้ เพราะทั้งสองพระองค์ก็ล้วนมีชะตากรรมของตนเอง

“อีกไม่ถึงเจ็ดทิวา พระชายาของข้าจักต้องจากไปนครใหม่ในแดนเหนือ ว่ากันว่าต้องเดินทางล่องเรือไปอีกหลายเดือน เส้นทางก็อันตรายอย่างยิ่ง และบ้านเมืองที่นั่นเป็นอย่างไรก็สุดจะรู้ได้ ทราบเพียงว่าเป็นดินแดนที่มีพวกเม็งกับพวกลัวะเป็นใหญ่” พระองค์ปรารภพลางถอนพระทัย “แม้เจ้าพ่อจักพระราชทานข้าราชบริพาร ช่างฝีมือ ขุนน้ำขุนนาง ขุนทหารติดตามไปจำนวนมาก หากก็ไม่มีผู้ใดรู้เช่นกันว่าจะต้องเผชิญกับสิ่งใด มิต่างอันใดกับปล่อยให้องค์หญิงชวาลาไปเสี่ยงตามลำพัง”

ฟังแล้วชายหนุ่มก็ยิ่งเจ็บปวดใจแทนเจ้าชายผู้นี้ที่จู่ๆ ก็ต้องถูกจับพรากจากคู่ และจำต้องปล่อยให้ชายาไปเผชิญชะตากรรมลำบากโดยที่ไม่อาจช่วยเหลือ เพราะเป็นวิธีเดียวที่จะรักษาชีวิตพระนางไว้ได้

“ข้าอาจมิได้พบหน้าชวาลาอีกแล้วชั่วชีวิตก็เป็นได้” เขาเห็นความระทมทุกข์เต็มจักษุคู่นั้น

“จึงมีเรื่องอยากจะขอความช่วยเหลือจากเจ้า แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่หลวงอย่างยิ่ง จักให้ผู้ใดรู้มิได้เป็นอันขาด…รัญชน์”

“ทรงเชื่อแล้วหรือว่าข้ามิใช่เจ้าเขนน้อยหรือเจ้าชายรัตตกร”

“บัดนี้เจ้าจักใช่เขนน้อยที่แสร้งทำอุบายหลอกข้าหรือไม่ก็หาสำคัญใดอีกแล้ว เพราะหากเขนน้อยต้องการเห็นข้าพบความวิบัติ เขาก็คงได้เห็นแล้วว่าข้าต้องทนทุกข์ทรมานเพียงใด” ตวัดพระเนตรคมกริบมองเขาราวกับจะค้นลึกถึงก้นบึ้งจิตใจ “การที่เจ้ามีหน้าตาเหมือนเขนน้อย ก็ย่อมหมายถึงมีบุญกรรมสัมพันธ์กันมาทั้งกับเขาและกับ…ข้า”

มิใช่เพียงแต่องค์ชายที่มีดำริเช่นนั้น รัญชน์เองก็เริ่มเชื่อว่าหนึ่งในอดีตชาติทั้งหลาย เขาคงเคยเกิดมาเป็นเจ้าชายกัษษกรหรือเจ้าชายรัตตกร แต่ที่ยังไม่รู้คือเหตุใดโชคชะตาจึงเล่นตลก พาเขาข้ามมิติเวลามาคั่นกลางระหว่างสองพี่น้องฝาแฝดที่อยู่กันคนละภพได้



Don`t copy text!